ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 95 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1881 - 1900 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1881 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ อุทกภัย (เพิ่มเติม) | นร07 | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ เป็นเงิน ๑๔๑.๓๗๗๕ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้พิจารณาดำเนินการจัดสรรงบประมาณต่อไป ได้แก่ กรมชลประทาน เป็นเงิน ๒๖.๑๐๖๐ ล้านบาท กรมประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน ๑๘.๖๕๓๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย เป็นเงิน ๙๖.๖๑๘๕ ล้านบาท และขยายเวลาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ โครงการสำรวจระดับแม่น้ำและคลองสายสำคัญ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลเคลื่อนที่ในภาวะฉุกเฉิน และโครงการร่วมดำเนินการและสนับสนุน JICA เพื่อจัดทำข้อมูลความสูงภูมิประเทศของพื้นที่รับน้ำนอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๑.๑๒๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ในส่วนของการจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง และผลการเบิกจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งวงเงินงบประมาณคงเหลือ โดย ณ วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๒๗๘.๑๗๔๖ ล้านบาท คงเหลือ ๗๒๑.๘๒๕๔ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน ๔๗๗.๒๓๓๑ ล้านบาท (รวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เนื่องจากต้องดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ รายการ วงเงิน ๑๔๔.๙๔๐๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันทีอีกเป็นจำนวน ๒๔๔.๕๙๒๓ ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกหลังจากอนุมัติตามข้อ ๑ แล้ว จะเป็นเงิน ๑๐๓.๒๑๔๘ ล้านบาท (๒๔๔.๕๙๒๓ ล้านบาท-๑๔๑.๓๗๗๕ ล้านบาท) |
|||||||||||||||||||||
1882 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อก่อสร้างโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย - สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW01 | พน | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผ่อนผันการใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ระยะทางโดยประมาณ ๒๘๗ เมตร เพื่อดำเนินการโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW01 ในพื้นที่หมู่ ๑ บ้านอีต่อง ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเคร่งครัด ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติในอนาคตของ บมจ. ปตท. ควรหลีกเลี่ยงการใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ หรือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หรือพื้นที่ที่มีความสำคัญทางทรัพยากรธรรมชาติ โดยศึกษาทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการ เพื่อลดผลกระทบต่อทรัพยากรที่อาจไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมหรือทดแทนได้ การให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของเมียนมาร์ เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการดำเนินโครงการในเมียนมาร์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทย และป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนและภาคประชาสังคมที่มีต่อการลงทุนและการเข้าไปพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติของไทยในเมียนมาร์ที่อาจส่งผลต่อการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับระบบตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการดำเนินโครงการ ทั้งในระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1883 | การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ 8 (The 8th ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication - The 8th AMRDPE) | มท | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๘ (The 8th ASEAN Ministerial Meeting on Rural Development and Poverty Eradication-The 8th AMRDPE) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองยอกยาร์กาต้า สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยที่ประชุมฯ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๘ (Joint Statement of the 8th AMRDPE) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจนในภูมิภาคอาเซียนและความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ+๓ (สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) โดยไม่มีการลงนามแต่อย่างใด มีเนื้อหาที่สำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามแผนงานเสาหลักประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC Blueprint) ที่ประชุมฯ สนับสนุนให้มีการทบทวนการดำเนินงานตาม ASCC Blueprint ที่กำลังดำเนินการอยู่ (Ongoing) ซึ่งจะทำให้ความพยายามในการสร้างประชาคมอาเซียนเกิดขึ้นได้ภายในปี ๒๐๑๕ และยังทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถกำหนดประเด็นการพัฒนาและขจัดความยากจนภายหลังปี ๒๐๑๕ ได้ถูกทิศทาง และเนื่องจากการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบบหลากหลายมิติ (Multi Dimensions) ที่ประชุมฯ จึงได้สนับสนุนหลักการพัฒนาแบบองค์รวม (Holistic Response) ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาอย่างใกล้ชิด ๒. การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และบทเรียนความสำเร็จด้านการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนให้สามารถปรับปรุงสวัสดิการและความเป็นอยู่ของคนยากจนและกลุ่มผู้ด้อยโอกาสให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานพัฒนาอย่างสมดุล (Balanced Development) และการพัฒนาที่ทุกกลุ่มในสังคมได้รับประโยชน์อย่างครอบคลุมทั่วถึง (Inclusive Development) รวมถึงกำหนดให้การลดช่องว่างการพัฒนาภายในอาเซียนเป็นวิสัยทัศน์หลักภายหลังการก่อตั้งประชาคมอาเซียนในปี ๒๐๑๕ แล้ว ๓. แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (๒๐๑๑-๒๐๑๕) ที่ประชุมฯ พึงพอใจต่อความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (Framework Action Plan on Rural Development and Poverty Eradication 2011-2015) ซึ่งมีโครงการที่ดำเนินการโดยประเทศไทย จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนระดับภูมิภาคอาเซียน โครงการบ้านมั่นคง และโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและแก้ไขความยากจน ๔. การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนการพัฒนา ที่ประชุมพึงพอใจต่อความสำเร็จจากการจัดประชุมร่วมระหว่างภาครัฐบาลกับองค์กรพัฒนาภาคเอกชนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๒ (The 2nd Forum on Rural Development and Poverty Eradication) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งที่ประชุมดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและบทเรียนความสำเร็จจากการดำเนินโครงการด้านการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชุมชนที่ยากจนและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งได้แสดงความยินดีกับองค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาสังคม (NGOs/CSOs) ที่ได้รับการคัดเลือกจากแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเข้ารับรางวัลผู้นำอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (The ASEAN Rural Development and Poverty Eradication Leadership Awards) เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ โดยประเทศไทยได้คัดเลือกมูลนิธิพัฒนาอีสาน (NET Foundation) เข้ารับรางวัลดังกล่าว ๕. ความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ+๓ (สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) ที่ประชุมฯ พึงพอใจต่อความสำเร็จจากการดำเนินโครงการที่ดำเนินงานร่วมกันระหว่างอาเซียนกับกลุ่มประเทศ+๓ จำนวน ๓ โครงการ โดยมีโครงการของประเทศไทยรวมอยู่ด้วย จำนวน ๑ โครงการ คือ โครงการฝึกอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการที่ดินเพื่อการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศ+๓ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ รวมถึงบทเรียนความสำเร็จด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน และสามารถนำมาปรับใช้กับบริบทของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีความพึงพอใจต่อแผนงานและโครงการใหม่ (New Initiatives) ที่จะดำเนินงานร่วมกับกลุ่มประเทศ+๓ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน+๓ ครั้งที่ ๖ (6th SOMRDPE+3) โดยประเภทโครงการที่ประเทศไทยจะร่วมดำเนินการ คือ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ๖. การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๙ (The 9th AMRDPE) ที่ประชุมฯ แสดงความขอบคุณสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในฐานะที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ ๙ (The 9th AMRDPE) ที่จะจัดในปี ๒๐๑๕ |
|||||||||||||||||||||
1884 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 12 | ศธ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๑๒ สรุปผลการดำเนินโครงการ ณ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ร้อยละของการดำเนินการก่อสร้างทั้งโครงการตามเป้าหมาย ได้แก่ อาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล อาคารศูนย์วิจัย อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย งานภายนอกอาคารและงานภูมิสถาปัตยกรรม และหมวดงาน Accessories และ Commissioning ดำเนินการได้ร้อยละ ๑๐๐ ๒. การส่งมอบงาน ตามเงื่อนไขรูปแบบรายละเอียดและสัญญา (As-Built Drawing, Building User Manual & Training) ตามงวดงานที่ ๕๓-๕๖ (งวดสุดท้าย) อยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่าย ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๖ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๙๖๙,๑๐๔,๙๒๘.๐๑ บาท
|
|||||||||||||||||||||
1885 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเกษตรตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) เข้ามาในราชอาณาจักร ประจำปี 2556 พ.ศ. .... | พณ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าเกษตรตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) เข้ามาในราชอาณาจักร ประจำปี ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การนำเข้าสินค้าเกษตรทั้ง ๑๐ ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดหวาน ถั่วเขียวผิวมัน มันสำปะหลัง (มันเส้น) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ลูกเดือย ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ละหุ่ง งา และไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสหภาพเมียนมาร์ ตามโครงการความร่วมมือเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจ และความถูกต้องของรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การระบุชื่อประเทศสหภาพเมียนมาร์หรือพิกัดอัตราศุลกากร โดยเฉพาะถั่วเหลืองและไม้ยูคาลิปตัส ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้คณะกรรมการจัดทำแผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านพิจารณาจัดสรรสินค้าเกษตร โดยคำนึงถึงช่วงระยะเวลาที่ผลผลิตสินค้าเกษตรออกสู่ท้องตลาด การดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ ไม่เกิดการร้องเรียนในภายหลัง การบูรณาการในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การเร่งพัฒนาศักยภาพการให้บริการของด่านสินค้าเกษตรชายแดนให้มีระบบตรวจสอบสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ การพัฒนาระบบการติดตามและตรวจสอบสินค้าเกษตรที่นำเข้าให้ปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ได้คุณภาพ การป้องกันโรคพืชที่อาจจะติดมากับสินค้าเกษตรนำเข้า รวมทั้งการติดตามการนำเข้าสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีผลผลิตเกินความต้องการใช้ภายในประเทศ อาทิ มันสำปะหลัง เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณและราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1886 | โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร | กษ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ผ่านสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณการดำเนินโครงการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๖๘๔.๗๑๔ ล้านบาท จำแนกเป็น ๒.๑ อนุมัติเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๙๖๖.๙๖๐ ล้านบาท เพื่อชดเชยให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่พักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้สมาชิก จำนวน ๑,๔๔๕.๘๒๑ ล้านบาท และจัดสรรให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรเป็นเงินอุดหนุนจ่ายขาดเพื่อฟื้นฟูอาชีพแก่สมาชิก จำนวน ๕๒๑.๑๓๙ ล้านบาท ๒.๒ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการโครงการเพื่อจ่ายชดเชยดอกเบี้ย โดยให้กับสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรปีที่ ๒ และปีที่ ๓ ปีละ ๘๕๘.๘๗๗ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๗๑๗.๗๕๔ ล้านบาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับสำนักงบประมาณในการขอตั้งงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1887 | ขอความเห็นชอบโครงการความร่วมมืออาเซียน - สหรัฐอเมริกา | กต | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในการดำเนินโครงการหุ้นส่วนอาเซียน-สหรัฐฯ ด้านธรรมาภิบาล การพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม และความมั่นคง (ASEAN-U.S. Partnership for Good Governance, Equitable and Sustainable Development and Security : ASEAN-U.S. PROGRESS) และโครงการความเชื่อมโยงระหว่างกันของอาเซียนผ่านการค้าและการลงทุน (ASEAN Connectivity through Trade and Investment : ACTI) โดยโครงการทั้งสอง เป็นโครงการความช่วยเหลือทางวิชาการที่สหรัฐฯ เสนอเพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพขององค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียน ซึ่งอ้างอิงตามกฎบัตรอาเซียนและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการอาเซียน-สหรัฐฯ และมีเนื้อหาครอบคลุมหลากหลายสาขาภายใต้ ๓ เสาหลักของประชาคมอาเซียน ๑.๒ เห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อตอบรับข้อเสนอของฝ่ายสหรัฐฯ ที่จะจัดสรรงบประมาณภายใต้องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (United States Agency for International Development : USAID) เป็นระยะเวลา ๕ ปี สำหรับการดำเนินโครงการ ASEAN-U.S. PROGRESS จำนวน ๑๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการ ACTI จำนวน ๑๖.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยเห็นชอบให้ดำเนินโครงการ ASEAN-U.S. PROGRESS และ ACTI ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการ PROGRESS ควรมีการติดตามรายละเอียดของแผนการดำเนินการในอนาคตอย่างใกล้ชิดบนหลักการของผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งเรื่องความมั่นคงของประเทศ และให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการโซ่อุปทานสีเขียวและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน สำหรับการดำเนินโครงการ ACTI นั้น ความตกลงด้านการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไม่ควรเกินกรอบความตกลงที่ไทยได้ทำไว้กับประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น นอกจากนี้ ขั้นตอนการจัดทำแผนงานประจำปีภายใต้โครงการ PROGRESS ไทยควรผลักดันให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันมีบทบาทอย่างแข็งขันในการกำหนดทิศทางและรายละเอียดของกิจกรรมต่าง ๆ บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันและอย่างเท่าเทียมกันระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ โดยสนับสนุนความร่วมมือเพิ่มเติมใน ๔ ด้าน ได้แก่ สิทธิมนุษยชน การบริหารจัดการเคลื่อนย้ายแรงงานไร้ทักษะ การบริหารจัดการชายแดน และการเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1888 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน | สธ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายสังคมและกฎหมาย) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นสมควรปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน) โดยให้ขยายกำหนดเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการกระจายแพทย์หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน จากเดิมสิ้นสุดในปี ๒๕๕๖ เป็นสิ้นสุดในปี ๒๕๖๐ โดยใช้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว เพื่อรับนักเรียนเข้าศึกษาในโครงการฯ ให้ได้ครบตามเป้าหมาย จำนวน ๓,๒๓๒ ทุน ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีกลไกการประสานงานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ อย่างเข้มข้น และควรมีแนวทางการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานตั้งแต่ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาโดยเฉพาะโรงเรียนระดับอำเภอ เพื่อให้นักเรียนมีศักยภาพมากพอที่จะสอบแข่งขันให้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของสถาบันฝ่ายผลิตแพทย์ รวมทั้งควรมีแผนรองรับการบรรจุนักเรียนแพทย์ที่จบการศึกษาและวางระบบบริหารจัดการอัตรากำลังให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระบบบริหารกำลังคนด้านสุขภาพ และควรมีการประเมินผลการดำเนินการที่ผ่านมาและปรับปรุงเพื่อให้สามารถดำเนินตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เห็นควรปรับปรุงกระบวนการคัดสรรนักเรียน ตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีบทบาทร่วมกันดูแลนักเรียนอย่างใกล้ชิด จัดหลักสูตรพัฒนาศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้จนจบหลักสูตร ตลอดจนให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อพัฒนามาตรการการรักษาบุคลากรทางการแพทย์โครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพ โดยจัดสรรค่าตอบแทน สวัสดิการ และสร้างความก้าวหน้าในอาชีพให้ชัดเจน เพื่อดึงดูดบุคลากรกลุ่มนี้ไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1889 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 ตามโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3,183 คัน เพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน เพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดซื้อรถโดยสาร NGV จำนวน ๓,๑๘๓ คัน ขสมก. จะดำเนินการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี แบ่งการประมูลเป็น ๘ กลุ่ม โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference : TOR) ร่างเอกสารการประกวดราคาและนำเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ ขสมก. และกรมบัญชีกลาง เพื่อให้สาธารณชนเสนอแนะ วิจารณ์ให้ความเห็น รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และคณะกรรมการตรวจรับ ๒. การจัดระบบเส้นทางเดินรถ และการปรับอัตราค่าโดยสาร กระทรวงคมนาคมได้แต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาระบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อศึกษากำหนดแนวทางการพัฒนาระบบรถโดยสารประจำทางโดยภาพรวมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ปัจจัยแวดล้อมการคมนาคมขนส่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาดำเนินงานจัดทำรายงานข้อสรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ในเบื้องตันของคณะทำงานดังกล่าว นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจัดทำโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยมีขอบเขตเนื้องานบางส่วนครอบคลุมถึงประเด็นการจัดทำนโยบายและแผนการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วโดยสาร การจัดเก็บค่าโดยสารในปัจจุบันสำหรับระบบขนส่งมวลชนและระบบขนส่งทางบกในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การกำหนดอัตราค่าโดยสารระบบขนส่งสาธารณะและการเชื่อมต่อ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถสรุปผลการศึกษาการจัดระบบเส้นทางเดินรถและการปรับอัตราค่าโดยสารได้ประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๓. การใช้พลังงานทางเลือก ขสมก. เห็นว่าก๊าซธรรมชาติมีความเหมาะสมที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงกับรถโดยสารที่จัดหาใหม่ เนื่องจากรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติมีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในหลายประเทศ และมีใช้ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก การซ่อมบำรุงรักษาจึงสามารถหาผู้ซ่อมบำรุงรถโดยสารได้ไม่ยาก ทำให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและการซ่อมบำรุงรักษาต่ำกว่าการใช้รถโดยสารที่ใช้พลังงานทางเลือกอื่น การใช้รถโดยสารที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติจึงมีความเหมาะสมทั้งในด้านต้นทุนการจัดหา ต้นทุนการเดินรถโดยสาร รวมทั้งสภาพแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||
1890 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2556 | กค | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๖ โดยแบ่งพื้นที่รับประกันภัยออกเป็น ๕ พื้นที่ ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก พื้นที่เสี่ยงต่ำ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง และพื้นที่เสี่ยงสูง โดยอนุมัติวงเงินงบประมาณ จำนวน ๔๙๔,๙๐๖,๒๒๑.๕๐ บาท เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นำไปดำเนินโครงการฯ ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายสำรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR)+๑% ในปีงบประมาณถัดไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนความชัดเจนในการประกาศภัยของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบภัย ทั้งนี้ เพื่อความถูกต้องและรวดเร็วในขั้นตอนการขอเอาประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่เกษตรกร ๒. ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยค่าเบี้ยประกันภัยที่ได้สำรองจ่ายตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดในการแบ่งพื้นที่ตามความเสี่ยงระดับต่าง ๆ ให้ชัดเจน การกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการในแต่ละระดับความเสี่ยงของพื้นที่ให้มากขึ้น การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยให้เป็นธรรม การกำหนดอัตราค่าสินไหมทดแทนให้แตกต่างและสอดคล้องกับอัตราการจ่ายเบี้ยประกันภัยและมูลค่าความเสียหายเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกร การกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานเรื่องการประกันภัยข้าวให้ชัดเจน มีความต่อเนื่องและยั่งยืน อาทิ การกำหนดมาตรการจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัย การเข้าร่วมโครงการของผู้รับประกันภัย การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย การกำหนดอัตราค่าสินไหมทดแทน และแนวทางในการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยในระยะยาว รวมถึงการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้เกษตรกรได้ทราบข้อมูลโครงการอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ให้ ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นต้น ร่วมมือกันในการเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของโครงการฯ และพิจารณาขยายขอบเขตการรับประกันให้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ด้วย อาทิ มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา และปาล์มน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาทบทวนการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติ โดยให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลทางการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีความรับผิดชอบในการวางแผนการผลิตที่เหมาะสม และการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรับประกันภัยเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1891 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา) | กต | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา) ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๖ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๖ และการประชุมรัฐมนตรีมิตรของประเทศลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๖ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาค และดึงญี่ปุ่นให้ร่วมให้การสนับสนุนในลักษณะความร่วมมือสามฝ่าย รวมทั้งในโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (CBTA) อย่างเต็มรูปแบบ การแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับระบบการเงินของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การจัดเวทีสนทนาระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน รวมทั้งการประชุม Mekong-Japan Meeting of the Forum for the Promotion of Public-Private Cooperation in the Mekong Region ครั้งที่ ๔ ที่ญี่ปุ่นในปี ๒๕๕๗ การร่วมมือกับญี่ปุ่นและประเทศลุ่มน้ำโขงพัฒนาเขตเศรษฐกิจในประเทศลุ่มน้ำโขง การอำนวยความสะดวกให้มีการดำเนินการตามกรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน และความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนที่ดำเนินการโดยศูนย์อาเซียนญี่ปุ่น การเป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่นในการจัดการประชุม Green Mekong Forum ครั้งที่ ๒ ที่กรุงเทพฯ ในช่วงปลายปี ๒๕๕๖ การทบทวนแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นในประเด็นด้านเศรษฐกิจ และการเตรียมการเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ๒. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๓ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาความเชื่อมโยง การติดตามความคืบหน้าการประชุมสามฝ่าย กัมพูชา-ไทย-สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อการพัฒนาเส้นทางหมายเลข ๔๘ (เกาะกง-สะแรอัมเบิล) ในกัมพูชา การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และติดตามความร่วมมือในการพยากรณ์อากาศระดับภูมิภาค การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาการบริหารจัดการน้ำ การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขา Green Growth การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาการเกษตรและการพัฒนาชนบท และติดตามความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีเก็บรักษาผลผลิตการเกษตร การจัดทำแผนปฏิบัติการและเสนอโครงการในสาขาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการประสานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) เข้าร่วมการประชุม Mekong-ROK Business Forum ครั้งที่ ๒ ที่เวียดนาม ๓. การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๖ ได้แก่ การติดตามผลการพิจารณาข้อเสนอโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการพรมแดนของสหรัฐฯ การติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการ Infrastructure Best Practices Exchange Workshop Series (BPEs) ของสหรัฐฯ ซึ่งเสนอให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัด workshop เกี่ยวกับตลาดทุน financing modality และ PPPs ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การดำเนินโครงการ Professional Communication Skills for Leaders ระยะที่ ๒ การติดตามผลการดำเนินโครงการสามฝ่าย ไทย-เมียนมาร์-สหรัฐฯ ในการป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ การพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะจัดทำข้อเสนอโครงการในเรื่องระบบพยากรณ์อากาศแบบบูรณาการในอนุภูมิภาค และการฝึกร่วมด้านการป้องกันและควบคุมไฟป่า รวมทั้งการพิจารณาสรรหาบุคคลที่เหมาะสมเพื่อเข้าร่วมในกลุ่ม Eminent and Expert Persons Group (EEPG) ในส่วนของไทย
|
|||||||||||||||||||||
1892 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. แม้ว่าจะได้มีการยกเว้นมิให้ใช้บังคับพระราชบัญญัติกับการให้ประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติกระบวนการให้ประทานบัตรในขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมกับกำหนดผลประโยชน์ที่ต้องจ่ายให้แก่รัฐไว้ด้วยแล้วก็ตาม แต่โดยที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว บทบัญญัติบางส่วนมีความล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงสมควรที่จะมีการพิจารณาแก้ไขหรือปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ เพื่อให้การพิจารณาให้ประทานบัตรแร่มีมาตรฐานและขั้นตอนในการพิจารณาที่โปร่งใส ชัดเจน และสามารถตรวจสอบได้ ๒. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในบางโครงการนั้น อาจจะต้องมีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ เช่น การทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้น รัฐบาลจึงควรเร่งรัดผลักดันให้การดำเนินการตามกฎหมายอื่นสอดคล้องกับระยะเวลาตามแนวทางยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ที่จะมีการกำหนดขึ้น เพื่อมิให้เกิดความล่าช้าจนเกินสมควร อันจะทำให้บรรลุถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่ประสงค์จะให้โครงการพื้นฐานที่จำเป็นแก่เศรษฐกิจและสังคม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมทั้งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชนมีความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐมากยิ่งขึ้นด้วย ๓. เพื่อประโยชน์ในการใช้งบประมาณในโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด รัฐบาลจึงควรพิจารณารูปแบบการดำเนินโครงการและการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาระต่องบประมาณ และผลกระทบต่ออัตราค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากประชาชนผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกรณีโครงการร่วมลงทุนที่มีการก่อสร้างขนาดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงรูปแบบการจ้างเหมาออกแบบรวมก่อสร้าง (Design and Build) หรือดำเนินการเฉพาะในส่วนที่มีความจำเป็น เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวไม่มีแบบรายละเอียดของโครงการที่ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายโครงการสูงเกินสมควร จนเป็นภาระต่อประชาชนผู้ใช้บริการ
|
|||||||||||||||||||||
1893 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 6/2556 | นร01 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้) เป็นหน่วยงานประสานการเสนอแบบฟอร์มเสนอแผนงาน/โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและดิน ฝายแม้ว ในกิจกรรมการปลูกป่ารายจังหวัดที่รับผิดชอบ โดยผู้มีอำนาจเต็มคือ อธิบดีที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการจังหวัดที่กำกับดูแลพื้นที่เท่านั้น และเมื่อลงนามครบถ้วนแล้ว ให้เสนอสำนักงบประมาณเพื่อตกลงรายละเอียดงบประมาณต่อไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อติดตามแผนปฏิบัติการโครงการดังกล่าว โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถาวร (Steering Committee) กบอ. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถาวร (Steering Committee) โดยให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ร่วมเป็นองค์ประกอบเพื่อดำเนินการตรวจติดตามระบบ UAV และการใช้ดาวเทียมติดตามผลการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการถาวร (Steering Committee) ๑.๑.๒ เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอขอขยายเวลาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๓ โครงการ (๕ รายการย่อย) เป็นเงิน ๑๙๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยขยายระยะเวลาออกไป ๖๐ วัน ทั้งนี้ การนับระยะเวลาที่ขยายให้นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเรื่องดังกล่าว ๑.๑.๓ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการ จากถังน้ำแบบไฟเบอร์กลาส ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๑๔,๒๔๐ ใบ ราคาใบละ ๑๒,๐๐๐ บาท และขนาด ๓,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๘,๕๖๐ ใบ ราคาใบละ ๑๗,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓๑๖,๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ถังน้ำแบบพลาสติก ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๒๒,๘๐๐ ใบ ราคาใบละ ๙,๘๐๐ บาท (รวมค่าขนส่งใบละ ๒,๐๐๐ บาท) รวมเป็นเงิน ๒๒๓,๔๔๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๖ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาจันทบุรี จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๐.๖๔๔ ล้านบาท และเห็นชอบการขอเปลี่ยนแปลงโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๖ ทดแทนรายการยกเลิกของ กปภ. ในโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน จำนวน ๒ โครงการ จำนวนเงิน ๐.๖๑๐ ล้านบาท โดยงบประมาณไม่เกินกรอบวงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว รวมทั้งเห็นชอบในหลักการโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗ โดยขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง จำนวน ๕๘๑ โครงการ วงเงินดำเนินการ ๑,๓๓๐.๒๘๒ ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการวิชาการและวิเคราะห์โครงการ กบอ. ตรวจสอบรายละเอียดโครงการดังกล่าว แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการเพื่อนำเสนอ กบอ. พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๑.๕ เห็นชอบการมอบอำนาจให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเป็นผู้รับมอบอำนาจในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีปกครอง หมายเลขดำที่ ๙๔๐/๒๕๕๖ แทน กบอ. ผู้ถูกฟ้องคดีที่สี่ จนถึงที่สุด ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๑ การดำเนินการโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวางระบบตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการให้ชัดเจน โดยให้ประสานการดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้การปลูกป่าได้ผลอย่างยั่งยืน และให้รายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๕๖ (งบจัดหาถังบรรจุน้ำกลาง) เพื่อเป็นการเตรียมการรองรับภาวะภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการจัดหาถังบรรจุน้ำกลางประจำหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งระดับรุนแรงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||
1894 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 (ครั้งที่ 145) | พน | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ (ครั้งที่ ๑๔๕) เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา ๕ เรื่อง ๑.๑.๑ แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน ๑.๑.๑.๑ เห็นชอบให้ยกเลิกมติ กพช. เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี ๒๕๕๖ ๑.๑.๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยให้ปรับขึ้นเดือนละ ๐.๕๐ บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป จนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ ๒๔.๘๒ บาทต่อกิโลกรัม ๑.๑.๑.๓ เห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยครัวเรือนรายได้น้อยช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน ๑๘ กิโลกรัมต่อ ๓ เดือน ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ช่วยเหลือตามการใช้จริงไม่เกิน ๑๕๐ กิโลกรัมต่อเดือน ทั้งนี้ ผู้ได้รับการช่วยเหลือสามารถเลือกใช้ถังขนาดใดก็ได้ แต่ไม่เกินขนาดถัง ๑๕ กิโลกรัม ๑.๑.๒ รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการบริหารมาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ๑.๑.๒.๑ รับทราบรายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการฯ ๑.๑.๒.๒ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน กำหนดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในแต่ละปีให้ชัดเจน วันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) และให้มีการเปิดรับข้อเสนอขายไฟฟ้ารายใหม่โดยรับการส่งเสริมในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ตามปริมาณรับซื้อที่จะมีการประกาศเป็นรายเชื้อเพลิงตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๑.๑.๒.๓ เห็นชอบให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า หลักเกณฑ์และการออกประกาศเชิญชวน รวมทั้งกำกับดูแลขั้นตอนการคัดเลือก รวมถึงการเร่งรัดให้มีการดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามเป้าหมาย และรายงานผลให้กระทรวงพลังงานทราบเป็นรายไตรมาสต่อไป ๑.๑.๒.๔ เห็นชอบให้ กฟผ. ร่วมกับ กกพ. จัดทำแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อรองรับการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการพลังงานหมุนเวียนที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้วอย่างเร่งด่วนและรายงาน กพช. ต่อไป ๑.๑.๒.๕ เห็นชอบให้การไฟฟ้าทั้ง ๓ แห่ง [กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)] จัดทำแผนการลงทุนระบบส่งไฟฟ้าและระบบจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในอนาคตของประเทศ ๑.๑.๒.๖ เห็นชอบให้ กกพ. ดำเนินการเร่งรัดออกใบอนุญาตสำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ One Stop Service และรายงานผลการดำเนินงานให้ กพช. ทราบต่อไป ๑.๑.๓ การปรับค่าเป้าหมายตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๒๕% ใน ๑๐ ปี ตามการบูรณาการยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) เห็นชอบการปรับค่าเป้าหมายตามแผนพัฒนาฯ รวม ๓ เป้าหมาย คือ เพื่อการผลิตไฟฟ้า เพื่อผลิตความร้อน และเพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่ง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ดำเนินการต่อไป ๑.๑.๔ การพิจารณาอัตราการรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) ๑.๑.๔.๑ เห็นชอบให้มีการรับซื้อไฟฟ้าโครงการฯ ๑.๑.๔.๒ เห็นชอบอัตรา FiT โครงการฯ โดยมีระยะเวลาสนับสนุน ๒๕ ปี ๑.๑.๔.๓ เห็นชอบปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ในปี ๒๕๕๖ รวมกำลังผลิตติดตั้ง 200 MWp ๑.๑.๔.๔ เห็นชอบให้ กกพ. ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ ตลอดจนหลักเกณฑ์และการออกประกาศเชิญชวน รวมทั้งการกำกับดูแลขั้นตอนการคัดเลือกให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งนี้ ในการจัดทำกระบวนการขอใบอนุญาตแบบ One Stop Service ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๔.๕ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายลดหย่อนค่าธรรมเนียมการเชื่อมโยงโครงข่ายและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับกลุ่มบ้านอยู่อาศัย โดยให้ กกพ. ไปกำหนดอัตราการลดหย่อนค่าเชื่อมโยงที่เหมาะสมต่อไป ๑.๑.๔.๖ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพลังงานหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนทางภาษีต่อไป ๑.๑.๕ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชุมชน ๑.๑.๕.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการฯ โดยมีเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งรวม 800 MWp ๑.๑.๕.๒ เห็นชอบอัตราการรับซื้อไฟฟ้าพิเศษสำหรับโครงการฯ ในอัตราพิเศษ แบ่งเป็น ปีที่ ๑-๓ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๙.๗๕ บาทต่อหน่วย ปีที่ ๔-๑๐ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๖.๕๐ บาทต่อหน่วย และปีที่ ๑๑-๒๕ ระบบ Feed-in Tariff อัตรา ๔.๕๐ บาทต่อหน่วย โดยให้มีวันจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี ๒๕๕๗ ๑.๑.๕.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติดำเนินการพัฒนาโครงการฯ ตามแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ๑.๑.๕.๔ เห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ออกระเบียบหลักเกณฑ์ในการดำเนินการพัฒนาโครงการฯ รวมถึงดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านที่มีศักยภาพเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และรายงานผลการคัดเลือกให้ กพช. ทราบ ๑.๑.๕.๕ เห็นชอบให้ กกพ. ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าต่อไป โดยพิจารณาค่าใช้จ่ายในการรับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายที่เกิดขึ้นจากโครงการฯ ที่ต่างจากค่าซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยจาก กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เป็นค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐในสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ๑.๒ เรื่องเพื่อทราบ ๒ เรื่อง ๑.๒.๑ การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติจากแนวท่อสำหรับภาคขนส่ง ๑.๒.๑.๑ เห็นชอบการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ๑.๒.๑.๒ มอบ กบง. เป็นผู้พิจารณาค่าบริหารจัดการในการขายส่งก๊าซ ๑.๒.๒ แนวทางการดำเนินการเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ ๑.๒.๒.๑ เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินการตามแนวทางการเสริมสร้างความมั่นคงระบบไฟฟ้าภาคใต้ให้ กฟผ. เพิ่มชั่วโมงการเดินเครื่องโรงไฟฟ้ากระบี่เต็มกำลังการผลิต และให้พิจารณาใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้ากระบี่ในสัดส่วนร้อยละ ๑๐ ของปริมาณการใช้น้ำมันเตา เพื่อลดปัญหาด้านการขนส่งน้ำมันเตา ๑.๒.๒.๒ มอบ กกพ. กำกับดูแลการดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา (Solar PV Rooftop) เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา ดาดฟ้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดบนอาคาร หรือในบริเวณพื้นที่อยู่อาศัย หากใช้เครื่องจักรที่มีกำลังแรงม้าหรือกำลังเทียบเท่าตั้งแต่ ๕ แรงม้าขึ้นไป (เทียบเท่า ๓.๗๓ กิโลวัตต์) จัดเป็นโรงงานจำพวกที่ ๓ ก่อนการก่อสร้างหรือติดตั้งเครื่องจักรเพื่อประกอบการโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานก่อน และในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาเป็นกิจการที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และความปลอดภัยของประชาชน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการของเสียอันเกิดจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ชำรุดเสียหายหรือหมดอายุจากการใช้งาน ดังนั้น ในกระบวนการอนุญาตจึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจริง รวมทั้งควรมีมาตรการกำกับดูแลและควบคุมผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเซลแสงอาทิตย์ให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ควรกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการรับข้อเสนอขายไฟฟ้าจากโครงการฯ ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1895 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอีกครั้งหนึ่ง พร้อมขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีกรณีจำนวนเงินงบประมาณในปีแรกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 และขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีเกิน 1,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา | มท | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา วงเงินโครงการทั้งสิ้น ๒,๔๘๓,๕๔๘,๐๐๐ บาท โดยแบ่งเป็นวงเงินค่าก่อสร้าง จำนวน ๒,๔๔๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท และวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารและควบคุมงานโครงการ จำนวน ๔๑,๑๔๘,๐๐๐ บาท ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนวงเงินค่าก่อสร้างในอัตราร้อยละ ๕๐ (๑,๒๒๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท) และใช้เงินงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๕๐ ส่วนงบประมาณค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อควบคุมงานโครงการฯ จำนวน ๔๑,๑๔๘,๐๐๐ บาท ให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากรายได้ของกรุงเทพมหานครเอง ทั้งนี้ ในส่วนของเงินงบประมาณที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้กรุงเทพมหานครไปแล้วในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕๐๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้นำมาหักออกจากเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุน ๑.๒ ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ) กรณีเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปีแรกต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น และให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณของโครงการฯ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๙ ๑.๓ ในกรณีการเสนอโครงการลงทุนแก้ไขปัญหาการระบายน้ำในอนาคต ให้กรุงเทพมหานครเสนอแผนทางเลือกในการดำเนินการเอง อาทิ แผนพัฒนาขุดลอกคูคลอง รวมทั้งแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อาศัยริมคลอง โดยระบุวิธีการ งบประมาณ ระยะเวลาดำเนินการ ควบคู่กับการเสนอโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการระบายน้ำ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร นำโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา หารือกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเพื่อพิจารณาในรายละเอียดของการดำเนินโครงการของกรุงเทพมหานครให้สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการในการระบายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัยตามแผนบริหารจัดการน้ำของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย โดยยึดหลักของประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน |
|||||||||||||||||||||
1896 | ร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) | กษ | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ที่ได้แก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างหลักเกณฑ์ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดนิยามคำว่า “สำนักงาน” “คณะกรรมการ” “รัฐมนตรี” “การร่วมทุน” ๒. กำหนดวัตถุประสงค์การร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น ๓. กำหนดลักษณะในการเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น ๔. กำหนดให้การร่วมทุน หากเข้าลักษณะตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ให้สำนักงานปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ๕. กำหนดวงเงินการเข้าร่วมทุนของ สวก. ในแต่ละปีงบประมาณ ๖. การร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นให้ทำเป็นโครงการ โดยวงเงินการเข้าร่วมทุนต้องไม่เกินร้อยละห้าสิบของมูลค่าโครงการและให้อยู่ในอำนาจการอนุมัติ ๗. ในการเข้าร่วมทุน สวก. ต้องจัดให้มีการลงนามในสัญญาการเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น โดยร่างสัญญาการร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นจะต้องผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดก่อนการลงนามสัญญา ๘. ให้ สวก. ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามที่กำหนดในสัญญา โดยให้มีการรายงานผลการดำเนินงาน ความก้าวหน้าของโครงการ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขต่อคณะกรรมการอย่างต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||
1897 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมรายละเอียดรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ของกรมทางหลวง | คค | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้กรมทางหลวงดำเนินการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมรายละเอียดรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงาน : พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ผลผลิตที่ ๑ : โครงข่ายทางหลวงได้รับการพัฒนา งบรายจ่ายอื่น กิจกรรมอำนวยการและสนับสนุนการก่อสร้างทางหลวง ค่าใช้จ่ายในการศึกษาและบูรณาการโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษ สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ ๓ กับระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ วงเงินภาระผูกพันทั้งสิ้น ๗๐.๔๐ ล้านบาท (ปีดำเนินการ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗) ไปใช้ในการดำเนินโครงการศึกษาและสำรวจออกแบบ จำนวน ๓ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ การศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสำรวจออกแบบรายละเอียดสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ ๕ (บึงกาฬ-ปากซัน) วงเงินงบประมาณ จำนวน ๓๗.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ การสำรวจและออกแบบโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงจุดผ่านแดนที่บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๕.๔๐ ล้านบาท ๑.๓ การศึกษาความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสำรวจออกแบบทางเลี่ยงเมืองหนองคายด้านตะวันออก วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๘.๐๐ ล้านบาท ๒. ในส่วนงบประมาณดำเนินการค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๖ ล้านบาท และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๕๔.๔๐ ล้านบาท ให้กรมทางหลวงขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
1898 | หลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา | กค | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการใช้อัตราเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ข้อมูลอัตราเงินเดือนพื้นฐานของ ๕ กลุ่มวิชาชีพ ประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพวิศวกรรม สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) การเงิน และงานวิจัย โดยแยกระดับวุฒิการศึกษาเป็นระดับปริญญาตรี โท และเอก ยกเว้นกลุ่มวิชาชีพสถาปัตยกรรมมีเฉพาะระดับปริญญาตรีที่ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาที่เป็นนิติบุคคล ประสบการณ์การทำงานของแต่ละกลุ่มวิชาชีพแยกเป็นรายปีตั้งแต่ ๕ ปี จนถึง ๓๐ ปี และมากกว่า ๓๐ ปีขึ้นไป ๒. แนวทางการใช้ตัวคูณอัตราค่าค่าตอบแทน (Mark-Up Factor) ตัวคูณอัตราค่าตอบแทนมีพื้นฐานมาจากการคิดรวมค่าสวัสดิการสังคม (Social Charges) ค่าโสหุ้ย (Overhead) และค่าวิชาชีพ (Professional Fee) กับเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ของที่ปรึกษา โดยคิดเป็นร้อยละของเงินเดือนพื้นฐาน ๓. แนวทางและหลักเกณฑ์ในการคำนวณราคากลางค่าจ้างที่ปรึกษา การคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการ ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย ๒ ส่วน คือ ค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) ๔. ขั้นตอนการคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการจะเป็นผลรวมของค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) มีขั้นตอนในการคำนวณ ประกอบด้วย ๔.๑ ขั้นตอนที่ ๑ เจ้าของโครงการจะต้องแจกแจงหรือกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตการดำเนินงาน ๔.๒ ขั้นตอนที่ ๒ กำหนดประเภทบุคลากรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ที่จะเข้าดำเนินการโครงการ ๔.๓ ขั้นตอนที่ ๓ กำหนดวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ พร้อมกับประเมินระยะเวลาการทำงานของแต่ละคนที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๔ ขั้นตอนที่ ๔ ให้นำอัตราเงินเดือนพื้นฐานของที่ปรึกษาแต่ละคน (Basic Salary) คูณกับตัวคูณอัตราค่าตอบแทน (Mark-up Factor) และคูณกับระยะเวลาการทำงาน จะได้ค่าจ้างที่ปรึกษาของแต่ละคน ผลรวมค่าจ้างที่ปรึกษาของทุกคนจะเป็นค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) ที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๕ ขั้นตอนที่ ๕ ค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) เมื่อรวมกับค่าตอบแทนบุคลากรทั้งโครงการกับค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct Cost) จะได้ค่าที่จ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ๕. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางการจ้างที่ปรึกษา อัตราเงินเดือนพื้นฐาน และอัตราตัวคูณค่าตอบแทนตามความเหมาะสม ดำเนินการอย่างน้อยทุก ๕ ปี |
|||||||||||||||||||||
1899 | รายงานความคืบหน้าโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก - อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี | กษ | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการผันน้ำจากพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก-อ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งานจ้างก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ ๑.๑.๑ สัญญาที่ ๑ เริ่มสัญญาวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ สิ้นสุดสัญญาวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ วงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญา ๒,๒๗๐,๑๒๖,๑๒๑.๕๐ บาท ปัจจุบันมีผลงานก่อสร้างสะสมทั้งสัญญาร้อยละ ๗๓.๐๘๑ และมีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๔๒๕,๔๑๒,๔๕๐.๐๐ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร ๑.๑.๒ สัญญาที่ ๒ เริ่มสัญญาที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ สิ้นสุดสัญญาวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ต่อมาได้มีการอนุมัติให้ขยายอายุสัญญาอีก ๑๘๐ วัน ตามมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ส่งผลให้วันสิ้นสุดสัญญาใหม่เป็นวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ วงเงินค่าก่อสร้างตามสัญญา ๒,๓๔๗,๑๑๕,๗๗๖.๓๕ บาท ปัจจุบันมีผลงานก่อสร้างสะสมทั้งสัญญาร้อยละ ๘๖.๙๙๘ มีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๒๓๙,๐๖๗,๗๒๔.๘๓ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๔.๔๙ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข ผู้รับจ้างมีชุดทำงานในการดำเนินงานดันท่อลอดไม่เพียงพอ ส่งผลให้การดำเนินงานก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และอาคารประกอบ สัญญาที่ ๒ ไม่เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ กรมชลประทานได้แจ้งให้ผู้รับจ้างเพิ่มการจัดหาเครื่องจักร เครื่องมือ และเจ้าหน้าที่ที่มาปฏิบัติงานให้มากขึ้น เพื่อเร่งรัดงานก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ และแล้วเสร็จโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ทำให้งานในสัญญาที่ ๒ ไม่เป็นไปตามแผนงาน และเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1900 | ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ | สม | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึงยิ่งขึ้น ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑.๑.๑ กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนแนวคิดและวิธีจัดบริการและระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ บนฐานหลักความเสมอภาค โดยให้ประเภทและมาตรฐานของบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นบริการฯ ขั้นพื้นฐานและที่จำเป็นที่ทุกคนไม่ว่าอยู่ภายใต้ระบบบริหารสาธารณสุขใดพึงได้รับโดยไม่เสียค่าบริการ ผู้รับบริการหรือผู้มีสิทธิที่มีกองทุนหรือระบบบริการสาธารณสุขอื่นดูแลโดยเฉพาะ สามารถได้รับบริการสุขภาพหรือสาธารณสุขอื่นเพิ่มเติมได้ ๑.๑.๒ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทบทวนแนวคิดและวิธีการจัดบริการสาธารณสุข โดยแยกบทบาทระหว่างผู้ให้บริการและผู้ซื้อบริการ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบกำหนดนโยบายและหลักเกณฑ์การบริการสาธารณสุข และกระจายอำนาจการบริหารจัดการหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลไปยังเขตพื้นที่ ส่วนหน่วยงานที่รับผิดชอบกองทุน/ระบบบริการสาธารณสุข ได้แก่ สปสช. สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลางหรืออื่นใดซึ่งเป็นผู้ซื้อบริการ ให้หารือกระทรวงสาธารณสุข/เขตพื้นที่ ในการกำหนดนโยบายการจัดบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบบริการฯ นั้น ๆ ๑.๑.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. องค์กรกลางบริหารงานบุคคลทุกแห่งหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนนโยบายและแนวคิดว่าด้วยสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด รวมถึงสวัสดิการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับแนวทางตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ข้อ ๑๒ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๘๐ (๒) โดยจัดให้มีกลไกรับผิดชอบดูแลสวัสดิการ และสวัสดิการด้านสุขภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด เพื่อประกันว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดจะได้รับการดูแลสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงด้านสุขภาพ สาธารณสุข อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถรองรับการบริการฯ ในโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาลรัฐได้ รวมถึงดูแลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงานหรือสถานประกอบการ และศึกษาเกี่ยวกับการนำระบบ Medisave มาใช้ในระบบสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนการจ่ายเงินให้แก่หน่วยบริการหรือเครือข่ายหน่วยบริการเพื่อจัดบริการสาธารณสุข ซึ่งกำหนดให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร โดยให้แยกค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวออกมาต่างหาก ๑.๑.๕ กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนและผลักดันให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการ เมื่อได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ภายใต้ระบบบริการสาธารณสุขใด ๑.๑.๖ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกันเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ รวมทั้งสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่น เช่น จัดตั้งเป็นกองทุนการรักษาพยาบาล ตลอดจนการหาแนวทางเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามารถใช้ระบบการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลได้เช่นเดียวกับข้าราชการอื่น ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนนโยบายการปฏิรูประบบสาธารณสุขแก่ผู้บริหารองค์กรด้านสุขภาพ เช่น การตั้งคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติขึ้นมาดูแลระบบสาธารณสุขทั้งหมด ควรตระหนักและให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรสุขภาพหรือคณะกรรมการด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว และให้องค์กรหรือคณะกรรมการดังกล่าว ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้ส่วนเสียสำคัญอื่นใดเกี่ยวกับตน เช่น ค่าตอบแทน วิธีการประเมินผลงาน จำนวนบุคลากรในหน่วยปฏิบัติ และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเรื่อง ๑.๒ ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ๑.๒.๑ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. เร่งรัดการจัดทำและประกาศใช้พระราชกฤษฎีกามาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือ ๑.๒.๒ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ จากที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิรับบริการสาธารณสุขตามกฎหมายอื่นต้องไปใช้สิทธิตามกฎหมายนั้น เป็น ให้ผู้รับบริการต้องใช้สิทธิจากระบบบริการอื่นที่ตนเองมีสิทธิอยู่ก่อน หากสิทธินั้นด้อยกว่าหรือไม่ครอบคลุมเท่ากับสิทธิที่จะได้รับตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ได้รับสิทธิเท่ากับที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด โดยให้ สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีสิทธิเป็นหลัก ๑.๒.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง ปรับปรุงหรือแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้มีคณะกรรมการบริหารจัดระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการหรือกลไกอื่นใด รับผิดชอบบริหารจัดการและควบคุมการเบิกจ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาล หารือกับผู้ให้บริการ ได้แก่ สาธารณสุขเขตพื้นที่ในการกำหนดประเภทและมาตรฐานบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยไม่ต้องต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐาน สามารถรับบริการฯ จากโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ ฯลฯ ๑.๒.๔ สปสช. แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง บุคคลที่ไม่ต้องจ่ายร่วมค่าบริการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มสาระสำคัญของบุคคลที่ไม่ต้องร่วมค่าบริการอีก ๑ ข้อ คือ บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร คนเร่ร่อน คนไร้ที่พักพิง และคนไร้รากเหง้า ๑.๒.๕ สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ ว่าด้วยการจ่ายเงินให้หน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการ โดยให้เปลี่ยนจาก (๒) ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร เป็น (๒) คำนึงถึงค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ (basal utilization) ของโรงพยาบาล และให้แยกบัญชีเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ๑.๒.๖ กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ซึ่งให้ผู้เสียหายได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยจากกองทุน โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เว้นแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติธรรมดาของโรคนั้น หรือซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้เกิดจากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ หรือเมื่อสิ้นสุดกระบวนการให้บริการสาธารณสุขแล้วไม่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติ ๑.๒.๗ สำนักงานประกันสังคม ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ประกันตนด้านการป้องกันโรค การให้ผู้ประกันตนซึ่งจงใจหรือยินยอมก่อให้เกิดอันตรายหรือเจ็บป่วย เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ การให้ผู้จ่ายเงินสมทบตามกฎหมายประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และคลอดบุตรทันที การให้แรงงานนอกระบบ (งานบ้าน) เป็นผู้ประกันตน รวมทั้งการให้ผู้ประกันตนได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ หากประเด็นใดได้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็ให้เร่งรัดดำเนินการ ส่วนประเด็นใดยังมิได้ดำเนินการ ก็ให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่มีความอ่อนไหว/จำเป็นต้องศึกษาถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน เช่น การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และการเสนอให้จ่ายเงินสถานบริการโดยแยกเงินเดือนและค่าตอบแทน เป็นต้น รวมทั้งประเด็นที่มีผลกระทบสูง/อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเงินการคลัง เช่น การกำหนดให้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบริการพื้นฐาน โดยให้ผู้มีสิทธิที่มีกองทุนอื่นดูแลเฉพาะสามารถได้รับบริการเพิ่มเติมขึ้นได้ และการกำหนดให้บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ต้องร่วมจ่าย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย และหากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายเรื่องใด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันศึกษารายละเอียดและแนวทางการดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
.....