ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 94 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1861 - 1880 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1861 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 8 (The 8th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน ด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ 4 (The 4th AMMSWD+3) | พม | 15/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๘ (The 8th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ ๔ (The 4th AMMSWD+3) ระหว่างวันที่ ๓-๗ กันยายน ๒๕๕๖ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นความก้าวหน้าในการดำเนินงานภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ๒๕๕๔-๒๕๕๘ (ASEAN Strategic Framework for Social Welfare and Development 2011-2015) ๑.๑ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ด้านสวัสดิการสังคมและพัฒนา ๒๕๕๔-๒๕๕๘ ๑.๒ ที่ประชุมมีความเห็นว่าปัญหาด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาเป็นประเด็นตัดขวาง และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการพัฒนาแบบหลายมิติ จึงสนับสนุนให้มีการทำงานแบบองค์รวม (Holistic approach) ๑.๓ ที่ประชุมเล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือไม่เพียงแต่ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน แต่เล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับกลุ่มประเทศ+๓ คู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนา ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ที่ประชุมตระหนักถึงความสำคัญของดัชนีชี้วัดประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนและการประเมินผลครึ่งแผนแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี ๒๕๕๘ โดยต้องเป็นไปอย่างบูรณาการ อยู่บนพื้นฐานหลักสิทธิมนุษยชน มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒. ประเด็นการพัฒนาสังคมอย่างทั่วถึงสำหรับทุกคน ๒.๑ ที่ประชุมเน้นย้ำถึงพันธกรณีที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งมาตรการการคุ้มครองทางสังคม และนำแนวคิด ประเด็นห่วงใยของกลุ่มคนเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการในประชาคมอาเซียน ๒.๒ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อท้าทายที่พบในหลายประเทศสมาชิกอาเซียน คือ ปัญหาสังคมผู้สูงอายุว่าเป็นสิ่งที่ประเทศสมาชิกอาเซียนและกลุ่มประเทศ+๓ ต้องมีนโยบายหรือมาตรการเตรียมการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ๓. ประเด็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งการคุ้มครองทางสังคมในอาเซียน ที่ประชุมให้การรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งมาตรการการคุ้มครองทางสังคมเพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวเป็นเครื่องมือยืนยันว่าทุกคนในสังคม โดยเฉพาะคนยากจน กลุ่มเสี่ยง ผู้พิการ ผู้สูงอายุ เด็กที่ไม่ได้เข้าเรียน เด็ก แรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน และกลุ่มคนเปราะบางอื่น ๆ จะได้รับสิทธิในการเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคมซึ่งเป็นหลักการขั้นพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียม ๔. ประเด็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็ก ที่ประชุมให้การรับรองปฏิญญาว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็กในอาเซียน เพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๓ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ณ ประเทศบรูไนดารุสซาลาม ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวให้คำมั่นต่อความต้องการการทำงานอย่างเป็นองค์รวมเพื่อส่งเสริมสิทธิสตรีและเด็ก และการตอบสนองต่อมิติหญิงชาย ความเปราะบางของเด็ก และการตอบสนองต่อช่วงวัยในการป้องกันและขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ๕. ประเด็นความร่วมมือประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ ว่าด้วยเรื่องสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ๕.๑ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อความสำเร็จจากการดำเนินโครงการที่ดำเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับกลุ่มประเทศ+๓ โดยมีโครงการของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย อาทิ โครงการการพัฒนาโดยใช้แนวคิดชุมชนเพื่อรวมต้นแบบการสาธารณสุขและการบริการสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ และการพัฒนาการให้บริการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มคนเปราะบาง ซึ่งประเด็นสังคมผู้สูงอายุเป็นหัวข้อที่หลายประเทศสมาชิกอาเซียนต้องเผชิญร่วมกันในไม่กี่ปีข้างหน้า ๕.๒ ที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อแผนงานโครงการใหม่ ๆ ที่ดำเนินงานกับกลุ่มประเทศ+๓ อีกทั้งชื่นชมการให้การสนับสนุนด้วยดีของกลุ่มประเทศ+๓ มุ่งสู่การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ๖. การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๙ (The 9th AMMSWD) และการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาบวกสาม ครั้งที่ ๕ (The 5th AMMSWD+3) ที่ประชุมแสดงความขอบคุณประเทศอินโดนีเซียในฐานะที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม The 9th AMMSWD และการประชุม The 5th AMMSWD+3 ที่จะจัดขึ้นในปี ๒๐๑๖
|
||||||||||||||||||||||||
1862 | หนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส | ศธ | 15/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (Declaration d’Intention dans le Domain de la Cooperation Educative entre le Ministre Francais des Affaires Etrangeres et Le Ministre Thailandais de l’Education) โดยสาระสำคัญของหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินโครงการอบรมครูภาษาฝรั่งเศส ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือทางด้านการศึกษาและการวิจัย ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ
|
||||||||||||||||||||||||
1863 | การรายงานผลการดำเนินงานมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี 2557 มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556/57 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 ตามมติคณะรัฐมนตรี | กษ | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานผลการดำเนินการมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบปี ๒๕๕๗ มาตรการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี ๒๕๕๖/๕๗ และโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๕๖ ของกรมส่งเสริมการเกษตรซึ่งมีหน้าที่ในการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกร ประชาคม และออกใบรับรองให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าว ในปี ๒๕๕๖/๕๗ ดังนี้ ๑.๑ ยางพารา เกษตรกรแจ้งขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๕๗๕,๒๔๑ ครัวเรือน รับขึ้นทะเบียนและบันทึกในระบบสารสนเทศเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแล้ว จำนวน ๒๑๖,๔๑๓ ครัวเรือน พื้นที่ปลูก ๓,๑๔๑,๕๗๒ ไร่ พื้นที่เปิดกรีด ๒,๕๓๖,๓๘๐ ไร่ ส่งรายชื่อให้คณะกรรมการตรวจสอบพื้นที่เปิดกรีดระดับตำบลดำเนินการแล้ว จำนวน ๓,๗๙๒ ครัวเรือน พื้นที่ปลูก ๔๓,๗๖๗ ไร่ พื้นที่เปิดกรีด ๓๘,๔๓๕ ไร่ ๑.๒ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๑๓๕,๘๔๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๒,๔๒๕,๘๑๐ ไร่ ผลผลิต ๑,๗๓๕,๔๒๗ ตัน เกษตรกรผ่านประชาคม จำนวน ๒๘,๕๘๔ ครัวเรือน พื้นที่ ๕๘๓,๐๗๓ ไร่ ผลผลิต ๔๐๔,๕๓๐ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๒๑.๐๔ ของจำนวนครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียน) ออกใบรับรอง ๒๓,๐๓๘ ครัวเรือน พื้นที่ ๔๔๑,๘๒๗ ไร่ ผลผลิต ๓๐๖,๓๓๒ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๘๐.๖๐ ของจำนวนครัวเรือนที่ผ่านการประชาคม) ๑.๓ ข้าว เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๒,๓๔๓,๘๒๔ ครัวเรือน พื้นที่ ๔๑,๘๙๙,๐๘๐ ไร่ ผลผลิต ๑๗,๘๕๔,๗๐๘ ตัน เกษตรกรผ่านประชาคม จำนวน ๓๘,๗๙๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๘๕๓,๓๓๓ ไร่ ผลผลิต ๔๘๓,๐๘๖ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๑.๖๖ ของจำนวนครัวเรือนที่ขึ้นทะเบียน) ออกใบรับรอง ๑๙,๒๘๙ ครัวเรือน พื้นที่ ๓๙๘,๑๓๙ ไร่ ผลผลิต ๒๓๙,๐๗๓ ตัน (คิดเป็นร้อยละ ๔๙.๗๒ ของจำนวนครัวเรือนที่ผ่านการประชาคม) ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินมาตรการการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ โดยเร็ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง การเข้มงวดต่อการตรวจสอบสิทธิ์ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวที่เข้าร่วมโครงการเพื่อป้องกันการสวมสิทธิและการบุกรุกป่า การเร่งรัดดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรโดยเร็ว โดยดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง การเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์และสิทธิครอบครองประกอบการออกใบรับรองเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวแก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง การประเมินผลสำเร็จการดำเนินโครงการเพื่อใช้เป็นแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในระยะต่อไป รวมทั้งการเตรียมความพร้อมและการปรับตัวของเกษตรกรในการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ควรเพิ่มการรายงานการป้องกันปัญหาการทุจริตในกระบวนการขึ้นทะเบียนและการทำประชาคม ตลอดจนผลจากการปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานของโครงการให้มีความรัดกุมมากขึ้น และการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกษตรกรให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเพื่อให้การลงทะเบียนต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการตรวจสอบในระดับพื้นที่ ซึ่งจะช่วยป้องกันเรื่องการสวมสิทธิได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1864 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (พ.ร.ก.) ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๒๖.๒๕๕๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ได้แก่ ๑.๒.๑ โครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๒๓.๙๐๕๐ ล้านบาท โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพส่วนราชการ (รายการก่อสร้างศูนย์กีฬาและนันทนาการ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๑๓๙.๒๐ ล้านบาท โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๓ โครงการขยายวิทยาเขตราชบุรีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (รายการก่อสร้างหอประชุม ๑ หลัง) วงเงิน ๑๔.๙๕๗๑ ล้านบาท และโครงการเพิ่มศักยภาพสวนอุตสาหกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (รายการก่อสร้างอาคารวิจัยและนวัตกรรม) วงเงิน ๗๒ ล้านบาท ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามลำดับ ๑.๒.๔ โครงการก่อสร้างอาคารสิรินธรเพื่อดูแลผู้สูงอายุ วงเงิน ๖๙๙.๗๐ ล้านบาท และโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากร ด้านสาธารณสุข วงเงิน ๓.๙๗๖๑ ล้านบาท ของสภากาชาดไทย โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ และ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามลำดับ ๑.๒.๕ รายการก่อสร้างของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒๘ รายการ วงเงิน ๓๒๓.๙๒๒๗ ล้านบาท เบิกจ่ายถึงระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๖-เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามความคืบหน้าของแต่ละโครงการและอนุมัติการยกเลิกรายการก่อสร้างของกระทรวงสาธารณสุข และนำวงเงินกู้ดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๑.๒.๖ เงินสำรองจ่ายและค่าประกันผลงานที่จะต้องเบิกจ่ายหลังการดำเนินโครงการแล้วเสร็จจึงไม่สามารถเบิกจ่ายได้ภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายจนกว่าการเบิกจ่ายรายการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ ๑.๓ อนุมัติการยกเลิกโครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่โครงการหลวงประจำปี ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๙,๙๑๑,๕๐๐ บาท และนำวงเงินกู้ดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๑.๔ จัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ได้แก่ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๖ รายการ วงเงิน ๒๑,๗๖๔,๐๙๖.๓๗ บาท และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ รายการ วงเงิน ๑,๔๖๕,๙๕๔ บาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินโครงการเดิมให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาใหม่ที่ขยายให้ในครั้งนี้ และไม่ควรให้มีการนำเสนอโครงการใหม่ใด ๆ ที่จะเป็นภาระผูกพันกับการขยายกรอบระยะเวลาอีก เนื่องจากการบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดดังกล่าวได้เลยกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิมในปี ๒๕๕๕ มาระยะหนึ่งแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1865 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 11/2556 เรื่อง ขอแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการแก้ไขปัญหา อุทกภัยระยะเร่งด่วน (ถนนซอยวัดมะขาม - วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข 346 ตำบลกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี) ของกรมทางหลวง | นร | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอมติคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบการขอแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน (ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี) ของกรมทางหลวง จากเดิม ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ๑,๙๓๐ เมตร (ยกระดับถนนสูงขึ้น ๐.๖ เมตร) วงเงิน ๔๑.๑๔๓ ล้านบาท แก้ไขเป็น ถนนซอยวัดมะขาม-วัดโบสถ์ แยกทางหลวงหมายเลข ๓๔๖ ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี (ก่อสร้างแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กกั้นน้ำจากถนนซอยวัดมะขามถึงคลองวัดโบสถ์ ๑,๙๓๖ เมตร และยกระดับถนนติวานนท์บริเวณทางเข้าท่าเรือปทุมธานี ๔๐๐ เมตร) วงเงิน ๑๐.๓๒ ล้านบาท ซึ่งหลังจากการแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการฯ จะมีเงินคงเหลือ ๓๐.๘๒๓ ล้านบาท และให้กรมทางหลวงส่งเงินเหลือจ่ายคืนสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) พิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์วิธีการใช้เงินเหลือจ่ายนำเสนอคณะรัฐมนตรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. เสนอ ๒. ให้ สบอช. กรมทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ไขแผนรายประมาณการโครงการฯ เห็นควรให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมด้านราคา ส่วนกรณีวงเงินคงเหลือ ๓๐.๘๒๓ ล้านบาท เห็นควรให้กรมทางหลวงส่งคืนเป็นเงินเหลือจ่ายเข้าระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) โดยการพิจารณานำเงินเหลือจ่ายไปใช้ดำเนินโครงการใหม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบการใช้จ่ายเงินกู้ที่เสนอรัฐสภา และต้องมีขั้นตอนการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ และควรให้สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายของโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ นอกจากนี้ ในการพิจารณาแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำในระยะต่อไป ควรให้หน่วยงานผู้เสนอแผนงาน/โครงการให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ เพื่อให้เกิดการยอมรับในการดำเนินโครงการ ความครบถ้วนและถูกต้องของข้อมูล รวมทั้งความพร้อมของหน่วยงานดำเนินการ เพื่อให้แผนงาน/โครงการที่เสนอสามารถแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1866 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงและอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ให้กับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการพัฒนาระบบยื่นรายงานประกอบแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (Summary Table) วงเงิน ๙๘๘,๕๗๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยให้กรมสรรพากรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๑๐,๗๐๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๓ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๔ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPPs Model) สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการอีกครั้งในขั้นตอนการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy : DPL) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของกรอบระยะเวลาโครงการศึกษาจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) และโครงการศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้มีกรอบระยะเวลาที่สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และประสานกระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และการรถไฟแห่งประเทศไทย) เพื่อให้การดำเนินโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน เป็นการศึกษาต่อยอดจากผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูง ๔ เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยอง และมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของกระทรวงคมนาคม และข้อสังเกตของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานระบบร่วมกับระบบงานอื่นที่มีอยู่ ควรมีรายละเอียดการคำนวณและวิเคราะห์ปริมาณงานที่ให้บริการเพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสมในการออกแบบระบบและขนาดของฮาร์ดแวร์ที่เลือกใช้ ควรมีการบูรณาการฐานข้อมูลของระบบให้เข้ากับฐานข้อมูลส่วนอื่น ๆ ของกรมสรรพากร รวมทั้งกำหนดอัตราค่า Man month ของที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและพัฒนาระบบให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังประกาศ นอกจากนี้ ควรแจกแจงรายละเอียดของการพัฒนาระบบงานประยุกต์ที่จะดำเนินการให้ชัดเจนตามมาตรฐานราคากลางการพัฒนาซอฟต์แวร์ และวางแผนขั้นตอนการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของโปรแกรมประยุกต์ก่อนการจัดหาระบบฮาร์ดแวร์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1867 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ และ United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD) ว่าด้วยความร่วมมือด้านนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ | วท | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และ United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD) ว่าด้วยความร่วมมือด้านนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาในประเทศไทยผ่านกิจกรรมที่เป็นความร่วมมือของ สวทน. และ UNCTAD ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ สวทน. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการ สวทน. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่าง สวทน. และ UNCTAD ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทน. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับข้อ ๔ วรรค ๒ ของบันทึกความเข้าใจฯ ที่ระบุให้คู่ภาคีจัดทำความตกลงแยกต่างหากในการปฏิบัติตามกิจกรรมพิเศษภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ โดยระบุถึงความรับผิดชอบของคู่ภาคีและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น หากมีการจัดทำความตกลงเช่นว่าต่อไปในอนาคต เห็นควรส่งให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาด้วย และก่อนการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ควรมีการตรวจสอบเกี่ยวกับกิจกรรม (specific activities) ในการดำเนินโครงการที่จะจัดทำขึ้นตาม Article 4 ที่ สวทน. และ UNCTAD ให้ความเห็นชอบและอาจจะต้องจัดทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องในภายหลัง ตลอดจนภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1868 | ขออนุมัติดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และขอยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA | ทก | 08/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ โดยมีรูปแบบการให้บริการขายส่งบริการ (Wholesaler) และผู้ให้บริการขายต่อบริการ (Reseller) บนเทคโนโลยี HSPA เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้บริการรายเดิมและปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสื่อสารไร้สายของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) ให้สามารถแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม รวมทั้งเร่งฟื้นฟูฐานะการเงินเพื่อให้องค์กรอยู่ได้แม้ไม่มีรายได้จากสัญญาสัมปทาน ภายใต้แผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกฟื้นฐานะการเงิน ปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ซึ่งคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว ๑.๒ อนุมัติให้ยกเลิกโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ส่วนภูมิภาค มูลค่า ๓,๘๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ [เรื่อง โครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)] อนุมัติให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เนื่องจากหมดความจำเป็นจากการที่ กสท เลือกใช้ระบบ HSPA แทนระบบ CDMA ในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ ๑.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของ กสท ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด ๑.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดควรตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าวของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด และตรวจสอบข้อเท็จจริงของการดำเนินโครงการปรับปรุงการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ HSPA การจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด และกระทรวงการคลังควรพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงาน บทบาท และความจำเป็นในการคงสภาพของรัฐวิสาหกิจในธุรกิจโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันในปัจจุบันและเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ไปดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตรวจสอบรายละเอียดของสัญญา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ กสท และไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ ๒. ให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่า ในอนาคตหาก กสท มีความประสงค์ที่จะยกเลิกการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ CDMA ทั้งหมด ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวข้องของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และให้ กสท พิจารณาถึงความผูกพันและผลกระทบในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับโครงการขยายโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA รวมถึงผลกระทบต่อผู้ใช้บริการระบบดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1869 | ขอขยายกรอบงบลงทุนเพิ่มเติมโครงการบ้านสวัสดิการเพื่อข้าราชการ "โครงการบ้านธนารักษ์" | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการโครงการบ้านสวัสดิการเพื่อข้าราชการ “โครงการบ้านธนารักษ์” ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด โดยการก่อสร้างโครงการบ้านธนารักษ์ภูเก็ต สุพรรณบุรี และเชียงใหม่ แล้วเสร็จรวม ๓ โครงการ เมื่อปี ๒๕๕๑ คงเหลือโครงการบ้านธนารักษ์นนทบุรี ที่ผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญา (ครบสัญญาวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) เนื่องจากผู้รับจ้างประสบปัญหาสภาพคล่อง และบริษัทฯ ได้บอกเลิกสัญญาจ้างแล้วเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ทั้งนี้ การดำเนินการภายหลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จของโครงการบ้านธนารักษ์ภูเก็ต สุพรรณบุรี และเชียงใหม่ ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ได้ส่งมอบบ้านให้ข้าราชการผู้จองสิทธิ์แล้ว จำนวน ๓๐๕ หน่วย จากทั้งหมด ๓๔๐ หน่วย สำหรับโครงการบ้านธนารักษ์นนทบุรี บริษัทฯ ได้จ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังดำเนินการตรวจสอบปริมาณงานและประเมินมูลค่างานคงเหลือของอาคาร นอกจากนี้ ได้ประเมินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมงานสาธารณูปโภคภายนอกที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ ค่าซ่อมแซมความเสียหายต่าง ๆ จากการหยุดก่อสร้าง และงานประกอบอื่น ๆ เพื่อความสมบูรณ์ รวมทั้งได้ปรับราคาตามดัชนีค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น และมีแผนดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่เหลือ ๑.๒ อนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนเพิ่มเติมโครงการบ้านธนารักษ์ จากวงเงินลงทุนเดิม ๑,๐๑๔.๓๒๕ ล้านบาท เป็น ๑,๑๓๒.๓๗๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๑๘.๐๔๙ ล้านบาท โดยใช้เงินสภาพคล่องและเงินที่เรียกคืนจากธนาคารผู้ค้ำประกันสัญญาจ้างก่อสร้างของผู้รับจ้างรายเดิม รวมทั้งรายได้ค่าก่อสร้างตามประมาณการรายรับ ๒. ให้กระทรวงการคลังและบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าโครงการบ้านธนารักษ์ภูเก็ตและโครงการบ้านธนารักษ์นนทบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว เห็นควรให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้บริษัทฯ เร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อผู้รับประโยชน์จากโครงการฯ และฐานะการเงินของบริษัทฯ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกำกับการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการฯ และการเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตลอดจนพิจารณาความเหมาะสมของแหล่งเงินทุนโครงการฯ โดยคำนึงถึงปัญหาสภาพคล่องและฐานะการเงินของบริษัทฯ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินโครงการบ้านสวัสดิการเพื่อข้าราชการ “โครงการบ้านธนารักษ์” ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด รวมทั้งกำกับติดตามการดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดังกล่าว และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1870 | มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่อง มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ โดยหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายได้มีการพิจารณาร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับแผนการรับงานก่อสร้างในต่างประเทศเพื่อประกอบการดำเนินโครงการในลักษณะนำร่อง ซึ่งทางสมาคมฯ แจ้งว่า ในปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการก่อสร้างไทยที่ดำเนินการก่อสร้างในต่างประเทศมีความต้องการใช้ Counter Guarantee (สัญญาค้ำประกันหรือคำรับรองที่ออกโดยธนาคารเพื่อเป็นหลักประกันทางสินเชื่อต่อธนาคาร หรือสถาบันการเงินด้วยกัน) เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอตั้งงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าวในขณะนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศฟื้นตัวขึ้น และผู้ประกอบการก่อสร้างในต่างประเทศมีความต้องการใช้ Counter Guarantee สมาคมฯ จะได้แจ้งให้กระทรวงการคลัง เพื่อกระทรวงการคลังจะได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||
1871 | โครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 2/2556 ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 | พน | 01/10/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๒/๒๕๕๖ ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๒/๒๕๕๖ ปรากฏว่ามีสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๗๓.๘ : ๒๖.๒ คิดเป็นปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๑๗๔,๔๖๗,๒๘๐ ลิตร : ๖๒,๐๒๔,๓๒๐ ลิตร คิดเป็นปริมาณหัวมันสด จำนวน ๔๐๘,๘๘๓ ตัน ๒. สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ ๑/๒๕๕๖ และไตรมาสที่ ๒/๒๕๕๖ ปรากฏว่ามีสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลังได้เพิ่มขึ้นจาก ๗๗.๕ : ๒๒.๕ เป็น ๗๓.๘ : ๒๖.๒ รวมเป็นสัดส่วนเฉลี่ยทั้ง ๒ ไตรมาส เท่ากับ ๗๕.๕ : ๒๔.๕ คิดเป็นปริมาณเอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง เท่ากับ ๓๓๒,๑๘๘,๗๑๐ ลิตร : ๑๐๗,๗๔๗,๕๖๐ ลิตร หรือคิดเป็นการใช้หัวมันสดสำหรับการผลิตเอทานอล รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖๙๙,๐๐๖ ตัน ทั้งนี้ คาดว่าในปี ๒๕๕๖ จะมีการใช้หัวมันสดผลิตเอทานอลประมาณ ๑.๙ ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย ๑.๖ ล้านตัน เนื่องจากในปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะมีการใช้เอทานอลรวมเฉลี่ย ๒.๖ ล้านลิตรต่อวัน สูงกว่าเป้าหมายการใช้เอทานอล ๒ ล้านลิตรต่อวัน คิดเป็นร้อยละ ๓๐ ๓. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ บริษัท อี85 จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖ เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัดตามคำสั่งของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี รวมทั้งผู้ผลิตเอทานอลบางรายเป็นผู้ผลิตรายใหม่เพิ่งเริ่มผลิตเอทานอลเชิงพาณิชย์ทำให้เดินเครื่องได้ไม่เต็มกำลังการผลิต และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ บางราย ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานได้ประชุมร่วมกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา ๗ เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วนเอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลัง ๖๒ : ๓๘
|
||||||||||||||||||||||||
1872 | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN - German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector) | ทส | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนที่ตอบรับการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน และร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการขนส่งทางบกของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Secton) ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักของโครงการ ASEAN-German Project on Energy Efficiency and Climate Change Mitigation in the Land Transport Sector ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่เลขาธิการอาเซียนลงนามความตกลงระหว่างประเทศของอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐบาลไทย แต่รัฐบาลไทยจะต้องให้ความยินยอมผ่านคณะผู้แทนไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามความตกลงฯ โดยส่วนราชการเจ้าของเรื่องจะต้องเสนอร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ นอกจากนี้ ข้อ ๔ ข้อย่อย ๔.๙ ของร่างความตกลงฯ ระบุว่า ความตกลงฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่ใช้อยู่ของเยอรมนี ดังนั้น การจัดทำความตกลงฯ จึงต้องปฏิบัติตาม Rules of Authorisation for Legal Transaction under Domestic Laws ที่กำหนดให้มีการเสนอและรับรองรายชื่อบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินนิติกรรมที่อยู่ภายใต้กฎหมายภายในนามของอาเซียน ซึ่งหากมีการปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสนอร่างความตกลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1873 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2557 | นร11 | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๖,๔๔๓ ล้านบาท โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๙๘ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๗๑,๙๘๗ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๙๐,๖๖๒ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๕๗,๓๔๙ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๘๕,๗๘๓ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๘๒๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๗๖,๘๘๘ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ กรอบการลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๗๓,๔๑๕ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๑๖,๘๘๘ ล้านบาท ๑.๒.๒ กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวง และระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าวและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๔ เห็นชอบในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการพิจารณากรอบและงบประมาณลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ควรคำนึงถึงความสามารถในการเบิกจ่ายลงทุนในอดีต ความพร้อม และประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย รวมทั้งให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจเร่งนำเสนอโครงการตามแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมในการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถเริ่มดำเนินโครงการลงทุนต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาครัฐตามนโยบายของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1874 | ขออนุมัติดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น | กษ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น วงเงิน ๒๙๐.๘๖๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนปฏิบัติงานให้ครอบคลุมพื้นที่ระบาดทุกพื้นที่ จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายงวดเพื่อทำความตกลงในรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ และรายงานผลการดำเนินงานระยะที่ ๑ ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยทันทีก่อนดำเนินการระยะที่ ๒ ต่อไป ๑.๒ ให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่กำกับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีในการติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ๑.๓ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งทำการศึกษาวิจัย เพื่อหาแนวทางเพิ่มเติมในการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรมีมาตรการกำกับดูแล ควบคุม และติดตามผลการดำเนินงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สารเคมี ไปพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องสารเคมีตกค้างจากการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น เพื่อมิให้ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) โดยใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้นในพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนหัวดำอย่างรุนแรง โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๑๒๓,๖๒๔,๘๐๐ บาท และให้ประสานการดำเนินการกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเมินผลการดำเนินการและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะดำเนินการในระยะต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1875 | กรอบแนวทางและผลการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยการปฏิรูประบบความรู้ของสังคมไทย จากการสำรวจพบว่า การจัดการเรียนการสอนช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของบทเรียน สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของความรู้เพื่อการนำไปปฏิบัติได้ สามารถสรุปหรือจดบันทึกเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้ อยู่ในระดับมาก ผู้เรียนมีคุณลักษณะต่าง ๆ อยู่ในระดับมาก คือ มีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สามารถค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ เช่น อินเทอร์เน็ต สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ และมีการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม และสังคมประชาธิปไตย ตระหนักในสิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ยังอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนความสามารถที่ยังต้องปรับปรุงคือ ความสามารถในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับการศึกษา สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอน ผู้เรียนสายสามัญและสายอาชีพเห็นว่าสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและประชาคมอาเซียน แต่การนำหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานไปใช้ยังมีความยุ่งยากสำหรับครู อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทุกภาคส่วนใหญ่ดำเนินการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาโดยจัดทำโครงการติวนักเรียนเพื่อเตรียมสอบ O-Net ส่วนการจัดทำโครงการห้องเรียนพิเศษเพื่อพัฒนาเด็กที่มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ มีการดำเนินงานน้อยที่สุด ส่วนความพร้อมในการรองรับการกระจายอำนาจ สถานศึกษามีความพร้อมทุกด้าน ๑.๒ การสร้างและกระจายโอกาสทางการศึกษา จากการสำรวจพบว่า นักเรียน/นักศึกษาพอใจกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน โดยปัญหาที่พบของกองทุนฯ คือ การจัดสรรเงินกู้ยืมไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้เรียนและไม่สอดคล้องกับสาขาวิชา การขาดความเอาใจใส่ในการติดตามข่าวของผู้กู้ยืม และความล่าช้าของเงินที่ได้รับ ระบบการสอบคัดเลือกกลางเห็นว่าเป็นระบบที่สามารถคัดเลือกผู้เรียนได้ตรงตามความต้องการ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถเพิ่มโอกาสทางการศึกษาในการเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา การเทียบโอนพบปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากตัวผู้เรียนที่ไม่ให้ความสนใจ การประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึงและขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณและวิชาการ แหล่งเรียนรู้ในชุมชนมีเพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพิ่มเติม โดยแหล่งเรียนรู้ที่ผู้เรียนใช้มากที่สุดคือ ห้องสมุดโรงเรียน พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ห้องสมุดประชาชน ๑.๓ การปฏิรูปครู ยกฐานะครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง จากการสำรวจพบว่า ครูได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างเพียงพอ ส่วนการขาดแคลนครู ส่วนใหญ่จะขาดแคลนทั้งครูสามัญและครูช่าง สาขาที่ขาดแคลนมากที่สุดคือ สาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ และครูช่างในระดับอาชีวศึกษา ซึ่งสถานศึกษาแก้ปัญหาด้วยการจ้างจากเงินงบประมาณของสถานศึกษา และมีการใช้สื่อเทคโนโลยีช่วยสอน สำหรับครู กศน. ส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาโดยเนื้อหาสาระที่มีการพัฒนามากที่สุดคือ การจัดการเรียนการสอน การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ด้วยวิธีการอบรมมากที่สุด ๑.๔ การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน จากการสำรวจพบว่า โครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) มีความพร้อมในทุกด้านในระดับปานกลาง การพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการนำไปใช้ประโยชน์ ครูและผู้บริหารเห็นว่าอยู่ในระดับมาก แต่ผู้เรียนเห็นว่ายังอยู่ในระดับปานกลางและมีผลทำให้ภาพลักษณ์ของผู้เรียนอาชีวศึกษาดีขึ้น โดยการดำเนินงานดังกล่าวส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เพิ่มภาระและไม่ส่งผลกระทบ และการบริหารของศูนย์ฯ ส่วนใหญ่สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชน นอกจากนี้ ผู้เรียน ครู และผู้บริหารได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ อาทิ การได้รับความรู้เพิ่มขึ้น การได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง สามารถสร้างรายได้ระหว่างเรียน โดยสถานศึกษาใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนหลายรูปแบบ อาทิ Project Based Learning, Problem Based Learning หลักสูตรทวิภาคี สหกิจศึกษา การฝึกปฏิบัติงานในสถานประกอบการ การจัดทำโครงการ/โครงการหลังจากเรียนภาคทฤษฎี เป็นต้น ๑.๕ การพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ จากการสำรวจพบว่า การจัดเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้เด็กชั้น ป.๑ นักเรียน ผู้ปกครอง และครู มีความพึงพอใจในการได้รับการจัดสรรเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) และการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาในการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะเรียน สนใจเรียนและมีการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเพื่อนระหว่างการเรียนมากขึ้น แต่ผู้เรียนยังมีความพร้อมในการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในระดับปานกลาง และครูมีความรู้และทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในระดับพอใช้งานได้ รวมทั้งยังมีโรงเรียนที่ไม่มีความพร้อมเรื่องระบบไฟฟ้า การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วเพียงพอ และมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการใช้และบำรุงรักษา การซ่อมแซมการจัดเจ้าหน้าที่ประจำโรงเรียน ส่วนการใช้สื่อเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน ครูส่วนใหญ่ใช้เพื่อจัดทำแผนการสอน เตรียมการสอน ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ค้นคว้าข้อมูลเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน และใช้จัดเก็บข้อมูลด้านการเรียนของนักเรียน และครูมีการใช้ “โทรทัศน์เพื่อการศึกษา” ในการสอนและเพิ่มพูนความรู้ด้านเทคนิคการสอน ๑.๖ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างทุนปัญญาของชาติ จากการสำรวจพบว่า สถาบันอาชีวศึกษาและสถาบันอุดมศึกษาส่งเสริมสนับสนุนงบประมาณด้านวิจัยอยู่ในระดับมาก และสนับสนุนให้ครู คณาจารย์ ทำวิจัยและพัฒนาควบคู่กับการสอน โดยผลการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในระดับมาก ส่วนสถานศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษามีการสนับสนุนทุนวิจัยค่อนข้างน้อย ๑.๗ การเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน จากการสำรวจพบว่า ความสามารถในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ผู้เรียน ครู และผู้บริหาร เห็นว่าควรกำหนดให้มีหลักสูตรที่บูรณาการอาเซียนในทุกกลุ่มสาระและทุกระดับการศึกษา และเพิ่มความเข้มข้นในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และจัดรายวิชาเลือกวิชาภาษาเพื่อนบ้าน ภาษาคู่ค้า ภาษาจีน เพิ่มขึ้น สำหรับ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรสอนภาษามลายู ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณาปรับปรุงกรอบแนวทางการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1876 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม 2556 | นร04 | 17/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชานและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ดำเนินการกำหนดราคาสินค้าและบริการควบคุม การดูแลราคาต้นทางและราคาปลายทาง การกำหนดมาตรการในการดูแลราคา การตรึงราคาจำหน่ายสินค้า การกำกับดูแลราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ การติดตามตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย (สายตรวจ Mobile Unit) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซล การส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ตลอดจนการตรึงราคา NGV สำหรับประชาชน และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ๒. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ได้ดำเนินการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานเป็นวันละ ๓๐๐ บาท และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SMEs การจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การขยายระยะเวลาโครงการบ้าน ธ.อ.ส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และการคืนภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรก ๓. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ .. พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) ได้ดำเนินการโอนเงินโครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) ไปแล้วจำนวน ๗๗,๔๗๑ หมู่บ้าน/ชุมชน จำแนกเป็นหมู่บ้าน/ชุมชน ๗๖ จังหวัด จำนวน ๗๖,๕๓๔ แห่ง ชุมชนในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๙๓๗ แห่ง ๕. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ การดำเนินโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร ได้อนุมัติแล้ว ๔,๑๓๒,๕๘๕ บัตร ส่งมอบบัตรแล้ว ๔,๑๒๕,๙๖๐ ราย วงเงินอนุมัติ ๖๐,๑๘๓ ล้านบาท การขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพืชสำคัญ ๓ ชนิด (ข้าวนาปี มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) การดำเนินโครงการรับจำนำขาวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ มีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการฯ รวม ๒๒๖ สหกรณ์ ได้ให้บริการรับจำนำ/บริการรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิก ๓๕๑,๕๖๑ ราย ปริมาณข้าวเหลือรวม ๑,๗๔๔,๒๖๐.๖๐๑ ตัน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรับจำนำแล้ว ๓.๕๕๔ ล้านตัน มูลค่า ๕๖,๑๙๕.๙๓๕ ล้านบาท จำนวนเกษตรกร ๔๘๒,๐๒๒ ราย จำนวนโรงสี ๒๗๐ แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคามะพร้าว ปี ๒๕๕๕ การรักษาเสถียรภาพราคายาง การเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติด้านเกษตรกร ในกรณีฝนทิ้งช่วง/ภัยแล้ง อุทกภัย วาตภัย และศัตรูพืชระบาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกร การช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนที่เป็นลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจนที่มีปัญหาด้านหนี้สินและที่ดิน เป็นต้น ๖. ปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้ดำเนินการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกร การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการที่ดินป่าไม้ ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ได้ดำเนินการโครงการสีสันสดใสเมืองไทยน่าเที่ยว โครงการพัฒนาถนนสายท่องเที่ยว ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเมืองช้าง พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามรอยเส้นทางถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงการพัฒนาฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ จำนวน ๑๙ โครงการ ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) ได้ดำเนินการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ให้วางจำหน่ายสินค้า OTOP การจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การส่งเสริมมาตรฐานและยกระดับสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยการสร้างตราสินค้า ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการผลิต ยกระดับผู้ประกอบการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่
|
||||||||||||||||||||||||
1877 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 10/2556 | นร01 | 17/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ อนุมัติการดำเนินโครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำชี จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน ๖ โครงการ ภายในวงเงินคงเหลือ ๑๐๓,๒๑๔,๘๐๐ บาท ตามมติที่ประชุม กบอ. โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย อย่างบูรณาการ (๑.๒ แสนล้านบาท) ๑.๓ รับทราบแผนปฏิบัติการโครงการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนโครงการออกแบบและก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยมีระยะเวลาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ รวม ๓ เดือน (ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖) สำหรับวงเงินงบประมาณ ให้คณะอนุกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนพิจารณาจัดทำรายละเอียดนำเสนอ กบอ. พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๔ เห็นชอบการดำเนินโครงการจัดทำเรือสำรวจระดับแม่น้ำและคลองที่สำคัญ โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ) เป็นผู้ดำเนินการ วงเงิน ๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการจัดทำเรือสำรวจระดับแม่น้ำและคลองที่สำคัญ วงเงิน ๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้เดิมพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมใน ๒ แนวทาง คือ ดำเนินการในลักษณะเบิกจ่ายแทนกัน โดยขอทำความตกลงกับกรมบัญชีกลาง หรือดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
1878 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2554 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 03/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๒,๑๓๖.๕๗๐ ล้านบาท และ ๔๒๔.๗๔๘ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ งวดที่ ๒ จำนวน ๘๑๐.๙๗๐ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ให้ ขสมก. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ งวดที่ ๒ จำนวน ๒๔.๑๘๓ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนัย ข้อ ๗ (๓) และ ๗ (๕) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้ รฟท. และ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก โดยเฉพาะการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและเพิ่มรายได้ให้กับองค์กร และให้ รฟท. เร่งรัดปิดบัญชีให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจรับรองให้ทันกับปีปัจจุบัน รวมทั้งเร่งรัดการจัดทำแผนบริหารจัดการกิจการรถไฟไทยที่ รฟท. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่ปรึกษาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นฐานในการขอรับเงินอุดหนุน และเพื่อประโยชน์ในการวางแผนบริหารจัดการหรือกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์กรในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1879 | โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | พณ | 03/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบ ชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ภายใต้กรอบวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ จำนวน ๒๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ให้ความเห็นชอบไว้ เพื่อให้ข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานที่กำหนดและเกษตรกรได้เข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับราคาจำนำอย่างเป็นธรรมตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในโครงการฯ ควรประกอบด้วยเงินทุนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตลอดจนเงินที่ได้รับจากการระบายผลิตผลของกระทรวงพาณิชย์ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการฯ ไปก่อน ในช่วงระยะเวลาที่รอการจัดหาเงินทุนของกระทรวงการคลัง หรือเงินที่ได้รับจากการระบายผลิตผล โดยชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายข้าวให้ได้เร็วและมากขึ้นเพื่อให้มีพื้นที่ในการเก็บผลผลิตข้าวเปลือกที่จะเข้าสู่โครงการฯ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลเกษตรกรที่มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบันเพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการดำเนินงานและตรวจสอบความถูกต้องของการแจ้งลงทะเบียนต่าง ๆ นอกจากนี้ ในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ควรสนับสนุนให้เกษตรกรลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพข้าว เพื่อยกระดับการส่งออกสินค้าข้าวไปสู่ตลาดบนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตข้าวเพื่อให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตร และการทำประกันภัยพืชผลการเกษตร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี) ต่อ กขช. เพื่อพิจารณาผลการดำเนินการดังกล่าว แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินโครงการฯ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1880 | โครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี 2557 | กษ | 03/09/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ในการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ระยะเวลาของโครงการ หน่วยงานรับผิดชอบ เงื่อนไขการดำเนินงาน และงบประมาณ โดยให้ปรับเปลี่ยนข้อเสนอโครงการเพื่อให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นตามความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ จากเดิม “เพื่อลดภาระต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีของเกษตรกร” เป็น “เพื่อลดภาระต้นทุนค่าปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ยเคมีของเกษตรกร” ๑.๑.๒ ระยะเวลาโครงการฯ แนวทางระยะสั้น จากเดิม “ตุลาคม ๒๕๕๖-พฤษภาคม ๒๕๕๗” เป็น “กันยายน ๒๕๕๖-พฤษภาคม ๒๕๕๗” ๑.๑.๓ การตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดจริงของเกษตรกร จากเดิม “สุ่มตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดยางพาราที่มีอยู่จริงจำนวนร้อยละ ๒๐ จากบัญชีรายชื่อผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ” เป็น “ตรวจสอบพื้นที่ปลูกและพื้นที่เปิดกรีดยางพาราที่มีอยู่จริงทุกแปลง จากบัญชีรายชื่อผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรฯ” ๑.๒ ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานตามแนวทางระยะสั้น เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๕,๖๒๘.๐๐๙๓ ล้านบาท หากดำเนินการแล้ววงเงินไม่เพียงพอ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ให้ กนย. ทำการศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์และคาดการณ์ราคายางพาราในช่วงที่เหลือของปี เพื่อประกอบการพิจารณาความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากแนวทางระยะสั้นและระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาราคายางอย่างยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการสนับสนุนค่าปุ๋ยให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราควรมีระบบการกำกับดูแล และตรวจสอบการขึ้นทะเบียนอย่างรอบคอบและรัดกุม ตลอดจนควรมีการชี้แจงเกษตรกรชาวสวนยางพาราถึงสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการอย่างชัดเจนและทั่วถึง ควรมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วย รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงการบริหารจัดการเงินสงเคราะห์การทำสวนยาง (Cess) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราทั้งระบบ ควรเน้นให้การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพเป็นหลัก ควรให้มีการจัดทำแผนการดำเนินงานในการลดต้นทุนการผลิตและปริมาณการผลิตอย่างเป็นระบบ รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ โดยบูรณาการองค์ความรู้และงานวิจัยและพัฒนาของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อเร่งปรับระบบการผลิตยางพาราของไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์การผลิตและการตลาดยางพาราโลก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. เพื่อให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบและเข้าใจอย่างถูกต้องตรงกันว่า การดำเนินโครงการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในข้อ ๑ เป็นแนวทางการดำเนินการที่มีความเหมาะสมและจะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว จึงให้ฝ่ายเลขานุการ กนย. นำมติคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้รายงานต่อที่ประชุม กนย. ว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่แล้ว โดยหากจะพิจารณามาตรการเพิ่มเติม ก็ให้ กนย. พิจารณาแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
.....