ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 99 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1961 - 1980 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1961 | ร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... | กษ | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรปรับปรุงเกี่ยวกับการกำหนดให้กรณีการนำที่ราชพัสดุไปใช้ในการจัดรูปที่ดิน เมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความยินยอมแล้ว ให้กรมชลประทานมีอำนาจนำไปใช้ในการจัดรูปที่ดินได้ และให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสำรวจการจัดรูปที่ดินตามมาตรา ๓๖ มีผลเป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว โดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ และเห็นควรปรับปรุงแก้ไขร่างมาตรา ๖ องค์ประกอบของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลาง ในส่วนของกรรมการอื่นไม่เกินเจ็ดคนซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้ง โดยกำหนดคุณสมบัติของกรรมการให้ชัดเจนเพื่อให้ได้กรรมการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติฯ ส่วนการดำเนินโครงการชลประทานขนาดกลางและขนาดใหญ่ในอนาคต ควรดำเนินโครงการจัดรูปที่ดินเต็มรูปแบบเพื่อเกษตรกรรม รวมทั้งพิจารณาเรื่องการจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตรหรือการจัดทำเขตเศรษฐกิจด้านการเกษตร และกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนพร้อมกันในคราวเดียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรควบคู่ไปกับการคุ้มครองพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ การจัดระบบน้ำเพื่อเกษตรกรรมโดยภาคประชาชน ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ หากมีประเด็นใดที่ขัดแย้งก็สมควรปรับให้สอดคล้องด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินและกรรมสิทธิ์ที่ดิน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ ที่ราชพัสดุ ผังเมือง เกษตรกรรม ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการต่าง ๆ มาพิจารณาว่ามีความซ้ำซ้อนกันอย่างไร และเสนอแนะแนวทางแก้ไขเพื่อวางแผนการใช้ที่ดินในภาพรวมทั้งหมดของประเทศให้สามารถนำที่ดินทั้งหมดมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ทั้งในด้านการอนุรักษ์ เกษตรกรรม ที่อยู่อาศัย คมนาคม และความมั่นคง เป็นต้น แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1962 | การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และการจัดทำโครงการ "ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง" ประจำปี 2556 ของกองทัพบก | กห | 19/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม และการจัดทำโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี ๒๕๕๖ ของกองทัพบก ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงกลาโหม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ โดย ๑.๑ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยโรงงานวัตถุระเบิด กรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร แจกจ่ายน้ำ ๕๒๘,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ราษฎรในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ๑.๒ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย โดยสำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๒๔,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร สำนักงานทหารพัฒนาภาค ๒ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๑,๒๑๙,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี สกลนคร นครพนม และหนองคาย สำนักงานทหารพัฒนาภาค ๕ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา แจกจ่ายน้ำ ๖๔๘,๐๐๐ ลิตร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและอำนาจเจริญ ๑.๓ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ ๒ แจกจ่ายน้ำ ๑,๗๑๕,๐๐๐ ลิตร ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และนครพนม กองทัพภาคที่ ๓ แจกจ่ายน้ำ ๘๑๔,๐๐๐ ลิตร ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิจิตร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และนครสวรรค์ รวมทั้งแจกจ่ายน้ำดื่ม ๓๐๐ ขวด ให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ๑.๔ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เปิดศูนย์ช่วยเหลือภัยแล้ง โดยจัดกำลังพล พร้อมรถบรรทุก ให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด ๑.๕ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ ได้จัดกิจกรรมปล่อยคาราวานรถบรรทุกน้ำ และรถผลิตน้ำดื่มแบบลากจูง ณ ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ กองทัพอากาศ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งในพื้นที่รับผิดชอบ ๒. การดำเนินโครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ประจำปี ๒๕๕๖ ๒.๑ หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค และกองทัพบก ๒.๒ พื้นที่เป้าหมายของโครงการฯ ได้แก่ พื้นที่ห่างไกล และทุรกันดาร ที่ประสบภัยแล้งทั่วประเทศ โดยจ่ายน้ำในพื้นที่ที่เป็นศูนย์รวมของหมู่บ้าน เช่น วัด โรงเรียน สถานีอนามัย และสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ๒.๓ วิธีการดำเนินงาน ได้แก่ การสำรวจหาหมู่บ้านเป้าหมายที่คาดว่าจะประสบภัยแล้ง ซึ่งจังหวัด/อำเภอในพื้นที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งเพียงพอและทั่วถึง รวมทั้งการสำรวจบ่อน้ำบาดาลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และจุดจ่ายน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค ที่อยู่ใกล้เคียงหมู่บ้านเป้าหมาย เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการโครงการฯ ๒.๔ ระยะเวลาของโครงการฯ เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1963 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. 2556 | ทก | 12/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ คนที่ ๑ คนที่ ๒ และคนที่ ๓ เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักสถิติสังคม สำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งให้คำปรึกษา แนะนำ และกำกับการดำเนินงานตามโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มผู้แทนหน่วยงานกรมการข้าว กรมหม่อนไหม ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นคณะกรรมการในคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนการเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๖ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๔๖,๓๔๐,๗๐๐ บาท นั้น เห็นควรให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และควรเพิ่มคุ้มรวมกิจกรรมการบริการทางการเกษตร เช่น การรับจ้างไถด้วยรถแทรกเตอร์ การเก็บเกี่ยวพืชผล เป็นต้น จัดเก็บข้อมูลผู้ประกอบการทางการเกษตร แยกประเภทครัวเรือน และธุรกิจหรือนิติบุคคล เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ และการปรับปรุงจัดทำรายได้ประชาชาติ จัดเก็บข้อมูลโครงสร้างต้นทุนการผลิตภาคเกษตร เพิ่มการจำแนกประเภทและขนาดการใช้ปุ๋ยและสารปราบศัตรูพืชในไร่นาระหว่างการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และ/หรือ ปุ๋ยเคมี รวมทั้งสารปราบศัตรูพืชจากสารชีวภาพ และ/หรือ สารเคมี การจัดเก็บข้อมูลประมงน้ำจืด ให้ครอบคลุมครัวเรือนเกษตรกร และปริมาณการจับสัตว์น้ำในบริเวณแหล่งน้ำสำคัญตามธรรมชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1964 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 11/2555 | นร11 | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบแผนงานการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ(อยอ.) และอนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อใช้ในการดำเนินการ จำนวน ๖.๕๓ ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักงาน กยอ. โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดสรรงบประมาณและโอนเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเบิกจ่ายเงินงบประมาณแทนกันต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรดำเนินกระบวนการเพื่อสร้างการยอมรับจากเมียนมาร์และนานาประเทศ และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยสามารถให้ความช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินโครงการของเมียนมาร์ให้บรรลุเป้าหมายได้ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโครงข่ายถนนรองรับการพัฒนาโครงการ โดยแนวทางการลงทุนควรพิจารณาแหล่งเงินลงทุนในรูปแบบเงินกู้ระยะยาวจากแหล่งเงินทุนที่ได้รับประโยชน์จากการมีโครงการ การสนับสนุนความน่าเชื่อถือของเมียนมาร์ในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับโครงการและให้เมียนมาร์ในฐานะเจ้าของโครงการเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแหล่งเงินทุนหรือประเทศผู้ร่วมลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ ภาคเอกชนไทยควรให้ความสำคัญในการสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนเมียนมาร์ถึงผลการพัฒนาที่จะมีต่อการจ้างงาน การสร้างรายได้ และมูลค่าเพิ่มจากการให้บริการต่อเนื่องของโครงการ โดยการลงทุนในด้านต่างๆ ควรอยู่ในรูปของการร่วมทุนของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจถึงผลกระทบในวงกว้างของโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ๓. ที่ประชุมรับทราบผลการตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และชลบุรี ของ อยอ. ซึ่งผลการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการพบว่า คลองประเวศบุรีรมย์ซึ่งเป็นคลองที่รับน้ำจากกรุงเทพฯ จังหวัดสมุทรปราการจะรับน้ำจากคลองดังกล่าวเข้าสู่ลำคลองสายหลักของจังหวัด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ส่วนพื้นที่คลองพระองค์ไชยานุชิตจากบริเวณสถานีสูบน้ำประเวศบุรีรมย์ถึงสถานีสูบน้ำชลหารพิจิตร ๑ และ ๒ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายน้ำจึงมีวัชพืชลอยตามน้ำมาติดในพื้นที่คลองอยู่เสมอ รวมทั้งมีการบุกรุกพื้นที่คลองเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและปลูกพืชผักในลำคลอง ทำให้การระบายน้ำในบางช่วงยังไม่รวดเร็วเท่าที่ควร ๔. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งผลการสำรวจสถานะผู้ประกอบการในนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม ณ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีผู้ประกอบการเปิดดำเนินการเต็มกำลังการผลิต จำนวน ๔๗๐ ราย เปิดดำเนินการบางส่วน จำนวน ๒๑๗ ราย และยังไม่เปิดดำเนินการ ๑๕๒ ราย จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งสิ้น ๘๓๙ ราย ๕. ที่ประชุมรับทราบมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ความหลากหลายทางชีวภาพและปรับปรุงโครงการแม่บทประเทศไทย : การจัดระบบบัญชีรายการทรัพยากรพันธุกรรมที่ทรงคุณค่าการใช้ประโยชน์ และการจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการด้านการเก็บรักษา การปกป้องคุ้มครอง และการให้บริการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน ซึ่งหากกรอบงบประมาณไม่เปลี่ยนแปลงมากเกินไปกว่าที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม กยอ. ครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ จำนวน ๓๐๐.๐๔ ล้านบาท ให้ดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ หากมากกว่ากรอบงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ ให้ กยอ. ดำเนินการพิจารณาทบทวนตามขั้นตอนอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1965 | การดำเนินงานบูรณาการแผนงาน/โครงการสำหรับแผนปฏิบัติการของยุทธศาสตร์ประเทศ ประเด็นข้อ 8 การวิจัยและพัฒนา | วท | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินงานบูรณาการแผนงาน/โครงการสำหรับแผนปฏิบัติการของยุทธศาสตร์ประเทศ ประเด็นข้อ ๘ การวิจัยและพัฒนา ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างหน่วยงานในสังกัดเพื่อบูรณาการแผนงาน/โครงการร่วมกัน และมีข้อสรุปของแผนงานรวมทั้งสิ้น ๔๖ แผนงาน ได้แก่ ๑.๑.๑ ข้อ ๘.๑ การขับเคลื่อนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นร้อยละ ๑ ของ GDP มีเป้าหมายเพื่อการสร้างงาน สร้างรายได้ เตรียมพร้อมรองรับอนาคต พัฒนาชีวิต และสร้างฐานความรู้ ประกอบด้วย ๔๔ แผนงาน ๑.๑.๒ ข้อ ๘.๒ Talent Mobility การใช้ประโยชน์จากกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรวิจัยและพัฒนา และพัฒนาบุคลากรวิจัยฯ ให้ตรงตามความต้องการของภาคการผลิต ประกอบด้วย ๑ แผนงาน ๑.๑.๓ ข้อ ๘.๓ การใช้ประโยชน์ Regional Science Park มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ/อุตสาหกรรม ส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยี เกิดการขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ และมีอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ประกอบด้วย ๑ แผนงาน ๑.๒ ร่วมกับจังหวัดในการพิจารณาเพื่อวางกรอบนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการของแต่ละพื้นที่ โดยใช้จังหวัดแพร่เป็นจังหวัดนำร่องโครงการ และจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “เทคโนโลยีสู่อาเซียนในกลุ่มล้านนาตะวันออก” ณ จังหวัดแพร่ เมื่อวันที่ ๔-๕ มกราคม ๒๕๕๖ ผลการประชุมมีข้อสรุปที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะผลักดันและดำเนินงานโครงการร่วมกันกับจังหวัดแพร่ จำนวน ๒๔ เรื่อง มีโครงการสำคัญ (Flagship) จำนวน ๙ โครงการ ซึ่งจะบรรจุโครงการไว้ในแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัด ได้แก่ โครงการ Teak Valley โครงการ OTOP นาโน โครงการ Smart Space ศูนย์ป่าเศรษฐกิจ โครงการปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโนแห่งชาติ การจัดทำ No Fruit Fly Zone หรือพื้นที่ปลอดแมลงวันผลไม้ โครงการศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูงร่วมกับการใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำและปุ๋ย โครงการ Thailand Delicious และโครงการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เพื่ออนาคตล้านนาตะวันออก ๑.๓ กำหนดขั้นตอนที่จะดำเนินการบูรณาการกับกองทุนต่าง ๆ ของภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานโครงการทั้ง ๒๔ เรื่อง ในจังหวัดแพร่สำเร็จลุล่วง อันจะนำไปสู่การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนในจังหวัด ๑.๔ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการบูรณาการแผนงานร่วมกับกระทรวง กรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๔-๑๘ มกราคม ๒๕๕๖ เพื่อเติมเต็มห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของทั้ง ๔๖ แผนงานให้ครบถ้วนสมบูรณ์สามารถตอบสนองเป้าประสงค์ยุทธศาสตร์ประเทศได้อย่างแท้จริง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ที่เห็นควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการแผนการดำเนินงานในภาพรวมและงบประมาณที่จะใช้ในแต่ละแผนงาน เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการกำหนดมาตรการการประเมินผลความสำเร็จของแต่ละแผนงาน รวมทั้งคำนึงถึงความพร้อมของนักวิจัย ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดเจ้าภาพของประเด็นเรื่องที่จะดำเนินการ ๒๔ เรื่องให้ชัดเจน เพื่อลดปัญหาการดำเนินงานที่มีความซ้ำซ้อนกันของแต่ละหน่วยงาน โครงการ Teak Valley ควรมีการประสานกับโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมป่าไม้ของไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โครงการ OTOP นาโน ควรจัดระบบการจดสิทธิบัตรผลการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของโครงการที่ก่อให้เกิดนวัตกรรม โครงการปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโนแห่งชาติ ควรมีการพัฒนาให้มีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าปุ๋ยเคมีอันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นทางปัจจัยการผลิตของประเทศอีกทางหนึ่ง และจัดลำดับความสำคัญของโครงการวิจัยและพัฒนา และการใช้ประโยชน์กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับเป้าหมายและงบประมาณรายจ่ายของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการกระตุ้นภาคเอกชนให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการลงทุน วิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมในระยะยาว รวมทั้งมีการทบทวนการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1966 | ผลการตรวจสอบราคากลางและวงเงินอุดหนุนระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม 5 แห่ง | อก | 05/02/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. ผลการตรวจสอบราคากลางการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม ๕ แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี รวมเป็นเงิน ๓,๙๘๗,๗๑๘,๖๔๒.๘๘ บาท ๒. วงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม และเขตประกอบการอุตสาหกรรม ๕ แห่ง ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี รวม ๒,๖๒๙,๔๙๘,๙๐๐.๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่าวงเงินอุดหนุนเดิมของ ๕ นิคมฯ ดังกล่าว เป็นเงิน ๓๘๑.๑๖๕๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่รวมนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1967 | การปรับปรุงโครงสร้างและการกำกับดูแลส่วนงานในการบริหารจัดการน้ำ [ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย แห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ] | นร09 | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างระเบียบและร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะประสานงานกับสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเพื่อให้ทราบวงเงินการก่อหนี้ผูกพัน และให้กระทรวงการคลังดำเนินการก่อหนี้ผูกพันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1968 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและ พัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" | อก | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อแสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน มีนโยบายในการช่วยเหลือสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง โดยอนุญาตให้ใช้ก๊าซ LPG ซึ่งเป็นก๊าซหุงต้ม : รับทราบแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ของกระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานประกาศผ่อนผันให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกลำปางสามารถซื้อก๊าซ LPG ได้ในราคาภาคครัวเรือน ซึ่งสามารถซื้อก๊าซได้ในขนาด ๔๘ กิโลกรัม/ถัง และพ่วงกันได้ไม่เกิน ๒๐ ถัง (จากเดิมกำหนดให้ ๑๐ ถัง) ๒. การสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก : รับทราบโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการศึกษาวิจัยและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซรามิก ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาในพื้นที่จังหวัดลำปางสามารถเข้าร่วมโครงการ และ/หรือ นำผลการศึกษาวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ ๓. การส่งเสริมการนำระบบการบริหารจัดการแบบ Lean Manufacturing และ Six Sigma มาใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิกเพื่อเพิ่มผลิตภาพ : ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปางในการลงพื้นที่เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องของการบริหารจัดการการผลิต ๔. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม นอกจากการพิจารณาประเด็นข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง ๔.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาผลิตภาพการผลิตของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยมีการกำหนดเพดานเงินกู้เพียง ๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ค่อนข้างต่ำเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายวิสาหกิจขนาดย่อม ในขณะที่วิสาหกิจขนาดกลางมีความต้องการวงเงินกู้ที่สูงกว่านี้ จึงมีข้อเสนอให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการฯ เพื่อเพิ่มเพดานวงเงินกู้ให้สูงขึ้น ๔.๒ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ควรมีการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและช่วยให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีเอกภาพ โดยอาจให้จังหวัดลำปางเป็นเจ้าภาพในการพิจารณารายละเอียดกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก ทั้งในส่วนของกิจกรรม/โครงการของจังหวัดลำปางและกิจกรรม/โครงการของหน่วยงานต่าง ๆ จากส่วนกลาง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1969 | หนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส | ศธ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (Declaration d’Intention dans le Domain de la Cooperation Educative entre le Ministre Francais des Affaires Etrangeres et Le Ministre Thailandais de l’Education) เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินโครงการสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือทางด้านการศึกษาและการวิจัย ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับระยะของโครงการ ซึ่งหากเป็นโครงการสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวรรคแรกของ Program description อาจพิจารณาเพิ่ม “2013” หลัง “between June and September” และระบุจำนวนโควตาของอาสาสมัครในแต่ละปีเพื่อประโยชน์ในการเตรียมการของหน่วยงานผู้ปฏิบัติ รวมทั้งปรับแก้ชื่อคู่ภาคีในชื่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ในเนื้อหาของร่างคำประกาศฯ และในช่องการลงนาม โดยชื่อคู่ภาคีของฝ่ายไทยอาจพิจารณาใช้ “The Ministry of Education of the Kingdom of Thailand” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อทางการของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำบางแห่งในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาไทย อาทิ ชื่อกระทรวงศึกษาธิการในชื่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เนื้อหา และช่องการลงนาม ให้มีความสอดคล้องกัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1970 | รายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ 1 สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 | คค | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] โดย รฟท. ได้จัดทำรายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไปแล้ว และได้ส่งให้กระทรวงการคลังรับทราบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1971 | การดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ | 29/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือศูนย์ซีมีโอ สปาฟา (SEAMEO Regional Centre for Archaeology and Fine Arts : SPAFA) ๑.๑ ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ได้มีการดำเนินโครงการตั้งแต่แผนพัฒนา ๕ ปี ระยะที่ ๑ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๓๐/๒๕๓๑-๒๕๓๔/๒๕๓๕) ถึงระยะที่ ๕ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๕๐/๒๕๕๑-๒๕๕๔/๒๕๕๕) ประกอบด้วยโครงการรวมทั้งสิ้น ๑๙๓ โครงการ แบ่งออกเป็นด้านโบราณคดี จำนวน ๑๑๑ โครงการ ด้านทัศนศิลป์ จำนวน ๒๒ โครงการ ด้านศิลปะการแสดง จำนวน ๒๓ โครงการ และด้านอื่นๆ จำนวน ๓๗ โครงการ ซึ่งกิจกรรมที่ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยกิจกรรมเน้นการสร้างความสมานฉันท์ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการพัฒนาเพื่อปลูกฝังความตระหนักและชื่นชมในมรดกทางวัฒนธรรมผ่านความร่วมมือต่าง ๆ สำหรับกิจกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายการวางรากฐานของประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ที่เห็นได้ชัดคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านทักษะ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ การปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชน นักเรียน เยาวชน ในคุณค่าของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของภูมิภาคอาเซียน และการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ๑.๒ จากการประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ภายใต้แผน ๕ ปี ระยะที่ ๑-๕ (พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๕๕) มีข้อเสนอแนะว่า ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ควรมีการนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการ หรือดำเนินงาน เพื่อช่วยในการจัดฝึกอบรมและลดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสถานที่อบรม อีกทั้งจะทำให้เพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการอบรมได้มากขึ้น นอกจากนี้ ควรใช้สื่อการประชาสัมพันธ์มาใช้ในการบริหารจัดการการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. วงเงินงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ๕ ปี ระยะที่ ๖ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๕๕/๒๕๕๖-๒๕๕๙/๒๕๖๐) จำนวน ๙๐,๘๑๙,๖๐๐ บาท ตามกรอบงบประมาณของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1972 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 | ศธ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ ที่เห็นชอบการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๔ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ในกลุ่มเป้าหมายนักเรียนทุนประเภทที่ ๒ ที่เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี ไม่จำกัดรายได้ของครอบครัวและศึกษาในสาขาขาดแคลนเน้นด้านวิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาเชื่อมโยงกับการดำเนินการของกองทุนเพื่อการศึกษา (กรอ.) ในการให้ทุนการศึกษาแบบต้องใช้คืนให้แก่นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาที่เป็นความต้องการหลักต่อการพัฒนาประเทศ การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้เรียนดีทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เพื่อให้การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การกำหนดแนวทาง/มาตรการในการคัดเลือกหรือเตรียมความพร้อมนักเรียนที่มีศักยภาพให้สามารถเข้ารับการศึกษาจนสำเร็จหลักสูตรและสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนทุนเข้าศึกษาต่อในประเทศมากขึ้น และจัดทำฐานข้อมูลการติดตามนักเรียนทุนและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดสรรให้ผู้รับทุนไปศึกษาในแต่ละประเทศและสาขาวิชาควรคำนึงถึงโอกาสในการสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนเป็นสำคัญ และกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนที่จะไปศึกษาในแต่ละประเทศเพื่อให้การดูแลจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจัดทำแผนรองรับการเข้าทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชนสำหรับผู้รับทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ กระบวนการคัดเลือกผู้รับทุน ให้กระทรวงศึกษาธิการเริ่มคัดเลือกนักเรียนทุนจากนักเรียนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ หรือมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เพื่อให้ผู้รับทุนมีเวลาเตรียมความพร้อมในเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอในการไปศึกษาในต่างประเทศ เช่น การใช้ภาษา การใช้ชีวิตในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีกิจกรรมเข้าค่ายเป็นระยะๆ เพื่ออบรมให้ผู้รับทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาและการใช้ชีวิตในต่างประเทศปลูกฝังจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ความกตัญญู ความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งให้มีความผูกพันกับภาครัฐ ตลอดจนรับฟังปัญหาของผู้รับทุนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันการณ์ ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างการรับทุน หากผู้รับทุนต้องการหางานทำเพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดหางานให้ด้วย ๓.๓ เมื่อผู้รับทุนสำเร็จการศึกษาแล้ว ในระหว่างที่ยังไม่มีงานทำ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหางานให้ทำชั่วคราวไปพลางก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1973 | การดำเนินโครงการพัฒนาเมือง | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. กรอบการดำเนินงานโครงการพัฒนาเมือง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างกระบวนการการเรียนรู้ในด้านการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ของชุมชนโดยผู้มีภูมิลำเนาทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำงานในพื้นที่ชุมชน เพื่อการกระจายอำนาจการตัดสินใจในการพัฒนาเมืองไปสู่คนในพื้นที่ซึ่งจะส่งเสริมความเข้าใจในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเมืองและพัฒนาเมืองให้น่าอยู่อาศัย ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สัมพันธ์กับความต้องการด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมชุมชน พื้นที่เป้าหมาย กรุงเทพมหานคร ๕๐ เขต เทศบาลเมือง/เทศบาลนคร/อำเภอเมืองในแต่ละจังหวัด รวม ๗๖ จังหวัด งบประมาณ (๑,๓๐๐ ล้านบาท) ประกอบด้วย งบสนับสนุนชุมชน ๑,๐๐๘ ล้านบาท และงบดำเนินการ ๒๙๒ ล้านบาท ๒. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๘/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการพัฒนาเมือง โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธานกรรมการ และนายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้ชุมชนเมืองเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ให้สอดคล้องกับแผนงานที่กำหนดไว้บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง รวมทั้งจัดทำระเบียบ ประกาศ และคำสั่ง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเพื่อรองรับการปฏิบัติงาน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1974 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี | นร07 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวน ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙ ล้านบาท สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรเสร็จสิ้นแล้วรวม ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๓.๐๒ ล้านบาท โดยมีหน่วยงานยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) ซึ่งได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) แล้ว จึงไม่ขอรับจัดสรรฯ ๒. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ ๒.๑ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงิน ๕๑๗.๓๔ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๖.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ หน่วยงานขอรับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๐ โครงการ วงเงิน ๓๗๑.๗๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๘๕ ของวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ และสำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรให้แล้วทั้ง ๒๐ โครงการ วงเงิน ๓๖๙.๖๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๔๕ ของวงเงินที่ขอรับการจัดสรร ๒.๓ โครงการที่ได้รับอนุมัติงบกลางแต่ยังไม่ขอรับการจัดสรรทั้งสิ้น จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๑๔๕.๖๓ ล้านบาท อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับการจัดสรร คาดว่าจะขอรับการจัดสรรได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1975 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 | นร11 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ รวม ๕ จังหวัด (จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) ได้แก่ ๑.๑ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแก้มลิงบึงบัว ระยะที่ ๑ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวหนองน้ำมณีบรรพต ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มจังหวัด เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) บนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายคมนาคม ดำเนินการก่อสร้างขยายทางจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร พร้อมสิ่งอำนวยความปลอดภัย ทางหลวงหมายเลข ๑๐๒ ตอนควบคุม ๐๒๐๐ ตอน ห้วยช้าง-ศรีสัชนาลัย ระหว่าง กม. ๓๙+๐๕๐ - กม. ๓๙+๙๐๔ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ท้องถิ่นเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ของจังหวัด โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๓.๖๖๕ ล้านบาท ๑.๕ โครงการปรับปรุงโครงข่ายคมนาคมของจังหวัดอุตรดิตถ์รองรับการค้าชายแดนภูดู่ และ AEC โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๖.๓๒๕ ล้านบาท ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดหาครุภัณฑ์ประกอบอาคารส่งเสริมสุขภาพ และพักผู้ป่วยใน ๔ ชั้น โรงพยาบาลลับแล โดยให้ใช้จ่ายจากงบรายได้และปรับแผน ในวงเงิน ๑๒.๔๖๑๑ ล้านบาท และพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ให้สำนักงานชลประทานเขตและชลประทานจังหวัดรับเรื่องโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองแม่น้ำเก่า เชื่อมต่อคลองตาแดง อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ไปทำการศึกษาและพิจารณาดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่โดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1976 | การปรับปรุงระบบการบริหารโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง | กษ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ๑.๒ ให้ยกเว้นการค้ำประกันเงินกู้ของ อ.ส.ย. กับ ธ.ก.ส. เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อน เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ค้ำประกันเงินกู้ระหว่าง ธ.ก.ส. กับสถาบันการเงินแหล่งเงินกู้แล้ว ๑.๓ ให้ อ.ส.ย. ส่งรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการฯ [ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพารา)] ให้คณะรัฐมนตรีประกอบการพิจารณาต่อไป ๒. ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินกู้ให้แก่ อ.ส.ย. ไปก่อนตามแผนธุรกิจที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารโครงการแล้ว โดยชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR+1 เช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การรักษาเสถียรภาพราคายาง) ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับและติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาด เพื่อมิให้เกิดภาระงบประมาณในภาพรวมที่รัฐจะต้องชดเชยผลการขาดทุนจากการรับซื้อยางตามโครงการฯ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1977 | โครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ 1 - 3 | พน | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ ๑-๓ ในส่วนของการปรับปรุงเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ชำรุดทรุดโทรม หมดอายุการใช้งาน เพื่อยืดอายุการใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพให้มีความพร้อม และความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษา ในวงเงินลงทุน ๓,๖๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๒,๐๖๔.๐๗ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๑,๕๓๕.๙๓ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับโครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ ๑-๓ จำนวน ๓๑๙.๓๖ ล้านบาท ๒ ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการระดมทุนโครงการฯ หากมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศหรือเพื่อซื้ออุปกรณ์ในประเทศและก่อสร้าง เห็นควรให้ กฟผ.พิจารณาจัดโครงสร้างทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของโครงการให้มีความเหมาะสม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนในการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศให้มีความเหมาะสม รอบคอบ และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสอดรับกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางเงินขององค์กรในระยะยาว โดยพิจารณาผสมผสานรูปแบบ วิธีการ และเครื่องมือทางการเงินสำหรับการระดมทุนเพื่อให้มีต้นทุนทางเงินให้เหมาะสม การพิจารณาทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินลงทุนในการดำเนินโครงการที่เหมาะสม เพื่อให้มีต้นทุนต่ำที่สุดและลดภาระทางการเงินในอนาคต การคัดเลือกอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในโครงการควรพิจารณาให้ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านต้นทุน ด้านเทคนิค ด้านความคงทน อายุการใช้งาน ด้านมาตรฐานสากลสำหรับอุปกรณ์ที่จะใช้ในโครงการ ด้านความเชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุง และด้านการบริหารจัดการอะไหล่สำรอง การสำรวจการเปลี่ยนแปลงสภาพลุ่มน้ำจากการเข้าใช้พื้นที่โดยรอบเขื่อนของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการระบายน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์มาเพื่อการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ การเกษตร และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องใช้น้ำตอนท้ายเขื่อน ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง การให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยน้ำของเขื่อนให้ชุมชนได้รับทราบข้อมูลล่วงหน้าอย่างทั่วถึง เพื่อลดผลกระทบการปล่อยน้ำต่อชุมชนและประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำ การทำการศึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการในช่วงตั้งแต่การริเริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการเพิ่มบทบาทในการช่วยชุมชนวางแผนและพัฒนาโครงการที่จะใช้จ่ายจากเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อช่วยให้ชุมชนสามารถวางแผนและพัฒนาโครงการที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1978 | การปรับปรุงโครงสร้างและการกำกับดูแลส่วนงานในการบริหารจัดการน้ำ [ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ เกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | นร | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้แก้ไขถ้อยคำในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ จาก “จัดหาเงินกู้” เป็น “จัดสรรเงินกู้” ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕] ที่เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ๓. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่ กบอ. เสนอ ๔. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่ กบอ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับส่วนราชการที่จะดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ควรมอบหมายให้ส่วนราชการระดับกรมที่มีภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้องานเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุดโครงการ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กบอ. ให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งแก้ไขความในร่างระเบียบฯ จาก “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” เป็น “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” และแก้ไขความข้อ ๑๒ (๓) จากเดิม “(๓) ทำหน้าที่เป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” เป็น “(๓) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำทุกแห่งของร่างประกาศฯ จากคำว่า “ส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หน่วยงานเจ้าของโครงการ” และคำว่า “หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หัวหน้าหน่วยงานเจ้าของโครงการ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๕. สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนของการดำเนินงานของ สบอช. ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ที่จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อมีการโอนการดำเนินการไปเป็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1979 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 | มท | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๑๗๖ ครั้ง เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๐๙๓ ครั้ง เพิ่มขึ้น ๘๓ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๘ มีผู้เสียชีวิต ๓๖๕ ราย เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ มีผู้เสียชีวิต ๓๓๖ ราย เพิ่มขึ้น ๒๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘.๖๓ และผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๒๙ คน เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๗๕ คน ลดลง ๔๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๑.๓๖ ๒. การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ พบว่า การเมาสุราเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด การไม่สวมหมวกนิรภัยเป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูงสุด ถนนนอกเขตทางหลวงแผ่นดิน ได้แก่ ถนนชุมชน/หมู่บ้าน และเทศบาล เป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ช่วงเวลา ๑๖.๐๑-๒๐.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด กลุ่มวัยแรงงานเป็นกลุ่มที่บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด และผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ๓. การเตรียมความพร้อมในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะเร่งดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการมาตรการพิเศษที่สำคัญ ได้แก่ ๓.๑ ผลักดันให้มีการขยายผลการดำเนินโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งทีมกู้ชีพกู้ภัย” ของกระทรวงมหาดไทยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนให้มีความพร้อมด้านบุคลากร และเครื่องมืออุปกรณ์ด้านการกู้ชีพกู้ภัยในการปฏิบัติงาน ๓.๒ ประสานกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งขับเคลื่อนให้มีการจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนและความปลอดภัยจากสาธารณภัยประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นการสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัยและความเอื้ออาทร” ๓.๓ ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรณรงค์การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิดกฎหมายจราจร และการขับขี่ยานพาหนะที่เสี่ยงอันตรายบนท้องถนน ๓.๔ ส่งเสริมขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ รวมทั้งสนับสนุนให้จังหวัด และอำเภอ กำหนดเป้าหมายการลดอุบัติเหตุในพื้นที่ ตลอดจนให้รางวัลชมเชยแก่พื้นที่และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดีเด่น เข้มแข็ง จนสามารถลดอุบัติเหตุลงได้ ๓.๕ เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งปีอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งในช่วงเวลาปกติและเทศกาลสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้เกิด “วัฒนธรรมความปลอดภัยและความเอื้ออาทร” กับสังคมไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1980 | สรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน | พณ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และการประชุมคณะทำงานย่อยแต่ละยุทธศาสตร์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การวางกรอบยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าและการลงทุนไปตลาดประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๕ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนร่วมแม่สอด-เมียวดี ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยย้ายหรือขยายการลงทุนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าไปขยายการลงทุนในราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความมั่นคงทางอาหารที่ผลิตในประเทศหนึ่งและนำไปแปรรูปจำหน่ายอีกประเทศหนึ่ง (ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ปศุสัตว์ ไก่ หมู) แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการความร่วมมือสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านอาหารร่วมกัน เพื่อให้กลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นผู้ผลิตอาหารหลักเลี้ยงทวีปเอเชีย ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านการท่องเที่ยว การบริการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนด้านโรงแรม โรงพยาบาล แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค ๓ เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางเชื่อมมรดกโลก : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางเชื่อมมรดกโลก-สุโขทัย-หลวงพระบาง-พุกาม-เสียมราฐ เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต ไทย-ลาว-กัมพูชา และเส้นทาง ๕ เชียง : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทาง ๕ เชียง (เชียงตุง เชียงรุ้ง เชียงใหม่ เชียงราย เชียงของ) ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ TETRO (JETRO OF THAILAND) เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักลงทุนไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง ศึกษาโครงสร้างและการบริหารงานของ JETRO เพื่อจัดตั้ง TETRO ๑.๒ ประเด็นพิจารณาที่สำคัญ ๑.๒.๑ การอำนวยการความสะดวกทางการค้าไทย-เมียนมาร์ ๑.๒.๑.๑ ให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เร่งดำเนินการซ่อมสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ (แม่สอด-เมียวดี) แห่งที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกำหนดสัญญาในเดือนเมษายน ๒๕๕๗ และให้เทศบาลนครแม่สอดพิจารณาลงทุนจัดสร้างสถานที่ขนถ่ายสินค้าบริเวณถนนที่จะเข้าสู่สะพานฯ แห่งที่ ๑ ๑.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการเร่งก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ ๒ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการขนส่งทางถนนต่อไปถึงเมืองกอกะเร็กของเมียนมาร์อย่างเป็นระบบและครบวงจร ๑.๒.๑.๓ ให้กรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม เร่งพิจารณาดำเนินการขยายสนามบินแม่สอดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเติบโตด้านการขนส่งและการท่องเที่ยว ๑.๒.๒ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สอด-เมียวดี ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยสาระสำคัญของร่างระเบียบฯ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีหน้าที่ในการจัดทำแผนแม่บทและการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมจะเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สอดคล้องกับระบบ ASEAN Single Window ๑.๒.๓ การส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยในอุตสาหกรรม สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ฯลฯ ย้ายฐานการผลิตไปราชอาณาจักรกัมพูชา ภาครัฐจะจัดคณะนำนักลงทุนไทยไปสำรวจพื้นที่และเจรจาขอการสนับสนุนจากราชอาณาจักรกัมพูชา ในนิคมอุตสาหกรรมโอเนียงและนิคมอุตสาหกรรมศรีโสภณ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ การสนับสนุนการลงทุนด้านแหล่งกระจายสินค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน กระทรวงการคลัง เร่งรัดโครงการนำร่องในการจัดตั้ง Container Yard ณ ท่านาแล้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างทางรถไฟท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๕ การดำเนินงานตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง Cross Border Transport Agreement (GMS/CBTA) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทั้งข้ามแดนและผ่านแดน เร่งรัดกระทรวงคมนาคม และกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ผลักดันการออกกฎหมายที่ค้างอยู่ ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในเรื่องเกี่ยวกับข้อบทว่าด้วยการผ่านแดน) และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่าด้วยการอนุตามความตกลง (CBTA) ซึ่งขณะนี้ทุกประเทศได้ให้สัตยาบันต่อภาคผนวกและพิธีสารครบทั้ง ๒๐ ฉบับ คงเหลือไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ที่ลงนามยังไม่สมบูรณ์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค จำนวน ๓ เส้นทาง จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยว แหล่งโบราณสถานต่าง ๆ หรือกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชน และให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือคนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกระบวนการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....