ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 97 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1921 - 1940 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1921 | การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล | พณ | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยเปิดเวทีชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อประชาชนที่จังหวัดพิษณุโลกเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมรับฟังมากกว่า ๑,๖๐๐ คน และที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเกษตรกรและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมทั้งพร้อมที่จะสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม โดยที่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีที่มาจากหลายหน่วยงาน จึงควรมีกลไกในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นระบบ ส่วนการดำเนินโครงการก็ยังคงเป็นไปตามขั้นตอนและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งระเบียบหลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรี และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รวบรวมข้อมูลข้อเสนอแนะของส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาลเพื่อรวบรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||
1922 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 | พณ | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง วงเงินรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) ให้ครอบคลุมข้อเสนอเดิมของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้การบริหารเงินในการดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีมีความจำเป็นให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อนระหว่างรอเงินจากการระบายผลิตผล หรือเงินจากแหล่งอื่น ๆ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ตกลงกับ ธ.ก.ส. เป็นคราว ๆ ไป โดย ธ.ก.ส. จะได้รับอัตราชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการในอัตราเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ทั้งนี้ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ กระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินการให้มีการใช้เงินในกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และ ๒๕๕๕/๕๖ ไม่เกินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เงินที่ได้จากการระบายผลิตผลทางการเกษตรตั้งแต่ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ เป็นต้นไป ให้นำไปชำระคืน ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจัดหาและค้ำประกันที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยเงินทุนของ ธ.ก.ส. จำนวน ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับชำระคืน สามารถนำมาใช้หมุนเวียนสำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ได้ด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังรับภาระชำระคืนต้นเงิน ดอกเบี้ย จากการกู้ยืมเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และผลขาดทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ทั้งในส่วนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ ใช้ และส่วนที่ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๔ ในกรณีที่กรอบปริมาณการรับจำนำภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๑ เกินกว่ากรอบที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ การขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงินดังกล่าวเมื่อรวมกับประมาณการกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒ ต้องไม่เกินกรอบปริมาณและกรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ๑.๕ ให้ ธ.ก.ส. แยกการดำเนินงานโครงการออกจากการดำเนินงานปกติ เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) และบันทึกเป็นภาระผูกพันนอกงบประมาณ เพื่อทราบผลกระทบการดำเนินโครงการและขอชดเชยความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนั้น ให้ ธ.ก.ส. ไม่ต้องรวมผลการดำเนินโครงการจากเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืมจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio : CAR) ที่ใช้ในการคำนวณสัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามที่กำหนดในกฎกระทรวงว่าด้วยเงินกองทุนของ ธ.ก.ส. ๑.๖ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์วางระบบการกำกับติดตามการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรและองค์การคลังสินค้าดำเนินการและควบคุมการออกใบประทวนอย่างรัดกุม รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบปริมาณและคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามใบประทวนที่ได้รับ ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ให้รวมปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้ว ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ ล้านตัน และที่อนุมัติครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๗ ล้านตัน เข้าด้วยกัน รวมเป็นจำนวน ๒๒ ล้านตัน |
||||||||||||||||||
1923 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2556 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน [ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย (กกร.)] สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และผู้แทนภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี ๑.๒ เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ ณ จังหวัดกำแพงเพชร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๒.๑ ข้อเสนอของ กกร. ๑.๒.๑.๑ เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑.๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องศึกษาในรายละเอียดและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการจัดตั้ง “ศูนย์บูรณาการการค้าและนวัตกรรมแปรรูปข้าวไทย” เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าข้าว และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะรูปแบบการบริหารจัดการและระยะเวลาดำเนินงาน ๑.๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดของการศึกษาจัดตั้ง “ศูนย์กลางธุรกิจการค้าและนวัตกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง จังหวัดกำแพงเพชร” โดยเฉพาะความเหมาะสมและความเป็นไปได้ กลไกและรูปแบบการบริหารจัดการ โครงสร้างราคา มาตรการป้องกันการปลอมปน และการเชื่อมโยงกับสถาบันหรือหน่วยงานที่มีอยู่ในพื้นที่เพื่อให้เกิดความสอดคล้องในกระบวนการผลิต การแปรรูปและการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ๑.๒.๑.๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมหารือกับกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมในการศึกษารายละเอียดของทั้ง ๒ โครงการ ๑.๒.๑.๒ เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนทดน้ำในแม่น้ำน่านและระบบชลประทานตามโครงการชลประทานพิษณุโลก (ตอนจังหวัดพิจิตร) ตามข้อเสนอของภาคเอกชน ๑.๒.๒ ข้อเสนอของ กกร./รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ๑.๒.๒.๑ เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอโครงการจัดตั้งศูนย์ Inland Container Depot (ICD) หรือ Container Yard (CY) จังหวัดนครสวรรค์ ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับภาคเอกชน โดยให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้และศักยภาพของพื้นที่ประกอบด้วย ๑.๒.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งเตรียมความพร้อมของโครงการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โครงการขยายช่องจราจรจาก ๒ ช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางหมายเลข ๑๑๕ จังหวัดกำแพงเพชร-หมายเลข ๑๑๗ แยกปลวกสูง-จังหวัดพิจิตร และเส้นทางหมายเลข ๑๐๑ จังหวัดกำแพงเพชร-จังหวัดสุโขทัย (คีรีมาศ) (เชื่อมโยงมรดกโลก) สำหรับเส้นทางที่เหลือให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามความจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนปกติต่อไป ๑.๒.๒.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาความเหมาะสมของการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ๑.๒.๓ ข้อเสนอของ กกร./สทท. ๑.๒.๓.๑ เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ ๑.๒.๓.๑.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการและจัดลำดับความสำคัญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว “วิถีชีวิตและอัตลักษณ์แม่น้ำสะแกกรัง” จังหวัดอุทัยธานี ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๓.๑.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการตามภารกิจของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับแผนแม่บทบูรณาการการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย-กำแพงเพชร ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และให้หารือกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในรายละเอียดของงบประมาณ ๑.๒.๔ รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.ภูมิภาค) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการหารือกับภาคเอกชนในการจัดตั้งกลไกเพื่อติดตามและตรวจสอบความคืบหน้าของประเด็นการพัฒนา เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานและจัดลำดับความสำคัญตามศักยภาพของประเด็นการพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ และนำเสนอผลการดำเนินการต่อที่ประชุม กรอ.ภูมิภาค และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๕ เรื่องอื่น ๆ ที่ กกร. เสนอเพิ่มเติม ๑.๒.๕.๑ การพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและประสานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่งระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานผลิตรถไฟ/รถไฟฟ้าในประเทศ การกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการสนับสนุนให้มีการย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย รวมทั้งการเร่งรัดดำเนินการเสนอแนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านระบบขนส่งทางรางให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบุคลากรในตำแหน่งต่าง ๆ เพื่อให้มีจำนวนบุคลากรที่สามารถรองรับกับความต้องการตามแผนการพัฒนาระบบรางของประเทศ ๑.๒.๕.๒ ผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๕.๓ ความคืบหน้าการดำเนินงาน เรื่อง ผลกระทบของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยแรงงานทางทะเล (Maritime Labor Convention 2006 : MLC 2006) กรณีที่ประเทศไทย ไม่มีกฎหมายบังคับใช้ ให้กระทรวงแรงงานเร่งออกประกาศกระทรวงแรงงานว่าด้วยมาตรฐานแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ และเร่งรัดร่างพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเลให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้ทันต่อการพิจารณาของรัฐสภาในการประชุมสมัยสามัญครั้งต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐเจ้าของเมืองท่าให้ทราบและเข้าใจถึงแนวทางการดำเนินการของประเทศตามข้อกำหนดของอนุสัญญาฯ เพื่อให้เจ้าของเรือไทยสามารถขนส่งสินค้า การเข้า-ออกท่าเรือประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ได้อย่างสะดวก ๑.๒.๕.๔ โครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการศึกษาปี ๒๕๔๕ มาประกอบการพิจารณาศึกษาเพิ่มเติมโครงการวางท่อส่งน้ำไปในแหล่งพื้นที่ทำการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซากในจังหวัดนครสวรรค์ โดยให้ความสำคัญต่อการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการด้วย ๒. ให้ปรับถ้อยคำในมติที่ประชุมเกี่ยวกับผลการจัด Round Table “โครงการบริหารจัดการน้ำ ๓.๕ แสนล้านบาท” เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จาก “รับทราบข้อเสนอแนะของภาคเอกชนและมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” เป็น “รับทราบและเห็นชอบให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะและมอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาดำเนินการหาแนวทางในการหารือร่วมกันต่อไป”
|
||||||||||||||||||
1924 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศ เพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาวของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 04/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการกู้เงินในประเทศภายใต้กรอบวงเงินรวม ๕,๘๔๘.๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับการลงทุนในแผนงานระยะยาว จำนวน ๕ แผนงาน ได้แก่ แผนงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระยะที่ ๓ แผนงานบำรุงรักษาอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้า แผนงานจัดการทรัพย์สินระบบจำหน่ายไฟฟ้า แผนงานขยายโครงข่ายระบบสื่อสาร SDH และสายเคเบิลใยแก้วนำแสงให้ครอบคลุมการไฟฟ้าและสถานีไฟฟ้า ส่วนที่ ๑ และแผนงานออกแบบจัดหาพร้อมติดตั้ง IP Core Network โดยให้ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นรายปีจนกว่าการดำเนินงานแล้วเสร็จตามที่ กฟภ. เสนอขอ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาวงเงินกู้เพื่อการลงทุนตามความจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงจากภาระหนี้สินขององค์กรในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำหรับการดำเนินการตามแผนงานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น เช่น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายส่งไฟฟ้า ตามแผนงานการจัดการทรัพย์สินระบบจำหน่ายไฟฟ้า ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. หารือและประสานงานกับกระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกันด้วย ๒. กรณีที่มีการดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการวางแผนจัดการ หรือลงทุนในระบบสาธารณูปโภค เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบประปา ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการหารือและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ เพื่อให้เกิดการบูรณาการ มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกัน ลดความซ้ำซ้อน และประหยัดงบประมาณ ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิภาพของงานและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน |
||||||||||||||||||
1925 | โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 | พน | 04/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ในไตรมาสที่ ๑/๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๑/๒๕๕๖ ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ มีสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง ในการผลิตเอทานอล เป็น ๗๗.๕ : ๒๒.๕ คิดเป็นปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๑๕๗,๗๒๑,๔๓๐ ลิตร : ๔๕,๗๒๓,๒๓๕ ลิตร คิดเป็นปริมาณการใช้หัวมันสด จำนวน ๒๘๖,๒๒๗.๔๕ ตัน แต่มีการใช้หัวมันสดในโครงการฯ เพียง ๕๓,๑๔๕.๓๒ ตัน เนื่องจากมีเกษตรกรมาจำนำหัวมันสดที่โรงงานเอทานอลที่เปิดเป็นจุดรับจำนำน้อย ทำให้ปริมาณมันสดตามโครงการรับจำนำมันสำปะหลังเพื่อใช้ผลิตเอทานอลไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ผลิตเอทานอลที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกทั้งองค์การคลังสินค้ายังไม่ส่งมอบมันเส้นในโครงการฯ ทำให้ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องใช้มันสดและมันเส้นในประเทศซึ่งอยู่นอกโครงการฯ ผลิตเอทานอลจำหน่ายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ เพื่อผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลจำหน่ายแก่ประชาชนไปพลางก่อน ทั้งนี้ ปริมาณมันสำปะหลังนอกโครงการฯ ที่บริษัทผู้ผลิตเอทานอลใช้ไปแล้วนั้น ไม่นับรวมเป็นปริมาณมันสำปะหลังที่ต้องใช้ตามโครงการฯ โดยปริมาณมันสำปะหลังที่ผู้ผลิตเอทานอลจะต้องซื้อเพิ่มเติมสำหรับไตรมาสที่ ๑/๒๕๕๖ คิดเป็นหัวมันสด ๒๓๓,๐๘๒.๑๒ ตัน หรือคิดเป็นมันเส้น ๙๗,๙๒๔.๒๘ ตัน ๒. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑ ผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ เกษตรกรนำหัวมันสดมาจำนำที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลซึ่งเปิดเป็นจุดรับจำนำน้อยกว่าเป้าหมาย ผู้ผลิตเอทานอลยังไม่ทราบราคามันเส้นที่แน่นอนจากโครงการฯ ที่จะส่งมอบให้ผู้ผลิตเอทานอลและเพิ่งเริ่มทยอยส่งมอบมันเส้นให้กับผู้ผลิตเอทานอล บริษัท ดั๊บเบิล เอ เอทานอล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลเพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัด และผู้ผลิตเอทานอลบางรายเป็นผู้ผลิตรายใหม่เพิ่งเริ่มผลิตเอทานอลเชิงพาณิชย์ทำให้เดินเครื่องได้ไม่เต็มกำลังการผลิต ๒.๒ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ ได้แก่ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ บางรายได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลไปแล้วก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ทำให้ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน และมีผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังเข้าประมูลน้อยรายและเสนอราคาประมูลสูงเกินไป
|
||||||||||||||||||
1926 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมีนาคม 2556 | นร | 28/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ๑.๑ ด้านราคาสินค้า ได้แก่ การดำเนินโครงการกำกับดูแลการชั่งตวงวัดและสินค้าหีบห่อเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายพลังงานเชื้อเพลิง ผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าต่าง ๆ โดยดำเนินการตรวจสอบรวมทั้งสิ้น ๓,๐๑๔,๓๘๔ เครื่อง/หีบห่อ พบผิดจำนวน ๑๐,๘๓๕ เครื่อง/หีบห่อ และการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย โครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ มีร้านถูกใจที่มีศักยภาพเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๖,๘๘๗ ราย ๑.๒ ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ การรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน ๓๐ บาท/ลิตร การส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น การตรึงราคาขายปลีก LPG โดยภาคครัวเรือน อยู่ที่ ๑๘.๑๓ บาท/กก. ภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ ๓๐.๑๓ บาท/กก. และภาคขนส่ง ปรับราคาขายปลีก LPG เป็น ๒๑.๓๘ บาท/กก. การคงราคาขายปลีก NGV ที่ ๑๐.๕๐ บาท/กก. (สำหรับประชาชน) ส่วนกลุ่มรถโดยสารสาธารณะที่ลงทะเบียนโครงการบัตรเครดิตพลังงาน ยังคงเติมก๊าซ NGV ในราคา ๘.๕๐ บาท/กก. สำหรับโครงการบัตรเครดิตพลังงาน รถรับจ้างสาธารณะ ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ มีผู้สมัครจำนวนทั้งสิ้น ๖๖,๕๙๒ ราย มีผู้ใช้บัตร จำนวน ๗,๐๐๐ ราย ๒. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ได้แก่ การพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้แก่สมาชิกสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกร เป็นระยะเวลา ๓ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๘) มีผู้ยื่นสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ๒,๒๖๕ แห่ง สมาชิก ๘๐๘,๗๙๙ ราย มูลหนี้ ๖๓,๘๖๔.๗๓๓ ล้านบาท การจัดตั้งศูนย์สนับสนุนผู้ประกอบการให้พร้อมจ่ายอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพ จำนวน ๗,๓๑๖,๓๐๕ คน เป็นเงิน ๕๓,๘๘๒,๘๖๐,๒๐๐ บาท การดำเนินโครงการบ้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก (ร้อยละ ๐ ระยะเวลา ๓ ปี) มีผู้ยื่นกู้ ๑๔,๒๕๓ บัญชี อนุมัติแล้ว ๑๓,๕๒๐ บัญชี คิดเป็นเงิน ๘,๘๒๖.๑๔ ล้านบาท และการดำเนินมาตรการภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรก มียอดอนุมัติการจ่ายเงินคืนตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ (ยอดจ่ายจริง) จำนวน ๙๙,๒๖๘ คัน เป็นเงิน ๖,๘๘๙ ล้านบาท ๓. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ การออกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๓๐) พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละยี่สิบของกำไรสุทธิ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ๔. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) ได้แก่ การดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) โดย ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ได้โอนเงินให้กับหมู่บ้านและชุมชนตามโครงการฯ รวม ๑๑ ครั้ง จำนวน ๗๑,๕๓๗ หมู่บ้าน/ชุมชน และการดำเนินโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๓ โดยโอนเงินให้กับกองทุนฯ แล้ว จำนวน ๓๖,๖๔๑ กองทุน จากเป้าหมาย ๗๙,๒๕๕ กองทุน คงเหลือยังไม่ได้โอน จำนวน ๔๒,๖๑๔ กองทุน ๕. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ บัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร ได้มีการอนุมัติบัตรสินเชื่อให้เกษตรกร จำนวน ๒,๗๗๕,๕๑๗ ราย บัตรส่งมอบแล้ว จำนวน ๑,๓๘๓,๑๙๖ ราย วงเงินรวม ๔๓,๖๖๗.๔๘ ล้านบาท การขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพืชสำคัญ ๓ ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ มีโรงสีสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๘๙๒ โรง เกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑,๙๙๐,๑๑๓ ราย ปริมาณรับจำนำรวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๙๙,๕๕๐ ตัน การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๕๕/๕๖ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๗๑๙ ราย เปิดจุดรับฝากแล้ว ๖๗๒ จุด ปริมาณรับจำนำรวมทั้งสิ้น ๙,๘๕๗,๗๐๙ ตัน การเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติด้านการเกษตร ในกรณีฝนทิ้งช่วง/ภัยแล้ง อุทกภัย และวาตภัย รวมทั้งการแก้ไขราคาสินค้าเกษตร ๖. ปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้แก่ การจัดที่ดิน โดยการมอบเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. ๔-๐๑ แก่เกษตรกร แบ่งเป็นที่ดินทำกิน ๒๐,๘๘๓ ราย พื้นที่ ๒๕๐,๒๖๖ ไร่ และที่ดินชุมชน ๖๒๓ ชุมชน เกษตรกร ๒๐,๕๐๓ ราย พื้นที่ ๑๒,๗๗๒ ไร่ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินของนิคมสหกรณ์ โดยออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (กสน.๓) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ ๕๐๑ ราย ๔,๖๑๘ ไร่ และการออกหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (กสน.๕) ให้แก่สมาชิกนิคมสหกรณ์ ๘๖๒ ราย ๙,๑๒๓ ไร่ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยมีจำนวนราษฎรที่ได้รับการรับรองสิทธิทำกินแล้ว ๒๓,๖๗๖ ราย (ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) และดำเนินการรังวัดแปลงที่ดินของราษฎรในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ รวม ๑๖๕ พื้นที่ ซึ่งผลการพิสูจน์การครอบครองที่ดินของราษฎรพบว่า อยู่ก่อนประกาศเขตป่าไม้ จำนวน ๖๓,๑๑๖ ราย เนื้อที่ ๔๖๙,๗๙๒-๐-๒๑ ไร่ และอยู่หลังประกาศเขตป่าไม้ จำนวน ๘๒,๑๗๐ ราย เนื้อที่ ๘๖๔,๐๙๕-๒-๗๑ ไร่
|
||||||||||||||||||
1927 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตและความเสียหายของทางราชการในการดำเนินโครงการระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย | นร | 28/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตและความเสียหายของทางราชการในการดำเนินโครงการะบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยไปศึกษาและพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ทันทีต่อไป ทั้งนี้ ให้ยึดหลักความถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และการมีส่วนร่วมของประชาชน สำหรับข้อเสนอแนะฯ เรื่องใดที่ยังไม่ชัดเจนหรืออาจมีปัญหาติดขัดในการดำเนินการก็ให้ประสานหารือกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาแนวทางที่สามารถดำเนินการได้และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะรองประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นผู้ชี้แจงและประชาสัมพันธ์การดำเนินโครงการระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสาธารณชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||
1928 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู) | คค | 21/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวกับกิจการรถไฟฟ้า ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือพัฒนาเชิงพาณิชย์ รวมทั้งธุรกิจอื่นเพื่อประโยชน์แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและประชาชนในการใช้บริการกิจการรถไฟฟ้า ตามโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชนในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และเขตหลักสี่ เขตบางเขน เขตบึงกุ่ม เขตคันนายาว เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการขนส่งมวลชน ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพ ลักษณะและการใช้ประโยชน์บน เหนือ หรือใต้พื้นดินหรือพื้นน้ำ เพื่อการวางแผนหรือออกแบบกิจการขนส่งมวลชน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคมเร่งเสนอรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน โดยควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาความเหมาะสมทางเทคนิค รูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าทั้งในด้านการรองรับการขยายตัวของปริมาณการเดินทาง และสนับสนุนการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1929 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และเขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตหลักสี่ เขตบางเขน และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และเขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตหลักสี่ เขตบางเขน และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว) | คค | 21/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และเขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตหลักสี่ เขตบางเขน และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และเขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตหลักสี่ เขตบางเขน และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร กิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้า และกิจการอื่นที่จะสนับสนุนการพัฒนาเมือง และการลดจำนวนเงินที่รัฐบาลอาจต้องอุดหนุนชดเชยการขาดทุนจากการดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และเขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตหลักสี่ เขตบางเขน และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะดำเนินการเพื่อกิจการขนส่งมวลชน ในท้องที่อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และเขตดอนเมือง เขตสายไหม เขตหลักสี่ เขตบางเขน และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อประโยชน์ในการดำเนินกิจการขนส่งมวลชน ตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพ ลักษณะและการเข้าใช้ประโยชน์บน เหนือ หรือใต้พื้นดินหรือพื้นน้ำ เพื่อการวางแผนหรือออกแบบกิจการขนส่งมวลชน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคมเร่งเสนอรายงานผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอน โดยควรให้ความสำคัญกับการพิจารณารูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างเหมาะสมและคุ้มค่าทั้งในด้านการรองรับการขยายตัวของปริมาณการเดินทาง และสนับสนุนการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1930 | โครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา 2557 - 2560 | ศธ | 14/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการเพิ่มการผลิตและพัฒนาการจัดการศึกษา สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล รวมทั้งรองรับการขยายศักยภาพให้บริการด้านสาธารณสุขของประเทศในทุกภาคส่วน โดยมีระยะเวลาการรับนักศึกษาพยาบาลเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๔ รุ่น ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๗-๒๕๖๐ และมีเป้าหมายการผลิตพยาบาลเพิ่ม คือ ในระยะ ๑๐ ปี ข้างหน้า อัตราส่วนพยาบาลวิชาชีพต่อประชากรในภาพรวมเท่ากับพยาบาล ๑ คน ต่อประชากร ๔๐๐ คน จำนวนผลิตพยาบาลในช่วงปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เป้าหมายการรับนักศึกษาพยาบาลทั้งหมด จำนวน ๒๗,๙๖๐ คน งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น ๗,๓๔๘.๑๐ ล้านบาท แบ่งเป็น งบดำเนินการ จำนวน ๓๗.๑ ล้านบาท เพื่อการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มในอัตราเหมาจ่ายรายหัว คนละ ๑๑๐,๐๐๐ บาทต่อคนต่อปี (ครอบคลุมงบดำเนินการ งบจ้างอาจารย์เพิ่ม และงบพัฒนาอาจารย์) รวมงบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น ๔,๔๕๖.๓๒ ล้านบาท และงบลงทุน เพื่อการผลิตพยาบาลเพิ่ม ในวงเงิน ๒,๘๙๑.๗๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเตรียมแผนรองรับการบรรจุและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลังให้มีการกระจายพยาบาลไปสู่ชนบทและพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการสุขภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และเร่งหามาตรการธำรงรักษาพยาบาลวิชาชีพไว้ในระบบควบคู่ไปกับการผลิตพยาบาล รวมทั้งให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของสถาบันผลิตพยาบาลครอบคลุมอาจารย์พยาบาล โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรต่าง ๆ ให้เพียงพอในการจัดการเรียนการสอนที่คำนึงถึงการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า และกำกับติดตามคุณภาพการผลิตพยาบาลของสถาบันการศึกษาเอกชนให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้ ควรศึกษาความต้องการพยาบาลวิชาชีพในระยะยาวของประเทศ เพื่อให้การผลิตบัณฑิตสาขาวิชาพยาบาลมีความสอดคล้องกับความต้องการพยาบาลวิชาชีพในภาพรวม สามารถรองรับนโยบายการพัฒนาสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ได้อย่างยั่งยืน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ ๑.๓ สำหรับงบลงทุน ให้สถาบันการศึกษาพยาบาลแต่ละแห่งจัดทำแผนความต้องการงบลงทุน โดยคำนึงถึงความจำเป็นอย่างแท้จริงและจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้การสนับสนุนสอดคล้องกับความเร่งด่วนและไม่เป็นภาระงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้นเกินสมควร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ) ตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งและมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการในอนาคตทั้งระบบ จึงให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนอัตรากำลังด้านสาธารณสุขในอนาคตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะทำงานชุดดังกล่าวพิจารณา โดยให้ยึดแนวทางตามกรอบยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) (การประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ วันจันทร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ในประเด็นการเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (Medical Hub) และให้คำนึงถึงการกระจายตัวของบุคลากรด้านสาธารณสุขกับสัดส่วนของประชากรและโครงสร้างของประชากรที่มีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นประกอบด้วย รวมทั้งให้มีการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาจปรับเปลี่ยนกระบวนการและวิธีการปฏิบัติงานให้สามารถปฏิบัติงานได้หลากหลาย (Multi-task) |
||||||||||||||||||
1931 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดกาฬสินธุ์และขอนแก่น | นร01 | 07/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ และขอนแก่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และคณะ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๖ เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์/สภาพปัญหาของจังหวัด พร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งจากการรับฟังบรรยายสรุปและติดตามผลการดำเนินโครงการในพื้นที่ทั้ง ๒ จังหวัด ด้านภัยแล้งพบว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ และขอนแก่น ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาน้ำอุปโภค-บริโภค ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ ประชาชนไม่ประสบปัญหาการขาดแคลนแต่อย่างใด และได้มอบนโยบายเพื่อให้จังหวัดดำเนินการในเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนี้
๑. ให้จังหวัดให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะการเฝ้าระวังในสถานศึกษาอย่าให้เป็นแหล่งซื้อ-ขายโดยเด็ดขาด ๒. ให้จังหวัดดูแลประชาชนอย่าให้ขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค ๓. ให้จังหวัดพิจารณาและประเมินสินค้า OTOP ที่มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมให้ก้าวสู่การแข่งขันในระดับสากลต่อไป และให้พิจารณาด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สร้างมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพิ่มข้อมูลสินค้าและสถานที่ติดต่อให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งพิจารณาช่องทางการตลาดด้วย ทั้งนี้ อาจขอความร่วมมือและคำแนะนำจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ๔. การประชาสัมพันธ์โครงการ “๑ ทุน ๑ อำเภอ” ซึ่งในปี ๒๕๕๖ ขยายเป็นโครงการ “๒ ทุน ๑ อำเภอ” ขอให้จังหวัดช่วยประชาสัมพันธ์ให้นักเรียนในจังหวัดได้รับทราบต่อไปด้วย ๕. สำหรับจังหวัดขอนแก่นซึ่งกำหนดทิศทางการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา และศูนย์กลางทางการแพทย์ ขอให้จังหวัดรวบรวมสถิติข้อมูลนักเรียนนักศึกษาต่างชาติ และข้อมูลผู้เข้ารับการรักษาต่างชาติว่าเป็นผู้มีกำลังซื้อหรือไม่ เพื่อวางแผนและเตรียมขยายการรองรับด้านต่าง ๆ ในอนาคตให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||
1932 | โครงการจัดทำขาเทียมตามกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมของสำนักนายกรัฐมนตรี | นร04 | 07/05/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีริเริ่มดำเนินโครงการจัดทำขาเทียมเพื่อช่วยเหลือผู้ทุพพลภาพที่ไม่สมบูรณ์ทางร่างกาย มีฐานะยากจนได้มีโอกาสทำงานหรือดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป เนื่องจากในประเทศไทยมีผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการผลิตขาเทียมและมีต้นทุนในการผลิตที่ไม่สูงมาก ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกำหนดแนวทาง วิธีการ และเงื่อนไขในการรับสิทธิเข้าร่วมโครงการ และประสานขอความร่วมมือจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน กระทรวงคมนาคมและภาคเอกชนสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะช่วยสนับสนุนในด้านเทคนิคและวิธีการในการจัดเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการต่อไปด้วย ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
1933 | โครงการ Institutional Capacity Building for ASEAN Monitoring and Statistics ภายใต้กรอบความสัมพันธ์อาเซียน - สหภาพยุโรป | ทก | 30/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอเกี่ยวกับโครงการ Institutional Capacity Building for ASEAN Monitoring and Statistics ภายใต้กรอบความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในร่างข้อตกลงด้านการเงิน (Financing Agreement : FA) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้การสนับสนุนจำนวนเงินและระยะเวลาในการดำเนินโครงการ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงร่างดังกล่าวในประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนาม แล้วให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักงานเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา เห็นชอบต่อร่าง FA และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับรายการสถิติและเครื่องชี้ที่จะกำหนดไว้ภายใต้ขอบเขตการดำเนินการของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1934 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า | พน | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๑.๑ เห็นชอบโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าทำให้ระบบไฟฟ้ามีขีดความสามารถรองรับไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และแก้ไขข้อจำกัดด้านระดับกระแสลัดวงจรในระยะยาว โดยการปรับปรุงระบบไฟฟ้าในเขตจังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา และชลบุรี แบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ ระบบภาคตะวันออกตอนบน และส่วนที่ ๒ ระบบภาคตะวันออกตอนล่าง โดยก่อสร้างสายส่ง รื้อสาย ย้ายสาย เชื่อมต่อสายส่ง ปรับปรุงการจัดวางสายส่งใหม่ ก่อสร้างและขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูง จัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง รวมทั้งเพิ่มเติมระบบสื่อสารที่เกี่ยวข้อง และงานปรับปรุงระบบเบ็ดเตล็ด วงเงินลงทุนรวม ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๒,๙๘๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๙,๐๒๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๓.๖ ล้านบาท ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของการใช้แหล่งเงินกู้ภายในประเทศเป็นอันดับแรกก่อน เพื่อช่วยดูดซับสภาพคล่องในระบบการเงินภายในประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และควรติดตามการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (Independent Power Producer : IPP) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งควรบริหารและควบคุมการดำเนินโครงการฯ ให้มีต้นทุนการดำเนินงานที่ประหยัดมากที่สุด และจัดให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่าน เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการดำเนินงานโครงการฯ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาวเพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม และควรเพิ่มช่องทางให้โรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก (Very Small Power Producer : VSPP) ได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าตามโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1935 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาและวิทยาศาสตร์ แห่งมองโกเลียว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างความตกลงระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาและวิทยาศาสตร์แห่งมองโกเลียว่าด้วยความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ระบุลำดับความสำคัญของสาขาที่จะร่วมมือ ได้แก่ ด้านอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ นวัตกรรม และยา ๑.๑.๒ รูปแบบความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานวิทยาศาสตร์ การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ การจัดสัมมนาและเวทีหารือ การจัดนิทรรศการผลงานด้านนวัตกรรม การดำเนินโครงการร่วมด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานและประยุกต์ การจัดตั้งห้องปฏิบัติการและหน่วยวิจัยร่วมกัน และรูปแบบอื่น ๆ ที่ตกลงร่วมกัน ๑.๑.๓ ค่าใช้จ่ายด้านการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ จะครอบคลุมในส่วนของภาคีผู้ส่งจะรับภาระค่าเดินทางไป-กลับ ระหว่างเมืองหลวงของคู่ภาคี และภาคีผู้รับหรือองค์กรคู่ความร่วมมือจะต้องครอบคลุมค่ายานพาหนะ ค่าอาหาร และที่พักในประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสาขาความร่วมมือภายใต้ร่างความตกลงฯ ควรครอบคลุมสาขาความร่วมมือด้านแร่ธาตุ เพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาร่วมด้านแร่ธาตุ โดยเฉพาะโลหะมูลฐานเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและการประชุมนานาชาติที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
1936 | รายงานผลการประกวดราคาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ | สผ | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบราคาค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ในวงเงินรวม ๑๒,๒๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามผลประกวดราคาที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๒๓๖,๓๑๑,๔๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๘๐๔,๗๐๘,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๙,๒๓๘,๙๘๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การดำเนินโครงการก่อสร้างฯ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วน โดยอนุมัติให้ขยายเวลาดำเนินการถึงปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เนื่องจากผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างฯ ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เดิม และระยะเวลาในการดำเนินงานก่อสร้าง ๙๐๐ วัน ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างฯ อย่างเคร่งครัด การรับผิดชอบในการขอจัดสรรงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างฯ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการก่อสร้างฯ โดยแจ้งให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1937 | โครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" | พณ | 23/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ใช้เงินงบประมาณคงเหลือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๙๔.๗๑ ล้านบาท (งบอุดหนุน ๑๐๐.๗๒ ล้านบาท และงบดำเนินงาน ๙๓.๙๙ ล้านบาท) เพื่อเป็นงบดำเนินงานในการบริหารจัดการโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ศูนย์สั่งซื้อสินค้า (Call Center) ในระยะ ๓ เดือนแรก เพื่อจัดระบบการสั่งซื้อสินค้าของร้านถูกใจก่อนส่งมอบให้ภาคเอกชนที่ดำเนินการศูนย์กระจายสินค้าดำเนินการต่อไป ๑.๒ การจัดหาสินค้าที่จำเป็นในราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้แก่ศูนย์กระจายสินค้าเพื่อจำหน่ายให้ร้านถูกใจ ๑.๓ การเชื่อมโยงสินค้าทางการเกษตรและสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้มีจำหน่ายในร้านถูกใจเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย ๑.๔ พัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารร้านถูกใจและระบบบัญชี และบุคลากรในการติดตามดูแลศูนย์กระจายสินค้าและร้านถูกใจส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๕ พัฒนาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ร้านถูกใจ ๑.๖ การบริหารจัดการโครงการ “ร้านถูกใจ” ให้มีสินค้าจำหน่ายอย่างต่อเนื่องและสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์บูรณาการการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงพัฒนาระบบการบริหารจัดการของร้านถูกใจให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการจัดหา การกระจายและการสั่งซื้อสินค้า ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำแผนการดำเนินงานให้ชัดเจน ปรับปรุงและสร้างระบบในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ทำให้จำนวนร้านถูกใจลดลง การพัฒนาระบบบริหารจัดการเพื่อส่งผ่านให้เอกชนดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การพิจารณาช่องทางและระบบการกระจายสินค้าที่จะส่งผ่านให้ภาคเอกชนดำเนินการให้มีความครอบคลุมมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับความสามารถในการกระจายสินค้าได้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งของร้านค้าและจูงใจให้ร้านค้าที่มีศักยภาพเข้าร่วมโครงการฯ ได้มากขึ้น การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สมาชิกร้านค้ารายเดิมและรายใหม่ต่อแผนการบริหารจัดการในการดำเนินโครงการฯ ระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญกับการติดตามปัญหาและให้คำแนะนำในการบริหารจัดการร้านค้าสมาชิกเพื่อให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เป็นต้น ไปประกอบการดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการดำเนินโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการดำเนินโครงการด้วย (กำหนดระยะเวลา ๖ เดือน) |
||||||||||||||||||
1938 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๘๔.๓๓๑๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๖,๐๘๖.๐๔๖๘ ล้านบาท และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๑๑๑,๖๐๗.๙๔๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๓.๓๓ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการเบิกจ่าย ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายครบถ้วน จำนวน ๔๓ หน่วยงาน เบิกจ่ายสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๐ หน่วยงาน และเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๒ หน่วยงาน ๑.๓ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ณ วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๕๘๔.๓๓๑๖ ล้านบาท คงเหลือ ๔๑๕.๖๖๘๔ ล้านบาท ๑.๔ ส่วนราชการฯ แจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ จำนวน ๖ หน่วยงาน วงเงินรวม ๓๓๒.๕๙๒๔ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้าง/งานดำเนินการเอง/หมดความจำเป็น และได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว ๒. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณดำเนินการตามขั้นตอนเงินประจำงวดที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐแจ้งส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายวงเงินรวม ๓๓๒.๕๙๒๔ ล้านบาท เพื่อกำหนดไว้ในงบกลาง รายการเดิม สำหรับรองรับโครงการ/รายการอื่น ๆ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐยังมีความจำเป็นในการเสนอขอรับจัดสรรตามขั้นตอนต่อไป ๓. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ประสบอุทกภัยตามข้อเสนอของจังหวัด (โครงการขุดลอกบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร) ตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย และให้สำนักงบประมาณดำเนินการจัดสรรงบประมาณ วงเงิน ๙๗.๙๙๗๐ ล้านบาท ให้กระทรวงมหาดไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||
1939 | โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ภายในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถโดยสารประจำทาง การพัฒนาอู่จอดรถ และโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด จะต้องมีการพิจารณาถึงแหล่งเงินในการดำเนินการดังกล่าว โดยคำนึงถึงกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ความเหมาะสมต่อวินัยการเงินการคลัง และแนวทางปฏิบัติที่ผ่านมา นอกจากนี้ บทบาทของ ขสมก. ในปัจจุบันที่เป็นทั้งผู้กำกับดูแล (Regulator) และผู้ปฏิบัติ (Operator) ควรจะต้องมีการพิจารณากำหนดบทบาทของ ขสมก. ให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดหาแหล่งเงินกู้ให้ ขสมก. กู้เงิน หรือให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อตามพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๗ (๗) และค้ำประกันเงินกู้ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้ ขสมก. และกระทรวงคมนาคมรับประเด็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ การประสานกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดซื้อจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่จะสามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อรถโดยสารในประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศทุกรายที่สนใจสามารถเข้าร่วมการประกวดราคาได้ การแต่งตั้งผู้แทนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคและในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์โดยสารเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในการจัดหารถโดยสาร การประสานกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินงานในรายละเอียดของแผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินเพื่อให้องค์กรสามารถดำเนินการต่อไปได้ และพิจารณาปรับรูปแบบการให้บริการรถโดยสารสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม โดยอาจกำหนดประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับบริการดังกล่าวที่ชัดเจน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งการจัดทำตัวชี้วัดผลการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการ เช่น ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง เป็นต้น และปริมาณผู้โดยสาร เพื่อใช้ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการดังกล่าว ๑.๔ รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลของ ขสมก. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๑.๕ เห็นชอบในหลักการยกหนี้สินเดิมของ ขสมก. จำนวนไม่เกินร้อยละ ๒๕ ให้ ขสมก. และให้พักหนี้สินในส่วนที่เหลือไว้จนกว่า ขสมก. จะสามารถดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ได้ โดยให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมพิจารณาหนี้สินที่จะยกให้ ขสมก. ส่วนที่เหลือและกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาดำเนินการตามเงื่อนไขที่จะยกหนี้ให้ต่อไป และให้ ขสมก. จัดทำประมาณการทางการเงินตามแผนฟื้นฟูกิจการอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แยกภาระหนี้เดิมออก ตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๑.๖ ให้กระทรวงพลังงาน ขสมก. และกระทรวงคมนาคม ติดตามการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์เพื่อรองรับการใช้พลังงานทางเลือกอย่างใกล้ชิดเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายหรือมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๗ เพื่อให้การจัดหารถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ของ ขสมก. มีความยืดหยุ่นในการพิจารณาเลือกใช้พลังงานเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ในอนาคต ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. สามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนหรือเลือกใช้รถโดยสารที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทางเลือกหรือพลังงานชีวภาพในขั้นการดำเนินงานได้ตามความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้หรือจัดหาเงินกู้ให้ ขสมก. กู้ต่อ และให้ ขสมก. เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการชำระคืนต้นเงินกู้ ค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาถึงความเหมาะสมคุ้มค่าในกรณีที่หากมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมการจัดซื้อรถโดยสารธรรมดาไปเป็นรถโดยสารปรับอากาศ รวมถึงการจัดระบบเส้นทางเดินรถ การปรับอัตราค่าโดยสาร การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีด้านพลังงานทางเลือกที่ใช้กับรถโดยสาร โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อการให้บริการ การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้โดยสารที่มีรายได้น้อย การจูงใจให้มีการใช้รถโดยสารสาธารณะมากยิ่งขึ้น การประหยัดพลังงาน รวมทั้งการลดปัญหาการจราจรและลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม และให้รายงานผลการศึกษาต่อคณะรัฐมนตรีด้วย โดยหากมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อรถโดยสารตามโครงการดังกล่าวไปจากที่ได้อนุมัติไว้ตามข้อ ๑ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
1940 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 4/2556 | อื่นๆ | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบคู่มือปฏิบัติงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบและมอบหมายให้กระทรวง กรม หรือหน่วยงานที่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอื่นใดที่มีอำนาจหน้าที่ในลักษณะเดียวกันหรือดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันกับคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามแผนปฏิบัติโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ และยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอื่นดังกล่าวเพื่อให้การดำเนินงานมีเอกภาพตามหลัก Single Command ๑.๓ เห็นชอบให้จัดตั้งสำนักงานบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เพื่อเป็นหน่วยปฏิบัติให้กับคณะกรรมการทั้ง ๔ คณะ ตามที่ระบุไว้ในแผนแม่บทการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ (๒๕ ลุ่มน้ำ) ได้แก่ ๑.๓.๑ คณะกรรมการนโยบายการบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ (กนป.) มีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธานกรรมการ ๑.๓.๒ คณะกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ (กอป.) มีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ ๑.๓.๓ คณะกรรมการบริหารและดำเนินโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระดับกระทรวง จำนวน ๒ คณะ (กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ๑.๓.๔ คณะกรรมการปฏิบัติการโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระดับกรม จำนวน ๓ คณะ (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) และระดับจังหวัด จำนวน ๗๗ คณะ ๒. เห็นชอบแผนแม่บทการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ (๒๕ ลุ่มน้ำ) (ภายใต้ยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และอนุมัติกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับดำเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าว ในระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐) ประกอบด้วย การดำเนินการใน Module AO ลุ่มน้ำเจ้าพระยา (๘ ลุ่มน้ำหลัก) วงเงิน ๕,๗๙๐.๑๘๕๓ ล้านบาท และใน Module BO (๑๗ ลุ่มน้ำ) วงเงิน ๔,๒๐๙.๘๑๔๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติแผนปฏิบัติโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๕๖) และอนุมัติวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการ จำนวน ๒,๐๘๕.๓๓๖๑ ล้านบาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการตรวจสอบกล้าไม้แต่ละประเภทที่คงเหลืออยู่จริง รวมทั้งค่าพิกัดของตำแหน่งพื้นที่ปลูกป่า เพื่อใช้ประกอบในการเสนอขอรับจัดสรรเงินกู้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำเอาระบบ Radio Frequency Identification (RFID) มาใช้ในการตรวจ ติดตาม และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกและการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่นำมาปลูกในโครงการฯ รวมทั้งควรพิจารณานำพันธุ์ไม้เศรษฐกิจหรือพันธุ์ไม้เฉพาะที่ใช้ประโยชน์ในงานพิธีสำคัญมาร่วมปลูกด้วย |
.....