ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 111 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 2201 - 2220 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2201 | รายงานผลการดำเนินงานประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน - 2 กันยายน 2557) ของกระทรวงแรงงาน | รง | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน-๒ กันยายน ๒๕๕๗) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการภายใต้มาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มีการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านแรงงานอย่างเป็นระบบ ได้แก่ การจัดระเบียบบริษัทจัดหางาน สาย/นายหน้า การจัดระเบียบแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว การลดค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว การจัดระเบียบเรือประมงและแรงงานภาคประมง การตรวจป้องปรามเพื่อลดความเสี่ยงการค้ามนุษย์ การเพิ่มความพยายามในการระบุเหยื่อค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การยกระดับการคุ้มครองแรงงาน การส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และการอบรม/ประชุม/สัมมนา ๒. การดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการภายใต้คณะอนุกรรมการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ด้านแรงงาน สาธารณสุข และความมั่นคง ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ แนวทางการจัดระบบแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ แนวทางการฝึกอบรมฝีมือแรงงานไทยบริเวณชายแดนและแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการดำเนินงานสนับสนุนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2202 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายโดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้มีความสอดคล้องกับแนวทางและหลักการการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2203 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 | กค | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับแนวทางในการปฏิรูปทุนหมุนเวียนในกรณีที่จะต้องดำเนินการปรับปรุง พัฒนา ยุบรวม หรือยุบเลิกกองทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางได้จัดทำกรอบในการจัดทำ “แผนปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงาน ระยะเวลา ๓ ปี” ของกองทุนหมุนเวียนที่อยู่ในข่าย “ปรับปรุง/พัฒนา” และจัดทำ “แผนทบทวนและฟื้นฟูประสิทธิภาพการดำเนินงาน ระยะเวลา ๑ ปี” ของทุนหมุนเวียนที่อยู่ในข่าย “ไม่ผ่าน” โดยเทียบเคียงกับการจัดทำแผนฟื้นฟูของรัฐวิสาหกิจ ๒. จัดประชุมหัวหน้าหน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียน จำนวน ๓๐ ทุน เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการนำเงินของทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและวิธีการ คือ ๒.๑ หน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียนจัดทำแผนปฏิบัติการฯ จำแนกตามลักษณะของกรณีเป็นเงินฝากที่กระทรวงการคลัง หรือเงินฝากประเภทออมทรัพย์ในธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ให้นำส่งเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดินภายในสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ และกรณีเป็นเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ประเภทประจำ หรือลงทุนในตราสารทางการเงิน ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินภายใน ๕ วันทำการ นับจากวันที่ครบกำหนดของเงินฝากประจำหรือวันครบกำหนดไถ่ถอนตราสารทางการเงิน ทั้งนี้ ให้นำส่งจนครบวงเงินที่ต้องนำส่งตามมติคณะรัฐมนตรีของแต่ละทุนหมุนเวียน ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ๒.๒ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีหนังสือสั่งการไปยังหัวหน้าหน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียนให้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ๒.๓ หน่วยงานเจ้าของทุนหมุนเวียนจัดส่งรายงานผลการนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามแบบที่กรมบัญชีกลางกำหนด ๓. สรุปผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ณ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มีทุนหมุนเวียนที่นำส่งตามแผนปฏิบัติการฯ จำนวน ๒๙ ทุน โดยมีประเด็นรอความชัดเจนในข้อกฎหมาย ๑ ทุน ได้แก่ กองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า ยอดเงินเรียกนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน รวม ๒๘,๑๐๗.๑๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2204 | การจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา | รง | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการจัดระบบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา หลังวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ดำเนินการกับแรงงานต่างด้าว จำนวน ๔ กลุ่ม ๑.๑.๑ กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการตรวจสัญชาติแล้ว ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ จะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและอนุญาตทำงาน จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ เนื่องจากแรงงานกลุ่มนี้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนด โดยอนุญาตให้ทำงานต่อได้อีกไม่เกิน ๒ ปี หลังสิ้นสุดการอนุญาต ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ แล้ว เมื่อครบกำหนดแรงงานกลุ่มนี้ต้องเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักร และสามารถกลับเข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ตาม MOU) ได้ในโอกาสต่อไป ๑.๑.๒ กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถือใบอนุญาตทำงานที่ออกให้ ณ ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ที่ยังไม่ได้เข้ารับการตรวจสัญชาติ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ให้มารายงานตัวเพื่อขอรับบัตรใหม่ ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ และขอรับใบอนุญาตทำงาน ซึ่งแรงงานต่างด้าวดังกล่าวจะได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เป็นเวลา ๑ ปี และได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสัญชาติให้แล้วเสร็จ เมื่อผ่านการตรวจสัญชาติแล้วจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และอนุญาตทำงานต่อไปอีก ๒ ปี ๑.๑.๓ กลุ่มที่ไม่มารายงานตัวเพื่อขอรับบัตรใหม่ และขออนุญาตทำงาน ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ให้ดำเนินการตรวจสอบ ติดตาม จับกุม และผลักดันส่งกลับตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๑.๑.๔ กลุ่มผู้ติดตาม ให้ผู้ติดตามมารายงานตัวเพื่อขอรับบัตรใหม่พร้อมกับแรงงานต่างด้าว ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ผู้ติดตามที่มารายงานตัวจะมีสิทธิอยู่ในราชอาณาจักรเช่นเดียวกับแรงงานต่างด้าวตามข้อ ๑.๑.๑ หรือ ๑.๑.๒ แล้วแต่กรณี สำหรับผู้ติดตามที่ไม่มารายงานตัวจะต้องถูกดำเนินการผลักดันพร้อมแรงงานต่างด้าวตามข้อ ๑.๑.๓ ๑.๒ การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเล ๑.๒.๑ การแก้ไขปัญหาระยะสั้นโดยการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงทะเล ให้ดำเนินการผ่อนผันแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ (จดทะเบียนปีละ ๒ ครั้ง) และให้นายจ้างยื่นแบบแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว และให้นำแรงงานต่างด้าวไปทำทะเบียนประวัติ ตรวจสุขภาพ ประกันสุขภาพ และขออนุญาตทำงาน ๒๕๕๘ ณ ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ในพื้นที่จังหวัดชายทะเล ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ๑.๒.๒ การแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยการนำเข้าแรงงานประมงต่างด้าวถูกกฎหมายตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๗ ขั้นตอน ได้แก่ (๑) การลงทะเบียนแรงงาน นายจ้าง และรวบรวมความต้องการแรงงานประมง (๒) การรับสมัครแรงงานไทยและการอนุมัตินำเข้าแรงงานต่างด้าว (๓) การคัดเลือกบริษัทจัดหางานที่ถูกกฎหมายกรณีนำเข้าแรงงานต่างด้าว (๔) การนำเข้าแรงงานต่างด้าว สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยในฐานะตัวแทนสมาชิก หรือนายจ้างประมง ประสานการดำเนินงานกับบริษัทจัดหางาน (๕) การดูแลแรงงานประมงก่อนลงเรือ โดยการปฐมนิเทศ ชี้แจงข้อปฏิบัติให้แรงงานทราบ (๖) การควบคุมตรวจติดตามเรือประมงและแรงงานบนเรือ และ (๗) การลงโทษหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการได้ตามความเหมาะสม สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ๑.๓ การปรับปรุงบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการจ้างแรงงานระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชา ให้กระทรวงแรงงานขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการปรับปรุงบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะการปรับระยะเวลาการกลับเข้าทำงานใหม่ของแรงงานต่างด้าวหลังทำงานครบกำหนด ๔ ปี จากเดิมกำหนดไว้ ๓ ปี ลดลงเหลือ ๓๐ วัน เพื่อความต่อเนื่องของการทำงานและสอดคล้องกับระยะเวลาการเตรียมการจัดทำเอกสารเพื่อกลับเข้ามาทำงานใหม่ รวมทั้งแรงงานได้กลับไปเพื่อพักผ่อนอยู่กับครอบครัวหลังจากเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพและออกใบรับรองแพทย์ ให้ดำเนินการโดยหน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และให้มีมาตรการบังคับในการซื้อบัตรสุขภาพแรงงานต่างด้าวควบคู่ไปกับการตรวจสัญชาติ เพื่อการออกใบอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และใบอนุญาตทำงานตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งกำหนดหน่วยประสานข้อมูลบุคคลที่ถูกต้อง รวดเร็ว เพื่อใช้ในการดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดรายละเอียดการพัฒนาระบบและดำเนินงานด้านการตรวจสุขภาพและการประกันสุขภาพคนต่างด้าวทั้งระบบ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานพิจารณากำหนดมาตรการในการจัดระบบแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนให้ครบถ้วนและเป็นระบบ โดยให้ครอบคลุมถึงแรงงานสัญชาติเวียดนาม บังกลาเทศ เนปาล และชาวไทยภูเขา เป็นต้น เพื่อให้การจัดระบบแรงงานต่างด้าวมีประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทั้งนี้ ให้ประสานงานกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานความก้าวหน้าในเรื่องนี้สำหรับนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดทำรายงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้ต่างประเทศทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2205 | การปรับปรุงการปฏิบัติราชการและหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ของสำนักงบประมาณ | นร07 | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงการปฏิบัติราชการและหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงการดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๑ ให้หัวหน้าส่วนราชการ/ผู้ว่าราชการจังหวัด สามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินรายการค่าที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกันได้ รวมถึงให้แก้ไขข้อความที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนให้ถูกต้องได้ โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๑.๒ ให้ส่วนราชการเร่งรัดจัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยงานภูมิภาคภายใน ๓ วันทำการ ๑.๓ ให้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น/ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจอนุมัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการได้ โดยอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิม และไม่เป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของรายการ สำหรับกรณีเปลี่ยนวัตถุประสงค์ให้ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณฯ ๑.๔ กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการฯ/ผู้ว่าราชการจังหวัด โอนงบประมาณไปสมทบรายการค่าครุภัณฑ์/ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างเกินกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับ ได้อีกไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร ๒. การปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๑ กำหนดให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาควบคู่ไปกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ ๒.๒ ให้ส่วนราชการฯ สามารถเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ซึ่งกระทบต่อวัตถุประสงค์ของรายการภายในเขตพื้นที่จังหวัดเดียวกันได้โดยไม่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ๓. ให้ส่วนราชการฯ ขอทำความตกลงแบบรูปรายการมาตรฐานสิ่งก่อสร้างที่กำหนดขึ้นเฉพาะหน่วยงาน กับสำนักงบประมาณให้เป็นปัจจุบัน ๔. การเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณที่กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี ให้ส่วนราชการฯ ดำเนินการตามแนวทางข้อ ๑ และข้อ ๒ โดยอนุโลม ๕. การเร่งรัดขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย การพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ การพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง การพิจารณาความเหมาะสมของราคารายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ การพิจารณาอนุมัติโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณ จัดสรรงบประมาณตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2206 | การเดินทางไปศึกษาดูงาน ประชุม สัมมนา อบรม ณ ต่างประเทศ | นร | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเดินทางไปศึกษาดูงาน การจัดประชุม อบรม สัมมนาในต่างประเทศ ดังนี้
๑. ให้หัวหน้าส่วนราชการ (กระทรวง/กรม) หรือเทียบเท่า ผู้บริหารของส่วนราชการทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลที่รัฐถือหุ้น งดเว้นการเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ยกเว้นกรณีเข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนาตามพันธกรณี ข้อตกลงระหว่างประเทศหรือหลักสูตรการศึกษาที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยหากมีความจำเป็นให้ขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นรายกรณี และให้รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายเดือน ทั้งนี้ ขอความร่วมมือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติปฏิบัติในแนวทางเดียวกันด้วย ๒. หากหน่วยงานเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาดูงาน อบรม หรือสัมมนา ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการศึกษาดูงานภายในประเทศแทน โดยเฉพาะการศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการตามแนวพระราชดำริต่าง ๆ หรือให้พิจารณาเชิญวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาบรรยาย ซึ่งจะได้ประโยชน์และเป็นการประหยัดงบประมาณยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดให้ข้าราชการเดินทางด้วยเครื่องบินในชั้นโดยสาร ดังนี้ ๓.๑ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (อธิบดีหรือเทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการ เอกอัครราชทูต รองปลัดกระทรวง) ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ ให้เดินทางภายในประเทศในชั้นประหยัดและเดินทางต่างประเทศในชั้นธุรกิจ ๓.๒ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ประเภทอำนวยการ ระดับสูง ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ให้เดินทางทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในชั้นประหยัด ทั้งนี้ ในระหว่างที่กระทรวงการคลังดำเนินการปรับปรุงระเบียบฯ ให้ข้าราชการถือปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2207 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาล (คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ได้มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO-Car) นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle-EV Car) ต่อไปด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร ๑.๓ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่ประชาคมอาเซียนด้วยกันนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Website เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญและการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลในเรื่องนี้ รวมทั้งเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน โดยอาจเชื่อมโยง Website ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกลุ่มประเทศ CLMV และให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกับประเทศในกลุ่ม CLMV ตรวจสอบว่ามีความร่วมมือใด ๆ ตามแผนที่จะต้องจัดทำเป็นบันทึกความเข้าใจหรือไม่ แล้วให้ดำเนินการจัดทำเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดเป้าหมายการพัฒนานักเรียน โดยนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จะต้องอ่านออกเขียนได้ และนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องมีวิชาเลือกเป็นวิชาชีพเสริม เพื่อเป็นทางเลือกให้นักเรียนมีโอกาสได้รับรู้ถึงความถนัดของตนเอง โดยให้เริ่มดำเนินการได้ภายใน ๖ เดือน รวมทั้งในการกำหนดหลักสูตรการสอนทุกระดับจะต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศและการพัฒนาในพื้นที่ เช่น การกำหนดหลักสูตรอาชีวะด้านเทคโนโลยีการขนส่ง เพื่อรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดบริเวณเส้นทางที่เป็นจุดตัดทางรถไฟ ด้วยการติดตั้งเครื่องกั้น ป้ายหยุด ป้ายเตือน เนินชะลอความเร็ว ไฟสัญญาณเตือนต่าง ๆ เป็นต้น ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากมีงบประมาณไม่เพียงพอให้ประสานสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความเร่งด่วนและจำเป็นต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟลอดผ่านถนนตามแยกต่าง ๆ ที่มีการจราจรคับคั่ง เช่น บริเวณสี่แยกยมราช เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือจากการใช้แรงงานประมงโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งให้มุ่งเน้นการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์ด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความเหมาะสมของสถานที่ใช้ควบคุมผู้ต้องขังสตรี สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชน สตรี โดยจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ และควรสอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติได้มีมติว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส มีการปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ จึงให้หน่วยงานตระหนักและให้ความสำคัญกับแนวทางข้างต้น หากพบว่ามีการละเว้นการปฏิบัติ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายจนถึงที่สุด ๔.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) สอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้การสนับสนุนการดำเนินการข้างต้นด้วย ๔.๓ ในการแต่งตั้งประธานกรรมการบริหาร รวมถึงผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ และตามที่บัญญัติในกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งพิจารณาระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งควรมีระยะเวลามากกว่า ๑ ปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๔.๔ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) โดยจัดทำข้อมูลในภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินการที่เป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประชาชน หรือทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และแผนการดำเนินการในระยะต่อไป และส่งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) ใช้ในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) และกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน เช่น การเปรียบเทียบค่าจ้างแรงงานในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนแรงงานที่แตกต่างกัน สาเหตุของการส่งออกที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการพัฒนาคนโดยมุ่งสร้างเยาวชนที่รักการอ่านและสามารถวิเคราะห์ได้ การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แนวทางการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ๔.๕ ให้ทุกหน่วยงานส่งเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลดำเนินการ เช่น โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การส่งเสริมการใช้จักรยานในการสัญจร การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย การพัฒนาคูคลอง การแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเพื่อบูรณาการแนวทางการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เช่น การขยายเส้นทางจักรยานริมน้ำ การขยายเส้นทางสัญจรทางน้ำ โดยให้เชื่อมกับเส้นทางบนบก เช่น การสัญจรโดยเรือเล็ก เรือพาย ระหว่างสองฝั่งของเมืองหรือระหว่างเส้นทางที่มีปัญหาการจราจรติดขัดมาก และให้ดำเนินการจัดระเบียบการค้าขายริมทางเท้า โดยอาจจะจัดการค้าขายทางน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งการดูแลความสะอาดของพื้นที่ทางบกและทางน้ำด้วย ๔.๖ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่ใหม่ให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๔.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ร่วมกันพิจารณาประเมินผลการกระจายอำนาจทางการบริหารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมาว่าทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของประเทศมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างไร มีกรณีใดที่ประสบปัญหาและควรปรับปรุงแก้ไข และเสนอแนวทางการปรับปรุงต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2208 | ร่างกฎกระทรวง การขึ้นทะเบียนวัตถุตำรับ พ.ศ. .... | สธ | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง การขึ้นทะเบียนวัตถุตำรับ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนวัตถุตำรับที่มีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ รวมอยู่ด้วย ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. ๒๕๑๘ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2209 | ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 พ.ศ. .... | สธ | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2210 | ขอปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) | ศธ | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ จำนวน ๒ คณะ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ปรับ รองศาสตราจารย์ชนะ กสิภาร์ ออกจากการเป็นกรรมการ เนื่องจากมีปัญหารื่องสุขภาพ ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ ๒. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) ปรับ ศาสตราจารย์อดุล วิเชียรเจริญ ออกจากการเป็นกรรมการ และแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2211 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ | ทก | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้พิจารณายุทธศาสตร์ เป้าหมาย แผนงาน และกิจกรรมภายใต้แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ ดาวเทียมสื่อสาร ที่ประชุมได้พิจารณากรณีการประสานงานความถี่ข่ายสื่อสารดาวเทียมในระดับหน่วยงานอำนวยการ (Administration) และเห็นชอบในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอำนวยการของไทยให้ความเห็นชอบต่อรายงานการประชุมประสานงานความถี่ฯ ซึ่งเป็นการประชุมหารือเชิงเทคนิคและเป็นไปตามกฎข้อบังคับวิทยุคมนาคมแห่งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ๑.๒ ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาและดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (เดิมคือ โครงการระบบสำรวจโลกด้วยดาวเทียมของประเทศ ระยะที่ ๒) ใน ๒ ทางเลือกคือ (๑) ลักษณะกิจการร่วมค้า (Joint Venture หรือ PPP) โดยรัฐร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนของต่างประเทศ และ (๒) ลักษณะรัฐลงทุนเอง ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกทางเลือกที่ ๒ คือ รัฐลงทุนเอง และมอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปศึกษาแนวทางการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการที่จะพัฒนาดาวเทียมของไทยเอง โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะได้รับ รวมทั้งความเหมาะสมเปรียบเทียบกับหลายประเทศเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ดาวเทียมเพื่อความมั่นคง ที่ประชุมให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงเพื่อรองรับภัยคุกคามและสงครามในรูปแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาไปสู่พื้นที่ปฏิบัติการ ๕ มิติ ประกอบด้วย มิติทางบก มิติทางทะเล มิติทางอากาศ มิติด้านไซเบอร์ และมิติด้านอวกาศ และนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ คือ แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยดังกล่าวมีลักษณะค่อนข้างกว้าง เห็นควรให้มีการทบทวนปรับปรุงเพิ่มเติม และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่ปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยให้ทันสมัย รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (THEOS-2) ในคราวเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2212 | รายงานประจำปี 2556 และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2556 ของสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๖ และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รายงานประจำปี ๒๕๕๖ สสวท. ได้กำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ ๓ ด้าน ประกอบด้วย ด้านการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างเต็มศักยภาพ และด้านการปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ๑.๒ รายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ โดยในปี ๒๕๕๖ สสวท. มีสินทรัพย์รวม ๒,๓๖๑,๗๓๑,๒๖๗.๖๖ บาท รายได้จากการดำเนินงาน ๒,๐๑๒,๔๑๙,๙๐๒.๑๖ บาท และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ๒,๐๑๒,๗๐๐,๗๕๐.๒๖ บาท ส่วนในปี ๒๕๕๕ สสวท. มีสินทรัพย์รวม ๒,๓๖๒,๑๖๑,๘๙๒.๖๐ บาท รายได้จากการดำเนินงาน ๒,๐๒๘,๕๗๕,๗๒๙.๓๒ บาท และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ๒,๐๖๐,๕๖๒,๖๗๙.๘๘ บาท ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวการจัดทำยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการวิเคราะห์และเสนอแนวทางในการปฏิรูปทุนหมุนเวียนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นแนวทางการบูรณาการงบประมาณของกองทุนต่าง ๆ ให้เหมาะสมและไม่เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนในการใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนต่าง ๆ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2213 | ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) | ตช | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (เพิ่มช่องทางชำระค่าปรับ) มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขคำนิยามคำว่า “อธิบดี” หมายถึง อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งปัจจุบันได้กำหนดให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเพิ่มช่องทางชำระค่าปรับเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนที่กระทำผิดกฎหมายจราจร ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างมาตรา ๖ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๔๑ ทวิ ที่กำหนดให้กรณีที่ผู้ขับขี่ไม่ไปชำระค่าปรับภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบสั่ง เจ้าของรถต้องไปรายงานตัวที่พนักงานสอบสวนตามสถานีตำรวจ นั้น อาจเป็นการไม่สอดคล้องกับหลักการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างแท้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2214 | แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ | ทส | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวมีกรอบแนวคิด "๑๒๐ วัน คืนฟ้าใส อากาศบริสุทธิ์ ให้ชุมชน" โดยให้จังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบหลักตามระบบศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) เน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุในลักษณะพื้นที่-หน้าที่-การมีส่วนร่วม (Area-Function-Participation) ตามภารกิจความรับผิดชอบของหน่วยงาน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้นำ แกนนำ อาสาสมัคร และประชาชน ระยะเวลาดำเนินงานแบ่งเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘) ระยะกลาง (๒๕๕๘-๒๕๖๒) และระยะยาว (๒๕๕๘-๒๕๖๗) พื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก กรอบงบประมาณทั้งสิ้นจำนวน ๖,๒๘๕,๔๗๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยการดำเนินการตามแผนปฏิบัติดังกล่าวให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน และบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้สามารถดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบคาดการณ์ความเสี่ยงจากการเกิดไฟป่าและการเคลื่อนที่ของหมอกควันล่วงหน้าให้มีความแม่นยำขึ้น ควรส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เครื่องผลิตเชื้อเพลิงจากเศษวัสดุ ไปเผยแพร่และใช้งานในระดับท้องถิ่น ควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายและผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน และควรให้ความสำคัญ รวมถึงสนับสนุนเครือข่ายอาสาสมัครต่าง ๆ เครือข่ายชุมชนในเรื่องการเฝ้าระวัง ลาดตระเวน และแจ้งเตือนให้กับหน่วยงานหลักได้ทราบเมื่อพบจุดเกิดเหตุตั้งแต่ต้น ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในช่วงเวลาห้ามเผา เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะเร่งด่วน (มกราคม-เมษายน ๒๕๕๘) ให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๘๘.๕๐๒๕ ล้านบาท และให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพขอทำความตกลงในรายละเอียดด้านงบประมาณตามขั้นตอนกับสำนักงบประมาณแทนจังหวัดดังกล่าวต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามแผนระยะกลางและระยะยาว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และหรือขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปศึกษารายละเอียดร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยเพื่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ เช่น การปรับปรุงเครื่องบินที่หน่วยงานต่าง ๆ มีอยู่ให้มีศักยภาพและความพร้อมในการนำมาใช้ในการดับไฟป่า เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2215 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการ คณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น | ศธ | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) รับเรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการ คณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง ของการเพิ่มวงเงินก่อสร้างอาคารเรียนรวมและปฏิบัติการ คณะวิทยาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และให้นำผลการตรวจสอบเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 2216 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 3 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน - 31 ธันวาคม 2557) | นร | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น ๑.๑.๒ โครงการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน ๑.๑.๓ โครงการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ๑.๑.๔ การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ๑.๒ การปฏิรูปประเทศ ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๒.๑ รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ๑.๒.๒ มีการเชื่อมโยงการดำเนินการระหว่าง สปช. กับส่วนราชการต่าง ๆ โดยให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของ สปช. เกี่ยวกับเรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเรื่อง การนำเสนอพื้นที่อนุรักษ์ในทะเลอันดามันเป็นเขตมรดกโลก ๑.๒.๓ กระทรวงศึกษาธิการได้เร่งดำเนินการปฏิรูปในเรื่องที่เป็นนโยบายรัฐบาลและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวง ๑.๓ การบริหารราชการแผ่นดิน ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ๑.๓.๑ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นจริงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจ เร่งขยายผลตามโครงการและแบบอย่างที่ทรงวางรากฐานไว้ เป็นต้น ๑.๓.๒ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ เช่น การจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงต่าง ๆ ดำเนินการโครงการการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นต้น ๑.๓.๓ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม เช่น เร่งสร้างโอกาส อาชีพ และการมีรายได้ที่มั่นคง การจัดหาที่ดินทำกิน เป็นต้น ๑.๓.๔ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เช่น การเสริมสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาให้แก่ผู้ยากจนหรือด้อยโอกาส การส่งเสริมการอาชีวศึกษา ปรับภาพลักษณ์ และเร่งผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อตอบสนองความต้องการพัฒนาประเทศ โดยพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนอาชีวศึกษา เป็นต้น ๑.๓.๕ การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน เช่น สร้างความครอบคลุมของหลักประกันสุขภาพ โดยจัดบริการการรักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตน พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ โดยพัฒนาทีมหมอครอบครัวเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความจำเป็นด้านสุขภาพของประชาชน เป็นต้น ๑.๓.๖ การบริหารเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการเบิกจ่าย ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๓.๗ การส่งเสริมบทบาทและการใช้โอกาสในประชาคมอาเซียน เช่น ด้านการเชื่อมโยงระบบขนส่งคมนาคม กฎระเบียบและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า ซึ่งรัฐบาลได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการปรับปรุงถนนสายนาทวี-บ้านประกอบ/ชายแดนไทยมาเลเซีย เป็นต้น ๑.๓.๘ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม สนับสนุนการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของประเทศ เช่น การปฏิรูประบบการให้สิ่งจูงใจ ระเบียบและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการนำงานวิจัยและพัฒนาไปต่อยอดหรือใช้ประโยชน์ การปรับปรุงและจัดเตรียมให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการวิจัยและพัฒนา และด้านนวัตกรรม เป็นต้น ๑.๓.๙ การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น เร่งปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า เร่งปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น ๑.๓.๑๐ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ เช่น จัดทำโครงการวางระบบป้องกันการทุจริตในโครงการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน และการปรับปรุงระบบราชการ เป็นต้น ๑.๓.๑๑ การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การปรับปรุงประมวลกฎหมายที่ล้าสมัยไม่เป็นธรรม การนำมาตรการทางการเงิน ภาษี และการป้องกันการฟอกเงินมาใช้ในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานในความรับผิดชอบแจ้งไปยังฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลโดยตรง เนื่องจากคณะกรรมการมีผู้แทนทุกกระทรวงเป็นกรรมการและมีหน้าที่ในการปรับปรุงรายงานให้ทันสมัยและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเป็นประจำเดือนละ ๑ ครั้ง อยู่แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2217 | รายงานผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการขอทานทั่วประเทศ | พม | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการขอทานทั่วประเทศ ภายใต้แนวทางการดำเนินงาน ๓ ด้าน (3P) ประกอบด้วย ด้านนโยบาย (Policy) ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ (Protection) และด้านการป้องกัน (Prevention) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ ด้านนโยบาย ได้แก่ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะกรรมการในระดับต่าง ๆ การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาขอทาน การจัดระเบียบคนขอทานในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการแล้ว ๓ ครั้ง การผลักดันให้มีการปรับปรุง แก้ไข พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. ๒๔๘๔ และการจัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูลคนขอทานทั่วประเทศ ๑.๒ ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อปฏิบัติงานในการช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ และโครงการจัดทำแผนพัฒนาหน่วยงาน สถานรองรับบุคคลไร้ที่พึ่ง ๑.๓ ด้านการป้องกัน ได้แก่ การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสิทธิสวัสดิการพื้นฐาน การพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคม การส่งเสริมให้อาสาสมัครและเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมกันเฝ้าระวังการขอทานในชุมชน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาขอทานต่างด้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา และการรณรงค์ “ให้ทานถูกวิธี ลดวิถีการขอทาน” ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาและจัดระเบียบขอทานให้แล้วเสร็จ และให้ขอความร่วมมือจากฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ร่วมดำเนินการด้วย โดยขอทานที่เป็นคนต่างด้าวให้ดำเนินการส่งกลับประเทศต้นทาง ส่วนขอทานที่เป็นคนไทยให้พิจารณาดำเนินการฝึกอบรมและฝึกอาชีพให้ตามความเหมาะสม เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประชาสัมพันธ์และชี้แจงทำความเข้าใจกับสาธารณชนให้ถูกต้องชัดเจนว่า การที่บุคคลจะดำเนินการขับร้อง การดีดสีตีเป่า การแสดงการเล่นต่าง ๆ หรือการกระทำการอย่างอื่นในทำนองเดียวกัน เมื่อมิได้มีข้อตกลงโดยตรงหรือโดยปริยายที่จะเรียกเก็บค่าฟังค่าดู แต่ขอรับทรัพย์สินตามแต่ผู้ฟังผู้ดูจะสมัครใจให้นั้น จะเข้าข่ายเป็นการขอทาน ตามพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พุทธศักราช ๒๔๘๔ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2218 | รายงานการพิจารณาของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณโครงการมหกรรมสินค้าเบอร์ 5 เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้วยการมอบคูปองส่วนลดซื้อสินค้าประหยัดพลังงาน มูลค่า 2,000 บาท | สว | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณโครงการมหกรรมสินค้าเบอร์ ๕ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัยด้วยการมอบคูปองส่วนลดซื้อสินค้าประหยัดพลังงาน มูลค่า ๒,๐๐๐ บาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เนื่องจากประเด็นปัญหาเกิดจากข้อขัดข้องของบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้การอนุมัติเงินกองทุนเพื่อสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานเกิดปัญหาในอนาคต เห็นควรปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม บทนิยามมาตรา ๓ “การอนุรักษ์พลังงาน” ตลอดจนการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับดังกล่าวในประเด็นอื่น ๆ ในคราวเดียวกันด้วย ๑.๒ ให้มีการปรับปรุงกฎหมายฉบับดังกล่าวในส่วนขององค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุน ตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓ การอนุมัติโครงการทั้งที่เป็นไปตามแผนอนุรักษ์พลังงานหลักและโครงการที่อยู่นอกแผนหรือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลจะต้องใช้หลักเกณฑ์การจัดสรรที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ๑.๔ กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการกลั่นกรองงบประมาณของกองทุนอนุรักษ์พลังงานโดยเฉพาะ ๑.๕ กรณีการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินและมีข้อโต้แย้งของการตีความตัวบทกฎหมายที่มีข้อคิดเห็นต่างกัน คณะกรรมการกองทุนหรือหน่วยรับตรวจจะต้องแจ้งผลการตรวจสอบ รวมทั้งนำข้อหารือของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแจ้งให้รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีทราบทุกขั้นตอนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจเชิงนโยบาย ๑.๖ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดทุกขั้นตอนในการดำเนินโครงการดังกล่าวอีกครั้ง หากพบว่ามีการดำเนินการที่เข้าข่ายการกระทำที่เป็นไปตามมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้แจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป หากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ๑.๗ ให้เสนอรายงานการตรวจสอบโครงการดังกล่าวไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ และแจ้งผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมาธิการฯ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. แจ้งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2219 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมวิชาการเกษตร พ.ศ. .... | กษ | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการกรมวิชาการเกษตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๕๘ (พ.ศ. ๒๕๐๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ ๗๒ (พ.ศ. ๒๕๒๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบข้าราชการฝ่ายพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๘ โดยกำหนดเครื่องแบบพิเศษและเครื่องหมายตำแหน่งบนอินทรธนูสำหรับข้าราชการกรมวิชาการเกษตรที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยกักพืช กฎหมายว่าด้วยปุ๋ย กฎหมายว่าด้วยพันธุ์พืช กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย และกฎหมายว่าด้วยควบคุมยาง เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 2220 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ | กค | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และเดือนมกราคม ๒๕๕๘ และเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทราบภายใน ๑ เดือน ในเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รฟท. ๑.๑.๑ สร้างความชัดเจนของนโยบายและทิศทางระบบขนส่งทางราง โดยให้มีการกำกับดูแลการขนส่งทางรางที่ชัดเจนและมีความเชื่อมโยงของระบบขนส่งรูปแบบอื่น ๑.๑.๒ สร้างความชัดเจนระหว่างบทบาทของกรมรางและ รฟท. ในการก่อสร้างและบำรุงรักษาทางรถไฟ รวมถึงให้จัดทำแนวทางการให้เอกชนมาร่วมในการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ๑.๑.๓ กำกับติดตามการดำเนินการของโครงการสำคัญให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสำเร็จของโครงการก่อสร้างทางคู่ ๖ เส้นทางที่มีกำหนดแล้วเสร็จทั้งหมดในปี ๒๕๖๓ และการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบขนส่งทางราง โดยการเปลี่ยนหมอนรองจากหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีตราง ๑๐๐ ปอนด์ ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๙ ๑.๒ ขสมก. ๑.๒.๑ กำหนดให้ ขสมก. ดำเนินการในฐานะผู้ประกอบการเท่านั้น และให้กรมการขนส่งทางบกทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะแทน และสำหรับการให้ใบอนุญาตเดินรถ หากสัญญาในเส้นทางใดสิ้นสุดลง ให้กรมการขนส่งทางบกจัดให้มีการประมูลใบอนุญาตในแต่ละเส้นทางต่อไป นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกจะต้องจัดให้มีกลไกในการกำกับดูแลผู้ให้บริการ (Operator) ทั้ง ขสมก. และรถร่วมบริการเอกชนให้ดำเนินการเดินรถให้มีคุณภาพได้ตามมาตรฐาน ๑.๒.๒ สร้างความชัดเจนของการปรับปรุงเส้นทางการเดินรถและการจัดสรรเส้นทางระหว่าง ขสมก. และเอกชนร่วมบริการ รวมทั้งการจัดซื้อรถโดยสาร NGV ให้สอดคล้องกับเส้นทางที่ได้รับจัดสรรและมีสถานี NGV ที่เพียงพอต่อไป ๑.๒.๓ เรื่องการจัดการภาระหนี้สินของ รฟท. และ ขสมก. โดยหารือร่วมกับกระทรวงการคลังในการโอนสิทธิในการใช้ที่ดินของ รฟท. เพื่อให้กระทรวงการคลังรับภาระหนี้สิน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารที่ดินดังกล่าวต่อไป และกระทรวงการคลังจะพิจารณาการรับภาระหนี้สินของ ขสมก. ก็ต่อเมื่อกระทรวงคมนาคมมีความชัดเจนในนโยบายด้านการเดินรถโดยสารสาธารณะตามข้อ ๑.๒.๒ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องกรอบระยะเวลา และการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้กำหนดไว้ นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่เหลืออีก ๕ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจโดยเร็ว เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจใช้เป็นข้อมูลประกอบในการกำหนดโครงสร้างการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
