ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 96 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1901 - 1920 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1901 | ขออนุมัติจัดทำความตกลงและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการระหว่างไทยกับโมซัมบิก ไทยกับแทนซาเนีย และไทยกับยูกันดา | กต | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำความตกลงและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างไทยกับโมซัมบิก ไทยกับแทนซาเนีย และไทยกับยูกันดา และเห็นชอบร่างความตกลงและบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การจัดส่งคณะผู้แทนไทยไปศึกษาติดตามและประเมินผลโครงการพัฒนา การมอบหมายผู้เชี่ยวชาญหรืออาสาสมัครไทยไปปฏิบัติงาน การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการดำเนินโครงการพัฒนาในสาธารณรัฐโมซัมบิก การแลกเปลี่ยน เจ้าหน้าที่ การให้ทุนการศึกษาและฝึกอบรม ๑.๒ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐยูกันดาว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการฝึกอบรม ส่งเสริมการศึกษา และโครงการที่ก่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม การให้ความช่วยเหลือในโครงการเฉพาะต่าง ๆ และความช่วยเหลือในรูปแบบอื่นที่ตกลงร่วมกัน ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามความตกลงและบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงและบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
1902 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม 2556 | นร04 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้ว มีความเห็น ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกวา ๕๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสำหรับสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกร โดยพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้แก่สมาชิก เป็นระยะเวลา ๓ ปี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากรอบวงเงินในการดำเนินโครงการ โดยขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาจัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนในโครงการรับจำนำข้าว และจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงหาสาเหตุที่ทำให้จำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวมีความแตกต่างกัน ๓. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบการรับจำนำสินค้าเกษตร และพบการกระทำความผิด จึงเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนตามที่เห็นสมควรและรายงานให้ทราบ ๔. ปัญหาในการดำเนินการของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ (กบช.) ที่อาจจะทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ทัน เห็นควรให้กรมที่ดินประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้การดำเนินการของ กบช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1903 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2556 | กษ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการรับทราบผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีผลงานที่ดีมาก แต่ยังต้องมีการสนับสนุนการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมเพื่อทำให้ระบบโลจิสติกส์สำหรับขนส่งผลผลิตสู่ผู้บริโภคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้รัฐบาลมีแผนในการลงทุนด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรประสานงานขอความร่วมมือจากโครงการหลวงในการจัดทำการแบ่งเขต (zoning) การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำต่อไป จึงมีมติมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับโครงการหลวงเพื่อขอความร่วมมือในการจัดทำ zoning การส่งเสริมการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพดินและน้ำ และประสานงานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อขอรับการสนับสนุนในเรื่องระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจรต่อไป ๑.๒ คณะกรรมการได้พิจารณายุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์ แผนงาน และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง และโครงการขยายผลโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง โดยงบประมาณด้านการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม และงบประมาณด้านการปลูกป่าให้บูรณาการงานร่วมกับโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษา มหาราชินี และงบประมาณในส่วนอื่นมอบให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อสนับสนุนโครงการหลวงให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๒๘,๓๐๐,๓๐๐ บาท งบประมาณที่สนับสนุนโครงการขยายผลโครงการหลวง เป็นเงิน ๓๐๒,๐๐๙,๗๐๐ บาท และงบประมาณด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนที่บูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทได้เสนอตั้งงบประมาณ จำนวน ๕ สายทาง ระยะทางรวม ๔๘.๐๑๗ กิโลเมตร วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๒๘๙,๖๓๐,๐๐๐ บาท ในส่วนของโครงการประชาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ อนุมัติแผนปฏิบัติโครงการฯ และวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒,๐๘๕,๓๓๖,๑๐๐ บาท ตามแผนการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาส่งเสริมการทำตลาดและประชาสัมพันธ์สินค้าและผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น และการสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวของโครงการหลวง รวมทั้งการกำหนดแผนงาน/โครงการ ควรพิจารณาให้ครอบคลุมการเสริมสร้างให้คนและชุมชนมีจิตสำนึกด้านความมั่นคง โดยสนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน นอกจากนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หารือกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดเพื่อบูรณาการงานกับงบประมาณตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้ผลักดันไว้แล้ว เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโครงการให้เพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการขนส่งผลผลิตออกสู่ตลาด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1904 | การเบิกจ่ายค่าชดเชยผลอาสินและสิ่งปลูกสร้าง เยียวยา ชาวบ้านผู้ครอบครองที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างศูนย์ระบบโลจิสติกส์ | มท | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ เพื่อเยียวยาชาวบ้านผู้ครอบครองที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ระบบโลจิสติกส์ เป็นเงินจำนวน ๖,๑๑๕,๐๓๓ บาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยผลอาสิน (ต้นไม้/ไม้ผล/พืชล้มลุก) จ่ายให้กับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน ๒๒ ราย ๒๓ แปลง รวมเป็นเงิน ๑,๕๙๘,๓๑๖ บาท และค่าชดเชยสิ่งปลูกสร้างจ่ายให้กับชาวบ้าน จำนวน ๙ ราย รวมเป็นเงิน ๔,๕๑๖,๗๑๗ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาในรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมของพื้นที่ที่ถูกบุกรุกและตรวจสอบสิทธิของประชาชน รวมทั้งระยะเวลาที่ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐก่อนการเบิกจ่ายงบประมาณตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแล รักษาและใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ รวมทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันมิให้มีการบุกรุกที่ดินของรัฐให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
1905 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 18 - 19 กรกฎาคม 2556 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๓ โครงการ วงเงินรวม ๕๐๙.๓๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ภาคกลางตอนบน ๑ (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และสระบุรี) จำนวน ๕ โครงการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน ๔ โครงการ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๖ โครงการ จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๓ โครงการ และจังหวัดสระบุรี จำนวน ๕ โครงการ โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ สำหรับโครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๓๖.๑๗ ล้านบาท ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยารับไปหารือร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความจำเป็นในการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจนก่อน ทั้งนี้ หากผลการหารือได้ข้อยุติว่าโครงการฯ มีความจำเป็นในการดำเนินการ ให้จังหวัดยืนยันโดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดตามขั้นตอน แต่หากมีการปรับเปลี่ยนการดำเนินโครงการใหม่ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษา อาคารเรียนแบบ สปช ๒/๒๘ [โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ตำบลบางกร่าง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี] วงเงิน ๑๓.๖๐ ล้านบาท ของสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษานนทบุรี เขต ๑ และ ๒ โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๕ ให้กรมทางหลวงชนบทรับไปพิจารณาดำเนินการโครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม สายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว สายบ้านหินซ้อน วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดสระบุรี โดยปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินการตามความเหมาะสม ๑.๖ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๓๔ โครงการ วงเงินรวม ๗๓,๒๐๒.๔๐ ล้านบาท โดยเห็นควรมอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๒. สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์สระบุรี มอบให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) ประสานหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่จะดำเนินการในที่ดินของเอกชนเป็นไปโดยถูกต้องตามข้อกฎหมายด้วย ๓. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โครงการแก้มลิงบ้านมาบพระจันทร์ กรอบวงเงิน ๓๘ ล้านบาท ของกรมชลประทาน เป็นโครงการที่จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในการใช้น้ำเพื่อการเกษตร แต่อาจมีผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครเนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งถ้าสามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ทั้งในด้านการส่งน้ำ การระบายน้ำ และการกักเก็บน้ำ ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับโครงการดังกล่าวไปพิจารณา หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการดังกล่าวให้เจียดจ่ายจากงบประมาณปกติที่ได้รับการจัดสรรไว้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1906 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO-Food and Agriculture Organization of the United Nations) สมัยที่ ๓๘ (FAO Conference 38 Session) และเข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger ณ สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของประเทศไทยให้เข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger จากผู้อำนวยการใหญ่ FAO ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหาร โดยประเทศไทยสามารถลดจำนวนประชากรได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมสุดยอดอาหารโลก ปี ๑๙๙๖ (World Food Summit) และลดสัดส่วนของประชากรตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) คือ ลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารในประเทศ ซึ่งประเทศไทยสามารถดำเนินการสำเร็จในปี ๒๕๕๕ ถือว่าสำเร็จก่อนล่วงหน้า ๓ ปี ๒. การเข้าร่วมการประชุมสมัชชา FAO สมัยที่ ๓๘ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๒.๑ ที่ประชุมฯ ได้แสดงความยินดีกับสมาชิกใหม่อีก ๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศเนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐสิงคโปร์ และสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน ทำให้ FAO มีสมาชิกทั้งหมด ๑๙๗ ประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้หัวข้อ Sustainable food system, Food Security and Nutrition โดยกล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ และได้มีการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหาร เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการของประเทศไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวใน ๒ แนวทาง คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการเกษตรและโครงการเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Famer) และเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Famer) และการพัฒนาด้านการเกษตรในชนบท โดยได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นแนวทางในการพัฒนา ๒.๒ ที่ประชุมฯ เห็นชอบแผนงานและงบประมาณระหว่างปี ๒๐๑๔-๒๐๑๕ โดยเพิ่มค่าสมาชิกเป็นจำนวน ๑,๐๒๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๒ ในสองปี ซึ่งประเทศไทยจะต้องจ่ายค่าสมาชิกเพิ่มเติมอีกจำนวนประมาณ ๑,๒๑๗,๘๔๗ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทั้งนี้ การเพิ่มค่าสมาชิกดังกล่าวจะสามารถดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน (Strategic Framework) โดยจะเน้น (๑) ขจัดความอดอยากหิวโหย ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการขาดแคลนสารอาหาร (๒) เพิ่มและปรับปรุงข้อกำหนดของสินค้าและการบริการด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมงอย่างยั่งยืน (๓) ลดความยากจนในชนบท (๔) เน้นระบบด้านการเกษตรและอาหารสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และนานาชาติ และ (๕) เพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับการใช้ชีวิตในยามวิกฤต ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวาระการประชุมวันดินโลกและปีดินสากล เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวว่า ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก ในส่วนของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงสนพระทัยและทรงค้นคว้าศึกษาแนวทางในการดูแลและแก้ไขปัญหาของดิน โดยทรงมีกระแสพระราชดำริให้ตั้งศูนย์ศึกษา เพื่อศึกษาลักษณะของดินและแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา และการนำหญ้าแฝกมาใช้ในการป้องกันการกัดเซาะพังทลายของดิน นอกจากนี้ ได้ให้ประเทศสมาชิก FAO ร่วมกันรณรงค์ให้ความสำคัญของดินในวันดินโลกซึ่งตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และร่วมกันรณรงค์ในปี ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นปีดินสากล โดยขอให้ FAO สนับสนุนการรณรงค์เรื่องทรัพยากรดินและนำเรื่องนี้ไปบรรจุในวาระการประชุมของสหประชาชาติเพื่อประกาศให้มีการดำเนินการต่อไป ซึ่งที่ประชุมให้ความเห็นชอบในวาระนี้แล้ว ๓. การประชุมทวิภาคี ๓.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนได้เข้าพบหารือความร่วมมือด้านการเกษตรกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการเกษตร และหวังว่าจะได้มีการลงนามโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้กล่าวว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเป็นกลไกที่สำคัญในการหารือร่วมกัน ๓.๒ ผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้เข้าหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในการเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการเกษตรและมีการดำเนินโครงการที่รับผิดชอบต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการควบคุมโรคระบาดสัตว์ ได้แก่ โรคไข้หวัดนก ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านมาและเห็นว่าการสนับสนุนเพื่อกระจายการพัฒนาการเกษตรซึ่งรวมถึงการควบคุมโรคระบาดจะเป็นการยกระดับการพัฒนาในภูมิภาคด้วย จึงขอให้ FAO ให้การสนับสนุนเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และได้ขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนการให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก และปี ๒๕๕๘ เป็นปีดินสากล รวมทั้งให้มีการจัดเจ้าหน้าที่ของไทย และ FAO ร่วมหารือกันเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1907 | การดำเนินการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) 15 จังหวัด | นร01 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๑๕ จังหวัด โดยสำนักงบประมาณได้มีหนังสือถึงอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้งว่า หากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญแล้ว ก็อนุมัติให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๖๘,๒๒๙,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน ๖๕๔ บ่อ สำหรับ ๑๕ จังหวัด โดยเบิกจ่ายในงบลงทุนลักษณะค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง แต่เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ และผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖] มิได้กำหนดให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณของโครงการฯ ในส่วนที่จังหวัดเป็นหน่วยดำเนินการ จึงขอให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบก่อน และเมื่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมายตามที่กำหนดไว้แล้ว หากมีเงินงบประมาณเหลือจ่ายขอให้ส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายอำนวยการและติดตามประเมินผล บ่อละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวน ๖๕๔ บ่อ เป็นเงิน ๖๕๔,๐๐๐ บาท สำนักงบประมาณได้ปรับลดวงเงิน เนื่องจากขาดรายละเอียดประกอบการพิจารณา ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ๑๕ จังหวัด ในวงเงินทั้งสิ้น ๑๖๘,๒๒๙,๐๐๐ บาท และเมื่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายตามที่กำหนดไว้แล้ว หากมีเงินเหลือจ่ายให้ส่งคืนสำนักงบประมาณในโอกาสแรกด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1908 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ อุทกภัยกรณีการก่อสร้างสะพานถาวรเพื่อทดแทนสะพานไม้เดิม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก | นร07 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง ๑.๑.๑ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๓๘๓.๐๔๑๑ ล้านบาท ๑.๑.๒ ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๖,๖๓๗.๗๖๘๐ บาท ๑.๑.๓ ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖เป็นเงิน ๑๑๓,๗๒๒.๓๓๙๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๒๖ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการเบิกจ่าย ๑.๒.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายครบถ้วน จำนวน ๔๙ หน่วยงาน ๑.๒.๒ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๖ หน่วยงาน ๑.๒.๓ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๐ หน่วยงาน ๑.๓ วงเงินงบประมาณคงเหลือ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฯ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ณ วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๓๘๓.๐๔๑๑ ล้านบาท คงเหลือ ๖๑๖.๙๕๘๙ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๖๙.๒๖๗๗ ล้านบาท (ซึ่งรวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณ เนื่องจากต้องดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ โครงการ/รายการ วงเงิน ๑๔๔.๙๔๐๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันทีอีกเป็นจำนวน ๔๔๗.๖๙๑๒ ล้านบาท ๒. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๓,๐๙๘,๙๐๐ บาท ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีให้กับกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพาน คสล. ข้ามคลองเมม หมู่ ๑๑ ตำบลพรหมพิราม และหมู่ ๑๒ ตำบลท่าช้าง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ผิวจราจรกว้าง ๗ เมตร และทางเท้ากว้างข้างละ ๑.๔๕ เมตร ยาว ๕๕.๕๐ เมตร และสำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1909 | ผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและแนวทางดำเนินการในระยะต่อไป | นร12 | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการที่ผ่านมาของการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาล ๑.๑.๑. ด้านการปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ ได้แก่ การประกาศ “ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน” การจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายและภาคประชาชน การออกสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนัก และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการจัดคาราวานสัญจร ๔ ภูมิภาค เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ๑.๑.๒ ด้านการพัฒนาองค์กร ได้แก่ การดำเนินโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (๑ กรม ๑ ป้องกันโกง) โดยให้ส่วนราชการระดับกรมและส่วนราชการระดับจังหวัดดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกระบวนงานเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริต รวมทั้งเสนอแนะให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) ประจำกระทรวง เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนแผนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในส่วนราชการ ๑.๑.๓ ด้านการตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (Anti-Corruption War Room) โดยเปิดสายด่วนรับเรื่องร้องเรียนการทุจริต “๑๒๐๖” การจัดทำเว็บไซต์ www.stopcorruption.go.th และติดตั้งตู้รับเรื่องร้องเรียนการทุจริต ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนมีช่องทางในการร้องเรียน และมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ๑.๑.๔ ด้านการปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด ได้แก่ การบูรณการการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ในการเร่งดำเนินคดีปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่อยู่ในความสนใจและเผยแพร่ผลการดำเนินการต่อสาธารณะ เพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ๑.๑.๕ การดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... ทั้ง ๒ ฉบับ แล้วเสร็จ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นต้นมา รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมจริยธรรมขึ้นในสำนักงาน ก.พ. เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมให้ข้าราชการยึดถือปฏิบัติตามหลักคุณธรรม จรรยาข้าราชการ และประมวลจริยธรรม ๑.๑.๖ แนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกฯ ในระยะต่อไป ได้แก่ การแต่งตั้งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการ ป.ป.ท. เพื่อรับผิดชอบหลักในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของแต่ละหน่วยงาน การขับเคลื่อนการดำเนินงานของ ศปท. ประจำกระทรวง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและเป็นเครือข่ายสำคัญที่รับผิดชอบการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในกระทรวง การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ระยะที่ ๒ (๑ กรม ๑ ป้องกันโกง) และการเสริมสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกันยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดสาระสำคัญ และวิธีการดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการกำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐร่วมกันพิจารณาทบทวนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ ไม่ซ้ำซ้อน และมีความเชื่อมโยงกับระบบเดิมที่มีอยู่ การกำหนดเกณฑ์และตัวชี้วัดประเมินผลความสำเร็จในการดำเนินโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (๑ กรม ๑ ป้องกัน) ให้ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน การกำหนดให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่แม้ไม่มีเรื่องร้องเรียนก็ต้องรายงานผลในแง่ของการดำเนินมาตรการหรือการดำเนินการที่เป็นเชิงป้องกันทำให้ไม่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันในองค์กร เพื่อเป็นข้อมูลและองค์ความรู้ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้เรียนรู้ร่วมกันด้วย รวมทั้งการจัดทำสื่อการเผยแพร่การดำเนินคดีปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้ง่ายแก่การทำความเข้าใจของประชาชน ในภาษาที่เข้าใจง่าย โดยเฉพาะการเผยแพร่ผ่าน Social Network ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1910 | รายงานผลการประชุมเชิงปฎิบัติการและการตรวจราชการในพื้นที่เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัดยโสธรและมุกดาหาร | นร04 | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานการเดินทางไปตรวจราชการและเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์จังหวัดยโสธรและจังหวัดมุกดาหารให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ ระหว่างวันที่ ๓๐ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยมีปลัดกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมด้วย สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดยโสธร เป็นจังหวัดที่มีการปลูกข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพดีมากที่สุด แต่เกษตรกรที่ปลูกข้าวดังกล่าวไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเพราะข้าวเกษตรอินทรีย์ที่ปลูกสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าราคาในโครงการรับจำนำข้าว รวมทั้งข้าวดังกล่าวส่งออกไปยังต่างประเทศประมาณร้อยละ ๘๐ ส่วนที่เหลือบริโภคภายในประเทศเพียงร้อยละ ๒๐ เท่านั้น จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการวิจัยและพัฒนา (R & D) ที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุนส่งเสริมให้มีการพัฒนาคุณภาพและขยายพื้นที่เพาะปลูกให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้เป็นจังหวัดต้นแบบการปลูกข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการนำข้าวหัก ปลายข้าว รำข้าวมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวชนิดแคปซูล เป็นต้น โดยเน้นความปลอดภัยและปลอดสารเคมีอย่างครบวงจร รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ เช่น อ้อยและมันสำปะหลังควบคู่กันไปด้วยเพื่อพัฒนาให้กับเกษตรกรในจังหวัดมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ในจังหวัดยโสธรส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว และปัญหาที่เกษตรกรประสบอยู่คือ การขาดแคลนน้ำที่จะนำมาใช้เพาะปลูกข้าว จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบริหารจัดการน้ำและแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรในจังหวัดดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ขยายผลการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์แก่เกษตรกรให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๒. จังหวัดมุกดาหาร เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดน เป็นจังหวัดที่มีรายได้สูงจากแหล่งท่องเที่ยวประเภท homestay แต่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในจังหวัดอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากรายได้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่ผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จึงมอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดประเภท homestay ให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาเป็นการพำนักระยะยาว (longstay) ต่อไปด้วย และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมแปรรูป การบริหารจัดการระบบการจัดส่งสินค้า (logistics) เพื่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างจุดแข็งของจังหวัดในด้านต่าง ๆ ให้มีความพร้อมรองรับโครงการเชื่อมเส้นทางคมนาคมตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1911 | แผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงใหม่ ปี 2556 - 2570 | มท | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงใหม่ ปี ๒๕๕๖-๒๕๗๐ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๕๗.๓๒๕ ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ภายในประเทศ ทั้งนี้ การลงทุนโครงการแต่ละระยะภายใต้แผนการลงทุนหลักดังกล่าว ให้ กปภ. นำเสนอโครงการแต่ละระยะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ วงเงินลงทุน ๑,๓๙๐.๖๗๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) ทั้งหมด ๒. ในส่วนของโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงิน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การจัดหาแหล่งน้ำดิบเพื่อใช้ในระบบผลิตน้ำประปาควรประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) และการเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การเร่งดำเนินการลดอัตราน้ำสูญเสียของประปาเชียงใหม่และกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับจ้างให้เป็นไปตามเป้าหมาย การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่กำหนด การให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) การถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านน้ำประปาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การติดตามการจัดทำแผนงานและประสานงานกับกรมชลประทานในการจัดสรรน้ำจากการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาทางเลือกแหล่งน้ำดิบอื่นในการรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนติดตามสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำและปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนการลงทุนโครงการในช่วงต่อไป นอกจากนี้ ให้ กปภ. ประสานความร่วมมือกับองค์การจัดการน้ำเสีย และเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อบูรณาการแผนการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวมเทศบาลนครเชียงใหม่ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับปริมาณน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำประปาจากโครงการดังกล่าวเข้าสู่ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียของเทศบาลนครเชียงใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1912 | แผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2556 - 2559 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการกรอบแผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (แผนแม่บทการให้บริการน้ำประปา) ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในส่วนที่เป็นโครงการใหม่ จำนวน ๙๒ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๔๒,๔๐๒.๙๐๔ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๖ ในส่วนของโครงการใหม่ จำนวน ๗ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๓,๓๑๕.๐๑๙ ล้านบาท (ไม่รวม VAT) ประกอบด้วย ๑.๒.๑ โครงการที่ขอรับเงินงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ ร้อยละ ๗๕ และเงินรายได้สมทบ ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๘๖.๐๕๓ ล้านบาท ได้แก่ กปภ. สาขาสีคิ้ว วงเงินลงทุน ๕๘๗.๔๑๑ ล้านบาท กปภ. สาขาระยอง วงเงินลงทุน ๗๑๒.๑๘๐ ล้านบาท กปภ. สาขาลำปาง วงเงินลงทุน ๖๒๒.๑๘๗ ล้านบาท และ กปภ. สาขาศรีราชา วงเงินลงทุน ๑๖๔.๒๗๕ ล้านบาท ๑.๒.๒ โครงการที่ใช้เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๑,๒๒๘.๙๖๖ ล้านบาท ได้แก่ กปภ. สาขาอุบลราชธานี วงเงินลงทุน ๖๗๓.๔๙๗ ล้านบาท กปภ. สาขาสุรินทร์ วงเงินลงทุน ๓๙๔.๖๗๔ ล้านบาท และ กปภ. สาขาพัทยา (มาบยางพร-ปลวกแดง) วงเงินลงทุน ๑๖๐.๗๙๕ ล้านบาท ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างที่ใช้เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุน ๑,๒๒๘.๙๖๖ ล้านบาท กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย และ กปภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม (Inclusive Growth) ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) การเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน แนวทางการจัดการน้ำประปาอย่างมีระบบเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทั่วถึงและเพียงพอ การจัดทำแผนแม่บทการจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาอย่างยั่งยืนและการจัดทำแผนแม่บทการลดน้ำสูญเสียให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการแรงดันน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประปาและการบริหารต้นทุนการผลิต การจัดโครงสร้างทางการเงินให้มีอัตราหนี้สินต่อทุนของโครงการในระดับที่เหมาะสม และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในการบริหารจัดการหนี้ของ กปภ. ในอนาคต การพิจารณาจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนหรือแนวทางการจัดการน้ำเสียชุมชนที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ การดำเนินการเตรียมความพร้อมทางด้านที่ดิน กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมายและการกำหนดอัตราค่าบริการที่เหมาะสม การดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดในแผนยุทธศาสตร์องค์กรให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายน้ำให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอตลอดเวลา และลดต้นทุนการผลิตที่สูญเปล่า การจัดเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพการจัดการน้ำเสียของท้องถิ่น โดยผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งด้านเทคนิควิชาการและการเงินในเชิงเศรษฐกิจ ตลอดจนให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand side management) โดยประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้มีการใช้น้ำอย่างประหยัดทั้งในภาคครัวเรือน สถานประกอบการ และอุตสาหกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1913 | รายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ | กค | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ ซึ่งมีความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ในภาพรวมมากกว่าร้อยละ ๘๐ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๑๐ โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓ โครงการ และยกเลิกดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ สรุปสาระสำคัญของผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้ดังนี้ ๑.๑. ยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการพัฒนาระบบการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในรูปแบบคณะกรรมการ อยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางการพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เพื่อใช้เป็นกรอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารเงินนอกงบประมาณ และการจัดทำร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดตั้ง การบริหารจัดการและการประเมินผลทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๑.๒ โครงการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ได้จัดทำรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบบัญชี ๒๕๔๗-๒๕๕๓ พร้อมทั้งเสนอแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ระหว่างจัดทำร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... ๑.๑.๓ โครงการพัฒนาระบบประเมินสถานะการเงินของเงินนอกงบประมาณและการนำส่งเงินนอกงบประมาณส่วนเกินเป็นรายได้แผ่นดิน ได้จัดทำข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การนำเงินรายได้สะสมเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๑.๑.๔ โครงการพัฒนาระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ และได้จัดให้มีการอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยจะมีการขยายผลให้ครอบคลุมถึงการให้บริการผ่านระบบ Web Services พร้อมทั้งเชื่อมโยงบูรณาการร่วมกับระบบงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ GFMIS ๑.๑.๕ โครงการพัฒนาระบบบริหารบัญชีเงินฝาก ได้ดำเนินการสำรวจและปิดบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่หมดความจำเป็นในส่วนภูมิภาคในระบบ GFMIS จำนวน ๑,๕๘๖ บัญชี ส่งผลให้การบริหารเงินนอกงบประมาณประเภทเงินฝากกระทรวงการคลังเกิดประโยชน์ต่อทางราชการมากยิ่งขึ้น ๑.๑.๖ โครงการพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายฉบับแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมและยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยร่วมมือกับมูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ศึกษาวิเคราะห์การจัดทำร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... รวมทั้งได้ประมวลแนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๑.๑.๗ โครงการศึกษาและพัฒนาโครงสร้างองค์กรให้มีความพร้อมในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลางได้มีการปรับโครงสร้างจากกลุ่มพัฒนาเงินนอกงบประมาณ เป็นสำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ ๑.๑.๘ โครงการปรับปรุงระบบงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติกระบวนการให้บริการทางเครือข่ายสารสนเทศ (E-mail Address) ซึ่งจะสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงานกับทุนหมุนเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น ๑.๒. ยุทธศาสตร์ด้านสารสนเทศ ได้ยุติการดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ (e-Nonbudgeting) และโครงการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานด้านระบบสารสนเทศการบริหารเงินนอกงบประมาณ ๑.๓. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากร ประกอบด้วย ๑.๓.๑ โครงการพัฒนาการจัดทำองค์ความรู้ด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้มีการศึกษาและกำหนดหัวข้อองค์ความรู้เรื่องเงินฝากบูรณะทรัพย์สิน และจัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินแจ้งเวียนส่วนราชการถือปฏิบัติ พร้อมทั้งได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคลากรในสำนักในลักษณะ Coffee Talk เป็นประจำทุกสัปดาห์ ๑.๓.๒ โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค ได้จัดทำโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค โดยจัดประชุมสัมมนาภายในสำนักงานคลังเขต ๖ และเขต ๙ จำนวน ๑๖ จังหวัด โดยจะมีการขยายผลการดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งประเทศโดยเร็วต่อไป ๑.๓.๓ โครงการพัฒนาสมรรถนะเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางในฐานะที่ปรึกษาในการบริหารระบบเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ ได้ดำเนินการตามโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยง เพื่อเป็นการอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรภายในหน่วยงาน ๑.๓.๔ โครงการจัดประชุมสัมมนาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประเมินผลการดำเนินงานเงินนอกงบประมาณเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ ได้จัดประชุมสัมมนาและชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลแก่เจ้าหน้าที่ของทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลตัวชี้วัดร่วมด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน และจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยงให้แก่เจ้าหน้าที่ทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ รุ่น ๑.๓.๕ โครงการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๐" ได้จัดฝึกอบรมและชี้แจงการจัดทำรายงานฯ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานให้จัดส่งรายงานฯ ให้ครบถ้วน เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้อย่างครบถ้วน ถูกต้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย (มติคณะรัฐมนตรี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) ในการรายงานครั้งต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1914 | ผลการตรวจสอบราคากลางและวงเงินอุดหนุนระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร | อก | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการตรวจสอบราคากลางการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๓๔๙,๓๑๐,๐๙๑.๖๗ บาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งรัดให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ดำเนินการจัดส่งแบบก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร พร้อมทั้งข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้าง เพื่อพิจารณาตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย ซึ่งต่อมาบริษัทฯ ได้จัดส่งแบบก่อสร้าง ข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้างและเอกสารที่เกี่ยวข้องของระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครให้กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย โดยพิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมทางด้านราคาของแบบการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยในขั้นรายละเอียด พร้อมทั้งพิจารณาวงเงินอุดหนุนของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โดยมอบหมายให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคำนวณและตรวจสอบราคาแบบก่อสร้างทั้งหมดของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างประเภทงานชลประทานของกระทรวงการคลัง ๑.๒ วงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๒๒๖,๐๓๐,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามวงเงินอุดหนุนเดิม โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการซึ่งน่าเชื่อถือและยอมรับได้ และได้พิจารณากำหนดเงินอุดหนุนของแต่ละนิคม โดยคำนวณจาก ๒ ใน ๓ ส่วนของราคากลาง ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ [ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕] ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเป็นการพิจารณาค่างานและวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างเพื่อขอรับการสนับสนุนให้กับนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และไม่อยู่ในข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการดำเนินการในขั้นตอนการคำนวณราคากลางหลังจากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณและดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ต้องการนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้ ไปคำนวณขอตั้งราคาค่าก่อสร้างเพื่อกรณีดังกล่าว ก็สามารถนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้มาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องถือปฏิบัติตามนัยหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๓/ว ๓๑ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ และด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๑๒๖ ลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๘ โดยจะเบิกเงินจากคลังได้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ หรือใกล้จะถึงกำหนดชำระ และตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ภายในวงเงินกู้ที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้ เพื่อจ่ายให้แก่ภาคเอกชนในการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1915 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (พ.ร.ก.) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๕๘๖.๕๔๑๙ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ พ.ร.ก. สำหรับโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง วงเงิน ๑,๓๖๐.๔๐ ล้านบาท จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จแต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ๑.๓ อนุมัติการใช้เงินเหลือจ่าย วงเงิน ๙๗๙.๒๐ ล้านบาท เพื่อเป็นทุนในการดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และรับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้โครงการดังกล่าวจนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จแต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ๑.๔ อนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินของโครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ ค่าก่อสร้างรายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วย ๖๐ เตียง เป็นอาคาร คสล. ๒ ชั้น ของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช กระทรวงสาธารณสุข เป็นวงเงิน ๑๗,๙๕๙,๐๔๓ บาท [เงิน พ.ร.ก. ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท+เงินบำรุงสมทบของโรงพยาบาล ๕,๙๕๙,๐๔๓ บาท (เป็นเงินบำรุงสมทบของโรงพยาบาลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ วงเงิน ๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท+ขอใช้เงินบำรุงสมทบของโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ จำนวน ๒,๕๕๙,๐๔๓ บาท)] และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายโครงการภายในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๕ อนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินของโครงการศูนย์ครูใต้จังหวัดยะลา เป็นวงเงิน ๑๔๙.๗๖๔๑ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. วงเงิน ๑๔๒.๐๘๑๐ ล้านบาท และใช้เงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สมทบ วงเงิน ๗.๖๘๓๑ ล้านบาท โดยให้ สพฐ. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายโครงการศูนย์ครูใต้จังหวัดยะลาและจังหวัดนราธิวาส วงเงินรวม ๒๕๔.๗๓๐๗ ล้านบาท ให้สามารถดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๖ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่ายภายใต้ พ.ร.ก. ให้แก่ โครงการพัฒนาครูทั้งระบบ ค่าก่อสร้างโรงอาหาร-หอประชุม แบบ ๑๐๑ล/๒๗ พิเศษ ของโรงเรียนมัธยมวานรนิวาส สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๑๑,๒๖๙,๙๐๐ บาท และอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ๑.๗ อนุมัติจัดสรรเงินสำรองจ่าย วงเงิน ๓๓๒,๔๓๙,๕๔๑.๑๙ บาท ประกอบด้วย ๑.๗.๑ เงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) วงเงิน ๓๒๕,๓๒๖,๐๖๓.๙๑ บาท สำหรับกรมทางหลวง วงเงิน ๓๐๗,๖๘๖,๔๐๔.๐๐ บาท กรมทางหลวงชนบท วงเงิน ๒,๖๓๕,๖๒๖.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี วงเงิน ๖๓๐,๕๘๖.๙๘ บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วงเงิน ๒,๐๒๐,๐๘๑.๙๐ บาท สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วงเงิน ๒,๑๕๗,๔๑๕.๐๐ บาท กรมการแพทย์ วงเงิน ๑,๐๓๘,๙๗๒.๐๐ บาท มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม วงเงิน ๑,๑๗๖,๘๖๕.๙๗ บาท กรมการขนส่งทางบก ๗๖๗,๔๘๖.๐๐ บาท และกรมโยธาธิการและผังเมือง วงเงิน ๗,๒๑๒,๖๒๖.๐๖ บาท ๑.๗.๒ การคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ประกอบการก่อสร้าง วงเงิน ๖๐๙,๗๗๔.๔๐ บาท สำหรับจังหวัดสิงห์บุรี วงเงิน ๓๗๔,๗๗๕.๐๐ บาท และจังหวัดตราด วงเงิน ๒๓๔,๙๙๙.๔๐ บาท ๑.๗.๓ สัญญาที่มีปริมาณงานเพิ่มขึ้น วงเงิน ๖,๕๐๓,๗๐๒.๘๘ บาท สำหรับกรมชลประทาน วงเงิน ๖,๕๐๓,๗๐๒.๘๘ บาท ๑.๘ อนุมัติการลงนามในสัญญาภายหลังเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ โดยให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาของวิทยาลัยการอาชีพสุไหงโก-ลกที่ได้ลงนามสัญญาแล้ว และอนุมัติยกเลิกการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์วิทยบริการที่ยังไม่มีผลการจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน ๖ แห่ง วงเงิน ๕๔.๖๐ ล้านบาท ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕) ในภาพรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||||||||
1916 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองโพนโฮง | กต | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองโพนโฮงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการสนับสนุนการก่อสร้างศูนย์บำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด และศูนย์รองรับผู้ป่วยอุบัติเหตุเบื้องต้นและส่งต่อ และระบุถึงการยกเว้นภาษีหรืออากรทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับวัสดุและอุปกรณ์ที่นำเข้าไปใน สปป.ลาว เพื่อดำเนินกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ๑.๒ ให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองโพนโฮง ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองคายเป็นหน่วยงานในการดำเนินโครงการพัฒนาโรงพยาบาลเมืองโพนโฮงฝ่ายไทย เพื่อให้การดำเนินงานโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ส่วนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศ รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
1917 | การปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 19/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า ๑๐๐% จากราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นราคาตันละ ๑๒,๐๐๐ บาท และข้าวเปลือกชนิดอื่น ๆ ปรับลด ๒๐% จากราคาที่กำหนดไว้เดิม โดยมีระยะเวลาเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่าการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ และในกรณีที่ราคาตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้น คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติก็ควรที่จะได้มีการพิจารณาทบทวนการปรับเพิ่มราคาและเงื่อนไขการรับจำนำข้าวเปลือกให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลกด้วย ๒. รับทราบผลการประชุม กขช. ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับวงเงินรับจำนำข้าวเปลือกของเกษตรกรแต่ละครัวเรือน จากเดิมที่ไม่จำกัดวงเงิน เป็น ไม่เกินครัวเรือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๓. การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามที่ กขช. ได้เห็นชอบและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในครั้งนี้ ยังคงอยู่ในกรอบของการรวมปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกและกรอบวงเงินในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกต้องอยู่ในกรอบวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๔. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภามีทั้งนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก และนโยบายที่จะดำเนินการใน ๔ ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ซึ่งการรับจำนำข้าวเปลือกในราคาที่กำหนดได้ดำเนินการแล้ว ส่วนข้อเสนอของ กขช. ที่มีการดูแลรายได้เกษตรกรให้ยังคงมีกำไรที่เหมาะสม โดยสอดคล้องกับวินัยการเงินการคลัง และรัฐบาลได้มีมาตรการอื่นในการยกระดับรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร เช่น การจัด Zoning ภาคการเกษตร เพื่อกำหนดพื้นที่ในการผลิตพืชผลทางการเกษตรให้เหมาะสมและส่งเสริมการวิจัยพันธุ์ข้าวเพื่อพัฒนาคุณภาพของข้าว รวมทั้งการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มาจากข้าวให้สูงขึ้นในระยะยาว จึงเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปกำหนดมาตรการยกระดับราคาสินค้าเกษตรและพืชพลังงาน โดยให้คำนึงถึงนโยบายเกี่ยวกับการเงินการคลังของประเทศด้วย ๕. เพื่อให้การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมต่อเกษตรกร ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนปฏิบัติการในการตรวจสอบการดำเนินการโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน การตรวจสอบคุณภาพข้าว ตลอดจนการเก็บรักษาและระบายข้าวทุกขั้นตอน เพื่อกำหนดแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1918 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 8/2556 | นร01 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ๑.๑ อนุมัติแผนการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (พ.ร.ก.ฯ) วงเงิน ๓๑๔,๓๓๗.๘๗๕ ล้านบาท และให้คณะกรรมการ กบอ. ดำเนินการตามระเบียบต่อไป โดยรายละเอียดของแผนการกู้เงินตาม พ.ร.ก.ฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ในกรอบวงเงิน ๒๙๑,๐๐๐ ล้านบาท ในการดำเนินโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยตาม พ.ร.ก.ฯ ๑.๑.๒ แผนงานฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและดิน ฝายแม้ว ในกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖] ๑.๑.๓ โครงการบริหารโครงการในส่วน Project Management and Engineering Consultant (PMEC) และ Project Supervision Consultant (PSC) ตลอดระยะเวลาโครงการ ๕ ปี วงเงิน ๘,๗๓๐.๘๓ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖] ๑.๒ อนุมัติผลการพิจารณาคัดเลือกผู้ยื่นข้อเสนอโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ในกรอบวงเงิน ๒๘๔,๗๕๔.๗๗๘ ล้านบาท ในการดำเนินโครงการเพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ตาม พ.ร.ก.ฯ และให้ กบอ. ดำเนินการตามระเบียบต่อไป ๑.๓ เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ และผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ และอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖] เกี่ยวกับกิจกรรม/แผนงานมาตรการระยะสั้น ๙๐ วัน (๑๕ กุมภาพันธ์-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖) โดยให้ขยายตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และสิ้นสุดวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๒. ให้ กบอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป โดยยึดหลักความถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้งการติดตามผลการดำเนินการ การตรวจรับงานในพื้นที่ ตลอดจนการรับความคิดเห็น โดยให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการในการใช้วงเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ฯ คงเหลือ (เงินเหลือจ่าย) สำหรับโครงการภายใต้ พ.ร.ก.ฯ เนื่องจากยังไม่มีคำจำกัดความและหลักเกณฑ์วิธีการการใช้เงินเหลือจ่ายที่ชัดเจน การให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีบทบาทหลักในการพัฒนาการศึกษาวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาการบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างยั่งยืน และในการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้แต่ละจังหวัดประเมินสภาพภัยแล้งอย่างต่อเนื่องและประกาศสิ้นสุดภัยแล้งแต่ละจังหวัดให้สอดคล้องกับความเป็นจริง รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ถึงความคืบหน้าของการดำเนินโครงการให้สาธารณชนได้รับทราบและยอมรับอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. โดยที่การดำเนินการเกี่ยวกับการวางระบบการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมาเป็นการดำเนินการภายในของส่วนราชการที่มีการพัฒนาการดำเนินการตามลำดับ ซึ่งเป็นขั้นตอนในการศึกษาเพื่อกำหนดลักษณะแผนงานและโครงการที่จะดำเนินงาน พื้นที่ที่ควรจะดำเนินงานและจะทำให้ทราบถึงผลกระทบในการดำเนินการต่อไปที่มีความชัดเจนขึ้น และแม้ว่าที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีจะได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเผยแพร่แนวทางการดำเนินการมาเป็นระยะ รวมทั้งมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดยตลอดมาก็ตาม แต่การดำเนินการที่ผ่านมาเป็นเพียงการเสนอกรอบแนวความคิดกว้าง ๆ ยังไม่มีข้อยุติ เมื่อในขณะนี้ กบอ. ได้เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่จะเสนอการออกแบบและการก่อสร้างแล้ว จึงมีความชัดเจนพอสมควรในระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศไทยที่จะดำเนินการต่อไป ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติว่า เมื่อมีการจัดทำรายละเอียดในขั้นต่อไปตามโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วจะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
1919 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 5/2556 เรื่อง ข้อเสนอกรอบแผนงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ | นร11 | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ประกอบด้วย ๔ แผนงาน ได้แก่ แผนงานพัฒนาภาคการเกษตรและบริหารจัดการทรัพยากรชีวภาพ แผนงานพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แผนงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อตอบสนองทิศทางการพัฒนาโลก และแผนงานวิจัยเชิงปฏิบัติเพื่ออนาคตประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยอนุมัติให้ใช้จ่ายจากวงเงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในส่วนที่จัดสรรไว้เพื่อการลงทุนตามยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ดังกล่าวให้กับแผนงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ๑.๒ ให้มีคณะกรรมการพิจารณาข้อเสนอรายละเอียดของหน่วยงานภายใต้แผนงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อพิจารณากลั่นกรองรายละเอียดและงบประมาณของแผนงานของหน่วยงาน ๑.๓ ให้มีคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานตามแผนงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย เป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อกำกับติดตามประเมินผลการดำเนินงานในแต่ละแผนงาน ๒. ให้แก้ไขชื่อจากเดิม “แผนงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ” ให้ถูกต้อง เป็น “แผนการดำเนินการตามยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ” ทั้งนี้ การดำเนินโครงการภายใต้แผนฯ ดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ส่วนโครงการที่เกี่ยวข้องกับ Zoning ภาคเกษตร ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดเสนอคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1920 | การประชุมชี้แจงแนวทางและขั้นตอนการดำเนินโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า 800 ล้านกล้า 80 พรรษามหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2555 | ทส | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมชี้แจงโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำและโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษา มหาราชินี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ จังหวัดอุดรธานี สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคัดเลือกพื้นที่เป้าหมายในการปลูกป่า ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ และอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลงนามรับรองขนาดพื้นที่และพิกัดของแปลงปลูกเป็นรายแปลง ๒. การส่งและรับกล้าไม้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบกล้าไม้ที่จะรับมอบไปดำเนินการตามโครงการฯ และให้หน่วยงานที่เพาะชำกล้าไม้ไว้ ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จัดทำบัญชีกล้าไม้และแผนการจัดส่ง เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการปลูกและผู้ว่าราชการจังหวัดเตรียมแปลงปลูกและสถานที่รับส่งกล้าไม้ รวมทั้งให้หน่วยงานที่ส่งและรับกล้าไม้จัดทำแบบรายงานการส่ง-รับกล้าไม้ เพื่อยืนยันความถูกต้องและครบถ้วน ๓. การดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการบริหารและควบคุมกำกับโครงการทั้งหมดภายในพื้นที่จังหวัด รวมทั้งกำกับหน่วยงานในพื้นที่และภาคเอกชนที่ร่วมโครงการให้ร่วมกันรับผิดชอบ โดยการดำเนินงานต้องมีแผนปฏิบัติและการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามความก้าวหน้าของงาน (การเตรียมพื้นที่ปลูก การปลูก การดูแลรักษา) มีระบบติดตามและรายงานตามแผนงานและเป้าหมายที่กำหนด พร้อมมีแบบรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้ และตรวจสอบได้ตลอดเวลา ทั้งนี้หากผู้ว่าราชการจังหวัดย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นหรือเกษียณอายุราชการจะต้องส่งมอบงานและความรับผิดชอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ ๔. มีกลไกตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินงานโดยคณะกรรมการตรวจสอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการตรวจสอบของกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการตรวจสอบของสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการตรวจสอบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ควบคู่กับการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ๕. ระยะเวลาดำเนินการปลูกป่าตามแผนงานปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
|
.....