ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 98 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 1941 - 1960 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1941 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2556 | ทส | 09/04/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษาและออกแบบก่อสร้างสะพานเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรเลียบชายฝั่งทะเลในเขตผังเมืองรวมเมืองชลบุรีของจังหวัดชลบุรี โดยให้จังหวัดชลบุรีดำเนินการเกี่ยวกับการทบทวนการออกแบบตอม่อให้มีความเหมาะสม และกำหนดให้กรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด โดยนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และการขอผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าชายเลน เพื่อให้จังหวัดชลบุรีเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเป็นการถาวรเพื่อก่อสร้างโครงการ ๒. ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองรับผิดชอบในการตั้งงบประมาณปลูกป่าชายเลนทดแทน จำนวน ๑๐๐ ไร่ โดยดำเนินการร่วมกับจังหวัดชลบุรีและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ๓. ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมงบประมาณปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมบนพื้นที่ดินเลนที่งอกใหม่จากการดำเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
1942 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 | พณ | 31/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการ ข้อเท็จจริง และความเห็นในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ปริมาณการรับจำนำ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ รวมทั้งสิ้น ๘,๙๖๖,๐๘๒ ตัน แยกเป็น ลานมัน ๕,๕๖๗,๐๑๑ ตัน และโรงแป้ง ๓,๓๙๙,๐๗๒ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๒ และ ๓๘ ตามลำดับ โดยออกใบประทวนให้เกษตรกร ๓๒๗,๒๕๐ ใบ แยกเป็น ลานมัน ๑๕๑,๗๔๔ ใบ โรงแป้ง ๑๗๕,๕๐๖ ใบ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรแล้ว (ณ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖) ๑๒๓,๗๔๘ สัญญา จำนวนเงิน ๑๖,๙๓๓.๑๓ ล้านบาท ทั้งนี้ คงเหลือปริมาณที่รับจำนำได้ตั้งแต่วันที่ ๒๒-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๐๓๓,๙๑๘ ตัน จากเป้าหมายรับจำนำหัวมันสด ๑๐ ล้านตัน โดยปริมาณการรับจำนำตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เฉลี่ยวันละ ๐.๑๕-๐.๒ ล้านตัน และในช่วง ๑๐ วันสุดท้ายก่อนสิ้นโครงการฯ (วันที่ ๒๒-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) คาดว่าจะมีปริมาณมันสำปะหลังที่เข้าสู่โครงการฯ ประมาณ ๒.๐ ล้านตัน ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายรับจำนำ ดังนั้น เพื่อให้การรับจำนำเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสามารถดำเนินการได้ครบกำหนดระยะเวลาโครงการฯ จึงได้กำหนดปริมาณโควตารับจำนำให้แก่จุดรับจำนำรวม ๐.๙๖ ล้านตัน ๑.๒ จากกรณีการชุมนุมกดดันเพื่อเรียกร้องให้พิจารณาขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก ๑-๒ เดือน เพื่อให้ครอบคลุมปริมาณผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๖ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ พบว่า ปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังส่วนใหญ่ได้ออกสู่ตลาดไปแล้วประมาณร้อยละ ๗๒ คิดเป็นปริมาณผลผลิต ๑๙.๒๓ ล้านตัน จึงยังคงมีปริมาณผลผลิตที่ยังคงเหลือจำนวนไม่มาก และแนวโน้มราคาตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดู ประกอบกับตลาดส่งออกยังคงมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอุตสาหกรรมเอทานอลยังคงมีความต้องการดูดซับมันสำปะหลัง เพื่อผลิตเอทานอลในปริมาณที่สูงขึ้น ดังนั้น หากผลักดันให้อุตสาหกรรมเอทานอลดูดซับมันสำปะหลังมากขึ้นจะเป็นการสร้างความมั่นใจและเป็นทางเลือกในการจำหน่ายผลผลิตให้กับเกษตรกร จึงเห็นควรยืนยันกำหนดเป้าหมายรับจำนำที่ ๑๐ ล้านตัน และกำหนดสิ้นสุดระยะเวลารับจำนำปี ๒๕๕๕/๕๖ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการระบายผลผลิตมันสำปะหลังและการประสานหารือกับกระทรวงพลังงานในการขยายปริมาณระบายมันสำปะหลังเพื่อนำไปผลิตเอทานอลให้เพิ่มมากขึ้น และกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนเชื่อมโยงการผลิตและการตลาดมันสำปะหลังในฤดูกาลต่อไป ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดเพื่อมิให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1943 | การขอนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มาใช้ในการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ | พณ | 31/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอนำเงินต้นของกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๔๐๐ ล้านบาท มาใช้เพื่อดำเนินการ ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการกลางและขนาดย่อม (SMEs Pro-active) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๖-๒๕๕๘) วงเงิน ๓๐๐ ล้านบาท โดยถัวจ่ายเพื่อจ่ายเพื่อดำเนินโครงการเป็นระยะเวลา ๓ ปี และโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดสรรไว้สำหรับดำเนินโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ปีละ ๕๐ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงพาณิชย์บูรณาการแนวทางการดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และการค้าระหว่างประเทศร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้มีความเชื่อมโยงและดำเนินไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเจ้าของเรื่องพิจารณาให้การดำเนินโครงการมีความสอดคล้องกับการขยายผลการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี และกำหนดกลุ่มประเทศเป้าหมายที่เป็นตลาดใหม่และมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย ควรพิจารณาบูรณาการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน รวมทั้งเห็นควรจัดทำรายละเอียดของกิจกรรม กลุ่มเป้าหมาย และหลักเกณฑ์ในส่วนของโครงการสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว และพิจารณาหาแนวทางในการบริหารจัดการเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้มีดอกผลจากเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแต่ละปี ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1944 | การขยายเวลาความตกลงโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการศึกษา (วิทยาลัยกำปงเชอเตียล) และโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านสาธารณสุข (การควบคุมโรคมาลาเรียและโรคอื่น ๆ ที่มียุงเป็นพาหะ) | กต | 31/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงโครงการและแก้ไขพิธีสารว่าด้วยการขยายความร่วมมือโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านการศึกษา (วิทยาลัยกำปงเชอเตียล) มีสาระสำคัญเป็นการขยายความร่วมมือในการจัดตั้งและพัฒนาวิทยาลัยกำปงเชอเตียล ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ และยกเว้นภาษีหรืออากรทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับวัสดุและอุปกรณ์ของไทยที่นำเข้าไปในราชอาณาจักรกัมพูชาสำหรับกิจกรรมภายใต้ความตกลงโครงการฯ ๑.๒ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขบันทึกความเข้าใจและแก้ไขหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยการขยายความร่วมมือโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาด้านสาธารณสุข (การควบคุมโรคมาลาเรียและโรคอื่น ๆ ที่มียุงเป็นพาหะ) มีสาระสำคัญเป็นการขยายความร่วมมือในการควบคุมโรคมาลาเรียและโรคอื่น ๆ ที่มียุงเป็นพาหะ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ๑.๓ อนุมัติให้พลเอก วาภิรมย์ มนัสรังษี รองสมุหราชองครักษ์ เป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ ฝ่ายไทยทั้งสองฉบับ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจ (Full Powers) ที่เห็นว่า ร่างพิธีสารทั้งสองฉบับเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันราชอาณาจักรไทย หากผู้ลงนามหนังสือสัญญามิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ลงนามต้องได้รับมอบอำนาจโดยหนังสือมอบอำนาจ (Full Powers) ซึ่งออกให้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินโครงการในช่วงที่ขยายเวลาตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖-๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้กรมราชองครักษ์ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการดำเนินงาน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1945 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | พน | 26/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในวงเงินลงทุนรวม ๗,๓๐๐ ล้านบาท และอนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๒.๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๑.๒ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจะดำเนินการผูกพันสัญญาก่อสร้างโครงการฯ และจัดซื้อที่ดินสำหรับขยายสถานีแห่งใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อ สปป.ลาว มีความชัดเจนที่จะให้ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียนเซน้ำน้อยเริ่มการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาว ได้รับการอนุมัติเงินกู้ครบถ้วนจากสถาบันการเงินแล้ว การปรับปรุงและขยายแนวสายส่งสถานีไฟฟ้าอุบลราชธานี ๓-สถานีไฟฟ้าอุบลราชธานี ๑ ซึ่งพาดผ่านพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (ป่า C) เห็นควรดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมีการติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาและดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในพื้นที่ภาคใต้ของ สปป.ลาว อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ในการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าของประเทศ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การวิเคราะห์และจัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศ การกำกับการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อมิให้ กฟผ. ต้องเสียค่าปรับจากการไม่สามารถรับซื้อไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ได้ รวมทั้งการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบ และมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน ภาระทางการเงินและผลกระทบที่อาจมีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ กฟผ. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
1946 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 | พณ | 26/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้า สถานการณ์ และแนวโน้มของการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ (ณ วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ การเปิดจุดรับจำนำของลานมัน/โรงแป้ง มีผู้ประกอบการลานมันและโรงแป้งสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเปิดเป็นจุดรับจำนำ รวม ๖๐๓ ราย แยกเป็น ลานมัน ๕๕๑ ราย โรงแป้ง ๕๒ ราย ๑.๒ ปริมาณการรับจำนำ รวมทั้งสิ้น ๕,๔๑๖,๐๒๘ ตัน แยกเป็น ลานมัน ๓,๓๖๙,๘๙๖ ตัน และโรงแป้ง ๒,๐๔๖,๑๓๑ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๒ และ ๓๘ ตามลำดับ ซึ่งองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ออกใบประทวนให้เกษตรกร ๑๙๔,๓๒๕ ใบ แยกเป็น ลานมัน ๙๐,๒๑๗ ใบ โรงแป้ง ๑๐๔,๑๐๘ ใบ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินให้เกษตรกร ๕๕,๗๘๖ สัญญา จำนวนเงิน ๗,๖๑๖.๑๖๙ ล้านบาท ๑.๓ การอนุมัติโกดังกลางเก็บผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รวมทั้งสิ้น ๑๐๔ แห่ง แบ่งเป็น โกดังกลางมันเส้น ๘๕ แห่ง ในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด ความจุ ๒,๗๑๑,๗๕๐ ตัน และโกดังกลางแป้งมัน ๓๘ แห่ง ในพื้นที่ ๑๔ จังหวัด ความจุ ๕๙๔,๙๖๐ ตัน และได้อนุมัติผู้ประกอบการตรวจสอบคุณภาพมันสำปะหลังที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศ จำนวน ๙ บริษัท ๑.๔ การเปิดจุดรับจำนำในส่วนเอทานอล มีโรงงานเอทานอลสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รวม ๖ ราย ซึ่งโรงงานเอทานอลจะแจ้งแผนการรับมันสำปะหลังตามโครงการฯ และจัดทำสัญญาซื้อขายกับ อคส. เป็นรายไตรมาส โดยในไตรมาสที่ ๑ เป็นการรับมันสำปะหลังทั้งในรูปหัวมันสดและมันเส้น ส่วนไตรมาสที่ ๒-๔ เป็นการรับมันเส้นจากโครงการฯ สำหรับเป้าหมายการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในไตรมาสที่ ๑ มีปริมาณทั้งสิ้น ๔๑๕,๔๘๘.๕๔ ตันหัวมันสด แบ่งเป็น การรับหัวมันสด จำนวน ๒๑๐,๔๒๕.๐๐ ตัน และมันเส้น จำนวน ๘๔,๗๓๗.๐๐ ตัน (๒๐๕,๐๖๓.๕๔ ตันหัวมันสด) ทั้งนี้ ปริมาณการรับมันสำปะหลังจากโครงการฯ ในส่วนของเอทานอล ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ถึง ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นเพียงการรับในรูปหัวมันสดเท่านั้น โดยมีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๑๗,๒๖๑.๗๘ ตัน คิดเป็นเอทานอลประมาณ ๒,๗๕๗,๔๗๒.๘๔ ลิตร (อัตราแปรสภาพหัวมันสด : เอทานอล = ๖.๒๖ : ๑) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงานจะกำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนในการช่วยดูดซับมันสำปะหลังและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ๒. สถานการณ์และแนวโน้ม ๒.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ผลผลิตปี ๒๕๕๕/๕๖ ประมาณ ๒๗.๕๕ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๘๒ บาท เทียบกับปีที่ผ่านมามีผลผลิตประมาณ ๒๖.๖๐ ล้านตัน ต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ ๑.๗๗ บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๕๖ และ ๒.๘๒ ตามลำดับ ปัจจุบันผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วร้อยละ ๖๒.๗๕ หรือประมาณ ๑๗.๒๙ ล้านตัน ๒.๒ ราคาหัวมันสดที่เกษตรกรจังหวัดนครราชสีมาขายได้ (เชื้อแป้งร้อยละ ๒๕) ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ กิโลกรัมละ ๒.๐๕-๒.๒๕ บาท ส่วนจังหวัดอื่น ๆ เช่น จังหวัดกำแพงเพชร อุทัยธานี อุดรธานี อุบลราชธานี ระยอง สระแก้ว และชลบุรี อยู่ระหว่างกิโลกรัมละ ๑.๙๕-๒.๕๕ บาท สำหรับราคาส่งออก F.O.B. (Free on Board) มันเส้นตันละ ๒๒๘-๒๓๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๖.๗๕-๖.๘๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๕๘ บาท และแป้งมันตันละ ๔๕๐-๔๖๐ ดอลลาร์สหรัฐ (๑๓.๓๐-๑๓.๖๐ บาท/กิโลกรัม) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กิโลกรัมละ ๐.๑๓ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖.๖๑ และ ๐.๙๖ ตามลำดับ ๒.๓ การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในปี ๒๕๕๕ (เดือนมกราคม-ธันวาคม) มีปริมาณรวมทั้งสิ้น ๘.๓๕๐ ล้านตัน มูลค่า ๘๕,๖๓๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ ๒๒.๖๗ และ ๙.๕๘ ตามลำดับ ตลาดส่งออกมันเส้น ร้อยละ ๙๙ ส่งออกไปยังประเทศจีน ส่วนตลาดส่งออกแป้งมัน ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย และไต้หวัน ๒.๔ การระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๕/๕๖ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำยุทธศาสตร์การระบายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง โดยระบายด้วยวิธี (๑) เจรจาขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) (๒) ขายเป็นการทั่วไป (๓) ขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) (๔) ขายให้แก่ผู้ผลิตเอทานอลที่นำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๕ แนวโน้มตลาดมันสำปะหลัง คาดว่าราคาหัวมันสดที่เกษตรกรขายได้จะเคลื่อนไหวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งทำให้ปริมาณผลผลิตลดต่ำกว่าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ไว้ โดยราคาส่งออกมันเส้นเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับจำนำในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ คาดว่าจะมีปริมาณใกล้เคียงกับเป้าหมาย ๑๐ ล้านตัน |
||||||||||||||||||
1947 | การจัดสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว APG (Asia Pacific Gateway) ของ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | ทก | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) ดำเนินโครงการโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว (Asia Pacific Gateway : APG) ร่วมกับภาคีสมาชิก วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๒,๐๕๕.๗๔ ล้านบาท โดยให้ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการเพื่อระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างภาคีสมาชิกและระหว่างภาคีสมาชิกกับผู้รับจ้างตามข้อตกลงก่อสร้างและบำรุงรักษาและสัญญาจ้างก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำใยแก้ว APG ตามความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ กสท รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งศึกษาข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งผลกระทบต่อระบบนิเวศที่มีความเปราะบาง และจัดให้มีมาตรการลดผลกระทบและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อทรัพยากรชีวภาพดังกล่าว การตรวจสอบและกลั่นกรองกิจกรรมของโครงการฯ เนื่องจากจุดขึ้นบกของโครงการฯ ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อการได้รับผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญหรือไม่ เพื่อประกอบการวางแผนประสานงานกับหน่วยงานซึ่งดูแลในพื้นที่ และการประสานกองทัพเรือเพื่อตรวจสอบเส้นทางที่อาจเกิดผลกระทบต่อเส้นทางการเดินเรือของกองทัพเรือ การเร่งนำเสนอแผนพลิกฟื้นฐานะการเงิน (Turnaround) แก่คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาโดยเร็ว เพื่อเตรียมการรองรับการสิ้นสุดของสัญญาสัมปทาน และเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินและฐานะการเงินขององค์กร การปรับโครงสร้างองค์กรและกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย การแสวงหาพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจร่วมกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งพิจารณาโครงสร้าง รูปแบบ กลไก การกำกับดูแล การบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะเป็นบริษัทมหาชนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติบริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ หลักเกณฑ์และการกำกับดูแลกิจการที่ดีของตลาดหลักทรัพย์ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
1948 | ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... | กค | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ถอนความเห็นของกระทรวงคมนาคม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน ๒ ล้านล้านบาท และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วแจ้งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ๒.๒ รับทราบเอกสารประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว และส่งให้รัฐสภาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป ๒.๓ เห็นชอบหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระหนี้เงินกู้ตามพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ให้เสร็จภายใน ๕๐ ปี โดยเริ่มจัดสรรภายในปีที่ ๑๑ นับแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการชำระหนี้แบบขั้นบันได ๒.๓.๑ ปีที่ ๑๑-๒๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี ๒.๓.๒ ปีที่ ๒๑-๓๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี ๒.๓.๓ ปีที่ ๓๑-๔๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๓ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี ๒.๓.๔ ปีที่ ๔๑-๕๐ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๔ ของ ๒ ล้านล้านบาท ต่อปี หากในปีงบประมาณใดมีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้เกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ ให้สามารถนำงบประมาณรายจ่ายมาถัวเฉลี่ยในปีอื่นของแต่ละช่วงเวลาได้ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีการถัวเฉลี่ยแล้วจะต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ของแต่ละช่วงเวลา และสำนักงบประมาณอาจพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ก่อนปีที่ ๑๑ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ๓. รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการภายใต้ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ได้แก่ ๓.๑ การเตรียมความพร้อมโครงการ สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดเตรียมความพร้อมของโครงการ อาทิ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) การออกแบบรายละเอียด (Detailed Design) การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติจัดสรรวงเงินกู้สำหรับการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมของโครงการ ๓.๒ การอนุมัติโครงการและอนุมัติจัดสรรวงเงินกู้ สำหรับโครงการที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการ และอนุมัติจัดสรรวงเงินกู้ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ๓.๓ การจัดสรรและการเบิกจ่ายเงินกู้ ให้สำนักงบประมาณและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้พิจารณาอนุมัติแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้วงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเบิกจ่ายเงินกู้ตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด ๓.๔ การติดตามประเมินผลและการรายงานผล ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานผลการดำเนินโครงการ และการเบิกจ่ายเงินกู้ผ่านระบบบริหารจัดการโครงการลงทุนด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ (Public Investment for Transport & Logistics : PITL) โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดรายงานผลการติดตามและการประเมินผลโครงการและแผนงานภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนด รวมทั้งการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนงานในภาพรวมต่อกระทรวงการคลังตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด โดยกระทรวงการคลังมีหน้าที่จัดทำรายงานการกู้เงิน รายละเอียดการใช้จ่ายเงินกู้ในแต่ละแผนงานของปีงบประมาณที่ผ่านมา ผลการดำเนินโครงการและการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกันศึกษาแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการระบบรางทั้งในด้านการกำหนดนโยบายการกำกับดูแลและการให้บริการ รวมทั้งแนวทางสนับสนุนทางการเงินของภาครัฐที่เหมาะสมและผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมก่อนที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางจะแล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระหนี้เงินกู้ตามพระราชบัญญัติฯ ให้แล้วเสร็จภายใน ๕๐ ปี พร้อมกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการชำระหนี้แบบขั้นบันไดที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละปีงบประมาณนั้น จะทำให้การจัดสรรงบประมาณขาดความยืดหยุ่นและความคล่องตัวโดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคม จึงเห็นควรที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาความเห็นของสำนักงบประมาณอีกครั้ง และกำหนดเป็นสาระสำคัญในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวว่า การจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้เงินกู้ สมควรจัดสรรงบประมาณโดยคำนึงถึงกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดสัดส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณไม่เกินร้อยละ ๑๕ เพื่อให้มีกรอบวงเงินและสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายที่เพียงพอในการจัดทำบริการสาธารณะตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจของรัฐอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1949 | การลงนามร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของเลขาธิการอาเซียนต่อหนังสือของฝ่ายเยอรมนี และร่างความตกลงสำหรับการดำเนินโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพในอาเซียน | อก | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบ ๑.๑ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของเลขาธิการอาเซียนต่อหนังสือของฝ่ายเยอรมนี มีสาระสำคัญกล่าวถึงการที่อาเซียนให้ความเห็นชอบกับข้อตกลงและเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายเยอรมนี เช่น การให้สถาบัน Physikalisch Technische Bundestanstalt (PTB) เป็นผู้ดำเนินโครงการฝ่ายเยอรมนี และคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน (ASEAN Consultative Committee for Standards and Quality : ACCSQ) ทำหน้าที่ประสานการดำเนินโครงการฝ่ายอาเซียน ๑.๒ ร่างความตกลงสำหรับการดำเนินโครงการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพในอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลงในการดำเนินโครงการ ประกอบด้วย วัตถุประสงค์และตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ การสนับสนุนการดำเนินโครงการของฝ่ายเยอรมนีและฝ่ายอาเซียน และข้อบทอื่น ๆ เช่น การประเมินผลโครงการ การปรับปรุงแก้ไข การระงับข้อพิพาท ผลที่คาดว่าจะได้รับ รวมถึงพันธกรณีต่าง ๆ ซึ่งจะจัดทำขึ้นระหวางอาเซียนกับสถาบัน PTB และเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของประเทศเยอรมนี ทั้งนี้ ร่างความตกลงฯ จะมีผลบังคับใช้เมื่อเลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงฯ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น ๗ ปี แบ่งเป็นระยะแรก ๔ ปี โดยรัฐบาลเยอรมนีจะให้เงินสนับสนุนโครงการผ่านสถาบัน PTB รวมทั้งสิ้น ๒.๕ ล้านยูโร แบ่งเป็นระยะแรก ๑.๕ ล้านยูโร ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยเห็นชอบร่างเอกสารดังกล่าว และเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารดังกล่าว |
||||||||||||||||||
1950 | ผลการสำรวจโครงการชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย (มกราคม พ.ศ. 2556) | ทก | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจโครงการชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน ตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย (มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประชาชนร้อยละ ๑๘.๕ ระบุว่าปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดมีความรุนแรง-รุนแรงมากที่สุด และค่อนข้างรุนแรง ร้อยละ ๒๒.๓ ส่วนผู้ที่ระบุว่าไม่ค่อยรุนแรง-ไม่รุนแรง ร้อยละ ๕๙.๒ โดยจังหวัดสงขลามีการแพร่ระบาดยาเสพติดรุนแรง-รุนแรงมากที่สุด ร้อยละ ๓๘.๓ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ร้อยละ ๓๑.๐ เชียงใหม่ ร้อยละ ๒๖.๐ และสุราษฎร์ธานี ร้อยละ ๒๔.๓ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๑๐-๑๒ ๒. ประชาชนร้อยละ ๕๖.๐ ระบุว่าปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดลดลงเมื่อเทียบกับก่อนดำเนินโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ส่วนผู้ที่เห็นว่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๕.๔ และร้อยละ ๑๔.๖ เห็นว่าปัญหายังเท่าเดิม โดยจังหวัดที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นพบในจังหวัดพิษณุโลกมากที่สุด ร้อยละ ๑๗.๒ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดสงขลา ร้อยละ ๑๓.๕ และชลบุรี ร้อยละ ๘.๘ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๒-๕ ๓. ประชาชนร้อยละ ๕๕.๔ ระบุว่าปัญหาด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดมีลดลงเมื่อเทียบกับก่อนดำเนินโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ส่วนผู้ที่เห็นว่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๖.๘ และร้อยละ ๑๕.๙ เห็นว่าปัญหายังเท่าเดิม โดยจังหวัดที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นพบในจังหวัดสงขลามากที่สุด ร้อยละ ๑๙.๕ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก ร้อยละ ๑๕.๖ และชลบุรี ร้อยละ ๑๕.๔ ขณะที่จังหวัดอื่นมีไม่เกินร้อยละ ๕ ๔. ชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ที่มีโรงเรียน/สถานศึกษา ประชาชนร้อยละ ๔๗.๒ ระบุว่า ปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดลดลงเมื่อเทียบกับก่อนการดำเนินโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ส่วนผู้ที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๖ และร้อยละ ๑๐.๙ ระบุว่า ปัญหายังอยู่เท่าเดิม โดยจังหวัดที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นพบในจังหวัดพิษณุโลกมากกว่าจังหวัดอื่น ร้อยละ ๑๑.๒ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ร้อยละ ๘.๒ และสงขลา ร้อยละ ๗.๙ ขณะที่จังหวัดอื่นมีไม่เกินร้อยละ ๖ ๕. ประชาชนร้อยละ ๘๕.๔ ระบุว่า มีกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดซึ่งในจำนวนนี้ ได้แก่ ผู้เคยเสพยาเสพติด ร้อยละ ๘๓.๔ ผู้ที่เคยถูกจับกุม/ผู้ต้องหา ร้อยละ ๕๒.๓ และผู้ที่เคยค้ายาเสพติด ร้อยละ ๔๐.๐ ๖. ประชาชนร้อยละ ๔๕.๗ ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐสนับสนุน/เข้าไปกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งในจำนวนนี้เกิดขึ้นมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๙.๒ ปานกลาง ร้อยละ ๑๔.๖ และน้อย-น้อยที่สุด ร้อยละ ๒๑.๙ โดยเจ้าหน้าที่รัฐที่ดำเนินการดังกล่าวพบในจังหวัดสุราษฎร์ธานีมากที่สุด ร้อยละ ๖๐.๙ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดสงขลา ร้อยละ ๕๕.๖ ชลบุรี ร้อยละ ๕๕.๕ และพิษณุโลก ร้อยละ ๕๔.๔ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๓๕-๔๔ ๗. ประชาชนสูงถึงร้อยละ ๙๙.๗ มีความพึงพอใจต่อโครงการชุมชนอุ่นใจฯ โดยมีความพึงพอใจมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๘๓.๙ ปานกลาง ร้อยละ ๑๒.๓ และน้อย ร้อยละ ๓.๕ โดยจังหวัดขอนแก่นและพระนครศรีอยุธยามีความพึงพอใจมาก-มากที่สุดสูงกว่าจังหวัดอื่น คือ ร้อยละ ๙๖.๓ และ ๙๐.๓ ตามลำดับ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๗๖-๘๘ ๘. ประชาชนร้อยละ ๙๙.๓ มีความเชื่อมั่นต่อโครงการชุมชนอุ่นใจฯ ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนาคตได้ ซึ่งในจำนวนนี้มีความเชื่อมั่นมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๗๙.๖ ปานกลาง ร้อยละ ๑๕.๕ และน้อย ร้อยละ ๔.๒ โดยจังหวัดขอนแก่นมีความเชื่อมั่นมาก-มากที่สุดสูงกว่าจังหวัดอื่น ร้อยละ ๙๕.๙ รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร้อยละ ๘๓.๒ ชลบุรี ร้อยละ ๘๒.๔ และพิษณุโลก ร้อยละ ๘๐.๐ ขณะที่จังหวัดอื่นมีประมาณร้อยละ ๗๑-๗๘
|
||||||||||||||||||
1951 | ผลการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry | ทส | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Special ASEAN-ROK Ministerial Meeting on Forestry ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุม Preparatory Senior Offcial Meeting on the Progress of ASEAN-ROK Forest Cooperation Activities ซึ่งนำเสนอโดยผู้แทนจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีความก้าวหน้าของกิจกรรม ได้แก่ การจัดตั้งองค์การความร่วมมือด้านการป่าไม้แห่งเอเชีย (Asian Forest Cooperation Organization : AFoCO) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการอนุรักษ์และป้องกันการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ สนับสนุนการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และการดำเนินโครงการความช่วยเหลือภายใต้องค์การ AFoCO ๒. ที่ประชุมรับรอง Ministerial Statement ซึ่งเป็นแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีด้านป่าไม้ของประเทศอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีที่มีความมุ่งมั่น และประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ การส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถและการดำรงชีวิตของชุมชนที่พึ่งพาป่าไม้ การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การส่งเสริมกิจกรรมด้านคาร์บอนต่ำ และเทคโนโลยีสีเขียวด้านการป่าไม้ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี การดำเนินการตามกลยุทธ์เชิงรุกจากความร่วมมือด้านป่าไม้ประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีในการจัดตั้งองค์กรผู้แทนในระดับภูมิภาคเอเชีย และการสนับสนุนการจัดตั้งองค์การ AFoCO เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านป่าไม้ภายใต้ความร่วมมือตามข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ๓. สำหรับท่าทีของประเทศไทยได้รับรองและสนับสนุนการจัดตั้งองค์การ AFoCO ที่ริเริ่มและผลักดันโดยประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจากการประชุมดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวด้านป่าไม้ รวมทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนสำหรับดำเนินงานด้านการจัดการป่าไม้ในระดับประเทศและภูมิภาค
|
||||||||||||||||||
1952 | โครงการจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกประเทศไทย | อื่นๆ | 19/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เสนอและอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในวงเงิน ๖๙,๘๐๗,๒๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยตรวจสอบโครงการและงบประมาณของหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย เช่น กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น หากมีการดำเนินการในลักษณะเดียวกับโครงการจัดเวทีประชาเสวนา หาทางออกประเทศไทย ก็ให้นำมาบูรณาการร่วมกับโครงการนี้ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และประหยัดงบประมาณ ทั้งนี้ หากมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทยหารือรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ด้วย
|
||||||||||||||||||
1953 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 12/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๑๒.๑๒๐๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๕,๔๕๐.๑๓๑๖ ล้านบาท ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๑๑๐,๒๒๘.๓๑๘๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๒๓ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๖ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๗ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๘ จังหวัด ๓. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรแล้วสุทธิ ๑๑๙,๕๑๒.๑๒๐๔ ล้านบาท คงเหลือ ๔๘๗.๘๗๙๖ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๓๗๑.๔๖๙๖ ล้านบาท (รวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณเนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓ โครงการ/รายการ วงเงิน ๒๔๒.๙๓๗๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันที จำนวน ๑๑๖.๔๑๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินงบประมาณที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับจากส่วนราชการฯ ที่แจ้งส่งคืนอีก จำนวน ๑๘.๕๒๕๗ ล้านบาท วงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๓๔.๙๓๕๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
1954 | การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ | นร | 12/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รายงานว่า บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ณ วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ของรัฐบาล รวมทั้งระดับเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยสูงขึ้นจากเดิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าต่างประเทศมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น ๒. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ต่างประเทศให้ความชื่นชมประเทศไทยที่แม้จะประสบกับวิกฤตมหาอุทกภัย แต่ยังสามารถดำเนินการให้อัตราการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อยู่ที่ร้อยละ ๖.๔ ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการไว้ที่ร้อยละ ๕.๕ จึงขอขอบคุณรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันดำเนินการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ได้รับผลสำเร็จเป็นอย่างดี และขอความร่วมมือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกันเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้นโยบายและแผนงานสำคัญของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ เช่น การดำเนินโครงการลงทุนเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง (๒.๒ ล้านล้านบาท) เป็นต้น บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศักยภาพในการแข่งขันของประเทศให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
|
||||||||||||||||||
1955 | ขออนุมัติดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ | กษ | 05/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) แบบครอบคลุมพื้นที่ เพื่อกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อตัดวงจรการระบาด ลดความรุนแรงและผลกระทบต่อผลผลิตจากการทำลายของหนอนหัวดำและควบคุมไม่ให้แพร่กระจายไปยังพื้นที่ที่ไม่มีการระบาด และเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการควบคุมและกำจัดหนอนหัวดำให้กับเกษตรกรในพื้นที่ระบาดโดยผ่านกลไกศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน เป้าหมายการดำเนินงาน จังหวัดที่มีพื้นที่การระบาดของหนอนหัวดำ ๑๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต ทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณากำหนดมาตรการในการกำกับดูแลและควบคุมการใช้สารเคมีให้ชัดเจนและรัดกุม พร้อมทั้งสนับสนุนการใช้ศัตรูธรรมชาติควบคู่กันไป เพื่อสร้างความยั่งยืนในการแก้ปัญหาสารเคมีตกค้างในมะพร้าว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ๒. สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้ในการควบคุมและกำจัดศัตรูมะพร้าว โดยใช้ศัตรูธรรมชาติควบคุมหนอนหัวดำ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอทำความตกลงในรายละเอียดงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป สำหรับวงเงินส่วนที่เหลือในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายในการฉีดสารเคมีเข้าลำต้นกำจัดหนอนหัวดำ จำนวน ๓๖๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น ก็เห็นควรให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม รวมทั้งเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวเพื่อพิจารณาถึงผลดี ผลเสีย และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้ได้ข้อยุติก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
1956 | ขอความเห็นชอบเอกสารสำหรับการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง ครั้งที่ 5 | กต | 05/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๕ และร่างแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๘ โดย ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญาการประชุมผู้นำ ACMECS ครั้งที่ ๕ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของผู้นำที่จะส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งรับรองแผนปฏิบัติการ ACMECS ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ซึ่งกำหนดแผนการดำเนินโครงการความร่วมมือใน ๘ สาขา ได้แก่ การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน การเกษตร อุตสาหกรรม และพลังงาน การเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาธารณสุขและสวัสดิการสังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้ประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนามีส่วนร่วมในโครงการของ ACMECS ด้วย ๑.๑.๒ ร่างแผนปฏิบัติการ ACMECS ปี ๒๕๕๖-๒๕๕๘ มีเป้าหมายหลัก คือ การเสริมสร้างการเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นฐานการผลิตเดียว โดยประเทศสมาชิก ACMECS เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อมโยงกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การผลิต และการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งได้ระบุแผนการดำเนินการใน ๘ สาขาความร่วมมือระหว่างปี ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารฯ ดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารฯ ดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกรณีที่โครงการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และหากมีการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ฯ ในพื้นที่ป่าไม้ หรือผ่านพื้นที่ป่าไม้ อาทิ การพัฒนาสายส่งไฟฟ้าข้ามแดนเข้ามาในประเทศไทย การจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมตามแนวชายแดน การสร้างถนน หรือทางรถไฟข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศไทย จะต้องมีการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1957 | การปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - 2554) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 05/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จากเงินลงทุนเดิม จำนวน ๖๗,๑๒๐.๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๙๐,๙๘๒.๔๑ ล้านบาท ประกอบด้วย การลงทุนของ กฟภ. จำนวน ๘๙,๖๒๒.๙๑ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในกรอบวงเงิน ๑,๓๕๙.๕๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กฟภ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปรับเลื่อนโครงการ/แผนงานของ กฟภ. ที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม จำนวน ๒ โครงการ/แผนงาน ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบศูนย์สั่งจ่ายไฟ และแผนงานการจ่ายไฟด้วยพลังงานทดแทนบนอาคารสำนักงาน และแผนงานติดตั้งโคมไฟถนน รวมทั้งแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาและลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน ๕ ปี ของบริษัท พีอีเอฯ ซึ่งมีแผนที่จะลงทุนในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ไปรวมในแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และพิจารณาวางแผนการลงทุนให้มีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และการพัฒนาประเทศบนเส้นทางสีเขียว (Green Growth) และการสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว การจัดหาแหล่งเงินทุน โดยพิจารณาทางเลือกในการลงทุนอื่นนอกเหนือจากการกู้เงินเพื่อการลงทุนตามขั้นตอนปกติ เช่น การระดมเงินทุนจากภาคเอกชน และการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นต้น เพื่อลดสัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศ การกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัท พีอีเอฯ ในเรื่องการร่วมทุน โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กำกับดูแลตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุนและกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานร่วมทุนของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การทบทวนแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลการลงทุนโครงการต่าง ๆ และหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า โดยเฉพาะโครงการที่มีวงเงินลงทุนสูง เพื่อให้สามารถวางแผนและดำเนินการลงทุนตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในระยะต่อไปได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
1958 | การลงนามในเอกสารโครงการ ASEAN-German Project on ASEAN Biocontrol (ABC) for Sustainable Agrifood Systems | กษ | 05/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลง Implementation Agreement สำหรับโครงการ ASEAN-German Project on ASEAN Biocontrol (ABC) for Sustainable Agrifood Systems มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาเซียนได้พัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องในระดับภูมิภาคเพื่อจัดการการเกษตรและการผลิตอาหารที่ยั่งยืน และเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนได้พัฒนาแนวทางการปฏิบัติการ (Guidelines) สำหรับการขึ้นทะเบียนการค้า และการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพสำหรับการกำจัดศัตรูพืช ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่า รัฐบาลไทยเห็นชอบร่างความตกลงฯ และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในร่างความตกลงฯ ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรให้กรมวิชาการเกษตร และคณะกรรมการ Biocontrol Task Force ประสานการดำเนินโครงการฯ ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เพื่อให้การขับเคลื่อนการใช้ชีวภัณฑ์ในการกำจัดศัตรูพืชและการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ขยายผลในวงกว้างมากขึ้น ส่วนกรณีการเกิดข้อพิพาทจากข้อตกลงและคู่สัญญาไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติได้โดยฉันท์มิตร ร่างความตกลงฯ ข้อ ๑๐ กำหนดให้ระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายแม่แบบแห่งคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) เรื่อง การอนุญาโตตุลาการ นั้น โดยที่ร่างความตกลงนี้เป็นข้อตกลงระหว่างองค์กรของรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือหน่วยงานผู้ดำเนินโครงการอาจพิจารณากลไกการระงับข้อพิพาทอย่างอื่นที่เหมาะสมแทนการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1959 | ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | นร04 | 27/02/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเข้าร่วมในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย (Park Geun-Hye) ซึ่งเป็นผู้นำสตรีคนแรกของเกาหลีใต้ และเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงตามคำเชิญของผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลี ๑.๑ การหารือกับประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย เกี่ยวกับพัฒนาความสัมพันธ์ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้ริเริ่มไว้ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี อี มยอง-บัก (Lee Myung-bak) โดยมุ่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งจะขยายความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุข และการศึกษา ๑.๒ การหารือเกี่ยวกับการพัฒนาบทบาทสตรีในภูมิภาคและให้ความสำคัญกับเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ โดยให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งผลักดันให้สตรีได้มีโอกาสและบทบาทในการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น ๑.๓ นายกรัฐมนตรีได้เรียนเชิญประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย มาเยือนประเทศไทยและเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. ผลการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ๒.๑ การหารือกับนายเหลียง จุ้นอิง (Leung Chun-ying) ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน รวมทั้งการส่งเสริมให้ด้านการค้า การลงทุน โดยเฉพาะการค้าพืชเกษตร เช่น ข้าว ผลไม้ ตลอดจนการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาพ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดของความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ๒.๒ การศึกษาดูงานที่ Hong Kong Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมในด้านต่าง ๆ สำหรับผู้มาใช้บริการ และเป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ เช่น รถไฟและรถโดยสาร รวมทั้งเป็นเส้นทางด่วนไปยังสนามบินซึ่งมีเคาน์เตอร์ของสายการบินต่าง ๆ สำหรับผู้ที่จะเดินทางโดยเครื่องบินสามารถ check in ได้ล่วงหน้า โดยให้กระทรวงคมนาคมนำรูปแบบการบริหารจัดการของ Hong Kong Station ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการสถานีขนส่งมวลชนของไทย เช่น กรณี airport rail link ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ๒.๓ การหารือกับกลุ่มสมาคมท่องเที่ยวเกี่ยวกับการที่นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยขอให้แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ ๆ รวมทั้งหากประเทศไทยมีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ขอให้แจ้งไปยังบริษัทท่องเที่ยวของฮ่องกงล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมรายการท่องเที่ยวให้เหมาะสม โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณากำหนดทิศทางรองรับการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง สำหรับการดำเนินโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ (มูลค่า ๒.๒ ล้านล้านบาท) ให้มีการพัฒนาเส้นทางที่รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||
1960 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เครื่องที่ 3 - 4 | พน | 27/02/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา เครื่องที่ ๓-๔ จากเดิม กำหนดแล้วเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ เป็น กำหนดดำเนินงานตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๗-กันยายน ๒๕๖๐ โดยใช้กรอบวงเงินเดิมที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเคยได้รับอนุมัติโครงการฯ สำหรับเครื่องที่ ๑-๒ และเครื่องที่ ๓-๔ ไปแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ จำนวน ๒๑,๘๐๐ ล้านบาท เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง (Peak Period) ตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ
|
.....