ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 100 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1981 - 2000 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1981 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง | สสป | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งทางราง และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมการขนส่งทางบก กรมเจ้าท่า กรมการบินพลเรือน กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายของรัฐบาล รัฐควรดำเนินการจัดให้มีแผนแม่บทอย่างชัดเจนของระบบโลจิสติกส์ของประเทศในการจัดการการขนส่งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประกาศนโยบายให้การขนส่งทางรางเป็นวาระแห่งชาติโดยเร่งด่วน ศึกษาแนวทางการขยายโครงข่ายการขนส่งทางรางของประเทศจีนซึ่งจะเป็นผู้นำและรุกคืบมาในภูมิภาคอาเซียน และเปิดให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนแก้ไขปัญหาการขนส่งของประเทศ เป็นต้น ๒. ด้านโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการพัฒนาความเชื่อมโยงการขนส่งภายในประเทศ ทั้งทางราง ทางอากาศ ทางถนน และทางน้ำ จัดให้มีการศึกษาการใช้นวัตกรรมและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และมีความปลอดภัยกับการใช้บริการ จัดให้มีระบบการเชื่อมโยงของระบบการขนส่งและโลจิสติกส์ให้ทั่วถึงในแต่ละภูมิภาค ลดต้นทุนโลจิสติกส์เพื่อช่วยเหลือ ชดเชยผู้ประกอบการที่มีปัญหาต้นทุนในปัจจุบัน โดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่ง จากการขนส่งทางถนนไปสู่ทางรางและทางน้ำ พัฒนาท่าอากาศยานหลักในแต่ละภูมิภาคของประเทศ เริ่มโครงการรถไฟความเร็วสูงทั้งเส้นทาง ในเส้นทางหลัก กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-ระยอง และเปิดเขตการค้าเสรีของประชาคมอาเซียน เป็นต้น ๓. ด้านกฎหมายที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ รัฐควรดำเนินการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของประเทศด้านระบบโลจิสติกส์ แก้กฎหมาย และปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความบูรณาการและสอดคล้องต่อการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และแก้ไขกฎระเบียบการขนส่งสินค้าและการเดินทางของผู้โดยสาร และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการข้ามพรมแดน รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจใช้กฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ๔. ด้านระบบบริหารจัดการ รัฐควรดำเนินการจัดตั้งทบวงโลจิสติกส์หรือองค์กรมหาชนเพื่อรับผิดชอบนโยบายหลักด้านโลจิสติกส์ของประเทศ จัดตั้งหน่วยงานที่จะเป็นศูนย์กลางในการรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม ปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับงานวิจัย ศูนย์ข้อมูล จัดตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการระบบโลจิสติกส์ของประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องกับนโยบายและแผนงานโครงการ เร่งสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ชำนาญการจากต่างประเทศโดยเฉพาะการขนส่งทางราง จัดตั้งสถาบัน หลักสูตรโลจิสติกส์ในสถาบันการศึกษา หรือจัดตั้งสภาวิชาชีพโลจิสติกส์ เป็นต้น ๕. ด้านการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รัฐควรดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เช่น จัดทำประชาพิจารณ์ ประชาสัมพันธ์โครงการ เวทีสนทนา การประชุมเชิงวิชาการ การสำรวจปัญหา/ความต้องการ และความพึงพอใจของประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง สำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สำรวจความคิดเห็นของทั้งบุคลากร องค์กร สมาคม นักวิชาการ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินโครงการ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
1982 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๖๓๕.๐๖๖๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๔,๕๓๗.๗๐๑๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๒๘๑.๖๒๑๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๒๕ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๑๐๗,๓๐๙.๖๑๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๗๐ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๕ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๖ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๙ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่ส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีก จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น จำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ๑.๔ ส่วนราชการฯ แจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ อย่างเป็นทางการ (เพิ่มเติม) จำนวน ๖ หน่วยงาน วงเงินรวม ๑๖๑.๗๐๙๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้าง/งานดำเนินการเอง และได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ ที่ยังไม่ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณในโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ โครงการ/รายการ วงเงินรวม ๒๖๒.๙๓๗๐ ล้านบาท เร่งรัดการขอรับการจัดสรรงบประมาณไปยังสำนักงบประมาณตามขั้นตอน โดยให้ดำเนินการเสนอขอขยายระยะเวลาการจัดสรรงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่สามารถดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ได้ทันภายในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และหากยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้องเป็นรายกรณี ๓. ให้สำนักงบประมาณดำเนินการตามขั้นตอนเงินประจำงวดที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐแจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่าย จำนวน ๖ หน่วยงาน วงเงินรวม ๑๖๑.๗๐๙๐ ล้านบาท ซึ่งได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว เพื่อกำหนดไว้ในงบกลาง รายการเดิม สำหรับรองรับโครงการ/รายการอื่นๆ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐยังมีความจำเป็นและเร่งด่วนในการเสนอขอรับการจัดสรรตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1983 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 12 | ทก | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๒ (The 12th ASEAN Telecommunications and IT Ministers Meeting : The 12th TELMIN) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของกิจกรรม/โครงการภายใต้การดำเนินงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ รวมทั้งข้อเสนอของ TELSOM ที่จะมีการทบทวนแผนแม่บทไอซีทีอาเซียนเพื่อประเมินผลสำเร็จและการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ โดยจะเป็นการทบทวนข้อริเริ่มแผนงานที่บรรจุภายใต้แผนแม่บทฯ รวบรวมสถานะ การดำเนินโครงการ และผลการศึกษา รวมถึงจัดทำตัวชี้วัดการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ โดยจะเริ่มดำเนินการและจัดทำให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒. ที่ประชุมได้รับรองผลการประชุมสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน (ATRC) ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๔-๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองสีหนุวิลล์ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ คณะทำงานเฉพาะกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศอาเซียน การจัดให้มีเวทีการส่งเสริมการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงปลอดภัย กฎระเบียบด้านความมั่นคงปลอดภัยบนโครงข่าย การรณรงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการบริหารจัดการคลื่นความถี่ ๓. ที่ประชุมรับทราบสถานะของเงินกองทุนไอซีทีอาเซียน (ASEAN ICT Fund) ซึ่งเป็นเงินสมทบจากประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ ที่ใช้ในการสนับสนุนโครงการ/กิจกรรม ความร่วมมือด้านไอซีที โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีเงินคงเหลือ จำนวน ๓,๗๑๙,๒๔๖.๗๒ ดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้ ได้เห็นชอบและอนุมัติงบประมาณ จำนวน ๔๖๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากกองทุนฯ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการด้านไอซีที ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๔. ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาเซบู ว่าด้วยการมุ่งไปสู่เป้าหมายการเชื่อมโยงในอาเซียน (Mactan Cebu Declaration : Connected ASEAN : Enabling Aspirations) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการดำเนินความร่วมมือและการพัฒนาไอซีทีในภูมิภาคอาเซียนให้มีความแข็งแกร่ง โดยให้ความสำคัญกับการนำไอซีทีมาขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมของประชาชน การเสริมสร้างศักยภาพให้กับประชาชน การสร้างนวัตกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และลดช่องว่างทางดิจิทัล รวมถึงกำหนดแผนงานที่มีความสำคัญต่อการดำเนินการตามแผนแม่บทไอซีทีอาเซียน ๕. ที่ประชุมยินดีต่อการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาไอซีทีและสนับสนุนอาเซียนในการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ภายใต้แผนแม่บทไอซีทีอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1984 | พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] เฉพาะในส่วนที่กำหนดว่า ภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญา ที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญา ในคราวเดียวกัน ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) สัญญาที่ ๒ (งานก่อสร้างงานโยธา ทางยกระดับและสถานีช่วงบางซื่อ-รังสิต) และสัญญาที่ ๓ (งานออกแบบจัดหาและติดตั้งระบบ E&M ช่วงบางซื่อ-รังสิต) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒.๒ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการฯ ของสัญญาที่ ๒ เพิ่มเติมจากจำนวน ๑๙,๓๑๔ ล้านบาท เป็น ๒๑,๒๓๕.๔๔ ล้านบาท และให้ รฟท. ดำเนินการโครงการฯ เพื่อนำไปสู่การก่อสร้างงานโยธาในสัญญาที่ ๑ และ ๒ ตามลำดับขั้นตอนการดำเนินโครงการต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. ดำเนินการกู้เงินภายในประเทศเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในส่วนของงานสัญญาที่ ๑ จำนวน ๒,๘๕๔.๔๘ ล้านบาท และสัญญาที่ ๒ จำนวน ๒,๐๓๒.๑๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ รฟท. และกระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ๒.๒.๑ แผนการดำเนินงานของโครงการฯ ทั้งในด้านการก่อสร้างงานโยธา (สัญญาที่ ๑ และ ๒) และการจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้า (สัญญาที่ ๓) รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกวดราคาของสัญญาที่ ๓ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินการก่อสร้างงานโยธา (งานสัญญาที่ ๑ และ ๒) และสร้างความเชื่อมั่นว่า รฟท. จะสามารถจัดหารถไฟฟ้ามาให้บริการประชาชนได้ทันทีที่การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ ๒.๒.๒ เร่งจัดทำรายงานการประมาณการวงเงินเบิกจ่ายของโครงการฯ เสนอสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาตามขั้นตอน เนื่องจากปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้มีมติเห็นชอบแผนก่อหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ปัญหางานรื้อย้ายสาธารณูปโภคก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและวงเงินก่อสร้างตามสัญญา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายที่รัฐบาลจะต้องรับภาระการชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1985 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" ครั้งที่ 2 | พณ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ๑.๒ แนวทางการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ในระยะต่อไป โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ร้านถูกใจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน การใช้งบประมาณอย่างประหยัดเท่าที่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินโครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ จัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพตรงกับความต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยราคาจำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ๑.๒.๒ ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ๑.๒.๓ ปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการโครงการฯ ในการจัดเตรียมสินค้าของผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และการกระจายสินค้าให้ร้านถูกใจได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และปริมาณสินค้าตามความต้องการเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๒.๔ ปรับลดหรือยกเลิกเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยเพิ่มส่วนเหลื่อมการตลาดให้แก่ร้านถูกใจ เพื่อให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ๑.๒.๕ ประเมินผลร้านถูกใจและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการฯ กรณีขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า หากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าแล้ว ควรปรับวิธีการจัดเตรียมสินค้าที่มีแหล่งผลิตในภูมิภาคแทนการจัดเตรียมจากส่วนกลาง โดยเฉพาะข้าวสาร ข้าวเหนียว เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายสูงในการขนส่งและความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าให้กับร้านค้าถูกใจในแต่ละพื้นที่ ส่วนปัญหาระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าล่าช้า รวมถึงผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้ายังไม่สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้ตรงตามความต้องการและระยะเวลาที่กำหนด ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อให้รวดเร็ว โดยอาจเพิ่มระยะเวลาหรือจำนวนรอบการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ และจัดระบบการกระจายสินค้าในภูมิภาค และสำรวจความต้องการสินค้าของประชาชนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านถูกใจ รวมถึงการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการ “ร้านถูกใจ” ในระยะยาวภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเครือข่ายขนส่งและการกระจายสินค้า เพื่อให้ “ร้านถูกใจ” ดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณ และสามารถจัดจำหน่ายสินค้าชนิดต่างๆ ให้แก่ประชาชนผู้บริโภคได้ในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1986 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้แก้ไขรายงานฯ หน้า ๑๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐ เพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กระจายการลงทุนด้านบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไปยังส่วนภูมิภาคและชนบท และดำเนินโครงการลงทุนที่มีความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ รายละเอียดการกู้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๓๙๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๔๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท จากเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบ Term Loan เป็นเงินกู้ระยะยาวในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ๑.๓ ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับ จะช่วยพื้นที่รับน้ำจากระบบชลประทานและเพิ่มพื้นที่การเกษตรให้แก่เกษตรกร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งของประเทศ เพิ่มการจ้างงานและโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุข ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษา วิเคราะห์สาเหตุของความล่าช้าของการเบิกจ่ายเงินในการดำเนินโครงการภายใต้การกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเสนอแนะมาตรการติดตามการใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1987 | โครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สองเพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน | ศธ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สอง เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ ๑.๑.๑ เพื่อผลิตครูสอนภาษาต่างประเทศที่มีวุฒิวิชาเอกภาษานั้น ๆ ให้แก่โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวม ๖๐๐ คน ในช่วงระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑) ประกอบด้วย ภาษาญี่ปุ่น ๒๐๐ คน ภาษาเกาหลี ๑๔๐ คน ภาษาเยอรมัน ๔๐ คน ภาษาฝรั่งเศส ๖๐ คน ภาษาสเปน ๔๐ คน ภาษารัสเซีย ๒๐ คน ภาษาเวียดนาม ๒๕ คน ภาษาพม่า ๒๕ คน ภาษาเขมร ๒๕ คน ภาษาบาฮาซามาเลย์/อินโดนีเซีย ๒๕ คน ๑.๑.๒ เพื่อบรรจุครูสอนภาษาต่างประเทศตรงวุฒิเข้ารับราชการครู โดยจัดสรรอัตราบรรจุ จำนวน ๖๐๐ อัตรา ให้แก่โรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศที่เปิดสอนภาษาต่างประเทศที่สอง เริ่มบรรจุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ๑.๒ ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ระยะเวลาการจัดสรรทุน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และระยะเวลาในการบรรจุแต่งตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) ๑.๓ งบประมาณดำเนินโครงการ จำนวน ๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพัฒนาครูสอนภาษาต่างประเทศที่มีอยู่ให้มีศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศที่สองได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสานการดำเนินงานกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านภาษาต่างประเทศในสาขาขาดแคลนควบคู่กับการจ้างครูเจ้าของภาษามาสอน รวมทั้งบริหารจัดการอัตราข้าราชการครูภายใต้กรอบอัตรากำลังตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐได้ดำเนินการจัดสรรอัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนให้กระทรวงศึกษาธิการตามความเหมาะสมและความจำเป็น นอกจากนี้ ควรนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการจัดการเรียนการสอนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ส่วนการขออัตรากำลังข้าราชการครู เพื่อบรรจุผู้รับทุน จำนวน ๖๐๐ อัตรา และงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งข้อมูลความต้องการดังกล่าว ให้สำนักงาน ก.พ. นำเสนอคณะทำงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธาน เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1988 | การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร05 | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนงานส่งเสริมการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและภูมิภาค และเร่งจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างท่าเรือขนาดเล็ก ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จะเริ่มก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ถนน ๔ เลน และสาธารณูปโภคต่าง ๆ และในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ จะดำเนินการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ระยะที่สอง อย่างเต็มรูปแบบและเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐานรองรับ จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดเตรียมแผนการส่งเสริมให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เพิ่มมากขึ้น ๒. การเปิดจุดผ่านแดนถาวร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์แสดงความพร้อมที่จะยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าด่านสิงขร (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) จุดผ่านแดนชั่วคราวด่านพุน้ำร้อน (จังหวัดกาญจนบุรี) และจุดผ่านแดนชั่วคราวด่านเจดีย์สามองค์ (จังหวัดกาญจนบุรี) เป็นจุดผ่านแดนถาวร ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย โดยฝ่ายไทยจะพิจารณาเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนและปรับปรุงเส้นทางรถไฟที่มีอยู่เดิมเพื่อให้เกิดการคมนาคมขนส่งที่สะดวกและมีการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ๓. ความร่วมมือในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญและตระหนักถึงการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนร่วมกัน โดยการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility : CSR) ภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดีควบคู่ไปด้วย จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1989 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ 8 | ศธ | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) ครั้งที่ ๘ (การดำเนินโครงการสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๑ การโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุน ในส่วนของทุนในประเทศ ได้ประสานสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสถาบันฝ่ายผลิตให้จัดส่งรายละเอียดพร้อมหลักฐานของนักเรียนทุนทุกระดับเพื่อโอนเงินในภาคการศึกษาที่ ๒/๒๕๕๓ และภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๕๔ สำหรับทุนต่างประเทศ ได้ประสานสำนักงาน ก.พ. และโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนผูกพันปีการศึกษา ๒๕๕๓ ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๔ และทุนใหม่ปีการศึกษา ๒๕๕๔ โดยแบ่งเป็นนักเรียนทุนที่เดินทางไปศึกษาตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐๔ คน และที่เดินทางไปศึกษาตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) จำนวน ๕๖ คน ๑.๒ การนำงบประมาณที่เหลือจัดสรรทุนเป็นทุนปีการศึกษา ๒๕๕๔ จากการสอบแข่งขันเพื่อรับทุนโครงการฯ จำนวน ๓ ครั้ง มีผู้ผ่านการสอบแข่งขัน จำนวน ๑๗๘ คน และมีทุนเหลือจำนวนหนึ่งจากที่บางสาขาวิชาไม่มีผู้สอบผ่าน บางสาขาวิชาที่ขาดแคลนแต่ไม่มีผู้สมัคร คณะอนุกรรมการบริหารโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์จึงได้นำทุนที่เหลือดังกล่าวมายุบรวมเพื่อจัดสรรทุนใหม่ในปีการศึกษา ๒๕๕๔ โดยใช้แนวการพัฒนาบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาและแสวงหานักเรียนทุนจากผู้ที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยที่อยู่ในการจัดลำดับที่ดีและไม่มีภาระทุนผูกพัน และดำเนินการพิจารณาคัดเลือกเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ มีผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน ๗๗ ทุน ทั้งนี้ สกอ. ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้รับทุนและจัดปฐมนิเทศนักเรียนทุน เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ๒. ผลการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ การโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุน ในส่วนของทุนในประเทศ ได้ประสานสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นสถาบันฝ่ายผลิตให้จัดส่งรายละเอียดพร้อมหลักฐานของนักเรียนทุนทุกระดับ เพื่อโอนเงินในภาคการศึกษาที่ ๒/๒๕๕๔ และภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๕๕ สำหรับทุนต่างประเทศ ได้ประสานสำนักงาน ก.พ. และโอนเงินค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนผูกพันปีการศึกษา ๒๕๕๓ ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๔ และปีการศึกษา ๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔) และทุนใหม่ปีการศึกษา ๒๕๕๕ ที่เดินทางไปศึกษาตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๖๙ คน ๒.๒ การนำงบประมาณที่เหลือจัดสรรทุนเป็นทุนปีการศึกษา ๒๕๕๕ จากการที่ สกอ. ได้รับการจัดสรรงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนงานโครงการฯ คณะอนุกรรมการบริหารโครงการฯ จึงมีมติเห็นควรนำงบประมาณที่คาดว่าจะเหลือจากการโอนเงินเบิกจ่ายให้แก่นักเรียนทุนผูกพันของโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว มาจัดสรรเป็นทุนใหม่ปีการศึกษา ๒๕๕๕ และดำเนินการคัดเลือกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน ๑๐๐ ทุน จำแนกเป็นนักเรียนทุนลำดับสำรองปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๔ จำนวน ๑๙ ทุน ผู้ผ่านการพิจารณาในเบื้องต้นปีการศึกษา ๒๕๕๔ จำนวน ๘ ทุน และผู้ผ่านการคัดเลือกตามที่มหาวิทยาลัยและสถาบันขอรับการจัดสรรทุน จำนวน ๗๓ ทุน ทั้งนี้ สกอ. ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้รับทุนและจัดปฐมนิเทศนักเรียนทุน เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ๓. ร้อยละของการดำเนินการตามเป้าหมาย ผลการดำเนินการคัดเลือกเพื่อรับทุนโครงการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นทุนระดับปริญญาตรี ปริญญาโท-เอก และปริญญาเอก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน ๑๗๗ ทุน (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๗๗ ทุน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๐๐ ทุน รวมนักเรียนทุนสะสม จำนวน ๓๕๘ ทุน จาก ๑,๑๖๐ ทุน) คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๘๖ ๔. จำนวนเงินงบประมาณที่ใช้จ่าย ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๕๔,๔๓๓,๔๐๐ บาท แต่มีงบประมาณที่ได้อนุมัติขยายกันเงินเบิกเหลื่อมปี จำนวน ๖๐,๖๒๑,๗๕๑.๗๕ บาท (ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๓๑๑,๐๒๕.๖๐ บาท และปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๖๐,๓๑๐,๗๒๖.๑๕ บาท) รวมเป็นเงิน ๒๑๕,๐๕๕,๑๕๑.๗๕ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒๘๗,๔๐๐,๐๐๐ บาท รวมกับงบประมาณที่โอนมาพร้อมจำนวนทุนปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๔๓,๘๒๙,๖๘๒.๔๓ บาท รวมเป็นเงิน ๔๓๑,๒๒๙,๖๘๒.๔๓ บาท ๕. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ อาทิ ความหลากหลายของสาขาวิชาทำให้การพิจารณาจัดสรรทุนต้องใช้เวลาและจัดหาข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา การกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครสอบแข่งขันเพื่อรับทุนมีความแตกต่างกันตามสาขาวิชาที่หลากหลาย การกำหนดให้ผู้รับทุนในระดับปริญญาตรีต้องผูกพันชดใช้ทุนในสถาบันอุมดมศึกษาทำได้ยาก เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี อัตรากำลังรองรับที่จะบรรจุเข้าทำงานจึงต้องเป็นระดับปริญญาเอก และอาจมีบางสาขาที่จำเป็นต้องรับในระดับปริญญาโท รวมทั้งระยะเวลาการศึกษาของผู้รับทุนในบางสาขาวิชาไม่สามารถสำเร็จการศึกษาตามที่กำหนดไว้ในโครงการฯ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
1990 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๙๓.๐๖๖๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๔,๒๕๖.๐๗๙๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๑๑.๓๓๒๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๑๐ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๕,๕๘๘.๓๙๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๒๙ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๕ กระทรวง ส่วนมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๖ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๙ จังหวัด ๓. การใช้จ่ายงบประมาณจากเงินที่แจ้งส่งคืน คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ โดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืน จำนวนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณแล้ว จำนวน ๕,๖๑๔.๙๘๘๗ ล้านบาท มีส่วนราชการฯ ยังไม่ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๔ โครงการ/รายการ วงเงิน ๒๖๒.๙๓๗๐ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างส่วนราชการฯ พิจารณาขอขยายระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1991 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ๑.๑ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไม่กระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเป็นมาตรการที่เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า หรือเทียบเท่ามาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ แล้ว ให้หน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติหรืออนุญาตรับพิจารณาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ พร้อมกับสำเนาเรื่องแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบ หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้จัดส่งรายงานการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงแก้ไข ๑.๓ ให้ รฟม. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๔ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวอ่อน ส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ๒.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒.๒ ให้ รฟท. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||
1992 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๙๓.๐๖๖๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๔,๑๔๔.๗๔๗๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๙๕.๒๒๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๘ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๕,๑๖๔.๘๗๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๙๔ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๕ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๕ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๐ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง ฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้นจำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
1993 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | ศธ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน ๔ รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔,๓๓๐,๙๐๐ บาท ได้แก่ ปรับปรุงสนามบาสเกตบอลและสนามเซปักตะกร้อ จำนวน ๒ สนาม เป็นเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ปรับปรุงสนามเบสบอล จำนวน ๑ สนาม เป็นเงิน ๔,๗๔๐,๐๐๐ บาท ปรับปรุงอาคารภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ ๑,๑๐๐ ตารางเมตร เป็นเงิน ๓,๖๓๙,๓๐๐ บาท และปรับปรุงอาคารวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ๑ งาน เป็นเงิน ๓,๔๕๑,๖๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกรอบระยะเวลาในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวม และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้หน่วยงานกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ตรวจสอบการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) หากไม่สามารถดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ให้เสนอสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1994 | การลงนามร่างแก้ไขเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาประชาคมยุโรป - อาเซียน ระยะที่ 3 (ECAP lll) | พณ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงนามในหนังสือแก้ไขเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาประชาคมยุโรป-อาเซียน ระยะที่ ๓ (ECAP III) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สหภาพยุโรปได้มีหนังสือถึงรองเลขาธิการอาเซียนแจ้งว่า สืบเนื่องจากการที่สำนักงานสิทธิบัตรยุโรป (European Patent Office : EPO) ได้ถอนตัวออกจากการเป็นผู้ร่วมดำเนินโครงการความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาประชาคมยุโรป-อาเซียน (European Community and ASEAN Project on Protection of Intellectual of Property Rights : ECAP) ระยะที่ ๓ (โครงการ ECAP III) ตั้งแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ เนื่องจากโครงการดังกล่าวครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายประเภท ทั้งเครื่องหมายการค้า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น มิใช่เฉพาะเรื่องสิทธิบัตรที่ EPO มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น สหภาพยุโรปจึงขอชะลอการดำเนินโครงการ ECAP III ไว้ชั่วคราว เพื่อหารือรายละเอียดข้อเสนองบประมาณ และจัดหาผู้ร่วมดำเนินโครงการใหม่ และตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป การเปลี่ยนแปลงผู้ดำเนินโครงการถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะต้องมีการแก้ไขรายละเอียดในเอกสารสัญญา (Financing Agreement) โครงการ ECAP III และให้มีการลงนามระหว่างสหภาพยุโรป และเลขาธิการอาเซียนอีกครั้ง ๒. ในการประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาอาเซียน (ASEAN Working on Intellectual Property Cooperation : AWGIPC) ครั้งที่ ๓๗ ระหว่างวันที่ ๒๘ มีนาคม-๑ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต ผู้แทนสหภาพยุโรปแจ้งว่า สำนักงานจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและการออกแบบแห่งยุโรป (the Office of Harmonisation in the Internal Market : OHIM) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรการออกแบบได้ตอบรับเข้าเป็นผู้ดำเนินโครงการ ECAP III แทน EPO ที่ขอถอนตัวไป ดังนั้น ฝ่ายสหภาพยุโรปจะปรับเอกสารสัญญา (Financing Agreement) โครงการ ECAP III ให้ฝ่ายอาเซียนพิจารณา ๓. ในการประชุม AWGIPC ครั้งที่ ๓๘ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ ประเทศสิงคโปร์ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาร่างเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ที่สหภาพยุโรปปรับใหม่ โดยสาระสำคัญของเอกสารสัญญาดังกล่าวยังคงไว้ซึ่งหลักการในเอกสารสัญญาโครงการ ECAP III เดิม ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้านสารัตถะ หรือในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เพียงแต่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในส่วนการบริหารจัดการเท่านั้นและไม่มีนัยยะทางนโยบายและการเงินสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียน จึงเห็นควรที่จะรับร่างแก้ไขเอกสารสัญญา ECAP III ได้ ๔. เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ เลขาธิการอาเซียนได้ลงนามในร่างแก้ไขเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ของโครงการ ECAP III ส่งผลให้เอกสารดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นมา โดยจะมีผลใช้บังคับ ๑๐๔ เดือนนับจากวันที่มีการลงนามเอกสารสัญญา (Financing Agreement) ฉบับแรก (๑๐๔ เดือน นับจากวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๒) และได้เสนอร่างแก้ไขเอกสารสัญญาฯ ให้เลขาธิการอาเซียนลงนามแทนประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมทั้งแนบสำเนาหนังสือแก้ไขเอกสารสัญญาดังกล่าวมาเพื่อให้ประเทศสมาชิกรับทราบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
1995 | การบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. 2556 | นร | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และเห็นชอบในหลักการการบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดสรรและตัดโอนงบประมาณลงสู่พื้นที่ให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และแจ้งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.)/สำนักงาน ป.ป.ส. ทราบด้วย ๑.๒ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณานำงบประมาณที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ซึ่งรัฐบาลจัดสรรผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๓ ให้จังหวัดทุกจังหวัดพิจารณานำงบพัฒนาจังหวัดที่ได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๔ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและกลไกเฉพาะที่จัดตั้งขึ้นจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี ๒๕๕๖ โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศพส.จ.)/ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอ (ศพส.อ.) ให้กำหนดเป้าหมายในแต่ละแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และส่งให้ ศพส./สำนักงาน ป.ป.ส. ต่อไป ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุขพัฒนากระบวนการคัดกรองผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และพัฒนาระบบการติดตามผู้ผ่านการบำบัดรักษาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดอัตราเสพซ้ำให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ๑.๖ ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตวิทยากรป้องกันฯ ให้ครบถ้วนตามเป้าหมาย ได้แก่ วิทยากรโครงการการให้การศึกษาเพื่อต่อต้านการใช้ยาเสพติดในสถานศึกษา (Drug Abuse Resistance Education : D.A.R.E) วิทยากรพระ วิทยากรครูทหาร วิทยากรตำรวจ วิทยากรที่เป็นครูในโรงเรียน และป้องกันเยาวชนก่อนวัยเสี่ยง (ระดับชั้น ป.๕-ป.๖) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ๑.๗ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมการพัฒนาชุมชนเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษา โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับ ศพส.จ./ศพส.อ. ๑.๘ ให้ ศพส.จ./ศพส.อ. ดำเนินการเร่งรัดปฏิบัติการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้ผู้เสพเข้าบำบัดโดยสมัครใจทั่วประเทศ โดยการจัดทำแผนพัฒนาระบบการบำบัดรักษาอย่างครบวงจร รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง ตามโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้ ศพส. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการในเรื่องข้อมูลของผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดรักษาให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการในลักษณะบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการพิจารณาแผนดำเนินงานอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และกลุ่มเป้าหมาย การพิจารณาจัดกลุ่มเป้าหมายในการเข้าร่วมโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ต้องมีการกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนและพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสุ่มเสี่ยงกับยาเสพติดอย่างแท้จริง รวมทั้งการบูรณาการในเรื่องงบประมาณและแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดควรมีการกำกับดูแลติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และมีการตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดความโปร่งใส และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างแท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณด้านการบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดให้กับ ศพส.อ. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน วัด ชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรภายในหน่วยงานและภาคเอกชนถึงความสำคัญและจำเป็นของการให้โอกาสแก่ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้มีสิทธิที่จะสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ตลอดจนขอความร่วมมือกับภาคเอกชนในการรับบุคคลดังกล่าวเข้าทำงานหรือศึกษาต่อ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อผู้เสพ/ผู้ติดยาซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดว่าสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นสุข |
|||||||||||||||||||||||||||
1996 | มาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทางและรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 | นร04 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ในฐานะกำกับการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปกำกับดูแลการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การอำนวยการจราจรในสายทางต่าง ๆ การดูแลนักท่องเที่ยว การป้องกันอุบัติเหตุและอาชญากรรม และการดำเนินโครงการฝากบ้านกับตำรวจ เป็นต้น ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล และให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย (ซึ่งรับผิดชอบศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน) อำนวยความสะดวกในการเดินทางและรักษาความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กำกับสั่งการให้มีการประสานงานและบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมด้วย เพื่อป้องกันและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุและความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วงเทศกาลดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||
1997 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๙๓.๐๖๖๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๔,๐๔๙.๕๒๒๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๑๔.๖๑๓๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๓๖ ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๔,๖๙๖.๐๕๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๕๔ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๕ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๖ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๘ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินแจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้นจำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่จะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลสถานะการขอรับจัดสรรงบประมาณ ณ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ พบว่า มีส่วนราชการฯ ที่ยังมิได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ มายังสำนักงบประมาณ จำนวน ๔ โครงการ/รายการ วงเงิน ๒๖๒.๙๓๗๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
1998 | สรุปรายงานติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยของรัฐมนตรีที่มีโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบติดตามเป็นรายจังหวัด (ข้อมูลประจำวันที่ 8 - 13 ตุลาคม 2555) | นร | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้
๑. รายงานการติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยของรัฐมนตรีที่มีโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวง จำนวน ๑ กระทรวง และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบติดตามเป็นรายจังหวัด จำนวน ๙ จังหวัด (ข้อมูลประจำวันที่ ๘-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕) ๒. รายงานผลการดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานโครงการที่ล่าช้า ของจังหวัดสิงห์บุรี จากข้อมูล PMOC Flood ณ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๓. ผลการเบิกจ่ายและความก้าวหน้าในการดำเนินการ จำนวน ๓๑ จังหวัด ข้อมูลจากระบบ PMOC ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ประกอบด้วย กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ จำนวน ๓ จังหวัด กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๒ จำนวน ๔ จังหวัด กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนกลาง จำนวน ๔ จังหวัด กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง จำนวน ๔ จังหวัด และกลุ่มจังหวัดภาคกลางและกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๖ จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||||||||
1999 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 11 | วท | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ครั้งที่ ๑๑ (เมษายน-กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๓ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๓-๒๕๕๕) รวม ๑๙ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้องเรียน ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียนที่ขยายเพิ่ม ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๓ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน-มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๒ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์)-มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๒ ห้องเรียน ๒. การจัดกิจกรรมร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย-โรงเรียนในโครงการ วมว. ๒.๑ กิจกรรม “2th SCiUs Forum” ระหว่างวันที่ ๑-๓ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ (รุ่นที่ ๓) นำเสนอผลงานทางวิชาการ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักเรียนโครงการ วมว. เกี่ยวกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒.๒ กิจกรรม “ค่ายวิทยาศาสตร์สานสัมพันธ์ฉันท์ วมว. ครั้งที่ ๔” ระหว่างวันที่ ๑-๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ (รุ่นที่ ๔) ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งทำกิจกรรมเสริมต่าง ๆ ร่วมกันกับเพื่อนนักเรียน วมว. ต่างโรงเรียน ๒.๓ การตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัย-โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ วมว. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑ แห่ง คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น-โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (ศึกษาศาสตร์) เพื่อติดตามการดำเนินงานห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ๒.๔ การจัดนิทรรศการโครงการ วมว. เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการแก่นักเรียนกลุ่มเป้าหมายและผู้ปกครอง รวมทั้งประชาชนทั่วไปให้รับทราบถึงความเป็นมา วัตถุประสงค์ และเป้าหมายการดำเนินโครงการ ๒.๕ การศึกษาดูงานการจัดการศึกษาพิเศษสำหรับห้องเรียนวิทยาศาสตร์ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๙-๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ณ สถาบันการศึกษาทั้งระดับมหาวิทยาลัย วิทยาลัย และโรงเรียนที่เกี่ยวข้อง ประเทศสหรัฐอเมริกา ๓. การดำเนินการตามข้อ ๑-๒ ได้ใช้งบประมาณโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๑๑๕,๐๕๔,๙๓๒.๑๙ บาท และใช้เงินกันเหลื่อมปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๘๘๑,๐๖๕.๙๒ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2000 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2555 | นร11 | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงาน และรายได้ ๑.๑ การจ้างงานยังเพิ่มขึ้นและการว่างงานลดลง ไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๕ อัตราการว่างงานเฉลี่ยร้อยละ ๐.๕๘ โดยมีจำนวน ๒๓๒,๔๐๐ คน ลดลงจากอัตราร้อยละ ๐.๖๕ ในไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ การจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๖ เป็นการจ้างงานในสาขาการก่อสร้างเพิ่มมากสุดร้อยละ ๗.๐ เนื่องจากมีการจ้างงานจากโครงการลงทุนของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์จากวิกฤติการณ์น้ำท่วมปลายปีที่แล้ว ๑.๒ ภาวะตลาดแรงงานตึงตัวต่อเนื่อง สัดส่วนผู้สมัครงานต่อตำแหน่งว่างงาน เท่ากับ ๐.๘๕ เท่า เทียบกับ ๑.๕ เท่าไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ และ ๑.๒ เท่าในไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๕ โดยเฉพาะแรงงานระดับ ปวช.-ปวส. ยังมีสภาพตึงตัวสูงต่อเนื่อง โดยมีการขาดแคลนมากในกลุ่มแรงงานทักษะและกึ่งทักษะ รายได้ของแรงงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๓ ขณะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๓.๐ ทำให้ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๑๐.๐ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ จะทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๔ และค่าจ้างเฉลี่ยของ ๗๐ จังหวัดที่มีการปรับค่าจ้างเป็น ๓๐๐ บาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๒๕.๒ ๒. ด้านการศึกษา การทบทวนการผลิตและพัฒนากำลังคนระดับกลาง อัตราการเรียนต่อสายอาชีพในรอบ ๕ ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนค่อย ๆ ลดลง ในปี ๒๕๕๔ ลดลงเหลือร้อยละ ๓๖.๕๕ จึงต้องมีมาตรการในเชิงปริมาณจูงใจให้นักเรียนสนใจเรียนสายวิชาชีพเพิ่มขึ้น โดยผลักดันให้ภาคเอกชนจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพอย่างเต็มรูปแบบ และให้โอกาสเด็กที่ไม่ได้เรียนต่อประมาณร้อยละ ๑๐-๑๕ ได้เรียนต่อสายอาชีพ เช่น การสนับสนุนทุนการศึกษาอาชีวศึกษา และให้เด็กเข้าทำงานในโรงงานมีโอกาสศึกษาควบคู่ไปด้วย ขณะเดียวกันควรขยายการดำเนินโครงการสหกิจศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้นโดยใช้มาตรการจูงใจด้านภาษี ๓. ด้านสุขภาพ ประชากรร้อยละ ๒ ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และภาระการรักษาสุขภาพแรงงานข้ามชาติมีแนวโน้มมากขึ้น โดยในปี ๒๕๕๕ พบคนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป ๑.๕ ล้านคน หรือร้อยละ ๒ ของประชากรทั้งหมดป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ขณะที่ความสุขมวลรวมของไทยลดลงต่อเนื่องอยู่ ๕.๗๙ ในเดือนกันยายน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสุขมวลรวมลดลงคือ ปัญหาเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ๔. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย มีประเด็นเฝ้าระวังหลายด้าน ได้แก่ ๔.๑ เด็กและเยาวชนยังเข้าถึงการซื้อบุหรี่ได้ง่ายขึ้น และมีอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มมากสุดเทียบเท่าผู้สูงอายุ รวมทั้งพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากรในปี ๒๕๕๔ พบว่า มีปริมาณการสูบเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มเยาวชน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ มีปริมาณการสูบเพิ่มขึ้นเป็น ๙.๑ ๑๑.๒ และ ๑๐.๗ มวนต่อวัน ตามลำดับ ๔.๒ ครัวเรือนมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น โดยยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีมูลค่า ๒,๗๔๘,๙๓๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๐.๔ จากไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ ส่วนหนึ่งเป็นการใช้สิทธิตามโครงการบ้านหลังแรก และรถคันแรก ขณะที่ความสามารถในการชำระคืนลดลง เห็นได้จากการผิดนัดชำระหนี้เกิน ๓ เดือนของสินเชื่อภายใต้การกำกับ และสินเชื่อบัตรเครดิต นอกจากนี้ สัดส่วน NPLs ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคต่อ NPLs รวม เท่ากับร้อยละ ๒๑.๔ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ ๕ ๕. ด้านความมั่นคงทางสังคม มีประเด็นเฝ้าระวัง ได้แก่ ๕.๑ แนวโน้มของผู้กระทำผิดคดียาเสพติดที่ถูกจับกุม ๓ ใน ๔ เป็นรายใหม่ และเป็นกลุ่มเยาวชนมากขึ้น คดียาเสพติดเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๔ ร้อยละ ๙.๘ โดยในปี ๒๕๕๕ พบว่า ปริมาณการลำเลียงขนยาเสพติดในแต่ละครั้งมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น มีการแพร่ระบาดยาเสพติดในชุมชนที่มีเด็กและเยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น แนวโน้มของผู้กระทำความผิดยาเสพติดที่ถูกจับกุม ๓ ใน ๔ เป็นรายใหม่ และเป็นกลุ่มที่เป็นเยาวชนเพิ่มขึ้น ๕.๒ การขจัดพฤติกรรมเด็กแว้นเพื่อลดความเดือดร้อนให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ความถี่ของปัญหาการแข่งรถของเด็กแว้นเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีประชาชนร้องเรียนผ่านหมายเลข ๑๙๑ เฉลี่ยเดือนละ ๓๐๐ ครั้ง และจากการสำรวจความปลอดภัยในการเดินทางทางถนน พ.ศ. ๒๕๕๓ พบว่า รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ประสบอุบัติเหตุมากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ ๑๘-๒๔ ปี และจากสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ระบุว่า กลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา เป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดและมีจำนวนมากขึ้นทุกปี ๕.๓ การเฝ้าระวังเพื่อลดอุบัติเหตุรถยนต์โดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่จะมาถึง จะมีการใช้มาตรการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ใช้รถตู้โดยสารสาธารณะ นำระบบเทคโนโลยี RFID เพื่อติดตามและตรวจจับความเร็ว รวมทั้งเข้มงวดกวดขันการควบคุมตรวจสอบความเร็วและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ๖. เรื่องเด่นประจำฉบับ "แรงงานข้ามชาติ...ความจำเป็นในการจัดระเบียบ" ควรเร่งรัดจัดระเบียบและการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติให้เป็นระบบ ทั้งการจัดระเบียบแรงงานไร้ฝีมือ การดึงดูดแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูงเข้ามาทำงานในประเทศ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลของแรงงานข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพและนำไปใช้ในการบริหารจัดการแรงงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
|
.....