ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 116 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2301 - 2320 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2301 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ | 09/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๔ คณะ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๒ คณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ๑.๓ คณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน ๑.๔ คณะกรรมการอำนวยการโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ๒. กรณีส่วนราชการใดเห็นควรให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการใด ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||
| 2302 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ โดยที่การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต้องอาศัยกลไกทางกฎหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเพื่อให้สอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (The GMS Agreement) จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เร่งรัดให้กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับโดยเร็วเพื่อรองรับการดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว และให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณากำหนดแนวทางในการจัดตั้งโรงงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีความสนใจเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ ให้เน้นโรงงานสำหรับการนำผลิตผลทางการเกษตรมาแปรรูป เช่น โรงงานน้ำตาล เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการเกี่ยวกับรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) และการเจรจากับบริษัทเอกชนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงต่อขยาย เพื่อให้สามารถมีรถไฟฟ้าสำหรับให้บริการประชาชนตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเร็ว ๑.๓ ปัจจุบันมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศไทยขยายตัวขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จึงให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาหาแนวทางการนำนวัตกรรมมาใช้ส่งเสริมสินค้าเพื่อการส่งออกเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกและการแข่งขันกับนานาประเทศ รวมทั้งพิจารณาขยายฐานการส่งออกไปสู่ประเทศคู่ค้าใหม่ที่มีศักยภาพด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการจัดตั้งโรงสีข้าวขนาดกลางในเขตพื้นที่ที่มีการทำนา โดยบริการสีข้าวให้แก่ชาวนาเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการขายข้าวของชาวนานอกเหนือจากการขายเฉพาะข้าวเปลือกเท่านั้น ๑.๕ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคเหนือ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และมติที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับแนวทางการยกระดับสถาบันการศึกษาทางด้านวิชาชีพ โดยส่งเสริมสถาบันอาชีวศึกษาในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น การสนับสนุนเครื่องมือประจำวิชาชีพของนักเรียนอาชีวศึกษา จัดทำฐานข้อมูลผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษา และส่งเสริมให้ผู้จบการศึกษาระดับอาชีวศึกษามีงานทำ แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาทบทวนสถานที่ก่อสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค โดยอาจก่อสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือในภาคกลาง หรือขยายพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่มีอยู่เดิมให้เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ เช่น พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติที่ตั้งอยู่ในเทคโนธานี ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ส่วนราชการส่งข้อมูลผลการดำเนินการตามบันทึกความตกลง บันทึกความเข้าใจ หรือเอกสารความร่วมมือระหว่างประเทศให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูลสำหรับการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามความตกลงหรือความร่วมมือระหว่างประเทศ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานเจ้าภาพเตรียมการจัดประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ครั้งที่ ๕ ในระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นสารัตถะที่จะใช้ในการประชุมให้ครบถ้วนแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกลางเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และให้กระทรวงพลังงานจัดเตรียมข้อมูลและแนวทางในการหารือกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเกี่ยวกับผลกระทบที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและราชอาณาจักรกัมพูชาจะได้รับจากการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขง ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งจัดลำดับความสำคัญร่างกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบตามแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๗-ตุลาคม ๒๕๕๘) จำนวน ๑๖๓ ฉบับ พร้อมแสดงเหตุผลความจำเป็นและกรอบเวลาให้ชัดเจน แล้วส่งให้กระทรวงยุติธรรมเพื่อรวบรวม และรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายในสัปดาห์หน้า ๔.๒ ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการรวบรวมผลการพิจารณาคดีขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เช่น ความมั่นคง ยาเสพติด อาวุธสงคราม โดยให้รวบรวมจำนวนคดีความที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จำนวนคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ และจำนวนคดีที่พิจารณาเสร็จสิ้น แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีทราบต่อไป ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำรวจข้อมูลการดำเนินงานตามความรับผิดชอบของทุกส่วนราชการและเชื่อมโยงข้อมูลให้ทุกส่วนราชการสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ เช่น การเชื่อมโยงข้อมูลการบริหารจัดการน้ำระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๕.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เร่งสรุปผลการดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการที่ปัจจุบันให้บริษัทจากเอกชนเป็นผู้ประเมิน ซึ่งภาคเอกชนอาจขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของส่วนราชการ เพื่อให้การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงภารกิจและการปฏิบัติงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ให้เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการมากยิ่งขึ้น รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๕.๓ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึงให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||
| 2303 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในของกระทรวงคมนาคม รวม 6 ฉบับ | คค | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในของกระทรวงคมนาคม รวม ๖ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการในสังกัดกระทรวงคมนาคมให้เหมาะสมกับภารกิจและบริบทของหน้าที่ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงรวม ๖ ฉบับดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ๕. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ๖. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... |
|||||||||||||||
| 2304 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2554 - 2556 และการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน | กค | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔-๒๕๕๖ โดยในปีบัญชี ๒๕๕๔ ปีบัญชี ๒๕๕๕ และปีบัญชี ๒๕๕๖ มีทุนหมุนเวียนเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๘๑ ทุน และ ๙๔ ทุน และ ๙๓ ทุน ตามลำดับ โดยทุนหมุนเวียนในปีบัญชี ๒๕๕๕ เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓ ทุน เนื่องจากเป็นทุนหมุนเวียนที่เริ่มเข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ในปีบัญชี ๒๕๕๕ เป็นปีแรก และทุนหมุนเวียนในปีบัญชี ๒๕๕๖ ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๕ เนื่องจากยุบเลิกการดำเนินงาน จำนวน ๑ ทุน ทั้งนี้ จากการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน โดยในปีบัญชี ๒๕๕๕ ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๖๑๑๖ คะแนน ปรับเพิ่มขึ้น ๐.๐๖๘๕ คะแนน เมื่อเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๔ ที่ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๕๔๓๑ คะแนน ส่วนในปีบัญชี ๒๕๕๖ ได้คะแนนเฉลี่ย ๓.๔๒๖๒ คะแนน ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๕ จำนวน ๐.๑๘๕๔ คะแนน เป็นผลกระทบหลังจากการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดเพิ่มเติมตามมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินของทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งปรากฏว่า ทุนหมุนเวียนส่วนหนึ่งมีการปรับลดคะแนนจากผลรวมด้วยเหตุไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลตามแผนการใช้จ่ายเงินของทุนหมุนเวียนนั้น ๆ ๒. ให้กระทรวงการคลังชะลอการดำเนินการในเรื่องการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนไว้ก่อนจนกว่าจะดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ที่ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยให้วิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกกองทุน ให้แล้วเสร็จก่อน |
|||||||||||||||
| 2305 | ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ เพื่อให้การใช้บังคับมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งกำหนดให้ตำแหน่งตุลาการพระธรรมนูญและอัยการทหารได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งตุลาการพระธรรมนูญและอัยการทหาร ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ เพื่อกำหนดแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนหรือเงินเพิ่มค่าครองชีพของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญให้เกิดความเป็นธรรม เท่าเทียมกัน และยึดโยงกันอย่างเหมาะสมต่อไป ๓. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งของตุลาการพระธรรมนูญและอัยการทหาร ให้กระทรวงกลาโหมไปพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมโดยถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงกลาโหมขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามประมาณการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป |
|||||||||||||||
| 2306 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวม 12 ฉบับ | กษ | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวม ๑๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการภายในกรมให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงทั้ง ๑๒ ฉบับดังกล่าว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๕. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๖. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๗. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๘. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๙. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑๐. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๑๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ๑๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... |
|||||||||||||||
| 2307 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2558 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขอผ่อนผันการดำเนินการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ๑.๒ การเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๒,๗๓๒.๖๖๔ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ของ ขสมก. จำนวน ๑,๙๖๗.๓๒๒ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) และข้อ ๑๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ส่วนเรื่องงบประมาณให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ รฟท. และ ขสมก. กู้เงินเพื่อเป็นเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตามกรอบวงเงินที่เสนอ โดยรัฐรับภาระหนี้และให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันการกู้เงิน ตลอดจนพิจารณาวิธีการกู้เงิน รายละเอียดและเงื่อนไขในการกู้เงินดังกล่าว หรือขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งรัดการปิดบัญชีให้เป็นปัจจุบันโดยเร็วเพื่อให้การจัดทำค่าใช้จ่ายมีความชัดเจนและเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี รวมทั้งให้ รฟท. และ ขสมก. เร่งรัดการลงทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่เกี่ยวกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและมีความสะดวกปลอดภัยมากขึ้น ตลอดจนให้มีการประเมินผลความพึงพอใจของประชาชนที่ใช้บริการและประเมินผลความคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับจากสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยอมรับทางสังคมว่าควรจะมีการให้บริการต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 2308 | ผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการ (ระหว่างวันที่ 26 - 27 พฤศจิกายน 2557) | กต | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) อย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ได้แก่ ๑.๑.๑ ภาพรวมความสัมพันธ์ ที่ไทยพร้อมจะให้ความสนับสนุนการพัฒนาของลาว และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ ๖๕ ปีความสัมพันธ์ทางการทูต และครบรอบ ๒๐ ปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนลาวทุกปี ๑.๑.๒ ด้านเศรษฐกิจ ที่มีการพัฒนาพื้นที่ชายแดน การค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว พลังงาน ตลาดทุน การเชื่อมโยงในภูมิภาคและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แรงงาน และการส่งเสริมสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ๑.๑.๓ ด้านความมั่นคง ที่มีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน การยกระดับจุดผ่านแดน และการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ด้านการกงสุล ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และการพบหารือนักธุรกิจไทยในลาว ๑.๒ การดำเนินการในประเด็นที่มีความเร่งด่วนที่ต้องปฏิบัติในโอกาสแรก ได้แก่ ๑.๒.๑ มอบหมายกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่องการหารือกับฝ่ายลาว จีน และเวียดนามเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎระเบียบการขนส่งบนเส้นทางสำคัญ ๆ ที่ผ่านลาว ๑.๒.๒ มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการหารือกับฝ่ายลาวเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนของไทยในลาว โดยเฉพาะการปรับกฎระเบียบและขั้นตอนการลงทุน ๑.๒.๓ มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับฝ่ายลาวเพื่อประสานงานและขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร-สะหวัน-เซโน ให้สอดคล้องและเกื้อหนุนกันและกัน ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษรับไปพิจารณาดำเนินการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดหนองคายเพิ่มเติมในปี ๒๕๕๘ ด้วย
|
|||||||||||||||
| 2309 | ส่งรายงานของรองนายกรัฐมนตรีเรื่อง ข้อมูลของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ (ข้อมูลของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ) | นร | 02/12/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและกองทุนอื่น ๆ จำนวน ๑๒๑ กองทุน จำแนกเป็นกองทุนด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๑๔ กองทุน กองทุนด้านการพัฒนาคน ๖๐ กองทุน และกองทุนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ จำนวน ๔๗ กองทุน โดยในปีบัญชี ๒๕๕๖ กรมบัญชีกลางได้ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ใน ๔ ด้าน คือ ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน พบว่า กองทุนที่มีผลการประเมินสูงสุด ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันวินาศภัย กองทุนประกันสังคม และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำหรับกองทุนที่มีผลการประเมินต่ำสุด ได้แก่ เงินทุนหมุนเวียนดำเนินการโครงการผลิตถ่านหินเป็นพลังงานทดแทน เงินทุนหมุนเวียนข่าวสารการพาณิชย์ เงินทุนหมุนเวียนโรงงานฟอกหนัง กองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ ๒. โดยที่เดิมคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) มอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยให้วิเคราะห์และเสนอแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกกองทุนต่าง ๆ ไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ครอบคลุมทั้งกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ของภาครัฐที่มีอยู่ทั้งหมด คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อไป โดยให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ของภาครัฐที่มีอยู่ทั้งหมดให้ครบถ้วน และจัดกลุ่ม วิเคราะห์ผลการดำเนินการ ประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับ และแนวทางการปรับปรุงหรือยุบเลิกกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนที่หมดความจำเป็น รวมทั้งให้จัดทำตัวชี้วัดของกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์และผลสัมฤทธิ์ของการจัดตั้งกองทุนและเงินทุนหมุนเวียนดังกล่าว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่กระทรวงการคลังด้วย
|
|||||||||||||||
| 2310 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ | 25/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ปรับเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมโค เพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ ๑.๐๐ บาท (จากเดิมราคา ๑๘.๐๐ บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็น ๑๙.๐๐ บาท/กิโลกรัม) ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้ ๑.๒ ปรับราคากลางนมโรงเรียน เพิ่มขึ้นจากราคากลางเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้นถุงหรือกล่องละ ๐.๒๑ บาท ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยนมพาสเจอร์ไรส์ จากเดิมราคา ๖.๓๗ บาท/ถุง เป็นราคา ๖.๕๘ บาท/ถุง นม ยู.เอช.ที ชนิดกล่อง จากเดิมราคา ๗.๖๑ บาท/กล่อง เป็นราคา ๗.๘๒ บาท/กล่อง และชนิดซอง จากเดิมราคา ๗.๕๑ บาท/ซอง เป็นราคา ๗.๗๒ บาท/ซอง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของนมโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ และเห็นควรให้พัฒนาศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบทุกแห่งผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมทั้งในด้านคุณภาพและการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมโคนมกับต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาแนวทางการดำเนินการของสหกรณ์โคนมของประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ เพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการเกษตรและการจัดการเกษตร โดยเฉพาะด้านการบริหารสหกรณ์การเกษตรและการปศุสัตว์ ตลอดจนความร่วมมือและสนับสนุนงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์สำหรับการดำเนินการอุตสาหกรรมโคนมของประเทศไทยต่อไป |
|||||||||||||||
| 2311 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา พ.ศ. .... | อก | 25/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงอุตสาหกรรมยกเว้นค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานที่โรงงานตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา รวม ๕ ปี โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงงานเป็นเวลา ๕ ปี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแผนงาน/โครงการ โดยมุ่งเน้นแนวทางหรือมาตรการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ กลุ่มพลังงานทดแทน กลุ่มอาหารและสินค้าเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ (SMEs) ในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับปรุงคุณภาพ/ประสิทธิภาพแรงงาน การปรับปรุงเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และการบริหารจัดการพลังงานเพื่อลดต้นทุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||
| 2312 | แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) | กค | 25/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังนำแนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Bidding : e-bidding) ไปดำเนินการในลักษณะของโครงการนำร่องในระยะแรก และให้มีการประเมินผล หากมีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขระเบียบที่เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับวันเริ่มบังคับใช้แนวทางปฏิบัตินี้ ควรปรับให้เป็นปัจจุบัน เป็น “ให้แนวทางปฏิบัตินี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัตินี้ถึงก่อนวันที่มีการปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม...” ส่วนการแจ้งหรือประกาศมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดแนวทางปฏิบัติให้แก่ส่วนราชการในการจัดหาพัสดุด้วยวิธีตลาดอิเล็กทรอนิกส์และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ควรดำเนินการในรูปแบบประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้โดยทั่วกัน รวมทั้งการกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนแนวทางปฏิบัตินี้ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีบทกำหนดโทษไว้ เพราะการไม่ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวย่อมเป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรีอันถือเป็นการกระทำผิดวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการจัดทำข้อมูลรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโดยเฉพาะราคากลางและการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้กระทรวงการคลังหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดรายละเอียดคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการที่มีความซ้ำซ้อนหรือมีเทคนิคเฉพาะให้มีความชัดเจนสำหรับใช้ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่เป็นไปตามความต้องการของหน่วยงานทั้งในด้านคุณภาพ ราคา และบริการที่ถูกต้องด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง) ที่มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปดำเนินการแก้ไขปัญหาความล่าช้าในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างในกระบวนการการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) การประกาศราคากลางสำหรับกรณีเฉพาะที่ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||
| 2313 | สรุปผลการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 12 (COP12) ณ เมืองพยองชาง สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 25/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๒ (The Twelfth Conference of the Parties to the Convention on Biological Diversity : COP12) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรี (High Level Segment) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ เมืองพยองชาง สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๒ สมัชชาภาคีอนุสัญญาฯ เน้นการหารือในประเด็นหลักเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยที่ประชุมได้ให้การรับรองข้อตัดสินใจและมีมติในประเด็นสำคัญ เช่น การนำเสนอรายงานโลกทรรศน์ความหลากหลายทางชีวภาพ ฉบับที่ ๔ การปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างและกระบวนการภายใต้อนุสัญญาฯ และพิธีสารของอนุสัญญาฯ การทบทวนความก้าวหน้าในการให้การสนับสนุนการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาฯ และแผนกลยุทธ์ของอนุสัญญาฯ ค.ศ. ๒๐๑๑-๒๐๒๐ การสนับสนุนเพื่อการบรรลุเป้าประสงค์การพัฒนาแห่งสหัสวรรษและวาระการพัฒนาและการพัฒนาที่ยั่งยืนภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ การขับเคลื่อนทรัพยากร กลไกการเงิน และชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ทั้งนี้ คณะผู้แทนไทยได้นำเสนอความเห็นและท่าทีของประเทศในประเด็นต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนให้เพิ่มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ช่องทาง และวิธีการในการติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน และเอื้อให้สาธารณชนสามารถมีส่วนร่วมในงานวิจัย การติดตาม และการแจ้งเตือน การเรียกร้องให้มีการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการเสริมสร้างสมรรถนะในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุแผนกลยุทธ์อนุสัญญาฯ และเป้าหมายไอจิ (Aichi Targets) รวมถึงการเรียกร้องให้ภาคเอกชนสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในเรื่องแผนสนับสนุนทางการเงินร่วม (co-financing scheme) เป็นต้น ซึ่งความเห็นและท่าทีของประเทศไทยดังกล่าวได้ถูกบรรจุเป็นข้อตัดสินใจของสมัชชาภาคีอนุสัญญาภายใต้วาระต่าง ๆ แล้ว ๑.๒ การประชุมระดับรัฐมนตรีในระหว่างการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๑๒ เป็นการจัดประชุมร่วมและเปิดโอกาสให้ผู้แทนแต่ละประเทศได้แสดงความเห็นภายใต้หัวข้อที่สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีกำหนด ได้มีการรับรองในประเด็นที่สำคัญเรื่อง ปฏิญญากังวอน เพื่อยืนยันถึงความสำคัญของการดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ฯ และเป้าหมายไอจิ กับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และวาระหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ และเรื่องข้อตกลงเรื่องแผนยุทธศาสตร์พยองชาง ในการนี้ผู้แทนรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของอาเซียนได้กล่าวแถลงการณ์แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของชาติสมาชิกอาเซียนในประเด็นที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งคณะผู้แทนไทยได้ให้การรับรองปฏิญญากังวอน และเห็นชอบกับร่างแถลงการณ์ของอาเซียน รวมทั้งเสนอท่าทีและประเด็นแลกเปลี่ยนในระหว่างการประชุมดังกล่าว ๒. เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||
| 2314 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวังสมบูรณ์ อำเภอวังสมบูรณ์ ตำบลคลองไก่เถื่อน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว และตำบลทุ่งขนาน ตำบลทับช้าง ตำบลปะตง ตำบลสะตอน ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว ตำบลหนองตาคง ตำบลเทพนิมิต ตำบลทับไทร ตำบลโป่งน้ำร้อน ตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 25/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวังสมบูรณ์ อำเภอวังสมบูรณ์ ตำบลคลองไก่เถื่อน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว และตำบลทุ่งขนาน ตำบลทับช้าง ตำบลปะตง ตำบลสะตอน ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว ตำบลหนองตาคง ตำบลเทพนิติ ตำบลทับไทร ตำบลโป่งน้ำร้อน ตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลวังสมบูรณ์ อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดปราจีนบุรี ตำบลทุ่งขนาน ตำบลทับช้าง ตำบลปะตง ตำบลสะตอน ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว ตำบลหนองตาคง ตำบลทับไทร ตำบลเทพนิมิต ตำบลโป่งน้ำร้อน และตำบลคลองใหญ่ อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๖ เพื่อกันเขตเทศบาลตำบลโป่งน้ำร้อนและเทศบาลตำบลทรายขาว ที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมิได้ส่งมอบให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมดำเนินการปฏิรูปที่ดินออกจากเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||
| 2315 | ร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... | พม | 25/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยหอพักเดิม โดยกำหนดแนวทางและวิธีการกำกับดูแลการประกอบกิจการหอพักให้เหมาะสมกับสภาพสังคมในปัจจุบันให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนที่อยู่ระหว่างการศึกษา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และปรับแก้ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับในปัจจุบันแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา โดยให้แก้ไขร่างพระราชบัญญัตินี้ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลธุรกิจโรงแรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กและเกสต์เฮาส์ เพื่อป้องกันปัญหาอาชญากรรมที่อาจมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว |
|||||||||||||||
| 2316 | การปรับปรุงโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2557/58 ของ ธ.ก.ส. | พณ | 25/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ปรับเพิ่มปริมาณเป้าหมายโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อีกจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ตัน จากเดิม ๑,๕๐๐,๐๐๐ ตัน รวมเป็น ๒,๐๐๐,๐๐๐ ตัน และอนุมัติวงเงินชดเชยดอกเบี้ย ค่าเช่า และค่าเก็บรักษาข้าวเปลือก ค่าบริหารสินเชื่อ และค่าใช้จ่ายในการส่งมอบข้าวคิดเป็นวงเงิน จำนวน ๒,๗๙๖.๐๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้ ธ.ก.ส. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว งบรายจ่ายอื่น รายการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยโครงการสินเชื่อที่ชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ ๓๙๒.๙๕๐๗ ล้านบาท สำหรับส่วนที่เหลือให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามตรวจสอบปริมาณและคุณภาพของข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ พร้อมทั้งตรวจสอบติดตามและกำกับดูแลการเก็บรักษาข้าวเปลือกของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรอย่างใกล้ชิด และให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวจัดทำแผนปฏิบัติการในการระบายข้าวเปลือกโดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางอย่างชัดเจน และพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานของทางราชการ นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงาน ได้แก่ ยุ้งฉางของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร และความพร้อมของบุคลากรในการติดตามตรวจสอบและกำกับดูแลปริมาณและคุณภาพข้าวเปลือกในยุ้งฉางของเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตรที่เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและการรักษาวินัยการเงินการคลังของเกษตรกร การเตรียมมาตรการรองรับไว้ล่วงหน้าในกรณีที่ระยะเวลาโครงการฯ ครบกำหนดแล้ว แต่ราคาตลาดไม่สูงกว่าราคาที่ให้สินเชื่อ และในระยะยาวควรเน้นการผลิตข้าวคุณภาพดีตามท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังนำมติของคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเพื่อพิจารณาหาข้อสรุปก่อนที่จะนำมาเป็นข้อทักท้วงในการประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน ระเบียบ ข้อกฎหมาย และตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ด้วย |
|||||||||||||||
| 2317 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2556 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 18/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานที่สำคัญ ประกอบด้วย การจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม การส่งเสริมและประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม การศึกษา วิจัย และพัฒนากฎหมายและระบบงานยุติธรรม การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้สู่สังคม และการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม ๒. สถิติประเภทเรื่องที่เข้าสู่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย ๒.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา เช่น เรื่อง โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และการนำเสนอแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานในการเตรียมความพร้อมและรองรับการจัดตั้งศาลชั้นต้นและแผนกคดีในศาลยุติธรรม เรื่อง แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติตามนโยบายรัฐบาล และเรื่อง ร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ ร้อยละ ๔๓ ๒.๒ เรื่องเพื่อทราบ เช่น เรื่อง ความคืบหน้าในการจัดทำร่างแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ และร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ เรื่อง รายงานข้อมูลผลการสำรวจสถิติอาชญากรรมในภาคประชาชนปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง การปรับปรุงและแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และเรื่อง โครงการสำรวจข้อมูลการกระทำผิดซ้ำของผู้ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เป็นต้น ร้อยละ ๕๗ ๓. รายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ประกอบด้วย ด้านภารกิจ งานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ด้านการจัดทำแผนและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารงานยุติธรรม ด้านการศึกษาวิจัยและพัฒนากฎหมายและระบบงานยุติธรรม ด้านการส่งเสริมและประสานความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการบริหารงานยุติธรรม ด้านการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้สู่สังคม และด้านพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม งบประมาณรายจ่ายรวมทั้งสิ้น ๘๒,๘๗๑,๗๕๐.๗๘ บาท
|
|||||||||||||||
| 2318 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี 2556 | ศป | 18/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ประจำปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ๕ ยุทธศาสตร์ ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองให้เป็นที่เชื่อมั่นแก่สังคมไทย ได้เสริมสร้างมาตรฐานการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองที่รวดเร็วและมีคุณภาพ ตลอดจนเสริมสร้างระบบการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้มีประสิทธิผล ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาหลักกฎหมายและองค์ความรู้เพื่อให้เป็นศูนย์กลางวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่เป็นที่ยอมรับ ได้จัดทำองค์ความรู้ด้านกฎหมายมหาชนเพื่อเผยแพร่แก่ตุลาการศาลปกครองและข้าราชการฝ่ายปกครอง เช่น คำแปลคำพิพากษาของต่างประเทศ งานวิจัย เป็นต้น และได้พัฒนาการให้บริการของหอสมุดกฎหมายมหาชน ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีให้แก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ส่งเสริมโอกาสการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองของประชาชน เช่น กิจกรรมศาลปกครองพบประชาชนและเสริมสร้างเครือข่ายด้านสื่อมวลชน กิจกรรมศาลปกครองของประชาชนในเวทีสื่อมวลชน เป็นต้น และได้เสริมสร้างการปฏิบัติราชการที่ดีแก่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น จัดโครงการอบรมหลักสูตรนักบริหารการยุติธรรมทางปกครองระดับสูง โครงการอบรมหลักสูตรกฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองตามมาตรฐานที่คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองรับรอง เป็นต้น ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อมุ่งสู่องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง ได้ดำเนินการปรับปรุงภารกิจ โครงสร้าง และอัตรากำลังของสำนักงานศาลปกครอง ตลอดจนได้เสริมสร้างความเชี่ยวชาญและขีดสมรรถนะของบุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ พัฒนาระบบบริหารจัดการองค์การเพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติภารกิจของศาลปกครอง ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติงานระดับหน่วยงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานจัดทำแนวทางการยกระดับขีดความสามารถในการทำงานและคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานในสำนักงานศาลปกครองให้อยู่ในระดับสูง เพิ่มประสิทธิภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้สามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานตามภารกิจของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองและรองรับการพัฒนาองค์การในอนาคต ตลอดจนเสริมสร้างประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ การบริหารทรัพย์สิน การคลัง และการตรวจสอบ ๒. การรายงานผลการปฏิบัติงานดังกล่าว สมควรนำไปสื่อสารให้กับประชาชนอีกทางหนึ่งเพื่อสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ดีต่อศาลปกครอง และสามารถนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชนที่เป็นประโยชน์มาปรับปรุงพัฒนาคุณภาพการให้บริการของศาลปกครองในทุกด้านด้วย
|
|||||||||||||||
| 2319 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในกระบวนการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง | ปช | 18/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในกระบวนการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๙ (๑๑) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการเร่งด่วน ๑.๑.๑ การกำหนดนโยบายบริหาร (แผนงาน/โครงการ/งบประมาณ/บุคลากร) โดยกำหนดให้การคุ้มครองป้องกันไม้พะยูงเป็นวาระแห่งชาติ การจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับการคุ้มครองและอนุรักษ์ไม้พะยูง การกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีไม้พะยูงอยู่ในเขตพื้นที่เร่งรัดจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงอย่างจริงจัง สำรวจและจัดทำแผนที่แสดงที่ตั้งและจำนวนของไม้พะยูงทั้งที่อยู่ในที่ดินของรัฐและในที่ดินเอกชนโดยวิธีการและเทคโนโลยีที่เหมาะสม การกำหนดให้ไม้พะยูงเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข การจัดหาเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากแม่ไม้ที่ผ่านการคัดเลือกว่าเป็นพันธุ์ที่ดีเพื่อให้ได้กล้าไม้พะยูงที่มีคุณภาพ และการกำหนดมาตรการสร้างแนวร่วมและเครือข่ายพิทักษ์ป่า ปลูกจิตสำนึก และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ๑.๑.๒ การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยการเร่งเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้านให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าห้ามผ่านแดน และการจัดเจรจา (ระดับทวิภาคี) หรือจัดประชุมระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศที่มีความต้องการไม้พะยูง หรือเกี่ยวข้องกับตลาดการค้าไม้พะยูง เพื่อหารือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และการผลักดันให้ไม้พะยูงอยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (CITES) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย และการค้าระหว่างประเทศ ๑.๑.๓ การกำกับติดตามและดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยการรับคดีการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงเป็นคดีพิเศษ การสอบสวนการกระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการกระทำความผิดในคดีลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงทุกคดีเป็นกรณีพิเศษ การจัดทำฐานข้อมูลของผู้กระทำความผิด รายการไม้ของกลาง และอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอย่างเป็นระบบ การกำหนดแนวทางปฏิบัติในการดำเนินคดีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง การริบอุปกรณ์ เครื่องมือ ยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดของขบวนการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง การกำหนดมาตรการลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิด ร่วมกระทำความผิด มีส่วนรู้เห็นเป็นใจ หรือให้การสนับสนุนในคดีความผิดที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง รวมทั้งการให้สินบนและรางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสนำจับ และผู้ที่ทำการจับกุมผู้กระทำความผิดในกระบวนการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง ๑.๒ มาตรการระยะยาว ได้แก่ การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการไม้พะยูงที่เป็นไม้ของกลางที่ได้มาจากการกระทำความผิดให้ชัดเจน โดยไม่ต้องก่อให้เกิดวงจรของการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงอีกต่อไป รวมทั้งการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้ทันสมัยและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยพิจารณาเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงให้เทียบเคียงกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ๒. รับทราบคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชุมหารือกำหนดวิธีการและแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
|
|||||||||||||||
| 2320 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 18/11/2557 | ||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อย โดยยกเลิกข้อยกเว้นที่เคยให้แก่ชุมนุมสหกรณ์จากเดิมไม่ต้องมีคุณสมบัติเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกและปริมาณอ้อยตามที่ระเบียบกำหนดก็สามารถยื่นขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยได้ เป็นให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน และแก้ไขระยะเวลาการยื่นขอ และเปิดรับจดทะเบียนจากทุก ๒ ปี เป็น ทุกปี ภายหลังจากสิ้นสุดฤดูการหีบอ้อยของทุกโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงอุตสาหกรรมไปหารือในเรื่องคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยนั้น ยังมีสหกรณ์ชาวไร่อ้อยอยู่เป็นจำนวนมากที่มีจำนวนสมาชิกน้อยกว่า ๖๐๐ คน ซึ่งหากร่างระเบียบนี้มีผลใช้บังคับจะทำให้สหกรณ์ที่มีสมาชิกน้อยกว่า ๖๐๐ คน ไม่สามารถจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยได้ จะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเรื่องการจำหน่ายอ้อยให้แก่โรงงานน้ำตาลได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกของสหกรณ์ดังกล่าวตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และหากได้ข้อยุติโดยไม่มีการแก้ไขหลักการของร่างระเบียบในเรื่องนี้ ให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรพิจารณาทบทวนประเด็นการยกเลิกการรายงานจำนวนพื้นที่ปลูกอ้อยและปริมาณอ้อยของสมาชิกสถาบันชาวไร่อ้อยต่อนายทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอ้อยและน้ำตาลทรายภายในประเทศที่เหมาะสม และควรเผยแพร่ข้อมูลและสร้างความเข้าใจให้กับผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อย รวมทั้งควรกำหนดแนวทางในการสนับสนุนให้สถาบันชาวไร่อ้อยมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเกษตรกร โรงงานน้ำตาลทราย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานภาครัฐ ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทั้งด้านพันธุ์อ้อย เครื่องจักรกลทางการเกษตร และระบบชลประทาน และเตรียมความพร้อมของเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมในการลดพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมไปปลูกอ้อยโรงงานทดแทน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ แต่หากต้องมีการปรับปรุงคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยต่างไปจากหลักการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||
.....
