ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 117 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2321 - 2340 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2321 | การลงนามในร่างความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม FATCA | กค | 18/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการดำเนินการตาม Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของความร่วมมือที่จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงการเก็บภาษี โดยมีข้อกำหนดเกี่ยวกับลักษณะของข้อมูล กำหนดเวลาและวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูล การยกเว้นให้สถาบันการเงินไทยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายภายในของสหรัฐฯ รวมถึงขั้นตอนในการแก้ไขและยกเลิกสัญญา และร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ประกอบการลงนามในความตกลง FATCA มีสาระสำคัญเป็นความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการยกเว้นการรายงานข้อมูลของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรายย่อยและการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายของไทยเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลสมบูรณ์ รวมถึงกำหนดขั้นตอนในการขยายเวลาการสิ้นสุดของความตกลงหากไทยยังไม่สามารถเริ่มส่งข้อมูลให้สหรัฐฯ ได้ตามกำหนดของความตกลงฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอร่างความตกลงฯ เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ และร่างบันทึกความเข้าใจฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในร่างความตกลงฯ หรือร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามความตกลงฯ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2322 | คณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) | ทก | 18/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการ จำนวน ๕ คณะ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๒ คณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ๑.๓ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิชาการ โดยมีการปรับปรุงองค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๔ คณะกรรมการจัดระบบสถิติประเทศไทย ๓ ด้าน โดยมีการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ๑.๕ คณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. ให้คณะกรรมการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งได้แจ้งยืนยันการคงอยู่ของคณะกรรมการไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี) มีผลต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
| 2323 | ขอปรับปรุงแผนงานที่ได้รับการอนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ | กษ | 18/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการปรับปรุงแผนงานที่ได้รับการอนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ประกาศงดการส่งน้ำเพื่อการปลูกข้าวนาปรังฤดูกาลเพาะปลูกปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ ของพื้ที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง จากเดิม งานจ้างแรงงานเพื่อซ่อมคูคลองในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง วงเงินงบประมาณจำนวน ๒,๒๖๑.๕๖ ล้านบาท ปรับปรุงเป็น งานจ้างแรงงานเพื่อซ่อมคูคลองในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง วงเงินงบประมาณจำนวน ๑,๔๖๗.๑๘ ล้านบาท จำแนกเป็นงบประมาณปกติ จำนวน ๙๑๙.๒๐ ล้านบาท และงบกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน ๕๔๗.๙๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 2324 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 18/11/2557 | |||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ๑.๑ ในการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานผู้รับผิดชอบพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการตามข้อผูกพันในสาระของความตกลงและความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ทั้งนี้ หากการลงนามในความตกลงใดจะเป็นการผูกพันให้ประเทศไทยต้องดำเนินการที่อาจมีความเสี่ยงอันก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ก็ควรกำหนดข้อสงวนหรือชะลอการลงนามในความตกลงนั้น ๆ ไปก่อน ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย และการปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัย ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ โดยหากจำเป็นอาจตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับและเร่งรัดแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๒. ด้านพลังงาน ให้กระทรวงพลังงานสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนแก่ประชาชนเกี่ยวกับการให้สัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทย และให้เร่งพิจารณาทบทวนโครงการที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วแต่ยังไม่ได้มีการดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดว่าสมควรดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อให้มีการผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบตามเป้าหมาย แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้เพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายปรับขึ้นราคาของสินค้าอุปโภคและบริโภค นั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามและกำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินงานจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๕ พื้นที่ชายแดน สำหรับการดำเนินการในปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๓.๓ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันดำเนินการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยในประเทศไทย โดยจัดแยกตามประเภทของธุรกิจเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินการให้การสนับสนุนและพัฒนาประสิทธิภาพ SMEs ไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และสามารถเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงธุรกิจขนาดใหญ่และพัฒนาไปถึงระดับภูมิภาคได้ในอนาคต ๔. ด้านสังคม ๔.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งติดตามและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการคัดค้านการดำเนินการของศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งติดตามและแก้ปัญหาเช่นเดียวกันนี้ในพื้นที่อื่นที่มีการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย เช่น จังหวัดปทุมธานี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปัญหาขยะในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔.๒ ให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งดำเนินการจัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชนผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยโดยเร็ว และให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการในระยะแรกให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๕. ด้านอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) กำหนดแนวทางในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาที่ใกล้เคียงกันได้ เช่น การปรับปรุงวิธีการกำหนดราคาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลต้นทาง การจัดจำหน่ายในรูปแบบสหกรณ์ เป็นต้น ๕.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน่วยงานในระดับพื้นที่กำหนดแผนลงตรวจเยี่ยมในพื้นที่ต่าง ๆ โดยจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่และการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนั้น ๆ เช่น การให้บริการด้านสุขภาพ การจัดระเบียบที่ดิน การบริหารจัดการสินค้าเกษตร และนำไปชี้แจงและสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในระหว่างการลงพื้นที่ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นและปัญหาจากประชาชนในพื้นที่เพื่อนำกลับมาแก้ไขต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2325 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียนการปรับปรุงค่าธรรมเนียม) | พณ | 12/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..... [ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)] และร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม) รวม ๒ ฉบับ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาตัดบทบัญญัติที่ซ้ำซ้อนและให้รวมร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ทั้ง ๒ ฉบับเป็นฉบับเดียวกัน โดยให้เชิญกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
| 2326 | ร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)] | พณ | 12/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ..... [ในส่วนที่เกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีพิธีสารมาดริด (Madrid Protocal)] และร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับการขยายขอบเขตความคุ้มครอง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และระยะเวลาการจดทะเบียน การปรับปรุงค่าธรรมเนียม) รวม ๒ ฉบับ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาตัดบทบัญญัติที่ซ้ำซ้อนและให้รวมร่างพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ทั้ง ๒ ฉบับเป็นฉบับเดียวกัน โดยให้เชิญกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
| 2327 | การพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี | นร01 | 04/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการพัฒนางาน โดยการบูรณาการการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ ได้ร่วมกับส่วนราชการเพื่อให้บริการเบ็ดเสร็จในจุดบริการเดียว (One Stop Service) โดยเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญเป็นหลักมาร่วมปฏิบัติงาน ณ เรือนรับรองประชาชน ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับเรื่องและให้คำแนะนำ และร่วมกับศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ศูนย์ดำรงธรรมทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น สามารถใช้งานระบบสารสนเทศในชื่อ “ระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์” ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งร่วมกับคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดเพื่อช่วยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และเป็นกลไกการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เกิดความโปร่งใส ๑.๒ ด้านการประสานความร่วมมือ ได้ขอความร่วมมืออาสาสมัคร (เช่น นิสิต นักศึกษา และมูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น) ที่มีความรู้ ความเข้าใจในการรับฟังปัญหา และให้คำแนะนำ เพื่อเป็นภาคสมทบกับเจ้าหน้าที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ณ เรือนรับรองประชาชน ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ๑.๓ ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ ระดับปฏิบัติงาน มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารจัดการการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ โดยมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นผู้ควบคุมดูแล และระดับนโยบาย เห็นควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาลเพื่อดำเนินการศึกษาวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์ที่เป็นประเด็นสำคัญ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการให้ความเห็นชอบ ๑.๔ ด้านการติดตามผลเรื่องร้องทุกข์ มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบการติดตามผลการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ในภาพรวม และให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องติดตามผลการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องเป็นการเฉพาะเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๕ ด้านงบประมาณ การดำเนินงานใช้งบประมาณของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างประหยัด คุ้มค่า โปร่งใส เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวง กรม จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัว รวมทั้งให้เชื่อมโยงข้อมูลกับสถานทูตไทยในประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
| 2328 | รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2555 | สม | 04/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชนและการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การคุ้มครองและช่วยเหลือกลุ่มที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิด้านสถานะบุคคลของผู้ไร้สัญชาติ ไทยพลัดถิ่น ผู้อพยพ และชนพื้นเมือง และสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติประจำปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และการฟ้องร้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย การเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและกฎ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิมนุษยชนศึกษา การศึกษาวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานเครือข่าย การดำเนินงานสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การดำเนินงานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ๒. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปประสานงานและชี้แจงทำความเข้าใจกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับข้อห่วงใยของรัฐบาลในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังมิได้เข้าสู่สภาวะปกติและอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศ และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ รวมทั้งอาจถูกต่างประเทศหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องหยิบยกเป็นเหตุผลในการดำเนินมาตรการอันก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ดังนั้น การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงต้องเป็นไปด้วยความถูกต้อง รอบคอบ ทั้งนี้ กรณีเรื่องใดที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรับดำเนินการแล้วมีข้อยุติหรือปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลังว่าข้อร้องเรียนดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนก็ขอความร่วมมือให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำเนินการชี้แจงให้สาธารณชนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริงให้ถูกต้องโดยทั่วกันด้วย
|
||||||||||||||||||
| 2329 | การรายงานผลการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย | นร | 04/11/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานผลการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ประกอบด้วย งานด้านกระทรวงยุติธรรม งานด้านกฎหมาย ในส่วนของคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รวมทั้งข้อเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณา ได้แก่ การแต่งตั้งคณะทำงานติดตามการยกร่างรัฐธรรมนูญ และแนวทางสนับสนุนให้ผู้ที่มิได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ๒. เห็นชอบหลักการให้มีคณะทำงานติดตามการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณากำหนดแนวทางการแต่งตั้งคณะทำงานดังกล่าว ซึ่งอาจให้มีผู้แทนจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนภาคประชาชน เข้าร่วมเป็นคณะทำงานดังกล่าวด้วย เพื่อทำหน้าที่ติดตามความคืบหน้าและสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ๓. เห็นชอบแนวทางสนับสนุนให้ผู้ที่สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติซึ่งมิได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติมีส่วนร่วมในการปฏิรูป โดยแบ่งออกเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ แต่งตั้งเป็นผู้ช่วยดำเนินการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ กลุ่มที่ ๒ แต่งตั้งเป็นกรรมาธิการในคณะต่าง ๆ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ กลุ่มที่ ๓ แต่งตั้งเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาการปฏิรูป ๓ ด้าน และกลุ่มที่ ๔ แต่งตั้งเป็นเครือข่ายการปฏิรูปของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ๔. ให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนโดยเร็ว และให้เร่งรัดจัดกลุ่มกฎหมาย (กฎหมายที่ล้าสมัย กฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมหรือให้สังคมดีขึ้น และกฎหมายที่เกี่ยวกับการค้า การลงทุน หรืออนุวัติการตามหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นกฎหมายที่ค้างการดำเนินการ หรือเป็นการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น) ทั้งนี้ ในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย กฎหมายที่ไม่เป็นสากล หรือกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าหรือการลงทุน ให้ทุกส่วนราชการศึกษารายละเอียด เปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้กฎหมายเป็นที่ยอมรับและสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนร่างกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการค้างาช้าง และร่างกฎหมายว่าด้วยประมง ให้เร่งรัดดำเนินการให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยเร็ว ๕. ให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น) จัดทำแผนการปรับโครงสร้าง โดยแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ เป็นระยะเร่งด่วน ให้ปรับปรุงการทำงานภายในเพื่อให้สามารถทำงานได้ทันที ระยะที่ ๒ เป็นการปรับโครงสร้าง และระยะที่ ๓ เป็นช่วงการส่งต่อและเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจในเรื่องการปรับโครงสร้างแก่สาธารณะด้วย ๖. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) โดยร่วมกับฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเร่งพิจารณาหาแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนหรือนโยบายสำคัญตามแนวทางที่สอดคล้องกับร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่รัฐบาลเสนอและอยู่ในระหว่างการพิจารณาในขั้นตอนทางนิติบัญญัติซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานาน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาเร่งด่วนได้อย่างรวดเร็ว เช่น ปัญหาขยะ การประมงชายฝั่ง ป่าไม้ หรือสิ่งแวดล้อม เป็นต้น แล้วรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2330 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 28/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการอนุญาต การออกใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต การมีคำสั่งไม่อนุญาต และการสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ไปเป็นอำนาจของเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และแก้ไขเพิ่มเติมให้รัฐมนตรีมีอำนาจในการยกเว้นค่าธรรมเนียม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 2331 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2557 | นร11 | 28/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ องค์ประกอบผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยผู้แทนสมาชิกเอเปค จาก ๒๑ เขตเศรษฐกิจ โดยคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ การประชุมกลุ่มเพื่อนประธาน ประกอบด้วย ๖ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนโยบายการแข่งขันและกฎหมาย กลุ่มนโยบายการแข่งขัน กลุ่มกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทและบรรษัทภิบาล กลุ่มความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ กลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ และกลุ่มการปฏิรูปกฎระเบียบ โดยแต่ละกลุ่มเพื่อนประธานได้มีการหารือถึงโครงการที่จัดในช่วงที่ผ่านมาตลอดจนแผนงานที่จะดำเนินการต่อไป ๑.๓ การจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ที่ประชุมฯ ได้กำหนดหัวข้อเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการกำหนดกฎระเบียบ (Good Regulatory Practice : GRP) เป็นหัวข้อการจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๗ และหัวข้อเรื่องสำหรับรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๘ คือ หัวข้อเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างและนวัตกรรม (Structural Reform and Innovation) ๑.๔ ยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ (APEC New Strategy for Structural Reform : ANSSR) ที่ประชุมฯ เห็นพ้องที่จะให้เสนอยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคพิจารณา และเสนอต่อผู้นำเอเปคให้มีการจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านปฏิรูปโครงสร้างครั้งที่สองในปี ๒๕๕๘ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในกรอบ ANSSR และกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจหลังปี ๒๕๕๘ ๑.๕ การหารือระดับนโยบายเรื่องกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ ๒ ได้มอบหมายให้คณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปครายงานแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกับดักรายได้ปานกลางต่อที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ ๓ และให้มีการหารือเรื่องกับดักรายได้ปานกลางในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านปฏิรูปโครงสร้างครั้งที่ ๒ หากมีการจัดขึ้น และการจัดรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๘ ในประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างและนวัตกรรม (Structural Reform and Innovation) จะเป็นกุญแจหลักที่จะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ได้มีการหารือใน ๔ ประเด็นหลัก สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ภาวะเศรษฐกิจโลกและทิศทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้มีการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมของหลายประเทศ โดยเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีแนวโน้มที่ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีความเสี่ยงขาลง (Downside risk) สูง ทำให้สมาชิกเอเปคต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น สำหรับภาคการเงินพบว่าธุรกิจ Non-bank เช่น ธุรกิจบัตรเครดิตมีปริมาณธุรกรรมมากขึ้น ดังนั้น แต่ละประเทศจึงควรกำกับดูแลเรื่องดังกล่าวให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของประเทศไทยมีกฎหมายเพื่อการกำกับดูแลในเรื่องนี้ยังไม่เพียงพอ ๒.๒ ความร่วมมือด้านการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แนวโน้มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีมากขึ้น จึงมีประเด็นเกี่ยวกับการจัดสรรผลประโยชน์จากการลงทุนระหว่างกันให้มีความเหมาะสม และการปรับปรุงกฎหมายในด้านนี้เพิ่มเติมด้วย ๒.๓ การปฏิรูปนโยบายการคลังและภาษี ได้นำเสนอการดำเนินการของไทยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ภาษีมรดก ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ขอความร่วมมือให้ไทยออกกฎหมายเกี่ยวกับความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act (ความตกลง FATCA) เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีในการโอนเงินระหว่างประเทศของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสัญชาติอเมริกัน ๒.๔ ธุรกิจ SMEs เป็นประเด็นที่ที่ประชุมฯ ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในบางประเทศมีขนาดของภาคธุรกิจ SMEs ถึงร้อยละ ๕๐ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ดังนั้น จึงต้องมีการสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยพัฒนาการให้บริการด้านการเงินเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
|
||||||||||||||||||
| 2332 | ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี 2557 (ช่วงประสบภัยเดือนกรกฎาคม 2556 ถึงเดือนสิงหาคม 2557) | กษ | 28/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๒๖ จังหวัด รวม ๑๐ ภัย ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง วาตภัย อัคคีภัย ภัยอากาศแปรปรวน ศัตรูพืชระบาด ภัยหนาว ภัยฝนทิ้งช่วง ภัยพายุและคลื่นลมแรง และปริมาณออกซิเจนในน้ำต่ำ เกษตรกรจำนวน ๑๒,๘๖๐ ราย ประกอบด้วย ด้านพืช เกษตรกรจำนวน ๑๒,๗๙๔ ราย และด้านประมง เกษตรกรจำนวน ๖๖ ราย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ภายในกรอบวงเงิน ๑๕๔,๘๒๓,๗๔๑ บาท โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมประมง ตรวจสอบเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาให้ครบถ้วน สมบูรณ์ ถูกต้องตามข้อเท็จจริงก่อน แล้วจึงขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง และให้ถือว่าคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมประมงเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมประมงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรเร่งพัฒนาระบบประกันภัยทางการเกษตรให้มีความคุ้มครองครอบคลุมภัยพิบัติด้านการเกษตรและเกษตรกรทุกกลุ่ม และการจ่ายเงินให้เกษตรกร การจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกร จะต้องมีการจัดทำทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล รวมทั้งมีการควบคุมให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้กระทรวงมหาดไทยสำรวจพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติให้ถูกต้อง รอบคอบ และประกาศให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เกิดความเสียหายจริงเท่านั้น ๓. กรณีเกิดภัยพิบัติในครั้งต่อไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดสำรวจความเสียหายและดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยพิบัติให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรี ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการแก้ไขปัญหาอุทกภัย) โดยให้ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องก่อนเป็นลำดับแรก และหากไม่ได้รับอนุมัติงบประมาณกรณีดังกล่าว จึงขอรับการจัดสรรเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยพิบัติเพิ่มเติมต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ขอเงินงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๗) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2333 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร07 | 21/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในรายการที่มีวงเงินรวมต่ำกว่า ๕๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๕๑๓ รายการ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๕๐๐ ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๔๑ รายการ และที่มีวงเงินรวม ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓๓ รายการ โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๓๑,๑๗๔.๕ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพัน รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๙๓,๒๖๓.๑ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) และตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๑.๓ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๑.๔ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย ๒. ในส่วนของรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๓๓ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2334 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) | กค | 21/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป เพื่อให้พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ก่อน ๑ มกราคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
| 2335 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | กค | 21/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบรายงานการเงินภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะทางการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ (ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ จังหวัด กลุ่มจังหวัด หน่วยงานอิสระ องค์การมหาชน และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ) กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๘,๑๘๘ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๘,๓๘๘ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๘๐ ซึ่งผลการวิเคราะห์พบว่า กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์รวมมากที่สุด มูลค่ารวม ๑๑.๘๑ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินและธุรกิจพลังงาน สำหรับรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐมีสินทรัพย์รวม ๙.๑๒ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่ดินราชพัสดุ เงินกู้ในภาพรวม ๗.๔๓ ล้านล้านบาท เป็นของรัฐบาลกลาง ๓.๗๒ ล้านล้านบาท รองลงมาเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๓.๖๗ ล้านล้านบาท รายได้ในภาพรวมเป็นของรัฐวิสาหกิจ ๔.๙๘ ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้ของธุรกิจพลังงานและการไฟฟ้า รองลงมาเป็นรายได้ของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ๒.๘๐ ล้านล้านบาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายต้นทุนขายและบริการในภาครัฐวิสาหกิจและค่าใช้จ่ายบุคลากรของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงลักษณะการวิเคราะห์ให้สามารถสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และความเสี่ยงทางการคลังของภาครัฐในภาพรวม การให้ความรู้ในด้านการบันทึกข้อมูลทางบัญชีให้กับเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สามารถจัดทำบัญชีได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนด รวมทั้งให้มีการแยกการรายงานในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินและไม่ใช่สถาบันการเงินออกจากกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เนื่องจากการรายงานฐานะของกองทุนและทุนหมุนเวียนเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรายงานการเงินรวมภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เคยมีข้อสั่งการ (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗) เกี่ยวกับเรื่องกองทุนต่าง ๆ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) วิเคราะห์ และเสนอแนวทางการปรับปรุงพัฒนา หรือยกเลิกกองทุนเพื่อเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ ของทุกหน่วยงานเพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) พิจารณาประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและการพัฒนาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น จึงให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2336 | การขอความเห็นชอบต่อปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห | 21/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศมุ่งสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของประชาคมอาเซียน (Joint Declaration of the ASEAN Defence Ministers on Defence Cooperation towards Peaceful and Prosperous ASEAN Community) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการประกาศเจตนารมณ์ การกำหนดกรอบแนวทางในการดำเนินการร่วมกันของกระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาคและสร้างสังคมที่มีความสงบสุขและสันติภาพในอาเซียนร่วมกัน ที่แสดงออกถึงความพอใจในผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๘ อย่างสอดคล้องกับหัวข้อความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ เพื่อให้ประชาคมอาเซียนมีความสันติสุขและมั่งคั่งในการดำรงเป้าหมายการเป็นภูมิภาคที่มีความแน่นแฟ้น สันติสุข และเข้มแข็ง ๒. แผนปฏิบัติการ ๓ ปี (ปี ๒๕๕๗-๒๕๕๙) เป็นแผนปฏิบัติงานที่มีความต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติงาน ๓ ปี (ปี ๒๕๕๔-๒๕๕๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อการคงไว้ซึ่งแรงผลักดันและเสริมสร้างกระบวนการความร่วมมือด้านความมั่นคง ๓. เอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งเครือข่ายการติดต่อสื่อสารแบบเร่งด่วนภายใต้กรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันหรือหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและการตีความที่ไม่ตรงกันมิให้เพิ่มขึ้น และเพื่อส่งเสริมความร่วมมือการตอบสนองในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ๔. พิธีสารเพิ่มเติมสำหรับเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา เป็นการปรับปรุง กลั่นกรอง และสร้างความชัดเจนให้กับกลไกและกระบวนการการทำงานของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ๕. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ ทั้งนี้ เมื่อลงนามในปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ แล้ว ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการตามปฏิญญาร่วมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ แผนปฏิบัติการ ๓ ปีฯ เอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งเครือข่ายการติดต่อสื่อสารฯ และพิธีสารเพิ่มเติมสำหรับเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการจัดตั้งการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนฯ ได้ตามความเหมาะสมและเสนอความคืบหน้าการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2337 | ร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. 2558 - 2562) | นร08 | 21/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องและรักษาอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน สิทธิอธิปไตย และขอบเขตของชาติทางทะเลจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ ตลอดจนส่งเสริมศักยภาพในการแสวงหาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพื่อปกป้อง รักษา ฟื้นฟูทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมทั้งส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล ๖ ประเด็นยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนาศักยภาพความมั่นคงของชาติทางทะเล (๒) การคุ้มครองการใช้ประโยชน์จากทะเล (๓) การสร้างความสงบเรียบร้อย และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากทะเล (๔) การสร้างความสมดุลและยั่งยืนของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล (๕) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้และความตระหนักรู้ความสำคัญของทะเล และ (๖) การบริหารจัดการผลประโยชน์ของชาติทางทะเลขององค์กรของรัฐ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับไปดำเนินการปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์ฯ ให้เป็นแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล โดยให้มีระยะเวลาของแผนดังกล่าวเป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๔ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนความมั่นคงฯ ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ปรับปรุงเรียบร้อยแล้วไปใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับแผนดังกล่าวต่อไป ๒. โดยที่แผนความมั่นคงฯ ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับภารกิจด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาตินำแผนความมั่นคงฯ ที่ได้ปรับปรุงเรียบร้อยแล้วเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และให้นำแผนความมั่นคงฯ ดังกล่าวเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไปด้วย เนื่องจากแผนความมั่นคงฯ ดังกล่าวมีผลผูกพันกับการออกกฎหมาย การงบประมาณ การจัดตั้งหน่วยงาน รวมทั้งการปฏิบัติงานของหลายองค์กร ๓. เนื่องจากการรักษาความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญ จึงให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติจัดทำแผนปฏิบัติการประจำและแผนการใช้จ่ายงบประมาณด้านความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล เพื่อส่งให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2338 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/10/2557 | |||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เรื่องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรี ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งเคยได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีเร่งดำเนินการตามที่เคยได้รับมอบหมาย ๒. ด้านต่างประเทศ ๒.๑ สืบเนื่องจากการที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้มีการเจรจาและลงนามบันทึกความตกลงร่วมกัน ดังนั้น เพื่อเร่งสานต่อความร่วมมือระหว่างกัน จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ ในการเตรียมประเด็นเพื่อใช้ในการเจรจาระหว่างประเทศ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาจัดเตรียมข้อมูลและนำประเด็นหลักที่ทุกเวทีโลกให้ความสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การแพร่ระบาดของโรคร้ายแรง (Pandemics) เป็นต้น รวมไว้ในประเด็นการเจรจาด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือการค้าและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ รวมทั้งจัดมุมประเทศไทย (Thai Corner) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้ต่างชาติได้รู้จัก ๓. ด้านเศรษฐกิจ ๓.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับการวิจัยและการพัฒนาองค์ความรู้ซึ่งก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๓.๒ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและบรรเทาความเดือดร้อนทางการเกษตร เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าทางการเกษตรทุกประเภท ๓.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่ระบุแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ประเภทของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้ ให้กำหนดตัวชี้วัดกิจกรรม และกรอบระยะเวลาการดำเนินการ ที่ชัดเจน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ๔.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) และรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ทุกส่วนราชการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือดำเนินโครงการซึ่งต้องมีการจ้างที่ปรึกษาโครงการ พิจารณาจ้างหรือเพิ่มสัดส่วนการจ้างที่ปรึกษาที่เป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญชาวไทย โดยเฉพาะบุคลากรภาครัฐที่จบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และลดการจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ ๔.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เร่งดำเนินการพัฒนาในเรื่องการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งพัฒนาด้านเศรษฐกิจ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น การทุจริตของเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเงื่อนไขผลักให้ประชาชนไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐ ๔.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงภารกิจและการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ให้เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการมากยิ่งขึ้นด้วย ๕. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ผู้ที่สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมิได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติมีส่วนร่วมในการปฏิรูปผ่านเวทีหรือกลไกอื่น ๆ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งให้ชี้แจงข้อเท็จจริง หากมีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับข้อมูลด้านการปฏิรูปต่าง ๆ ที่คลาดเคลื่อน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและรับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาดำเนินการ ๕.๒.๑ กำหนดมาตรการในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ประชาชน โดยปราศจากการบิดเบือนอันจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ความขัดแย้ง ๕.๒.๒ กำหนดแนวทางในการนำมาตรการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเคยมีมติหรือออกเป็นประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน นอกจากนี้ ให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการมีอยู่ของคณะกรรมการตามประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่จำเป็นต้องคงไว้ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันด้วย ๕.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมพิจารณาดำเนินการ ๕.๓.๑ พิจารณาอำนาจหน้าที่และความเชื่อมโยงของระบบศาลกับองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านกระบวนการยุติธรรม นอกจากนั้น ให้รวบรวมประเด็นต่าง ๆ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาระบบศาลและองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านกระบวนการยุติธรรม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อนำเสนอสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาต่อไป ๕.๓.๒ เห็นควรให้พิจารณากำหนดแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและดำเนินคดีแทนรัฐบาลกับหน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้องคดี ๕.๓.๓ พิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาพื้นที่ควบคุมนักโทษคดียาเสพติดที่มีอยู่อย่างจำกัดแต่มีนักโทษคดียาเสพติดจำนวนมาก นอกจากนั้น ให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ในการประกันตัวโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งปัจจุบันยกเว้นเฉพาะกรณีคดียาเสพติด โดยควรให้พิจารณายกเว้นคดีประเภทอื่นที่มีความร้ายแรง เช่น คดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕.๔ ในกรณีที่กระทรวงใดเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ให้รัฐมนตรี เจ้าสังกัดชี้แจงสาระสำคัญ ความจำเป็นในการปรับโครงสร้าง รวมทั้งผลกระทบต่อจำนวนบุคลากรและงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อพิจารณาความสอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ๖. ด้านอื่น ๆ ๖.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการติดตามการรายงานและการพยากรณ์เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำอย่างใกล้ชิด และให้ทุกส่วนราชการติดตามสภาพอากาศและระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ดำเนินการปฏิบัติการฝนหลวงให้แก่เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ๖.๒ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิต) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการประกอบกิจการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายแก่ผู้ฝ่าฝืนอย่างเข้มงวด รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณใกล้สถานศึกษาและที่สาธารณะ
|
||||||||||||||||||
| 2339 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... | ศร | 14/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. .... [กำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔๕ วรรคสอง] ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ สำหรับร่างมาตรา ๕ เกี่ยวกับอัตราเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งพนักงานคดีรัฐธรรมนูญ และร่างมาตรา ๘ เกี่ยวกับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้รอผลการพิจารณาของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการกำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนหรือเงินเพิ่มค่าครองชีพของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นธรรม เท่าเทียม และยึดโยงกันอย่างเหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||
| 2340 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ศย | 14/10/2557 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับโทษปรับ การรอการกำหนดโทษและรอการลงโทษ และแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทษของผู้ใช้และผู้ถูกใช้) และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การโอนคดีที่มีผลกระทบต่อการอนุรักษ์หรือการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม หรือประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นไปยังศาลแพ่ง) รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการขยายอัตราโทษจำคุกที่ศาลจะลงโทษจำคุกผู้กระทำความผิด และอาจใช้ดุลยพินิจรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ จากเดิมอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ขยายอัตราโทษจำคุกออกไปเป็นไม่เกินห้าปี ควรคำนึงถึงข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบอื่น ๆ อย่างรอบด้าน เพราะการขยายอัตราโทษจำคุกให้สูงขึ้นย่อมจะเป็นผลให้คดีที่ผู้กระทำความผิดสำคัญหรือคดีที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสามารถได้รับโอกาสในการรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษ ส่วนการนำเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติอย่างใด ๆ มาใช้กับการกระทำความผิด ควรมีการกำหนดกลไกการพิจารณา การใช้ข้อมูลอย่างรอบด้าน และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การคุมประพฤติมีความสอดคล้องต่อลักษณะผู้กระทำความผิดและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดเพิ่มวิธีการอายัดทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ และหลักเกณฑ์การบังคับทรัพย์สินเพื่อชำระค่าปรับ การปรับปรุงอัตราเงินในการกักขังแทนค่าปรับ การยกเลิกข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนค่าปรับที่ผู้ต้องโทษอาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||
.....
