ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 6 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 113 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
81 | การแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการ ภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล | ยธ. | 21/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการ ภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ
แผนกคดีบุคคล (Hague Conference on
Private International Law : HCCH)
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานกรรมการ
และกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงการต่างประเทศเป็นเลขานุการร่วม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
82 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.1010 แยก ทล.4-บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 1 แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท | คค. | 14/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ
จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.๑๐๑๐ แยก ทล.๔ - บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
๑ แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท จากเดิมจำนวน ๑๓๘,๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็น จำนวน ๑๕๒,๖๗๔,๖๕๒.๘๓ บาท (เพิ่มขึ้น ๑๔,๐๗๔,๖๕๒.๘๓
บาท) และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๙
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบทและการรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
83 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน | พน. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน
เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ดำเนินการในช่วงเดือนมกราคม
ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๖๗ และมาตรการด้านไฟฟ้า ที่ดำเนินการในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม
๒๕๖๗
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่
๑) มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน ๓๓
บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๗
ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ระดับ ๔๒๓ บาทต่อถังขนาด ๑๕ กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๗ และ ๒) มาตรการด้านไฟฟ้า ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า
(ก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม) แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๓๐๐
หน่วยต่อเดือน จำนวน ๑๙.๐๕ สตางค์ต่อหน่วย ตั้งแต่พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายและแหล่งงบประมาณในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็นและเหมาะสมกับสถานการณ์
รวมทั้งพิจารณาราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้นเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้พลังงาน
รวมถึงเร่งศึกษาการกำหนดมาตรการระยะยาวเพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
เร่งรัดดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ
ความพร้อมและความสามารถทางการเงินของภาครัฐ ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน
รวมทั้งเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และให้มีการรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อให้การดำเนินมาตรการดังกล่าวบรรลุผลสัมฤทธิ์และมีความคุ้มค่าอย่างแท้จริง
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และโดยที่ในปัจจุบันราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันและไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะคงตัวอยู่ในระดับสูงโดยผลของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคต่าง
ๆ หาก Subsidize มากเกินไปก็อาจกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกลไกตลาด
และอาจทำให้มีการใช้พลังงานโดยไม่คุ้มค่า
สมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมกันพัฒนาแหล่งพลังงานอื่นเพื่อใช้ทดแทน Fossil
Fuel ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
84 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกันความเสียหายทื่เกิดแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร พ.ศ. .... | คค. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการประกันความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการประกันความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสารให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการให้บริการรถไฟฟ้า
โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการใช้ตั๋วโดยสารให้ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
และวงเงินความคุ้มครองสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎกระทรวงกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในมิติของผู้ที่ได้รับความคุ้มครอง
ผู้บังคับใช้และผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายลำดับรองฉบับดังกล่าว รวมถึงต้องพิจารณาทั้งในรายละเอียดข้อมูล
จำนวนเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขการรับประกันภัยของบริษัทประกันภัย
จึงอาจต้องประชุมร่วมกันเพื่อหารือในรายละเอียดของแนวทางการจัดให้มีการประกันภัยที่เหมาะสมกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยต่อไป
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข
และวงเงินความคุ้มครองสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของคนโดยสาร
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการบังคับใช้กฎกระทรวงกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งในมิติของผู้ที่ได้รับความคุ้มครอง ผู้บังคับใช้และผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายลำดับรองฉบับดังกล่าว
ควรเร่งเสนอร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็ว
เพื่อให้กรมการขนส่งทางรางมีอำนาจและหน้าที่ในการควบคุมและกำกับดูแลการประกอบกิจการขนส่งทางรางโดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยและระดับการให้บริการ
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และร่างข้อ ๒
เห็นควรแก้ไขปรับปรุงนิยามคำว่า “ผู้รับประกันภัย” หมายความว่า
บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยประกันวินาศภัย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
85 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันงบประมาณการก่อสร้างระบบระบายน้ำถนนเลียบทางรถไฟฝั่งตะวันออก ระยะที่ 1 เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี | มท. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการการก่อสร้างระบบระบายน้ำถนนเลียบทางรถไฟฝั่งตะวันออก
ระยะที่ ๑ เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จากเดิม ๖๕๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็น
๖๘๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้เดิม
(รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) จำนวน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งขออนุมัติขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการดังกล่าว
จาก ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เป็น
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย
(เมืองพัทยา) การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
หากโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้รับผลกระทบและต้องมีการปรับรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับความเห็นชอบเดิม
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามขั้นตอนการพิจารณารายงานต่อไป
และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยเมืองพัทยา
ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการก่อสร้างโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนงาน
เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาโครงข่ายลำคลองระบายน้ำตามธรรมชาติให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
โดยเฉพาะคลองนาเกลือ ซึ่งเป็นคลองที่รับการระบายน้ำจากโครงการฯ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
พร้อมทั้งจัดทำแผนการจัดการขยะตามแหล่งชุมชนใกล้แหล่งน้ำควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อป้องกันมิให้มีการทิ้งขยะมูลฝอย
สิ่งปฏิกูล น้ำเสีย หรือของเสียลงสู่แหล่งน้ำและทางระบายน้ำสาธารณะ
ซึ่งจะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเน่าเสียและปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่บริเวณโดยรอบได้อย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
86 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | นร.01 | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณายกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ๒๕๖๔ ในประเด็นตามรายงานดังกล่าว โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณา และหากมีร่างพระราชบัญญัติที่มีลักษณะในทำนองเดียวกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ระหว่างการบรรจุวาระการประชุมหรือได้บรรจุวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็ให้นำร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติตามข้อ ๒
ได้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้มีการออกเสียงประชามติแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
87 | การเข้าร่วมประชุม Sustainable Finance for Tiger Landscapes Conference ณ ประเทศภูฏาน | ทส. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม
Paro Pledge for Tigers : A Billion-dollar
Commitment to Biodiversity Conservation และอนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย
[ที่ปรึกษากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
(นางรุ่งนภา พัฒนวิบูลย์)] หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ที่จะมีการรับรองในวันที่
๒๓ เมษายน ๒๕๖๗ ระหว่างการประชุม Sustainable Finance for Tiger Landscapes
Conference ณ เมืองพาโร ราชอาณาจักรภูฏาน มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในการกระตุ้นการระดมทุนเพิ่มเติม
จำนวน ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๔ เพื่อการอนุรักษ์เสือโคร่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
88 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ และรายงานการเงินรวมภาครัฐ (บทวิเคราะห์) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ และให้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
พร้อมทั้งรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรค
และแนวทางแก้ไขให้กระทรวงเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังภายใน ๖๐ วัน
นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
และให้หน่วยงานของรัฐส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณถัดไปให้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
89 | ร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ในท้องที่เขตวังทองหลาง เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอบางพลี อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | คค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ในท้องที่เขตวังทองหลาง
เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอบางพลี
อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
เพื่อสร้างกิจการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ในท้องที่เขตวังทองหลาง
เขตบางกะปิ เขตสวนหลวง เขตประเวศ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร และอำเภอบางพลี
อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ
โดยให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้
และให้เจ้าหน้าที่เวนคืนเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนภายในระยะเวลา ๔ ปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
90 | การร่วมมือกับรัฐบาล สปป. ลาว ในการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข 12 (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป. ลาว | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(สปป. ลาว) ในการปรับปรุงเส้นทางหมายเลข ๑๒ (R12) ช่วงเมืองท่าแขก-จุดผ่านแดนนาเพ้า สปป.
ลาว (โครงการ R12) ดังนี้ ๑) อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
(องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการตามขอบเขตของโครงการ แหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ
และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการ
R12 จำนวน ๑,๘๓๓,๗๔๗,๐๐๐ บาท ๒) อนุมัติให้สำนักงบประมาณ จัดสรรงบประมาณเป็นรายปี
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘-๒๕๗o รวมระยะเวลา ๓ ปี
สำหรับวงเงินให้เปล่า จำนวน ๙๑,๐๖๓,๐๐๐
บาท และร้อยละ ๕๐ ในส่วนของเงินกู้จำนวน ๘๗๑,๓๔๒,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๙๖๒,๔๐๕,๐๐๐
บาท ๓) เห็นชอบแนวทางการกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ จำนวน ๘๗๑,๓๔๒,๐๐๐ บาท ตามรูปแบบและเงื่อนไขที่กำหนด และ ๔)
กรณี สปป. ลาว ผิดนัดชำระหนี้ สพพ. จะพิจารณาใช้เงินสะสมของ สพพ. เพื่อชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากเงินกู้จากสถาบันการเงินภายในประเทศไปก่อน
ทั้งนี้ หาก สพพ.
เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องจะขอรับจัดสรรเงินงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อเสริมสภาพคล่องและเมื่อ
สพพ. สามารถเรียกเก็บหนี้ได้จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนคลังต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลัง [สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
(องค์การมหาชน)] และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๗๐๖/๗๕ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม
๒๕๖๖) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยขอให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
พร้อมจัดทำขั้นตอนการดำเนินงาน แผนการก่อสร้าง และการเปิดให้บริการ และให้ สพพ.
ใช้เงินสะสมของหน่วยงาน
และกำหนดแนวทางและวิธีการบริหารจัดการเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และเห็นว่าเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติได้ตามที่เห็นสมควร และโดยที่เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตาม
ม. ๘ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สพพ. พ.ศ. ๒๕๔๘
และที่แก้ไขเพิ่มติมและเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยจึงเข้าข่ายเป็นการดำเนินการตามมาตรา
๔ (๑) และ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องฯ พ.ศ. ๒๕๔๘ นอกจากนี้ ควรมอบหมายให้กระทรวงการคมนาคมกำกับโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม
และโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ให้แล้วเสร็จตามแผน
เพื่อให้โครงข่าย/คมนาคมของไทยสามารถเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร้รอยต่อ
อันจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศ
ตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
91 | การแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2567 (ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. ....) | คค. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข
๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑
นาฬิกา ของวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๗ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันพุธที่ ๑๗
เมษายน ๒๕๖๗ เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินทางบนทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลดังกล่าว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
92 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. .... | คค. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคำธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตหรือใบรับรองที่กำหนดขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ
(ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ แก้ไขปรับปรุงการจำแนกประเภทใบอนุญาตและใบรับรอง
รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน
พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ที่สะท้อนต้นทุน
และความเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
93 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 14 ตอน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพิ่มเติม โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน 10 ตอน ของกรมทางหลวง | คค. | 19/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวงเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๑๔
ตอน วงเงินรวม ๑,๗๔๐,๙๘๘,๒๐๔ บาท ตามปริมาณงานและวงเงินค่างานจริง
ซึ่งไม่เกินกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบไว้แล้ว
เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๕ และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จำนวน ๑๐ ตอน ตามนัย ข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยการดำเนินการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุและกรมบัญชีกลาง ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
รวมทั้งข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น เมื่อกรมทางหลวงได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว
กรมทางหลวงจะต้องดำเนินการแก้ไขสัญญาให้เป็นไปตามหลักการของระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๓๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๓๖ ให้ถูกต้อง ให้กรมทางหลวงพิจารณาถอดบทเรียนจากกรณีความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการฯ
โดยเฉพาะความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารจัดการโครงการ พร้อมทั้งติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินโครงการว่าสอดคล้องกับผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการที่บริษัทที่ปรึกษาศึกษาไว้หรือไม่
โดยในกรณีที่พบว่าผลการดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ
อันเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของบริษัทที่ปรึกษา ให้กรมทางหลวงรายงานผลการประเมินดังกล่าวให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับบริษัทดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
94 | ขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การออกเลขที่บ้านชั่วคราวให้กับผู้บุกรุกในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย) | นร.09 | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘
เมษายน ๒๕๔๖ (เรื่อง
การออกเลขที่บ้านชั่วคราวให้กับผู้บุกรุกในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
ในข้อ ๒.๒ ที่กำหนดว่า “...
กรณีประชาชนผู้ได้รับทะเบียนบ้านชั่วคราวมาขออนุญาตใช้บริการด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ
จะอนุญาตได้ต่อเมื่อได้รับคำยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่บ้านในทะเบียนบ้านชั่วคราวนั้น
ๆ ตั้งอยู่ ...”
เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิในที่ดินว่าเป็นของรัฐหรือเอกชน
โดยอยู่มาก่อนวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗ ให้สามารถขอใช้สาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาได้เป็นการชั่วคราวตามหลักสิทธิมนุษยชน
โดยให้ดำเนินการนำร่องในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีและแม่ฮ่องสอน
แล้วขยายไปในพื้นที่อื่นที่มีปัญหาเดียวกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติร่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต
รวมถึงผู้ที่อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิสามารถเข้าถึงไฟฟ้าและน้ำประปาได้เป็นการชั่วคราวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มกราคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
การเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ)
ให้แล้วเสร็จโดยด่วน และนำเสนอคณะรัฐนตรีต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาถึงการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
เพื่อให้การบริหารจัดการที่ดินของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป กรณีประชาชนผู้ได้รับทะเบียนบ้านชั่วคราวในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
มาขออนุญาตใช้บริการต่าง ๆ
จะอนุญาตได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย
ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของการรถไฟแห่งประเทศไทย และคำนึงถึงความสอดคล้องตามแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗o เพื่อป้องกันไม่ให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้าและสามารถดำเนินการได้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
ควรมีมาตรการในการให้การสนับสนุน กรณีหน่วยงานของรัฐมีความจำเป็นต้องผลักดันผู้บุกรุกออกจากพื้นที่ของหน่วยงานของรัฐด้วย
กรณีมีพื้นที่ดำเนินการเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการจัดบริการสาธารณูปโภคอยู่ในเขตพื้นที่ป่า
ขอให้ประสานกับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เพื่อตรวจสอบและดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
95 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2566 | นร.11 สศช | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ เห็นชอบ
และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
กรณีโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙)
สำหรับบริการประชากรในประเทศไทยจำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca) ปี พ.ศ. ๒๕๖๕
โดยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดรายการวัคซีน AstraZeneca ที่ยังไม่ได้รับการส่งมอบจำนวน
๑๙.๐๗๔๔ ล้านโดส เป็นการจัดซื้อภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปหรือแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาว (Long-acting
antibody : LAAB) รุ่นใหม่ จำนวน ๓๖,๐๐๐ โดส
ส่งผลให้กรอบวงเงินโครงการฯ ลดลงจาก๑๘,๓๘๒.๕๖๔๓ ล้านบาท เป็น
๑๓,๖๓๔.๘๗๑๒ ล้านบาท หรือลดลงจำนวน ๔,๗๔๗.๕๙๓๑
ล้านบาท (๒) มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับให้กรมควบคุมโรค เร่งประสานกับบริษัท AstraZenecaฯ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียน
เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้ภายในเดือนมีนาคม
๒๕๖๗ และให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ LAAB ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(๓) อนุมัติให้จังหวัดกระบี่
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการปรับภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยวหาดอ่าวนางและหาดนพรัตน์ธารา
ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๕.๔๐๐๐ ล้านบาท จากเดิมสิ้นสุดเดือนธันวาคม
๒๕๖๕ เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ โดยขอแก้ไขข้อเสนอเกี่ยวกับระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการดังกล่าว
จากเดิม “สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖” เป็น “สิ้นสุดเดือนเมษายน ๒๕๖๗” (๔) มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
เร่งแก้ไขข้อมูลโครงการในระบบ eMENSCR ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงรายละเอียดโครงการภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโดยเร็ว
และ (๕) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๙ (๑ สิงหาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และที่เสนอเพิ่มเติม ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิดและกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ ข้อ ๒๑ และ ๒๒ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน
๓ เดือน นับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติ ครม. เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๖ เพื่อให้การบริหารจัดการ เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
96 | ร่างตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Instrument of Extension of the Memorandum of Understanding on the ASEAN Power Grid: IOE of APG MOU) | พน. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
(Instrument of Extension of
the Memorandum of Understanding on the ASEAN Power Grid : IOE of APG MOU) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นผู้ลงนามในตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ลงนามตราสารดังกล่าวข้างต้น
โดยร่างตราสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ของบันทึกความเข้าใจฯ
ออกไปเป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘
เพื่อสนับสนุนกลไกการดำเนินงานของการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
ให้สามารถยกระดับการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และการส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน
โดยเปิดโอกาสให้มีการแบ่งปันทรัพยากรของภูมิภาค
ด้วยการส่งพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างตราสารว่าด้วยการขยายระยะเวลาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และให้กระทรวงพลังงาน (สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงพลังงาน
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานพิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
97 | การยกระดับคุณภาพชีวิตและการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) | นร. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงบ่ายวันนี้จะเดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) ในระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
เพื่อสร้างโอกาสให้กับประชาชนในพื้นที่ทางด้านเศรษฐกิจและยกระดับการท่องเที่ยว
ซึ่งหลายพื้นที่เป็นจุดที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักท่องเที่ยวและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชนได้
จึงขอความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งภาคเอกชนและประชาชนในทุกภาคส่วนให้การส่งเสริม สนับสนุน และช่วยกันพัฒนา
ยกระดับคุณภาพชีวิต และดำเนินมาตรการต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
๓ จังหวัดดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไปหลังจากการตรวจราชการในครั้งนี้ด้วย
รวมทั้งขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมประชาสัมพันธ์
และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์
เผยแพร่ข่าวสารและศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของทั้ง ๓ จังหวัด
เพื่อดึงดูดการลงทุนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศให้เดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
98 | การขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค (งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568) | นร.01 | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกรอบวงเงินการขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามนัยมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับ
ติดตามการใช้จ่ายเงินอุดหนุนของสภาองค์กรของผู้บริโภคให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประสิทธิภาพ ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินงานของสภาองค์กรของผู้บริโภค ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สภาองค์กรของผู้บริโภค
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดและเพิ่มตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนผลลัพธ์ไปยังประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
อาทิ หน่วยงานประจำจังหวัดสามารถแก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคจนได้ข้อยุติเพิ่มเติม
ควรพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมของรูปแบบกิจกรรมในแผนงานพัฒนานโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมในลักษณะการประชุมสัมมนาหรือการประชุมหารือระยะสั้นเพียง ๑-๒
ครั้ง ในแผนงาน
และควรพิจารณาประสานใช้กลไกการดำเนินงานของหน่วยงานอื่นที่มีอยู่แล้วในพื้นที่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อาทิ เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มกราคม ๒๕๖๗ (เรื่อง การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
99 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... | วธ. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกของภาครัฐในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์
เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคมและบทบัญญัติมาตรา ๗o ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่บัญญัติให้รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทย กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ
ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี
และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ทำหน้าที่รักษาการตามพระราชบัญญัติฯ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม
และปฏิบัติหน้าที่เลขานุการร่วมในคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
ในการดำเนินการจัดทำธรรมนูญของพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
แผนที่หรือการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรอบคอบ
รวมถึงการกำหนดให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพยากรธรรมชาตินั้น
มีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกับกฎหมายฉบับอื่นอย่างไรหรือไม่ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกินสมควร
การกำหนดชื่อและสาระให้ตรงกับหลักการด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรมการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตฯ
ในพื้นที่ที่มีกฎหมายเฉพาะ และความจำเป็นของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น อาจพิจารณาจัดการหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อวางแนวทางให้การดำเนินงานของกลไกต่าง
ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง
การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม) ซึ่งได้เห็นชอบแนวทางการกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม
โดยให้ตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนจนถึงสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้มีกรรมการที่เป็นผู้แทนหน่วยงานของรัฐเพิ่มเติม
ได้แก่ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธานกรรมการเพิ่มเติม
และให้ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นกรรมการโดยตำแหน่งเพิ่มเติม รวมทั้งควรกำหนดหลักเกณฑ์ คุณสมบัติ
และวิธีการสรรหาให้มีความเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับได้ต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
100 | แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และเห็นชอบแผนการดำเนินงาน
งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
วงเงินงบประมาณรายจ่าย ๑,๐๙๕.๑๖๒ ล้านบาท และประมาณการรายได้
๑,๐๙๕.๔๖๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามความในมาตรา ๔๑
แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงาน (สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน)
รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนมาก ที่ นร ๑๑๐๖/๖๒๒๖ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖) ที่เห็นว่าในการดำเนินการขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด
และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรายงานผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินการตามแผนฯ
ให้สอดคล้องตามตัวชี้วัดและเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท และแผนย่อย
ในแต่ละระดับตามที่กำหนด รวมทั้งเร่งดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการภายใต้แผนการดำเนินงานฯ
พ.ศ. ๒๕๖๖ และแผนดำเนินงานฯ พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินแผนงาน/โครงการ
ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy
Transition) อาทิ โครงการพัฒนากฎระเบียบการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
และเทคโนโลยีพลิกโฉม (Disruptive Technology) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |