ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 92 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1821 - 1840 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1821 | การชี้แจงของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) | สลธ.คสช. | 15/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการติดตามและตรวจสอบโครงการของภาครัฐ รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ตามที่ประธาน คตร. เสนอ โดย ๑.๑ การดำเนินการของงบลงทุนผูกพันรายการใหม่ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๘ โครงการ ซึ่งให้ดำเนินการต่อไปได้ จำนวน ๒๔ โครงการ และให้พิจารณาทบทวน จำนวน ๔ โครงการ ๑.๑.๑ โครงการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาให้ดำเนินการต่อไปได้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดดำเนินการเพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี เพื่อให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการให้พร้อมเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ ๑.๑.๒ โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการปรับแผนโครงการ เช่น การแก้ไขขอบเขตของงาน (TOR) การปรับราคากลาง และการปรับแบบการก่อสร้าง เป็นต้น ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ เพื่อนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๑.๑.๓ สำหรับรายการค่าก่อสร้างอาคารและชิ้นงานนิทรรศการศูนย์รวบรวมและถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมชั้นสูงเพื่อการท่องเที่ยว ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติซึ่งไม่สามารถดำเนินการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ มอบหมายให้ คตร. และส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ โครงการที่ คตร. เข้าติดตามและได้สรุปผลการตรวจแล้ว จำนวน ๑๐ โครงการ มอบหมายให้ คตร. แจ้งข้อเสนอแนะของ คตร. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเร่งดำเนินการทบทวน/ปรับปรุงให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะฯ โดยหากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๑.๓ โครงการที่ คตร. เข้าติดตามและอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๔ โครงการ ๑.๓.๑ มอบหมายให้ คตร. แจ้งข้อเสนอแนะของ คตร. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อเร่งดำเนินการทบทวน/ปรับปรุงให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะฯ ๑.๓.๒ ให้ชะลอการดำเนินโครงการ (๑) กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๕๖ (๒) การเบิกค่าเบี้ยประชุมของรัฐสภา (๓) การก่อสร้างอาคารที่พักสวัสดิการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมและความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในการดำเนินการของโครงการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง โดยหากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๑.๔ โครงการที่ คตร. จะเข้าติดตามและตรวจสอบในห้วงต่อไป จำนวน ๗ โครงการ มอบหมายหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ประจิน จั่นตอง) คณะรักษาความสงบแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปดำเนินการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างอาคาร One Stop Service ณ จังหวัดนครราชสีมา ของกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) ของส่วนราชการดังกล่าวเพื่อเป็นการลดขั้นตอน บรรเทาความเดือดร้อน และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการติดต่อราชการ และให้พิจารณาถึงความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) ตามภูมิภาคต่าง ๆ ด้วย ๑.๕ รายการหรือโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ แต่ไม่มีรายละเอียดชัดเจน (งบแปรญัตติ) จำนวน ๓๓ โครงการ มอบหมายให้ คตร. ประสานกับฝ่ายต่าง ๆ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดรายการหรือโครงการที่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน ให้มีความชัดเจน แล้วนำเสนอฝ่ายที่อยู่ในความรับผิดชอบและ คตร. ตามลำดับต่อไป ๒. หากโครงการใดที่ คตร. เข้าติดตามและตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นและ/หรือไม่มีความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ ก็ให้ยุติการดำเนินโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ สำหรับโครงการที่ได้ตรวจสอบแล้วและอยู่ระหว่างการดำเนินการ หากพบข้อร้องเรียนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริต ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับไปติดตามและตรวจสอบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1822 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ 9) พ.ศ. 2557 - 2561 | มท | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (ระยะที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ วงเงิน ๓๖,๕๙๐,๐๐๐ บาท และสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาที่กำลังศึกษาต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑๐๐ คน ในวงเงิน ๓,๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ รองรับแล้ว ภายใต้แผนงานแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรมการปกครอง และสำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการบูรณาการโครงการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) เร่งดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นจำนวนผู้จบการศึกษา การประกอบอาชีพหลังจบการศึกษา และประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนาการดำเนินโครงการต่อไป และให้รายงานผลการประเมินให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย ๓. ให้ฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการดำเนินการและประสานงานกับประเทศ/องค์กรต่างประเทศที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลนักศึกษา/นักเรียนไทยที่ได้รับทุนการศึกษาจากต่างประเทศ ทั้งในส่วนที่ได้รับทุนของรัฐบาลที่ให้ต่อรัฐบาล และส่วนที่ได้รับทุนโดยตรงจากภาคเอกชนและองค์กรต่างประเทศเพื่อดำเนินการให้เหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1823 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 14 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ทก | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and IT Ministers Meeting : ASEAN TELMIN) ครั้งที่ ๑๔ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาด้านไอซีทีในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และสนับสนุนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของประเทศไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนตามแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน (ASEAN ICT Masterplan 2015) รวมทั้งสนับสนุนบทบาทนำของประเทศไทยในการทำหน้าที่ประธานสาขาความร่วมมือไอซีทีของอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเสนอประเด็นและหัวข้อต่อที่ประชุมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยอาจจะเสนอกลไกในการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารทางระบบสังคมออนไลน์ที่มีลักษณะในการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งในสังคมและสร้างความเสียหายต่อบุคคลและสังคม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1824 | โครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ | นร12 | 08/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ให้รัฐสามารถให้บริการประชาชนและภาคธุรกิจเอกชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว มีช่องทางการบริการที่สะดวก ทันสมัย เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความโปร่งใส รวมทั้งป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันของภาครัฐ ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. เพื่อให้การดำเนินการไม่เกิดความซ้ำซ้อน สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและขั้นตอนการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐ จึงมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดและกำกับการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ในการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการเสนอการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการบูรณาการข้อมูลและงานบริการภาครัฐด้วย ๓. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะใช้เงินส่วนที่เหลือจากเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการตามขั้นตอนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1825 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (รายการก่อสร้างอาคารและชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า 1 แห่ง) | วท | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ในวงเงิน ๑,๘๙๐ ล้านบาท (รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๒. อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าและค่าควบคุมงาน ได้แก่ ๒.๑ ค่าก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า วงเงิน ๗๐๐ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๓๕ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๓๕ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๒.๒ ค่าควบคุมงาน วงเงิน ๑๒ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๐.๖ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒.๖ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๓. สำหรับค่าก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาท อนุมัติในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้งและค่าควบคุมงาน ได้แก่ ๓.๑ ค่าก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง วงเงิน ๑,๐๖๙.๒ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๕๓.๕ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๑๒๒.๗ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๓.๒ ค่าควบคุมงาน วงเงิน ๑๘.๘ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๐.๙ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙.๗ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างเคร่งครัด และให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปประสานงานกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรองรับระบบขนส่งมวลชนจากเขตเมืองหลวงไปยังพิพิธภัณฑ์ เพื่ออำนวยความสะดวกและดึงดูดให้ประชาชนสนใจเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในลักษณะเครือข่ายของแหล่งท่องเที่ยวเชิงความรู้ (Edutainment Cluster) และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนรับทราบถึงการดำเนินโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ และการดึงดูดให้ประชาชนเดินทางมาเยี่ยมชม รวมทั้งควรพิจารณาดำเนินโครงการเมืองวิทยาศาสตร์ให้รอบคอบ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน แต่ควรให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของเงินลงทุนและภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และควรดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายของโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าและเป้าหมายการเบิกจ่ายที่กำหนดไว้ โดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนในการจัดซื้อจัดจ้างและการกำกับดูแลให้เป็นไปตามการออกแบบและการใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1826 | การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2557/58 | กค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒,๒๙๒ ล้านบาท ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขอชดเชยจากภาครัฐ จากเดิมร้อยละ ๔ เป็นร้อยละ ๓ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๗๐๐ ล้านบาท ๓. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยค่าบริหารสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิมร้อยละ ๒.๕๐ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๑๒๐.๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังติดตามและตรวจสอบการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้รายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อรวบรวมรายงานต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร กระทรวงการคลังควรคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงาน เช่น ยุ้งฉางของเกษตรกร การบริหารจัดการแปรรูปและจำหน่ายข้าวของสหกรณ์ และความพร้อมของบุคลากรในการติดตามตรวจสอบปริมาณข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ และในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนการเพาะปลูกข้าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดจนการพัฒนาผลิตภาพการผลิตข้าวของไทยในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น แหล่งน้ำ ระบบขนส่ง ยุ้งฉาง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1827 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการ "ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง "เป็นดำเนินโครงการ "ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 โครงการ" | ตช | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนแปลงรายการและเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันจากเดิมโครงการ “ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๓๙๖ แห่ง” ภายในวงเงิน ๖,๖๗๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นดำเนินโครงการ “ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๓๙๖ โครงการ” วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘,๓๕๗,๓๕๕,๑๗๐ บาท (ซึ่งเป็นวงเงินที่ได้รวมเงินที่ได้มีการใช้จ่ายไปแล้ว จำนวน ๑,๕๐๔,๖๗๙,๒๐๔ บาท) โดยดำเนินการในลักษณะแยกการจัดจ้างและแยกสัญญาเป็นรายการ ในวงเงิน ๖,๘๕๒,๖๗๕,๙๖๖ บาท โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์ของทางราชการด้วยการต่อรองราคาให้ต่ำที่สุด ดังนี้ ๑.๑ อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน ๑๘๑ โครงการ วงเงิน ๒,๔๕๙,๐๙๓,๑๖๖ บาท ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องก่อสร้างเนื่องจากอาคารที่ทำการเดิมถูกรื้อถอนไปแล้ว และได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารทดแทนไปแล้วบางส่วน แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องใช้บริการสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจที่ไม่มีอาคารถาวรสำหรับปฏิบัติงาน โดยใช้จ่ายจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๙๒,๐๙๒,๖๐๔ บาท เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๑๗๕,๓๔๓,๘๘๕ บาท เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๙๑๕,๐๔๙,๕๗๕ บาท และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๗๖,๖๐๗,๑๐๒ บาท ๑.๒ อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) อีกจำนวน ๒๑๕ โครงการ วงเงิน ๔,๓๙๓,๕๘๒,๘๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๘๗๘,๗๑๖,๖๐๐ บาท และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๓,๕๑๔,๘๖๖,๒๐๐ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการ ให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยให้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำแผนบริหารจัดการโครงการฯ รวมทั้งให้มีการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานตามแผน เสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำกับดูแลการจัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ของโครงการให้ถูกต้อง ชัดเจน รัดกุม และคำนึงถึงประเด็นความน่าเชื่อถือของผู้รับจ้างที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องดำเนินโครงการอย่างโปร่งใส และมีการประชาสัมพันธ์เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการที่ถูกต้องให้ประชาชนผู้สนใจได้ทราบ รวมตลอดถึงการเปิดเผยราคากลางของโครงการตามแนวทางปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายการรับจ่ายของโครงการที่บุคคลหรือนิติบุคคลเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาว่ามีข้อผิดพลาดประการใดและคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีสถานที่ทำการสำหรับให้บริการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้ประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งเร่งรัดดำเนินการเพื่อรักษาประโยชน์ของทางราชการในการติดตามความคืบหน้าของการดำเนินคดี และการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ จากผู้รับจ้างเดิมที่ได้บอกเลิกสัญญารวมถึงการดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการดำเนินการโครงการเดิมดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1828 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557 | กค | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๔๙๔,๙๐๖,๒๒๑.๕๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มีเหลือจ่ายจากโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑๘,๖๐๒,๓๗๕.๕๐ บาท และเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓๗๖,๓๐๓,๘๔๖ บาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยในอัตรา FDR+๑% ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอัตราเบี้ยประกันภัย ให้เหมาะสมและเป็นที่จูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปีให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรจัดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลฯ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจขยายการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลไปสู่สินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งให้ฝ่ายกำกับดูแล กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การรักษาวินัยการเงินการคลัง การให้ความรู้และมาตรการสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งให้นำเรื่องดังกล่าวหารือรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนต่อไป และให้มีความเชื่อมโยงกับโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (zoning) การปลูกพืชทดแทน และการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1829 | แนวทางบรรเทาความเดือดร้อนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 24/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร และมาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เป็นเวลา ๖ เดือน โดยสามารถชำระเงินต้นบางส่วนพร้อมดอกเบี้ยปกติ หรือพักชำระเงินต้นแต่ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ยปกติเต็มจำนวน และการให้กู้เพิ่มเติมกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเฉพาะในกรณีภัยพิบัติ วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของ บสย. โดยกำหนดให้สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันได้เป็นระยะเวลา ๖ เดือน สำหรับลูกค้าของ บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ประกอบด้วย ๔ โครงการ ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อรวม ๖๕,๙๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โครงการเพิ่มสินเชื่อตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร และโครงการสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (บัตรสินเชื่อเกษตรกร) ๑.๓ มาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs วงเงินสินเชื่อรวม ๔๕,๖๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อ SMEs สุขใจ โดยธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการตามยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม โครงการขยายสินเชื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต ๒ (Productivity Improvement Loan-2) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โครงการขยายสินเชื่อแก่ SMEs โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โครงการสินเชื่อเพิ่มสุข โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โครงการ SMEs Halal Trade โครงการสินเชื่อมาตรฐาน SMEs Flexi & Sure และแคมเปญ Happy Together โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการรับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการในโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ในปีแรก หลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ PGS สำหรับผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน และหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการตามหลักเกณฑ์มาตรการดังกล่าวในระยะสั้นและเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน ๓. อนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการตามข้อ ๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๗๑๒.๕๐ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ภายใต้หลักเกณฑ์มาตรการฯ ข้างต้นอย่างใกล้ชิด ให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ/โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1830 | การชี้แจงของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๘ โครงการ ๑.๑ โครงการที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ จำนวน ๒๔ โครงการ ๑.๒ โครงการที่ต้องพิจารณาทบทวน จำนวน ๔ โครงการ ๑.๓ แผนการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ในห้วงสัปดาห์ ๑๖-๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จำนวน ๘ โครงการ เช่น โครงการจัดหารถจักร จำนวน ๑๒๖ คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น ๒. โครงการที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ให้พิจารณาดำเนินการโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำคัญ ๒.๑ โครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน ให้พิจารณาทบทวนและต่อรองราคาเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ประหยัด คุ้มค่าในการดำเนินการด้วย ๒.๒ โครงการที่เกี่ยวกับการจัดหายานพาหนะของส่วนราชการ ต้องพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับภารกิจ มีความปลอดภัยในการใช้งาน และประหยัดพลังงาน ๒.๓ โครงการที่เกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค ให้คำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานและความคุ้มค่าด้วย ๒.๔ โครงการก่อสร้างอาคาร ให้พิจารณาปรับลดราคาลงให้เหมาะสม รวมถึงการนำพื้นที่เดิมไปใช้ต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนด้วย ๒.๕ โครงการเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงและทางหลวงชนบท ในภาพรวมควรพิจารณาทบทวนราคาของแต่ละโครงการให้เหมาะสม โดยคำนวณราคาวัสดุให้ชัดเจน ถูกต้อง เหมาะสมด้วย และควรมีมาตรการอื่น ๆ เช่น เชิญผู้ประกอบการมาต่อรองราคาด้วย ทั้งนี้ การพิจารณาดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสายใดหรือไม่ ควรต้องพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมตามความต้องการและการใช้ประโยชน์ของประชาชนอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ จะต้องให้ความสำคัญกับกรณีการสร้างถนนที่ขวางทางน้ำไหล ซึ่งจำเป็นจะต้องสำรวจออกแบบให้มีท่อลอดเพื่อระบายน้ำให้เหมาะสมเพียงพอ รวมทั้งจะต้องมีการติดตามตรวจสอบการก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสายทางลงได้ด้วย สำหรับการใช้วัสดุในการก่อสร้างถนนควรพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ยางพาราเป็นวัสดุในการก่อสร้างด้วย เนื่องจากยางพารามีแรงเสียดทานและความปลอดภัยสูง และสต็อกยางในประเทศมีมาก หากสามารถนำมาใช้ประโยชน์ภายในประเทศได้ ก็จะเป็นการเพิ่มมูลค่าในการใช้ยางพาราให้สูงขึ้นด้วย ๓. โครงการที่ต้องพิจารณาทบทวน ให้พิจารณาดำเนินการโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำคัญ ๓.๑ โครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ให้บริการประชาชนด้านทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อทดแทนระบบเดิม ๔๕๕ แห่ง ของกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาหลักการและเหตุผลความจำเป็น ยังไม่ได้มีการดำเนินการ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องพิจารณาทบทวนโครงการ โดยให้นำความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย ๓.๒ โครงการต่อขยายสะพานอรุณอัมรินทร์พร้อมทางขึ้น-ลง และทางยกระดับข้ามแยกศิริราช ซึ่งเป็นการดำเนินการตามงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการประกวดราคา จัดซื้อจัดจ้าง และรอความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทย ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องพิจารณาทบทวนและต่อรองราคาให้เหมาะสมด้วย ๓.๓ โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ และโครงการห้วยโสมง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี เนื่องจากมีการปรับราคาการดำเนินโครงการสูงเกินไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาทบทวนและปรับราคาให้เหมาะสมต่อไปด้วย ๔. ในการจัดทำโครงการต่าง ๆ ของทุกส่วนราชการ ให้ประกาศเชิญชวนผ่านสื่อทุกประเภท ให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบล่วงหน้าโดยทั่วกัน เพื่อให้มีการแข่งขันการประมูลอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้จัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ให้มีความรัดกุม และให้มีผู้แทนของหน่วยงานกลาง เช่น คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันทำการประมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ตลอดจนการดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นไปตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางของทางราชการและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐรับไปดำเนินการพิจารณาติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1831 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยรวมให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในระยะแรกซึ่งยังเหลือระยะเวลาอีกประมาณ ๒ เดือน โดยเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยให้ยึดหลักประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่มีการทุจริตในทุกขั้นตอน ส่วนในระยะที่ ๒ ต้องมีการปรับปรุงแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และในระยะยาวจะต้องมีแผนงาน/โครงการที่ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ ในการเสนอขออนุมัติโครงการต่าง ๆ ให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดประกอบโครงการด้วยว่า ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์อะไร อย่างไรบ้าง เช่น ประชาชนจะมีน้ำใช้เพิ่มขึ้นจำนวนเท่าไร ประชาชนจะได้รับการบริการที่ดีขึ้นอย่างไร เป็นต้น ๑.๒ ในการจัดทำโครงการต่าง ๆ ของทุกส่วนราชการ ให้ประกาศเชิญชวนผ่านสื่อทุกประเภทให้ประชาชนและผู้สนใจได้ทราบล่วงหน้าโดยทั่วกัน เพื่อให้มีการแข่งขันการประมูลอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้จัดทำขอบเขตของงาน (TOR) ให้มีความรัดกุม และให้มีผู้แทนของหน่วยงานกลาง เช่น คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงบประมาณ เป็นต้น เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันทำการประมูลเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการทุจริต ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงบประมาณและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาปรับปรุงแนวทางการใช้จ่ายเงินทดรองราชการกรณีการเกิดภัยพิบัติ ในประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการ แนวทางการจัดสรรเงินให้แก่ส่วนราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้เพียงพอและทันต่อสถานการณ์ ๑.๔ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐพิจารณาตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ จำนวน ๓๙๖ แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีความถูกต้องและเหมาะสม และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ๑.๕ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๗ นั้น ให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาเพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน และให้พิจารณาหาแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์ให้เป็นธรรม มิให้มีการผูกขาด รวมทั้งกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์จากเงินรายได้เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นหลักด้วย ๑.๗ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการดำเนินการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะจะต้องมีระบบติดตามมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนด และมีระบบตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีความพร้อม ไม่เมาสุรา ไม่เสพยาเสพติด และมีการพักผ่อนที่เพียงพอ ๑.๘ ให้ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเร่งรัดจัดการประชุมคณะกรรมการโดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศตามแนวทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๙ ให้ชะลอการดำเนินการจัดประชุมคลื่นความถี่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ไว้ก่อน และให้ทบทวนการดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและมีกลไกที่รัฐสามารถควบคุมกำกับดูแลระบบโทรคมนาคมได้อย่างเหมาะสม ๑.๑๐ ให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาหาแนวทางและมาตรการด้านพลังงานทั้งในระยะเวลา ๓-๕ ปีข้างหน้า และในระยะยาว โดยให้มีการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม หรือการหาวิธีการใช้พืชพลังงานและพลังงานทางเลือก ๒. เรื่องการประชาสัมพันธ์ ๒.๑ การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ควรจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ติดตามและกำหนดแนวทางการดำเนินการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และสามารถตอบข้อสงสัยของประชาชนได้ ทั้งนี้ ให้ประสานทำความเข้าใจกับสื่อมวลชน สมาคม และมูลนิธิต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีแนวทางการสื่อสารที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย ๒.๒ ให้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาของรายการบางรายการซึ่งเผยแพร่ทางกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้เป็นการนำเสนอความก้าวหน้าในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานและผลการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังชี้แจงทำความเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินโครงการพัฒนารถไฟรางคู่ ทั้งในด้านประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับและพื้นที่ที่ต้องใช้ในการดำเนินโครงการ รวมทั้งขั้นตอนที่ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ขนาดของรางรถไฟที่ใช้มีความเหมาะสมประการใด และการกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีข้อกำหนดประการใด ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างไรด้วย ๓. เรื่องการปฏิรูปประเทศ ตามที่ได้มีการแถลงอย่างเป็นทางการถึงห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยในระยะที่ ๒ หลังจากมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ซึ่งจะมีบทกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสภาปฏิรูป โดยสภาปฏิรูปที่จัดตั้งนั้น จะประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน พรรคการเมือง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง มีการกำหนดวิธีการในการคัดเลือก ซึ่งการปฏิรูปประเทศต้องให้ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ได้แก่ สังคม เศรษฐกิจ การเงิน การคลัง การเมือง กฎหมาย การปกครองส่วนท้องถิ่น พลังงาน สิ่งแวดล้อม สังคมจิตวิทยา การบริหารราชการ การศึกษา กระบวนการยุติธรรม คุณภาพคน มาตรการป้องกันแก้ไขการทุจริตคอร์รัปชัน สื่อสารมวลชน และอื่น ๆ ซึ่งเมื่อมีข้อสรุปจากสภาปฏิรูปที่ชัดเจนแล้วก็จะเข้าสู่ระยะที่ ๓ ต่อไป ๔. เรื่องโรงงานกำจัดขยะ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ และการกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้พิจารณาสร้างโรงงานกำจัดขยะบนพื้นที่ราชพัสดุหรือพื้นที่ทหารก่อน ๕. เรื่องโครงการจัดการน้ำและระบบสาธารณูปโภค ๕.๑ โครงการต่าง ๆ ที่มีความพร้อมในการดำเนินการและผ่านการตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมจากแต่ละฝ่ายและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐแล้ว ให้นำเสนอเรื่องต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๕.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการสร้างถนนทางสายหลักและทางสายรองในแต่ละเส้นทางว่ามีความจำเป็น คุ้มค่า และเป็นไปตามความต้องการของคนในพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาหาแนวทางการดูแลซ่อมบำรุงถนนทั้งระบบ โดยเฉพาะการป้องกันการเสื่อมสภาพของพื้นที่ถนน เช่น การเลือกวัสดุที่ใช้ทำถนน การกำหนดน้ำหนักบรรทุกของรถ เป็นต้น นอกจากนี้ ให้สำรวจถนนที่มีการก่อสร้างขวางทางเดินน้ำและเร่งจัดทำท่อลอดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังในอนาคต ๕.๓ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาระบบการเดินรถไฟให้มีความเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ รวมทั้งการจัดสถานที่จอดรถสำหรับผู้ใช้บริการด้วย ๕.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจเร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมโดยการรถไฟแห่งประเทศไทยทบทวนการบริหารจัดการกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทยระยะยาว โดยเน้นการปรับโครงสร้างองค์กร การเพิ่มประสิทธิภาพ การเพิ่มรายได้ การลดภาระรายจ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งจัดทำแผนการเพิ่มทุน และการบริหารจัดการหนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. เรื่องแรงงานต่างด้าว ตามที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (Trafficking in Persons Report : TIP Report) ซึ่งประเทศไทยได้รับการประเมินอยู่ในสถานะระดับ ๒ (Tier 2 : Watch List) ซึ่งเป็นประเทศที่ถูกจับตามอง ดังนั้น เพื่อมิให้ประเทศไทยถูกลดระดับลง จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน เป็นต้น เร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศให้ถูกต้องและทั่วถึงเกี่ยวกับการใช้แรงงานในประเทศไทย รวมทั้งการที่ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างเต็มที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยเบื้องต้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าว เพื่อทำหน้าที่จัดระเบียบและแก้ไขปัญหาแรงงานทั้งระบบด้วยการบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลและเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศและประชาคมโลก โดยไม่ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ และให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งจัดทำแผนและแนวทางการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวอย่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1832 | บริษัท การบินไทย (จำกัด) มหาชน ขอดำเนินโครงการจัดหาเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องของบริษัท และการค้ำประกันสำหรับการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ER | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินโครงการจัดหาเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งขอเบิกใช้วงเงิน Committed Credit Line หรือ Uncommitted Credit Line เพื่อเป็นสำรองเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ วงเงิน ๘,๐๐๐ ล้านบาท และจัดหาเงินทุนจากธนาคาร LH Bank วงเงิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การจัดหาเงินกู้เป็นการดำเนินการบริหารการเงินภายใน ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๒. อนุมัติให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมออกหนังสือรับรอง (Letter of Assurance) ให้แก่ US EX-Im Bank เพื่อประกอบการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระค่าเครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ER และอนุมัติให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในสัญญาเงินกู้ในกรณีดังกล่าว ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้อง ๓. ให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ไปพิจารณาทบทวนสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจทุกแห่งที่ได้รับนอกเหนือจากผลตอบแทนที่เป็นเบี้ยประชุมและเงินปันผลที่กำหนดโดยผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่ดำเนินการปรับลดสิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการโดยการยกเลิกการให้บัตรโดยสารเครื่องบินฟรี |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1833 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติเห็นชอบข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดังนี้
๑. เรื่องด้านงบประมาณ ๑.๑ เพื่อให้การอนุมัติใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงเพื่อเสนอหัวหน้าฝ่ายที่รับผิดชอบการปฏิบัติราชการพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วจึงเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาอนุมัติหลักการหรือให้ความเห็นชอบแล้วแต่กรณีต่อไป โดยกรณีที่มีวงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้นำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ หากวงเงินเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ให้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอนุมัติ ๑.๒ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐในกรณีต่าง ๆ เช่น งบประมาณปกติ งบกลาง และงบประมาณผูกพันข้ามปี เป็นต้น เป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้อง มอบให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการจัดทำสรุปขั้นตอนการใช้จ่ายงบประมาณในกรณีต่าง ๆ ให้ชัดเจน ครบถ้วน แล้วเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๑.๓ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของแต่ละกระทรวงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้แต่ละกระทรวงพิจารณาทบทวนโครงการ/งานที่เป็นเรื่องเดียวกันและอาจซ้ำซ้อนกับของกระทรวงอื่น เพื่อนำมาบูรณาการร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เกิดความซ้ำซ้อน สำหรับแผนงานหรือโครงการของส่วนราชการใดที่ยังไม่ดำเนินการ ให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนหรือปรับแผนงานหรือโครงการดังกล่าวให้เหมาะสม โดยให้คำนึงถึงความเป็นธรรม ทั่วถึง และเป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดเก็บรายได้ภาครัฐให้เป็นมาตรฐาน โดยพิจารณาในแง่ของประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์เป็นหลัก โดยกำหนดมาตรฐานให้เกิดความเป็นธรรมและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดกลไกการดำเนินการ โดยเริ่มจากการเก็บภาษีก่อน เช่น ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก รายได้ของรัฐที่ได้จากสัมปทาน เป็นต้น ๑.๕ การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติ กรณีที่ยังไม่มีรัฐธรรมนูญใช้บังคับ ในขั้นตอนการตั้งคณะกรรมาธิการ ให้สำนักงบประมาณรับไปเตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้ล่วงหน้า โดยให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการให้มีผู้แทนจากทุกภาคส่วนทั้งภาคเศรษฐกิจ ภาคประชาชน หรือผู้มีส่วนได้เสียได้เข้าร่วมพิจารณาให้ข้อคิดเห็นด้วย ๑.๖ ให้ปรับโครงสร้างการจัดส่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ครอบคลุมกรุงเทพมหานคร โดยให้เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของกรุงเทพมหานครให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ๑.๗ มอบหมายรองเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (พลโท ชาตอุดม ติตถะสิริ) ร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวบรวมรายชื่อคณะกรรมการตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดกลไก แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณ และมีการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงาน ๑.๘ มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหาแนวทางในการบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดทำงบประมาณและนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๒. เรื่องที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ ๒.๑ กฎหมายที่เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นข้อจำกัดต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคมจิตวิทยา ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมและจัดทำแผนงานว่าเรื่องใดควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ โดยให้เร่งดำเนินการเรื่องที่อยู่ในระยะที่ ๑ ก่อน ๒.๒ โครงการโรงงานยาสูบ ระยะที่ ๒ ให้ดำเนินการตามแผนงานเดิม โดยให้ปรับพื้นที่โรงงานเดิมเป็นสวนสาธารณะ แต่หากจำเป็นจะต้องก่อสร้างที่จอดรถในพื้นที่ดังกล่าวให้ดำเนินการเป็นที่จอดรถใต้ดิน ๒.๓ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้มีการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น ๒.๔ การทำความเข้าใจกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และการนิรโทษกรรมที่ยังมีข้อโต้แย้ง รวมทั้งติดตามสถานการณ์การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในสื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด โครงการลงทุนต่าง ๆ ๒.๕ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ เช่น การจ้างงานในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทย ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและไม่ก่อให้เกิดมลพิษและมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทย เป็นต้น ๒.๖ โครงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานให้เร่งดำเนินการโครงการที่ได้รับอนุมัติและได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว รวมทั้งเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน เช่น โครงการรถไฟรางคู่ โครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต สำหรับแผนงานหรือโครงการใดที่มีข้อร้องเรียนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทุจริต ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) รับไปติดตาม ตรวจสอบ ก่อนดำเนินการต่อไป การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๒.๗ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งกำหนดมาตรการในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยให้พิจารณารายละเอียดกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาผลิตผลทางการเกษตร มอบหมายให้หน่วยงานราชการดำเนินโครงการช่วยเหลือเกษตรกร โดยให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานนำร่องในการรับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรโดยตรง ๒.๘ มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา เพื่อลดความเดือดร้อนแก่ประชาชน กลุ่มผู้ค้ารายย่อย เช่น กลุ่มคนพิการ เป็นต้น ๒.๙ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาขยะ การกำจัดน้ำเสียจากโรงงาน รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ โดยเริ่มต้นจากการให้ทุกส่วนราชการดำเนินมาตรการแยกประเภทและบริหารจัดการขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒.๑๐ สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการป้องกันน้ำท่วมและแก้ปัญหาภัยแล้ง เช่น การขุดลอกคูคลองแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว เป็นต้น การศึกษา ๒.๑๑ มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) การขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก เช่น การพัฒนาการเชื่อมโยงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม โดยเชื่อมต่อกับโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ๓. เรื่องด้านความมั่นคง การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ ๓ หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และส่วนราชการปกติ บูรณาการการทำงานเพื่อให้เกิดเอกภาพ โดยให้ กอ.รมน. ภาค ๔ เป็นส่วนหน้าในการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้มีการจัดทำแผนงานด้านความมั่นคง และให้มีคณะกรรมการฟื้นฟูเพื่อสันติภาพ เพื่อสร้างความไว้วางใจและเชื่อมั่นแก่ประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1834 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเซียอาคเนย์ ครั้งที่ 13 | ศธ | 22/04/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๑๓ ณ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความสำเร็จของการดำเนินโครงการตามขั้นตอนที่กำหนด การส่งมอบงานได้รับการขยายเวลาการส่งมอบงานตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่ ๙ และครั้งที่ ๑๐) จากวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ขยายไปสิ้นสุด ณ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ โดยผลการดำเนินงานเป็นไปตามเงื่อนไขในการส่งมอบตามรูปแบบรายละเอียดและสัญญา (As-Built Drawing, Building User Manual & Training) แล้วเสร็จร้อยละ ๑๐๐ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๒. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่าย ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๗ รวม ๖,๑๔๘,๗๕๕,๐๐๐.๐๐ บาท ประกอบด้วย งบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน จำนวน ๓,๖๔๘,๗๕๕,๐๐๐.๐๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1835 | มาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง | ปช | 18/03/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับมาตรการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ตามนัยมาตรา ๑๙ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังซึ่งสร้างผลตอบแทนให้แก่เกษตรกรในวงจำกัด แต่สร้างผลกำไรให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมาก หากรัฐต้องการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทั่วถึงพร้อมกับพึ่งพิงวิธีที่ไม่ฝืนกลไกตลาดในระยะยาว จะต้องนำการประกันความเสี่ยงด้านราคามาใช้ เป็นการประกันราคาขั้นต่ำให้เกษตรกร ทั้งนี้ ราคาประกันขั้นต่ำไม่ควรตั้งสูงจนเกินไป แต่ต้องสูงกว่าต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยของเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรสามารถอยู่ได้ มาตรการดังกล่าวมีข้อดี คือ เกษตรกรทุกรายที่ปลูกมันสำปะหลังสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ลดความวิตกของเกษตรกรในเรื่องความผันผวนของราคาตลาด กลไกตลาดยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ถูกบิดเบือน รัฐไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าจ้างแปรรูป ค่าเก็บรักษา เป็นต้น นอกจากเงินชดเชยที่ต้องจ่ายในกรณีที่ราคาตลาดอ้างอิงต่ำกว่าราคาประกัน รัฐไม่มีภาระในการเก็บรักษาและการระบายผลผลิตซึ่งผิดกับการรับจำนำ เพราะรัฐไม่ต้องรับซื้อผลผลิตมาเก็บรักษา จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มาก รวมทั้งลดโอกาสการทุจริตในเกือบทุกขั้นตอนและทุกระดับ ๑.๒ สนับสนุนเงินทุนให้เกษตรกรกู้ในตลาดอัตราดอกเบี้ยต่ำในระหว่างชะลอการขุดหัวมันไม่ให้ออกสู่ตลาดในคราวเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ๑.๓ สนับสนุนให้มีการสร้าง Cluster มันสำปะหลังระหว่างโรงงานกับเกษตรกร เพื่อให้มีการวางแผนการผลิตและการตลาดร่วมกัน ๑.๔ พัฒนาระบบฐานข้อมูลเกษตรกรและฐานข้อมูลการผลิตอย่างเป็นระบบและมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้นโยบายการส่งเสริมหรือช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังของรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๕ ถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ให้แก่เกษตรกรในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และใช้ท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่ดีและวิธีการเพาะปลูกที่เพิ่มเปอร์เซ็นต์แป้งให้มากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการให้คำแนะนำและกำหนดแนวทางเพื่อช่วยแก้ไขการระบาดของเพลี้ยแป้ง เพราะเกษตรกรไทยยังขาดแคลนการพัฒนาศักยภาพการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดต้นทุนการผลิต และยกระดับคุณภาพของมันสำปะหลัง ๑.๖ ส่งเสริมการใช้มันสำปะหลังในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สร้างมูลค่าเพิ่ม การผลิตเอทานอล เพื่อป้องกันอุตสาหกรรมการผลิตแก๊สโซฮอล์นับเป็นแนวทางหนึ่งที่เป็นไปได้ การพัฒนาทางเลือกนี้จะช่วยให้เกิดความต้องการใช้มันสำปะหลัง ทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีอุปสงค์รองรับ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ กรณีเรื่องใดที่จะมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก็ให้พิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1836 | โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาส 3/2556 ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 | พน | 07/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๓/๒๕๕๖ ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๓/๒๕๕๖ มีสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๗๐ : ๓๐ คิดเป็นปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๑๗๑,๒๘๒,๒๘๕ ลิตร : ๗๓,๖๕๕,๘๗๐ ลิตร หรือคิดเป็นปริมาณหัวมันสด จำนวน ๔๙๙,๗๙๑ ตัน ๒. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ ๒.๑ ผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ บริษัท อี85 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัด และคลังกลางมันเส้น องค์การคลังสินค้า ในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานเอทานอล มีมันเส้นไม่เพียงพอกับความต้องการใช้มันเส้นผลิตเอทานอล ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องรับมันเส้น องค์การคลังสินค้า ในพื้นที่หรือจังหวัดอื่นทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและราคาเอทานอล ๒.๒ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ บางราย ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน ๓. แนวทางการแก้ไขปัญหา กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานแจ้งผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1837 | ขออนุมัติลงนามในสัญญาก่อนได้รับอนุมัติเงินประจำงวด | นร04 | 07/01/2557 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีลงนามในสัญญาก่อนได้รับอนุมัติเงินประจำงวดในการดำเนินโครงการ Roadshow สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ทุกภาคทั่วประเทศ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ จำนวน ๑๐ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี นครสวรรค์ เชียงใหม่ ชลบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1838 | ให้เร่งรัดการดำเนินโครงการอาหารกลางวันนักเรียนและโครงการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาให้แก่โรงเรียน | นร | 25/12/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการที่ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหลายจังหวัดพบว่าการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบของหลายกระทรวงที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ/เห็นชอบไปแล้วก่อนการยุบสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่แล้วเสร็จและบรรจุผลในการปฏิบัติในระดับพื้นที่ เช่น โครงการอาหารกลางวันนักเรียนที่ได้มีการปรับค่าอาหารกลางวันจากเดิมในอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน เป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน และโครงการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาให้แก่โรงเรียน เป็นต้น จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรับไปกำชับและติดตามการดำเนินการ โดยประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ขอให้เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการ/แผนงานในความรับผิดชอบ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1839 | ขอให้เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการ/แผนงานในความรับผิดชอบ | นร | 17/12/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้มีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องความต้องการตามแนวทางและผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนานาประเทศ และในขณะนี้พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๖ มีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ มีผลให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ โดยคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็นภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ตามนัยมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อเนื่อง และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านกำชับให้หัวหน้าส่วนราชการและหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ในความรับผิดชอบเร่งรัด กำกับ ติดตามการปฏิบัติงานและการดำเนินโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ ให้แล้วเสร็จ เป็นไปตามกรอบเวลาและงบประมาณที่ได้รับอนุมัติหรือได้รับความเห็นชอบไว้แล้ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1840 | โครงการจัดหารถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) จำนวน 7 ขบวน ของบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด | คค | 03/12/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการจัดหารถไฟฟ้าธรรมดา (City Line Airport Rail Link) จำนวน ๗ ขบวน ขบวนละ ๔ ตู้ วงเงินรวม ๔,๘๕๔.๔๑ ล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายสำหรับอะไหล่สำรอง ร้อยละ ๑๐ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้อยละ ๗ และค่าใช้จ่ายในการแก้ไขระบบอาณัติสัญญาณและการเดินรถ) ของบริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์ด้านการโดยสารรถไฟฟ้าและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินขบวนรถไฟฟ้าเนื่องจากเป็นการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าธรรมดาเพิ่มเติม จำนวน ๗ ขบวน ขบวนละ ๔ ตู้ และเสริมการให้บริการของขบวนรถไฟฟ้าที่บริษัทฯ มีอยู่เดิมที่จะครบวาระในการซ่อมหนัก (Overhaul) เมื่อวิ่งครบระยะทาง ๑ ล้านกิโลเมตร ในช่วงต้นปี ๒๕๕๗ รวมทั้งปริมาณผู้โดยสารคาดการณ์ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนรถไฟฟ้าธรรมดา ที่บริษัทฯ มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๕ ขบวน ขบวนละ ๓ ตู้ ไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้ใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศในการดำเนินโครงการฯ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงิน และนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อเพื่อนำไปเพิ่มทุนให้กับบริษัทฯ เพื่อดำเนินโครงการฯ โดยจะให้ รฟท. ถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ ต่อไป อย่างไรก็ตาม กรณีการให้กระทรวงการคลังเข้าร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ แทน รฟท. ให้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ทั้งนี้ หากกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ประสงค์ให้กระทรวงการคลังเข้าถือหุ้นในบริษัทฯ กระทรวงการคลังจะต้องเปิดโอกาสให้ รฟท. สามารถซื้อหุ้นของบริษัทฯ คืนจากกระทรวงการคลังได้ในราคาทุนในอนาคต |
.....