ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 93 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1841 - 1860 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1841 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ภายหลังปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ได้แก่ ๑.๑ โครงการของกระทรวงสาธารณสุขที่อยู่ระหว่างดำเนินการและมีการผูกพันสัญญาแล้ว จำนวน ๙ รายการ วงเงิน ๒๙๒.๗๒๙๕ ล้านบาท สำหรับรายการที่ต้องขอรับจัดสรรเงินเพิ่ม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ โครงการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับรายการที่มีการผูกพันสัญญาของกรมทรัพยากรน้ำ วงเงิน ๘๖,๔๒๓,๕๕๗.๙๗๐๐ บาท ๑.๓ โครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๖๒๙,๖๒๙,๒๘๐.๐๐๐๐ บาท ๑.๔ โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการ จำนวน ๕๐ แห่ง ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายตามความเห็นของกระทรวงการคลัง สำหรับรายการที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการและหรือขอรับจัดสรรเงินเพิ่ม ให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเร่งรัดขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติการยกเลิกโครงการเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และนำวงเงินกู้ดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ได้แก่ ๒.๑ การยกเลิกโครงการที่ยังไม่มีข้อผูกพันสัญญาและยังไม่ได้เริ่มการดำเนินงาน ในส่วนของโครงการอาคารพักพยาบาล ๒๐ ห้อง โรงพยาบาลนายายอาม (จังหวัดจันทบุรี) วงเงิน ๕.๕๒๓๐ ล้านบาท และโครงการระบบบำบัดน้ำเสียโรงพยาบาลยุพราชฉวาง (จังหวัดนครศรีธรรมราช) วงเงิน ๗.๗๑๓๐ ล้านบาท ของกระทรวงสาธารณสุข ๒.๒ การยกเลิกการดำเนินโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ รายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งห้วยน้ำภูนก ช่วง ๒ ห้วยภูนก หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าปลา อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ วงเงิน ๑,๙๐๓,๔๐๐.๐๐ บาท เนื่องจากไม่สามารถเข้าพื้นที่ดำเนินการได้และรายการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองน้ำบางดี หมู่ที่ ๔ ตำบลพ่วงพรหมคร อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงิน ๔,๒๘๐,๔๙๐.๐๐๐๐ บาท ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓. อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ได้แก่ ๓.๑ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๒ รายการ วงเงิน ๒,๑๑๙,๖๑๐.๐๔๐๐ บาท ๓.๒ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม จำนวน ๑๘ รายการ วงเงิน ๓๑,๑๘๕,๙๘๖.๐๐๐๐ บาท ๓.๓ กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ รายการ วงเงิน ๑,๓๒๕,๓๑๑.๗๐๐๐ บาท ๔. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเป็นภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ๕. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี วงเงิน ๔๒,๘๘๔,๓๓๓.๐๐๐๐ บาท และอนุมัติดำเนินโครงการพัฒนางานห้องผ่าตัด ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน และห้องปฏิบัติการกลาง จำนวน ๓๐ รายการ และอนุมัติจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามวงเงินที่คงเหลือให้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี วงเงิน ๔๒,๘๘๔,๓๐๐.๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||
1842 | ขออนุมัติกู้เงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 25/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้
๑. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ยืมเงินต่อจากกระทรวงการคลังเมื่อมีความพร้อมในการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล (สายสีแดง) บางซื่อ-รังสิต วงเงิน ๗๑๐.๕๑ ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟ สายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย วงเงิน ๓,๓๒๑.๔๓ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัย ๘ สายทาง วงเงิน ๒,๘๙๒.๐๖ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เฉพาะในส่วนที่รัฐบาลรับภาระเพื่อชำระหนี้คืนแหล่งเงินกู้โดยตรง ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป รวมทั้งให้ รฟท. จัดทำแผนการดำเนินงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และแผนการกู้เงินที่สอดคล้องกับระยะเวลาที่จะดำเนินการจริง โดยให้ รฟท. ทยอยเบิกเงินกู้โดยตรงจากแหล่งเงินกู้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ ให้ รฟท. ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นก่อนการกู้เงิน ๒. ให้ รฟท. กู้เงินในประเทศเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดหารถจักรพร้อมอะไหล่ (รถจักรดีเซลไฟฟ้า) จำนวน ๕๐ คัน วงเงิน ๘๘๕ ล้านบาท โครงการซ่อมบูรณะรถจักรดีเซลไฟฟ้าอัลสตอม จำนวน ๕๖ คัน วงเงิน ๓๔๒.๗๓ ล้านบาท และโครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน ๑๑๕ คัน วงเงิน ๖๗๒.๔๔ ล้านบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑,๙๐๐.๑๗ ล้านบาท โดย รฟท. เป็นผู้รับภาระในการชำระคืนต้นเงิน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายจากการกู้เงิน และสำหรับโครงการจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า จำนวน ๓๐๘ คัน (น้ำหนักกดเพลา ๒๐ ตัน) วงเงิน ๑๐๖ ล้านบาท เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการประกวดราคาสากล โดยให้ผู้ประกวดราคาเสนอแหล่งเงินกู้ในลักษณะของ Supplier Credit/Export Credit และกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมของแหล่งเงินกู้ที่ผู้ประกวดราคาเสนอมา หากพบว่าต้นทุนเงินกู้ที่เสนอสูงกว่าต้นทุนที่กระทรวงการคลังจะจัดหาให้ รฟท. ได้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาแหล่งเงินกู้เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวให้ต่อไป แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคซึ่งโครงการดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนของแหล่งเงินทุน ดังนั้น เมื่อ รฟท. ทราบแหล่งเงินที่ชัดเจนแล้ว ให้ รฟท. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติแหล่งเงินสำหรับโครงการดังกล่าวต่อไป ๓. ให้ รฟท. กู้เงินเพื่อชำระคืนเงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระ (Roll-over) ตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๑๔,๙๘๙.๒๘ ล้านบาท รวมทั้งให้ รฟท. ต่ออายุสัญญาเงินกู้เบิกเกินบัญชี วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท ออกไปอีก ๑ ปี เพื่อไว้รองรับปัญหาเงินสดขาดมือในการดำเนินงาน ๔. กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ค้ำประกัน และเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น |
||||||||||||||||||
1843 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดสมุทรสาคร ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) | นร01 | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๕ ณ จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสภาพปัญหาของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม และผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สรุปปัญหาและแนวทางการแก้ไข ดังนี้
๑. ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและป่าชายเลน ๑.๑ จังหวัดสมุทรสาคร ต้องการขอรับการสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเพิ่มเติมอีก ๒๑.๗ กิโลเมตร เพื่อครอบคลุมตลอดแนวชายฝั่งของจังหวัดสมุทรสาคร และควรให้สถาบันการศึกษาทำการศึกษาวิจัยผลการดำเนินโครงการตามหลักวิชาการเพื่อเป็นองค์ความรู้และเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลในระยะยาวต่อไป ๑.๒ จังหวัดเพชรบุรี ปัญหาเรื่องความล่าช้าในการพิจารณาอนุมัติการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักนโยบายและแผน ทำให้ได้รับผลกระทบต้องยกเลิกโครงการปี ๒๕๕๕ ในกิจกรรมก่อสร้างเขื่อนหินปากคลองบางทะเล หมู่ ๒, ๓ ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ความยาวรวม ๔๖๐ เมตร และขุดลอกคลองพร้อมดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (งบประมาณปี ๒๕๕๕) เนื่องจากรอผลการพิจารณา EIA นาน และผู้เสนอราคาไม่มาลงนามในสัญญาเพราะเลยกำหนดยื่นซองราคา ๑๘๐ วัน และราคาวัสดุสูงเกินกว่าที่เสนอราคาไว้ ๑.๓ จังหวัดสมุทรสงคราม ต้องการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจัดสรรงบประมาณมาเพื่อทำโครงการเพิ่มเติม เช่น จัดทำโครงการปักไม้ไผ่ในบริเวณพื้นที่หมู่ ๑๐ ตำบลบางแก้ว เพื่อต้องการปักไม้ไผ่ซ้อนอีก ๑ ชิ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการตกตะกอนของดินเลนเร็วขึ้น และจะดำเนินการปลูกป่าได้เพิ่มขึ้น รวมถึงงบประมาณในการซ่อมไม้ไผ่ที่ชำรุดทำให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนส่งผลให้เกิดพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการมีรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ๑.๔ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปัญหาอุปสรรคของการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งที่ผ่านมา คือ ประชาชนบุกรุกชายหาดและเป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง ต้องทำการศึกษา EIA เสนอให้สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบก่อนที่จะทำการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปด้วยความล่าช้า ๒. การประมง (ประมงพื้นบ้าน ประมงชายฝั่ง) และการดำเนินงานท่าเรือประมง ๒.๑ จังหวัดเพชรบุรี ควรมีการสร้างกระบวนการต่อเนื่องอย่างยั่งยืนเพื่อไม่ให้ชาวประมงกลับมาใช้เครื่องมือโพงพางหรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ผิดกฎหมาย ๒.๒ จังหวัดสมุทรสงคราม ควรปิดอ่าวไทยรูปตัว ก เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรประมง พัฒนาตลาดปลาเป็นแหล่งรวมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ประมง และจัดตั้งกลุ่มประมงเพื่อดูแลแหล่งทำการประมงไม่ให้มีการทำลาย (ปะการังเทียม) ๒.๓ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บุคลากรในการปฏิบัติงานในพื้นที่และปฏิบัติงานตรวจปราบปรามยังไม่เพียงพอ งบประมาณใช้การดำเนินงานมีอย่างจำกัด และข้อกฎหมายไม่ทันต่อสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน
|
||||||||||||||||||
1844 | แนวทางการดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ที่จะมีการปรับปรุงการกำหนดรูปแบบประเภทบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ราคาบัตร สิทธิประโยชน์/บริการต่าง ๆ และค่าธรรมเนียมการโอนให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการกำหนดค่าตอบแทน (Commission) ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ตามข้อบังคับของบริษัทฯ อยู่แล้ว ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้คณะกรรมการบริษัทฯ ดำเนินการอย่างโปร่งใส คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและผลประโยชน์ของบริษัทฯ ๑.๒ การที่คณะกรรมการบริษัทฯ ควรให้มีการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง โดยได้มีการพิจารณาแล้วว่า การดำเนินการจะก่อให้เกิดประโยชน์กับบริษัทฯ สมาชิก และประเทศ สามารถดำเนินการได้ตามอำนาจของคณะกรรมการบริษัทฯ ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งจะต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจศึกษาในรายละเอียดเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดตั้งบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจทั้งในกรณีรัฐวิสาหกิจถือหุ้นทั้งหมดหรือถือหุ้นเพียงบางส่วน และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำเสนอคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการพิจารณาลงทุนหรือร่วมทุนกับกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ควรให้มีการพิจารณาวิเคราะห์แผนธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1845 | โครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ | มท | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงินลงทุนรวม ๓,๖๘๗ ล้านบาท และเงินรายได้ ๙๒๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๖๑ ล้านบาท เพื่อให้เป็นไปตามนัยของพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๒ (๒) โดยให้ กฟภ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสำรวจครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้และมีความพร้อมดำเนินการขยายเขตระบบไฟฟ้าได้ทันทีเพื่อจัดเข้าโครงการฯ ในปีต่อไป (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้งานและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะการดูแลรักษาระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การทบทวนกรอบเงินลงทุนโครงการฯ เนื่องจากการประมาณการค่าสำรองเผื่อราคาของโครงการฯ อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง การกำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินโครงการฯ ให้สามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ การให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนของโครงการฯ อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการกำหนดแนวทางในการแสวงหารายได้อื่นเพื่อชดเชยผลขาดทุนของโครงการฯ ที่เกิดขึ้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของ กฟภ. ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.๑ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของการขยายเขตไฟฟ้าแก่ผู้ขอไฟฟ้ารายใหม่อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในพื้นที่เขตป่าสงวนและพื้นที่ของราชการ เพื่อป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ที่สาธารณะ และที่ราชพัสดุเพิ่มเติม อันอาจจะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะในระยะยาว ๒.๒ การดำเนินโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรรายใหม่ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับเกณฑ์ตัวชี้วัดของยุทธศาสตร์จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งควรพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ด้วย |
||||||||||||||||||
1846 | การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) เพื่อสนับสนุนโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และโครงการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน | กค | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ดำเนินโครงการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยใช้จ่ายจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ในวงเงินไม่เกิน ๗๐๐ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารและติดตามการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการ ผู้แทนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม มีอำนาจหน้าที่บริหาร ติดตาม การดำเนินการทั้งสองโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของแต่ละโครงการที่ประสงค์จะดำเนินการเสนอต่อคณะกรรมการบริหารฯ เพื่อพิจารณากลั่นกรองโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด และพิจารณาอนุมัติวงเงินค่าใช้จ่ายของแต่ละโครงการจากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วจำนวน ๗๐๐ ล้านบาท เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1847 | ขออนุมัติและสนับสนุนงบประมาณโครงการก่อสร้างโรงงานแปรรูปนมที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี | กษ | 12/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมปศุสัตว์ดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานแปรรูปนมที่โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน ๕๙,๙๙๒,๔๒๘.๓๐ บาท โดยให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อร่วมกันวางแผนพัฒนากระบวนการผลิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์น้ำนมโคให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร และการวางแผนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลิตภัณฑ์นมไม่มีที่จำหน่าย จนกระทั่งจำเป็นต้องพึ่งพาตลาดนมโรงเรียน รวมทั้งในระยะยาวควรมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมให้มีความหลากหลายขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้โครงการฯ ดำเนินอยู่ได้ด้วยตนเอง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1848 | การปรับปรุงข้อเสนอแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 12/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัดพิจิตร จำนวน ๖ โครงการ วงเงินรวม ๑๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) วงเงิน ๕ ล้านบาท โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตร-นาตาเซา ต.วังชะโอน อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร วงเงิน ๑๘ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ วงเงิน ๒๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน ต.ไผ่หลวง อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร วงเงิน ๑๒ ล้านบาท โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไป ต.ท่าหลวง วงเงิน ๑๕ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองห้วยน้อยเชื่อมโครงการท่อทองแดงผันน้ำจากแม่น้ำปิงลงสู่แม่น้ำยม วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณจัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกรมบัญชีกลางแล้ว ๑.๒ ให้จังหวัดพิจิตรรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพื่อประกอบการดำเนินโครงการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการพัฒนาหรือฟื้นฟูแหล่งน้ำในพื้นที่สำคัญที่ถูกบุกรุกจนไม่เหลือสภาพธรรมชาติเดิม จำเป็นจะต้องบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงาน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ควรจัดทำเป็นแผนพัฒนาระยะยาวที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วน และมีคณะกรรมการกำกับแผนและโครงการในระดับพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานระดับกระทรวงที่มีความเป็นเอกภาพ มีความสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และสามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกรณีการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร ในระยะยาวให้สามารถฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศให้มีความยั่งยืนและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของแหล่งน้ำดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||
1849 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 192 | ศธ | 12/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๙๒ และการหารือระดับทวิภาคี ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน-๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมเต็มคณะ โดยกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลไทยที่ได้กำหนดให้การจัดการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการร่วมผลิตบุคลากรตามความต้องการของตลาดแรงงาน และให้มีการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนในสายอาชีวศึกษาเมื่อเปรียบเทียบกับสายสามัญ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะได้ร่วมมือกับองค์การยูเนสโกจัดการประชุมระดับภูมิภาคและระดับโลกในประเทศไทย ได้แก่ การประชุมระดับโลกว่าด้วยสื่อและความเสมอภาคทางเพศ ระหว่างวันที่ ๒-๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ การประชุมว่าด้วยความเป็นพลเมืองโลก ระหว่างวันที่ ๒-๕ ธันวาคม ๒๕๕๖ และการประชุมในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกว่าด้วยการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ในช่วงกลางปี ๒๕๕๗ ๒. ที่ประชุมฯ รับทราบการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ ๕ สาขาหลัก ของยูเนสโก ได้แก่ สาขาการศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สาขาสังคมและมนุษยศาสตร์ สาขาวัฒนธรรม และสาขาสื่อสารมวลชน โดยการดำเนินโครงการในภาพรวมจะเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ และเพิ่มเครือข่ายความร่วมมือเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทั้งนี้ องค์การยูเนสโกได้ใช้เงินงบประมาณปกติเพื่อดำเนินการในโครงการต่าง ๆ ร้อยละ ๗๓ คือ ๓๗๗.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่ตั้งไว้ที่ ๕๑๗.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. ที่ประชุมฯ ได้มีการเลือกตั้งผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ซึ่งผลการลงคะแนนเลือกตั้งปรากฏว่า นาง Irina Gueorguieva Bokova ชาวบัลแกเรีย เป็นผู้ชนะการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก เป็นสมัยที่สอง ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เดินทางไปเยี่ยมนักเรียนโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๓ จำนวน ๔๑ คน ณ สถาบันเทคโนโลยีอุดมศึกษา (Institute Universitaire de Technologie : IUT) มหาวิทยาลัย Le Mans ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดเตรียมให้นักเรียนเหล่านี้เข้าศึกษาหลักสูตรเตรียมความพร้อมด้านภาษาและวิชาการ ณ ศูนย์ภาษา สังกัดสถาบัน IUT มหาวิทยาลัย Le Mans
|
||||||||||||||||||
1850 | ขอความเห็นชอบการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างอาเซียน - เยอรมนี (ASEAN-German Technical Cooperation Project on Sustainable Port Development in the ASEAN Region: SPD) ระยะที่ 2 (Verbal Note) | คค | 12/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจัดทำร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างอาเซียน-เยอรมนี (ASEAN-German Technical Cooperation Sustainable Port Development in the ASEAN Region : SPD) ระยะที่ ๒ (Verbal Note) ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๓ ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖-ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ เห็นชอบการจัดทำร่างความตกลงสำหรับดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือในภูมิภาคอาเซียนอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างอาเซียน-เยอรมนี ระยะที่ ๒ (ASEAN-German Technical Cooperation Sustainable Port Development in the ASEAN Region : SPD) ๑.๓ เห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ แทนประเทศไทย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของเลขาธิการอาเซียนหรือผู้ที่เลขาธิการอาเซียนมอบหมายเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนไทยถาวรประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา เกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบของรัฐบาลไทยต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ และร่างความตกลงฯ และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการทำความตกลงระหว่างประเทศโดยอาเซียนที่กำหนดให้รัฐบาลไทยจะต้องยินยอมผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว และภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมได้มีการจัดทำระบบ Manifest System ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของอาเซียนเพื่อส่งเสริมการเฝ้าระวังและติดตามการลักลอบทิ้งของเสียที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งการทิ้งของเสียจากการเดินเรือทะเล (ASEAN Mechanism to Enhance Surveillance against Illegal Desludging and Disposal of Tanker Sludge at Sea) โดยเป็นหลักการร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน ดังนั้น ในการดำเนินโครงการควรนำเรื่องระบบ Manifest System มาพิจารณาด้วย นอกจากนี้ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลและบริหารท่าเรือ นำองค์ความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้กับท่าเรือแห่งอื่นภายในประเทศ เพื่อยกระดับการบริการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพในมาตรฐานเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1851 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2556 | นร11 | 01/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ ณ จังหวัดลพบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) ๒.๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรและยกระดับการผลิตอาหารปลอดภัยครบวงจรในพื้นที่ ๔ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทอง ให้มีความชัดเจน โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยที่มีอยู่ของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งโครงการแปรรูปเถ้าแกลบ โดยพิจารณาใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการดำเนินการ ๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพร่วมในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการขยะในชุมชน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการโครงการฯ ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงกลไกดำเนินการที่มีอยู่ในพื้นที่ และสร้างกระบวนการให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินโครงการฯ ให้เป็นโครงการนำร่องและขยายผลการดำเนินงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อไป ๒.๑.๑.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่กิจการด้านการส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ ความเหมาะสมของอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสิทธิของประชาชนและชุมชนในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินโครงการ ได้แก่ โครงการทางหลวง ๔ ช่องจราจร ทางหลวงแนวใหม่สายทางหลวงหมายเลข ๓๑๙๕ บรรจบทางหลวงหมายเลข ๓๒ (ทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง), โครงการขยายถนน ๔ ช่องจราจร ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข ๓๖๖) ระยะทาง ๑๙ กิโลเมตร, โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองลพบุรีด้านเหนือ ๔ ช่องจราจร ระยะทาง ๑๓ กิโลเมตร, โครงการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างจังหวัด โดยการขยายช่องการจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ตลอดเส้นทาง รวม ๒ เส้นทาง และการปรับปรุงทางแยกต่างระดับชัยนาทที่ถนนสายเอเชีย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒) (กม. ๑๓๑+๕๙๕) ตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อขอรับการจัดสรรจัดงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการศึกษาทางหลวงแนวใหม่ ๔ ช่องจราจร แยกทางหลวงหมายเลข ๓๒ ทางเลี่ยงเมืองลพบุรี (๓๖๖) ระยะทาง ๒๕ กิโลเมตร ในรายละเอียดเพิ่มเติม ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมประสานสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินโครงการศึกษาสร้างเกาะกลางแบบยกตัว ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑) ตรงสี่แยกเข้าชัยนาท-บ้านกล้วย กม. ๒๘๐+๕๗๘ (แยกหลวงพ่อโอ-ท่าน้ำอ้อย) ระยะทาง ๒๔.๙๘๔ กิโลเมตร ๒.๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปศึกษาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการและขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวควบคู่ไปด้วย และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการโครงการฯ ๒.๑.๔ ข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เกี่ยวกับรายงานการติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๑-๗/๒๕๕๕ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่มีความสำคัญยิ่งและต้องดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนไปประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเสนอที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป รวมทั้งให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบันเป็นแกนหลักร่วมติดตามความคืบหน้าประเด็นข้อเสนอในกลุ่มที่ดำเนินการแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๑.๕ เรื่องอื่น ๆ เสนอโดยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๒.๑.๕.๑ การปรับการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนให้เป็นศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ให้กระทรวงพลังงานรวมกับกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ ๒.๑.๕.๒ การขอให้ปรับอัตราส่วนเพิ่มให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนจากพลังงานทดแทนขนาดไม่เกิน ๑ เมกะวัตต์ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการประกาศใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนแบบ Feed-in-Tariff (FiT) ของแต่ละประเภทของพลังงานทดแทนที่ชัดเจนโดยเร็ว โดยพิจารณาร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนมากขึ้น ๒.๑.๕.๓ โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนาขีดความสามารถ SMEs ไทยสู่ประชาคมอาเซียน ระยะที่ ๒ (Innovation Coupon for SMEs) ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศึกษารายละเอียดการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ โดยนำผลการประเมินโครงการฯ ระยะที่ ๑ มาประกอบการพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๕.๔ ข้อเสนอความเห็นต่อการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า IT (ITA Expansion) ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องการทบทวนการเข้าร่วมการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงฯ โดยปรับรายการสินค้าตามหลักและเจตนารมณ์ของรายการสินค้า IT ให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศพิจารณาตามขั้นตอน ๒.๑.๕.๕ ข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงกำหนดจำนวนคนพิการที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับเข้าทำงาน ให้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน หารือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงแรงงานรับข้อเสนอความคิดเห็นต่อกฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ในการกำหนดอัตราการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐวิสาหกิจให้ความร่วมมือในการรับคนพิการเข้าทำงานเช่นเดียวกับภาคเอกชนด้วย ๒.๑.๕.๖ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปเร่งรัดดำเนินการในเส้นทางที่ได้ทำการศึกษารายละเอียดไว้แล้ว และพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการขยายโครงข่ายระบบรางให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕.๗ โครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดความสูญเสียจากกลุ่มอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอโครงการฯ และเพิ่มศักยภาพการผลิตสินค้ากุ้งทะเลไปพิจารณาในการวางแนวทางในการบริหารจัดการโครงการฯ ให้มีความชัดเจน สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว ๒.๑.๕.๘ กฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริกา (Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA) ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการผลักดันกรอบการเจรจา Intergovernmental Agreement (IGA) เรื่องกฎหมายป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีของสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเ
|
||||||||||||||||||
1852 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งจากคลองบางไผ่ใหญ่ถึงคลองบางสีทอง จังหวัดนนทบุรี | กษ | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งจากคลองบางไผ่ใหญ่ถึงคลองบางสีทอง จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๒๗,๐๐๖,๑๘๐.๔๘ บาท และเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ๗๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๘๐,๙๑๖,๑๘๐.๔๘ บาท ๑.๒ ให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๕๗ ทั้งนี้ สำหรับค่างานส่วนที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๒๗,๐๐๖,๑๘๐.๔๘ บาท ให้กรมชลประทานขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่างานดังกล่าวต่อไป ๒. ในการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งดังกล่าว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ตรวจสอบข้อกฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการเดินเรือในน่านน้ำไทย ประมวลกฎหมายที่ดิน และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น และดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย และระเบียบหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประโยชน์สาธารณะโดยไม่กระทบถึงสิทธิของเอกชนที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่ได้ขยาย และก่อนการดำเนินโครงการก่อสร้างอื่นในอนาคต ควรมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียก่อน พร้อมทั้งมีการศึกษาออกแบบการก่อสร้างที่เหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้างอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อป้องกันการแก้ไขแบบก่อสร้างในภายหลัง ซึ่งจะทำให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้างและสิ้นเปลืองงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1853 | ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | อก | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยประชาชนศรีลังกาและสาธารณรัฐมัลดีฟส์) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการบริหารจัดการโลจิสติก์ทั้งระบบซึ่งเชื่อมโยงและเป็นประโยชน์ต่อการส่งออก รวมทั้งเป็นช่องทางในการขยายตลาดสินค้าของไทยในศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอื่น ๆ เช่น อินเดีย ซึ่งในการดำเนินการตามติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีปัญหาและอุปสรรค และแนวทางการแก้ไข สรุปได้ ดังนี้
๑. ปัญหาและอุปสรรค ผลจากการดำเนินการพบว่า ปัจจุบันการบริหารจัดการโลจิสติก์ในสถานประกอบการของภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing logistics) ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่าในอนาคต เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในสถานประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในศรีลังกาและประเทศใกล้เคียงอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการต่าง ๆ ของแผนแม่บทการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหรรม (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ซึ่งปัญหาและอุปสรรคสำคัญในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ทั้งระบบฯ ในขณะนี้ คือ ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโลจิสติกส์ (Logistics Infrastructure) โดยเฉพาะการขาดท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ฝั่งทะเลอันดามันที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งและขนถ่ายสินค้าทางทะเลจากประเทศไทยไปยังเอเชียใต้โดยตรง รวมทั้งศูนย์ขนถ่ายและการกระจายสินค้าในพื้นที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันตก ๒. แนวทางการแก้ไข กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการเพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว ได้แก่ ๒.๑ โครงการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่เพื่อประกอบการกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมในพื้นที่ชายแดนด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง และพื้นที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดน (ด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง และพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี) ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งสินค้าผ่านแดนและเชื่อมโยงกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายสำหรับนิคมอุตสาหกรรมทวายในสหภาพเมียนมาร์ ๒.๒ โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ กลยุทธ์และข้อเสนอแนะในเชิงลึกที่เหมาะสมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงการผลิต การค้า การลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน และเสนอแนะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ ศึกษาและกำหนดรูปแบบทางเทคนิคและวิศวกรรม (Conceptual Design) ของเขตการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการที่บ่งบอกถึงการใช้ที่ดินและระบบกิจกรรมภายในพื้นที่ (Land Use) ๒.๓ โครงการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในพื้นที่ฝั่งตะวันตกตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economics Corridor EWEC) เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยสอดคล้องและเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจะเป็นการสร้างโอกาสสำคัญในการเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนภายในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย
|
||||||||||||||||||
1854 | ข้อเสนอความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว | นร05 | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ตามมติที่ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานหลักที่ร่วมประสานปฏิบัติภารกิจในโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความร่วมมือหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจในสังกัดในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR) เพื่อร่วมสมทบทุนการศึกษาในโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทุกปี ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ปีละประมาณ ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||
1855 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๒๘๖ ล้านบาท เป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๖,๐๗๓.๕ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๑๕,๖๔๘.๒ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๒๘ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น เจ้าของเรื่องพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติอีกครั้งหนึ่งเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๒ อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ข้อ ๑.๓ และข้อ ๑.๖ และตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ (เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗) ตามข้อ ๒ สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๑.๓ อนุมัติให้สำนักราชเลขาธิการเปลี่ยนแปลงวงเงินที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๑.๔ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๑.๕ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมดูแลการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นในภาพรวมของแต่ละปีงบประมาณให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการดำเนินโครงการหรือแผนงานต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล และใช้ประกอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป
|
||||||||||||||||||
1856 | ขอจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการขายข้าวสารที่ใช้ไปในโครงการตามนโยบายของรัฐบาล | พณ | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ที่อนุมัติงบประมาณเพื่อชดเชยส่วนต่างของราคาที่ได้รับอนุมัติให้จำหน่ายกับราคาตลาดจากการดำเนินโครงการข้าวสารบริจาค ข้าวสารธงฟ้า และข้าวสารจำหน่ายให้องค์กรของรัฐ ในวงเงิน ๗,๐๔๘.๑๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้มีการส่งมอบและ/หรือการจำหน่ายข้าวในสต็อกของโครงการรับจำนำที่มีระดับราคาต่ำกว่าราคาตลาด ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยให้จัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปี ๒๕๕๗ และให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในระยะต่อไปหากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะดังกล่าว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ และขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการชดเชยส่วนต่างราคาตามที่ได้รับอนุมัติในข้อ ๑ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและเบิกจ่ายงบประมาณตามจำนวนที่จะต้องชดเชยจริงภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติดังกล่าวต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักปฏิบัติว่าในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานใดมีความจำเป็นต้องจัดหาสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภคชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสต็อกของรัฐบาล (เช่น ข้าวสาร เป็นต้น) เพื่อนำไปใช้ช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามนโยบายรัฐบาล (เข่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัย กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดจำหน่ายข้าวสารราคาถูกแก่ประชาชน และกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จัดหาข้าวสารเพื่อใช้จัดเลี้ยงผู้ต้องขัง เป็นต้น) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้น ๆ ดำเนินการจัดหาโดยใช้จ่ายจากงบประมาณที่หน่วยงานได้รับการจัดสรรแล้ว หรือดำเนินการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อการดังกล่าวไว้ที่หน่วยงานของตน โดยรายละเอียดในการเบิกจ่ายให้ขอตกลงกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
1857 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" | สสป | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมเจ้าท่า กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การรถไฟแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แต่งตั้งหน่วยงานให้ทำหน้าที่หลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้ชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการต่อไปอย่างไร และจะมีโครงการเกี่ยวเนื่องอะไรที่เป็นข้อกังวลของภาคประชาชน ๒. มอบให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐในภาคใต้ให้ชัดเจน โดยเปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ผู้เกี่ยวข้อง นักวิชาการ มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มจนแล้วเสร็จ ๓. จัดตั้งคณะกรรมการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ขึ้น โดยมีหน้าที่ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลแนวนโยบายของรัฐ แนวทางและแผนการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดของหน่วยราชการทุกหน่วย โดยจะต้องสื่อสารและประชาสัมพันธ์ข้อมูลตามความเป็นจริงทั้งในด้านบวกและลบ และอยู่บนหลักการที่ถูกต้องอย่างจริงใจ ทั้งนี้ คณะกรรมการควรประกอบด้วยหน่วยงานที่สามารถประสานกระทรวงต่าง ๆ ที่มีโครงการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่นี้และหน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมด้วย และควรมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเหมือนกับคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ๔. เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย ในพื้นที่โดยรอบซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกปากบาราให้เข้ามามีส่วนร่วม ตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถเปิดดำเนินการให้บริการแล้วอย่างเต็มที่ โดยกำหนดให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน โดยใช้แนวทางการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ๕. โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา ระยะที่ ๑ ที่ได้รับความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ไปแล้วนั้น สมควรที่จะต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (Environmental and Health Impact Assessment : EHIA) ตามกฎหมายใหม่ ๖. ให้กำหนดระยะการพัฒนาในภาพรวมให้ชัดเจน พร้อมทั้งระบุระยะการพัฒนาในแต่ละเฟสให้ชัดเจนด้วย โดยให้พัฒนาในเฟสแรกก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องพัฒนาในระยะต่อไป ให้ประเมินความพร้อมและความคุ้มค่า รวมทั้งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายก่อน ๗. ต้องมีการบูรณาการระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่ของภาคต่าง ๆ กับท่าเรือน้ำลึกปากบาราอย่างชัดเจน มีมาตรการรองรับและสนับสนุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่จำเป็น รวมถึงกฎหมาย ระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุน และการดำเนินโครงการมีมาตรการชดเชย เยียวยา การอุดหนุนต่าง ๆ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนโหมดการขนส่งมาใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ๘. ต้องมีหลักประกันให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราเป็นลำดับแรกด้วยการจัดหาพื้นที่รองรับการย้ายถิ่นฐานของชุมชน มีการพัฒนาที่ดิน พัฒนาอาชีพ มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค-สาธารณูปการ การสาธารณสุข การศึกษา อย่างต่อเนื่องเป็นธรรมและมีส่วนร่วมของประชาชน ๙. การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา ให้คำนึงถึงการใช้เทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและประสิทธิภาพสูง รวมทั้งระบบการบริหารท่าเรือสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพในระดับสากล โดยปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Mitigation Plan : EIMP) และอื่น ๆ ที่เสนอในรายงาน EIA และหรือรายงาน EHIA อย่างเคร่งครัด ๑๐. ต้องมีมาตรการจูงใจส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้ประโยชน์จากท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบาราอย่างเต็มศักยภาพ ส่งเสริมให้มีปริมาณสินค้าที่มากพอที่เรือทางยุโรปจะเข้าเทียบท่า รวมทั้งมีมาตรการส่งเสริมการใช้ท่าเรือ เช่น การคิดค่าธรรมเนียมการใช้ท่าเรือที่ต่ำกว่าท่าเรือใกล้เคียง การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่สินค้าที่ใช้ท่าเรือน้ำลึกปากบารา เป็นต้น ๑๑. ให้ความสำคัญกับท่าเรือน้ำลึกปากบาราในด้านความมั่นคงของชาติด้วย
|
||||||||||||||||||
1858 | แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประกอบด้วย ๑๑ โครงการ ๓ แผนงาน วงเงินลงทุนรวม ๑๐๓,๑๓๐ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินลงทุนและร่วมลงทุนรวม ๓๒,๗๓๒ ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๓๕,๘๖๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๑.๒ ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ การคัดเลือกพื้นที่ดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงานทดแทนอย่างละเอียดรอบคอบ การควบคุมการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดและสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลานั้น ๆ การพิจารณาประเมินแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลโครงการลงทุนต่าง ๆ และพิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาทั้งในกรณีการวิจัยพัฒนาต้นแบบ การวิจัยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการขยายผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและมาตรการการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น การกำหนดทางเลือกการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ประหยัดค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน การคิดค่าไฟฟ้าแบบเหมารวม (package) ที่เหมาะสม และการใช้พลังงานทางเลือกต่าง ๆ เพื่อรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย เป็นต้น รวมทั้งการปรับโครงสร้างภาษี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
1859 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต | คค | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) วงเงิน ๓๘,๑๖๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยใช้แหล่งเงินกู้จากร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ทั้งหมด และให้ รฟม. รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรมีการประสานกับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีพื้นที่ว่างเปล่าตามแนวสายทางเพื่อร่วมกันพัฒนาและบริหารการใช้พื้นที่เพื่อเป็นสถานที่จอดรถรองรับการเปลี่ยนแปลงการเดินทางจากรถยนต์ส่วนบุคคลมาใช้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมเพิ่มเติม โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การพิจารณารูปแบบการลงทุนและการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าจะต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดรูปแบบการลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อภายในระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ และควรเป็นรูปแบบที่สามารถสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อฐานะการเงินของ รฟม. และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. และภาระทางการเงินของภาครัฐในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติม นอกจากนี้ ในช่วงก่อนดำเนินโครงการฯ รฟม. จะต้องพิจารณาปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาต้นทุนทางการเงินของโครงการฯ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ราคาค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในช่วงระยะการดำเนินโครงการก่อสร้าง ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวัง โดยยึดความปลอดภัยและควบคุมป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. เร่งพิจารณารูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าที่มีความเหมาะสม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว เพื่อให้โครงการฯ สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดในปี ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ในการพิจารณารูปแบบการลงทุนฯ ควรพิจารณารูปแบบที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางเชื่อมต่อและใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะของประชาชน และไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงิน และขีดความสามารถในการลงทุนของ รฟม. รวมทั้งภาระทางการเงินของภาครัฐ ๑.๓ สำหรับการขอยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และให้ดำเนินการจัดจ้างด้วยวิธีการประกวดราคาแบบแข่งขันราคานานาชาติ นั้น ให้ รฟม. เสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่อไป ๒. ในส่วนของการดำเนินการด้านการเงิน (financing) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. ประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1860 | โครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ 3 | พน | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ ๓ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๑๐๐ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๗ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓๓๓.๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้ กฟผ. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบขั้นตอนการดำเนินงานอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการขยายและปรับปรุงระบบไฟฟ้า การทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Hedge) การวิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของระบบพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการเตรียมแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการจัดหาเชื้อเพลิงและกำลังผลิตไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การให้ความสำคัญกับการส่งเสริม รณรงค์ และให้ความรู้กับผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน การดำเนินโครงการฯ ด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะกรณีโครงการที่มีการรอนสิทธิจากพื้นที่เอกชน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบและเกิดการต่อต้านโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ในการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบและมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นลำดับแรก รวมทั้งบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้สอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน โดยพิจารณากำหนดแผนการบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการตั้งไว้ และให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว โดยพิจารณารูปแบบการระดมทุนที่มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....