ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 6 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 113 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
61 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว | พน. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว กำลังผลิตติดตั้งรวม ๖.๗๕
เมกะวัตต์ โดยมีวงเงินขออนุมัติ ๙๕๙.๗๖ ล้านบาท แบ่งเป็น เงินตราต่างประเทศ ๒๔๓.๘๓
ล้านบาท และเงินบาท ๗๑๕.๙๓ ล้านบาท
โดยให้สามารถเกลี่ยงบประมาณระหว่างโครงการได้ และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ถือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว ให้แล้วเสร็จก่อนการลงนามผูกพันสัญญาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต้องขออนุญาตทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗
และต้องดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้พื้นที่เป็นสถานที่ปฏิบัติงานหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการบริหารจัดการน้ำ
โดยต้องครอบคลุมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภูมิรัฐศาสตร์ต่อปริมาณน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า
รวมทั้งกำหนดให้มีกลไกในการติดตามประเมินผลโครงการฯ ร่วมกับกรมชลประทาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเห็นควรให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาทบทวนแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกชนิดในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่
โดยให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสอดรับกับแนวโน้มการพัฒนาตลาดพลังงานในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
62 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... | คค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ
ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบทถนนสาย
ก ๗ ถนนสาย ง ๘ และถนนสาย จ ตามโครงการผังเมืองรวมอุดรธานี และถนนต่อเชื่อม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เห็นควรจะเร่งดำเนินการสำรวจพื้นที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
หากยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จและยังประสงค์จะทำการสำรวจต่อไปก็ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา
๑๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
63 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเหนือเมือง และตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | คค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลเหนือเมือง และตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลเหนือเมือง และตำบลดงลาน
อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๓ บ้านไผ่ -
อุบลราชธานี ตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๓๒ ถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด
(ทางแยกบ้านโนนเมือง) ทั้งนี้
เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
โดยมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการภายในระยะเวลา ๕ ปี
และดำเนินกระบวนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตลอดทั้งโครงการ ทั้งนี้
เพื่อส่งมอบพื้นที่ให้สามารถเข้าดำเนินการสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๓ บ้านไผ่ -
อุบลราชธานีตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๓๒ ถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด
(ทางแยกบ้านโนนเมือง) ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๐.๔๔๗ กิโลเมตร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าหากการดำเนินการไม่แล้วเสร็จและมิได้มีการเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นใหม่ภายในกำหนดเวลา
ถ้าเกิดความเสียหายแก่รัฐเป็นจำนวนเท่าใด
ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ กรณีนี้กระทรวงคมนาคมควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
64 | ขอความเห็นชอบร่างความยินยอมร่วมกันเพื่อต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | คค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความยินยอมร่วมกันเพื่อต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างความยินยอมร่วมกันฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความเห็นชอบร่วมกันที่จะต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
ต่อเนื่องไปโดยอัตโนมัติเป็นระยะเวลาครั้งละ ๒ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ อันเป็นการดำเนินการตามข้อ ๕ (๒) ของแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
โดยสาระสำคัญของความร่วมมือยังคงเป็นเช่นเดิมตามที่กำหนดไว้ในแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
ซึ่งเป็นเอกสารที่ไม่มีเจตนาให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๔
ของแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความยินยอมร่วมกันฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
65 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2566 ทั้งปี 2566 และแนวโน้มปี 2567 | นร.11 สศช | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี
๒๕๖๖ ทั้งปี ๒๕๖๖ และแนวโน้มปี ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๖ มูลค่า GDP ขยายตัวร้อยละ ๑.๗
เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๔ ในไตรมาสที่สาม ๒) เศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๖ ขยายตัวร้อยละ ๑.๙
ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๕ ในปี ๒๕๖๕ อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ
๑.๓ ของ GDP และ ๓) แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๗
คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๒.๒ - ๓.๒
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้า การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนและการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐ และร้อยละ ๓.๕
ตามลำดับ ส่วนการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหาภาคในปี ๒๕๖๗
รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น (๑)
การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้น (๒)
การเร่งรัดผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี ๒๕๖๔ -
๒๕๖๖ (๓) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และ (๔)
การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
66 | ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... | คค. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร
และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร
สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร
สายเฉลิมรัชมงคลอัตราใหม่ตามวิธีการในสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน
โดยมีอัตราค่าโดยสารเริ่มต้น ๑๗ บาท สูงสุด ๔๕ บาท เพื่อให้การปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานครเป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาสัมปทาน
และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ก่อนวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการคลัง
เห็นว่าการให้คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) มีอำนาจในการกำหนดส่วนลดการเปลี่ยนถ่ายระบบระหว่างรถไฟฟ้าสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง
ๆ ภายในความรับผิดชอบของ รฟม.
และรวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้านอกความรับผิดชอบของ รฟม. ตามร่างข้อบังคับ รฟม. ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารฯ
จะต้องพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบต่อการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง
ๆ เพื่อไม่ให้เกิดข้อพิพาทและ/หรือส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและฐานะทางการเงินของ รฟม.
ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาระในการอุดหนุนงบประมาณของภาครัฐในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
67 | การขอใช้งบประมาณคงเหลือจากการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร 5 หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) | พน. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) จำนวน ๗ รายการ โดยใช้งบประมาณจำนวน ๘๒,๕๘๔,๐๐๐ บาท
จากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๗๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งแบ่งออกเป็นค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย อพยพราษฎร ๕ หมู่บ้าน จำนวน
๒,๑๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท
และค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร จำนวน ๘๓๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยคาดว่าจะมีค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย เกิดขึ้นจริง
จำนวน ๑,๗๑๙,๐๓๙,๐๐๐
บาท คงเหลือจำนวน ๔๑๘,๙๖๑,๐๐๐ บาท
ซึ่งงบประมาณคงเหลือดังกล่าวครอบคลุมและเพียงพอกับการจ่ายค่ารื้อย้าย/ค่าชดเชย
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว และกรณีในอนาคตหากงบประมาณการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร
๕ หมู่บ้าน ไม่เพียงพอ เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาอนุมัติการใช้งบประมาณคงเหลือจากงบประมาณค่ารื้อย้าย/ค่าชขดเชย
ดังกล่าว เพื่อใช้สำหรับงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่รองรับการอพยพราษฎร ๕
หมู่บ้าน (เพิ่มเติม) เป็นรายกรณีตามความจำเป็น โดยไม่กระทบต่องบประมาณที่ได้รับอนุมัติในหลักการไว้แล้ว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ อย่างเคร่งครัด โดยในระยะต่อไป
กรณีมีความจำเป็นต้องก่อสร้างสาธารณูปโภคเพิ่มเติมนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ตามที่ได้รับอนุมัติไว้
เห็นควรให้เป็นหน้าที่หน่วยงานรับผิดชอบพิจารณาขอรับจัดสรรจากแหล่งเงินงบประมาณ
กองทุนพัฒนาไฟฟ้า หรือแหล่งเงินอื่นตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
68 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร.01 | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๗ (เรื่อง
รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
ในฐานะประธานกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยส่งความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
ในฐานะประธานกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ เสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
69 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... | ทส. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภออ่าวลึก
อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณท้องที่อำเภออ่าวลึก อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเหนือคลอง อำเภอคลองท่อม
และอำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไป ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นว่าประเด็นที่ควรพิจารณาในข้อ
๙(๘) การเปลี่ยนแปลงสภาพสันดอนหรือปากน้ำ กรณีที่เป็น “กิจการสาธารณูปโภคของรัฐ”
สามารถดำเนินการได้โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากจังหวัดกระบี่ เพื่อนำไปประกอบการขออนุญาต
ซึ่งไม่แน่ชัดว่า ท่าเทียบเรือคลองรั้วและการขนส่งถ่านหินถือเป็น “กิจการสาธารณูปโภคของรัฐ”
หรือไม่ จึงเสนอแก้ไขเพิ่มเติมเป็น “กิจการสาธารณูปโภคของรัฐรวมทั้งสิ่งก่อสร้างและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิตขนส่ง”
ทั้งนี้ โดยเทียบเคียงกับถ้อยคำตามร่างประกาศฯ ฉบับเดิม พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๖ (๑) (จ) ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน
และกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
70 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี (1. นายเศกสันต์ คำตั๋น ฯลฯ จำนวน 9 คน) | คค. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี
จำนวน ๙ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ (๑) ด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศ นายเศกสันต์
คำตั๋น นายเรือฝ่ายสนับสนุนวิชาการ
และงานวิจัยเรือเกษตรศาสตร์ ๑ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (๒) ด้านการขนส่งทางน้ำ พลเรือเอก
สุธีพงศ์ แก้วทับ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ (๓) ด้านกิจการท่าเรือ เรือเอก
กานต์ เมนะรุจิ อดีตผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง (๔) ด้านกิจการการเดินเรือไทย พลเรือเอก
ปกครอง มนธาตุผลิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองบัญชาการกองทัพไทย (๕) ด้านกิจการอู่เรือ พลเรือตรี สุบิน บรรยง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพเรือ (๖) ด้านกฎหมายพาณิชยนาวี นายทรงศักดิ์
ผิวเกลี้ยง ที่ปรึกษากฎหมาย
และทนายความ สำนักงานรวมชนคนกฎหมายธุรกิจ และทนายความ (๗) ด้านการประกันภัยทางทะเล นางสาวจารุภา
วัฒน์ประกายรัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท
มารีนไทย กรุ๊ป จำกัด (๘) ด้านการค้าระหว่างประเทศ นายณัฐพงษ์
รัตนสุวรรณทวี รองประธานกรรมการ/ประธานคณะกรรมการบริหาร/ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท เอ็นเอฟซี จำกัด (มหาชน) (๙) ด้านสิ่งแวดล้อม นายดรุฒ
คำวิชิตธนาภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการประจำสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์
ที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว (ด้านงบประมาณ) กรรมการผู้จัดการบริษัท
แม่หมูอ้วน จำกัด และบริษัท ดีเจไลท์ติ้ง จำกัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
71 | รายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน ตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เรื่อง มาตรการด้านความปลอดภัยของรถรับ-ส่งนักเรียน | มท. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน
ตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เรื่อง
มาตรการด้านความปลอดภัยของรถรับ - ส่งนักเรียน ซึ่งมีผลการดำเนินการในภาพรวม
สรุปได้ ดังนี้ ๑) การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เช่น กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
จัดทำแนวปฏิบัติในการควบคุมดูแลรถรับ-ส่งนักเรียน และขอความร่วมมือให้สถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
๒) การดำเนินการตามข้อเสนอแนะด้านบริหารจัดการ เช่น กระทรวงศึกษาธิการได้กำชับและติดตามสถานศึกษาทุกแห่งปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถโรงเรียน
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพัฒนาหลักสูตรและสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยทางถนนเพื่อใช้เป็นหลักสูตรในการจัดการเรียนการสอน
กระทรวงคมนาคมกำหนดแนวปฏิบัติในการอนุญาตให้รถรับจ้างรับ - ส่งนักเรียน และทบทวนกฎหมายสำหรับการรับ
- ส่งนักเรียนเป็นการเฉพาะ ๓)
การดำเนินการตามข้อเสนอแนะด้านการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกันภายใต้กลไกคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและมีแผนยุทธศาสตร์หรือคณะทำงานด้านความปลอดภัยรถรับ
- ส่งนักเรียนในทุกจังหวัด โดยใช้แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๒๕๗๐ เป็นกรอบในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อความสอดคล้องกัน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
72 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพิ้นที่เขตการปกครองพิเศษพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่เขตการปกครองพิเศษพัทยา
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ตั้งแต่แนวชายฝั่งทะเลออกไปในทะเลเป็นระยะทาง
๑,๐๐๐ เมตร ของเขตการปกครองพิเศษพัทยา
อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
เป็นเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นควรยกเว้นให้กับส่วนราชการในการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะและประชาชน
เช่น การขุดลอก การถม เท เติม หรือเสริมทรายชายหาด การปลูกสร้างท่าเทียบเรือ
เขื่อนป้องกันตลิ่ง เขื่อนป้องกันคลื่น และรอดักทราย โดยไม่ควรกำหนดให้ต้องขอความเห็นชอบหรือขออนุญาตจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามร่างข้อ
๔ ร่างข้อ ๕ ร่างข้อ ๘ และร่างข้อ ๙ ซึ่งอาจเกินจากบทอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่มิได้บัญญัติไว้ให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีเกิดเหตุจำเป็นเร่งด่วนหรือเหตุที่มาจากภัยอันเกิดจากธรรมชาติ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบหรืออาจเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตของประชาชน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการมีมาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบังคับใช้กฎหมายทั้งสองฉบับอาจก่อให้เกิดการสับสนแก่ประชาชนในการปฏิบัติตามกฎหมาย
และเมื่อร่างกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ก็ควรจะได้แก้ไขปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมฯ เพื่อยกเลิกมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในส่วนที่มีความซ้ำช้อนหรือขัดแย้งกับมาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตามร่างกฎกระทรวงนี้ต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรมีการกำหนดมาตรการในการป้องกันการศึกษา
และตรวจสอบถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
ตลอดจนการห้ามดำเนินกิจกรรมหรือกระทำการใด ๆ
ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งไว้โดยเฉพาะอันเป็นการป้องกันมิให้ชายฝั่ง
ระบบนิเวศชายฝั่ง ตลอดจนความสมดุลของธรรมชาติถูกทำลายตามหลักการป้องกันล่วงหน้า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
73 | การมอบโบราณวัตถุ 20 รายการ คืนให้ราชอาณาจักรกัมพูชา | วธ. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงวัฒนธรรม
โดยกรมศิลปากรมอบโบราณวัตถุ ๒๐ รายการ คืนให้ราชอาณาจักรกัมพูซา
เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีของความตกลงทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
รวมทั้งเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นภาคีที่ยึดมั่นและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในความตกลงทวิภาคีอย่างเคร่งครัด
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการยกเว้นเงื่อนไขภายใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในการต่อต้านการเคลื่อนย้ายโดยผิดกฎหมายและการลักลอบขนข้ามแดนซึ่งสังหาริมทรัพย์ทางวัฒนธรรมและส่งคืนให้แก่ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด
ข้อ ๔ วรรคสอง ที่กำหนดให้ค่าใช้จ่ายทั้งปวงอันเนื่องมาจากการส่งคืนและการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ทางวัฒนธรรมให้เป็นภาระของภาคีที่ร้องขอ
นั้น ให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร)
ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ การโอนเงินจัดสรร
และหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินรายได้อื่นในโอกาสแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าผู้ส่งออกโบราณวัตถุดังกล่าว
จะต้องปฏิบัติพิธีการศุลกากร ณ ท่าหรือที่ที่ส่งออก ตลอดจนปฏิบัติตามข้อห้ามหรือข้อจำกัดสำหรับการส่งออกตามกฎหมายอื่นให้ครบถ้วน
ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
74 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุม International Conference on Nuclear Security (ICONS 2024) | อว. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ถอนเรื่อง ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุม International Conference on Nuclear Security (ICONS 2024) คืนไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
75 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงออเงิน เขตสายไหม แขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และตำบลลาดสวาย ตำบลบึงคำพร้อย ตำบลลำลูกกา ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... | คค. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงออเงิน เขตสายไหม
แขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และตำบลลาดสวาย ตำบลบึงคำพร้อย
ตำบลลำลูกกา ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่แขวงออเงิน
เขตสายไหม แขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร
และตำบลลาดสวาย ตำบลบึงคำพร้อย ตำบลลำลูกกา ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา
จังหวัดปทุมธานี เพื่อสร้างทางพิเศษฉลองรัชส่วนต่อขยาย (ช่วงจตุโชติ - ถนนลำลูกกา)
และสิ่งจำเป็นอื่นเพื่อประโยชน์ของทางพิเศษหรืออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการทางพิเศษ
และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
76 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาระบบการแรงงาน : การจัดทำประมวลกฎหมายแรงงาน ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา | 21/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพัฒนาระบบการแรงงาน
: การจัดทำประมวลกฎหมายแรงงาน ของคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
77 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงอุตสาหกรรม) | อก. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ คณะ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า ๒. คณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
78 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลปากคลอง
อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ตั้งแต่แนวชายฝั่งทะเลออกไปในทะเลเป็นระยะทาง
๑,๐๐๐ เมตร ของตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว
จังหวัดชุมพร เป็นเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าตามมาตรา ๑๑๗ และมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมบัญญัติห้ามปลูกสร้างอาคาร
หรือสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำ ในน้ำ ใต้น้ำ ของแม่น้ำ ลำคลอง บึง
อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ำไทย
หรือบนชายหาดของทะเล และห้ามขุดลอก แก้ไข หรือทำด้วยประการใด ๆ
อันเป็นการเปลี่ยนแปลงร่องน้ำทางเดิน ลำคลอง ทะเลสาบ
และทะเลภายในน่านน้ำไทยเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่า ดังนั้น การดำเนินการใด
ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือบนชายหาดของทะเล
ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช
๒๔๕๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าเมื่อร่างกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับแล้ว
ก็ควรจะแก้ไขปรับปรุงร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว
เพื่อยกเลิกมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในส่วนที่มีความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกับมาตรการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งตามร่างกฎกระทรวงนี้ต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรจัดทำแผนปฏิบัติการสำหรับทำความเข้าใจกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ให้ชัดเจน ทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลปากคลอง อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
79 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงมหาดไทย) | มท. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
จำนวน ๗ คณะ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการพิจารณาตั้งกิ่งอำเภอและอำเภอ ๒. คณะกรรมการอำนวยการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเศรษฐกิจแบบพอเพียงเฉลิมพระเกียรติ ๓. คณะกรรมการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทราย ๔. คคณะกรรมการพิจารณาให้สัญชาติไทยและให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย ๕. คณะกรรมการพิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด
อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ๖. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย
คณะที่ ๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
80 | รายงานผลการเดินทางเยือนเมืองเซินเจิ้น-เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนเมืองเซินเจิ้น-เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่
๘-๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรมฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ได้เดินทางเยือนเมืองเซินเจิ้น-ฮ่องกง
ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ เพื่อสร้างสัมพันธ์ทางการค้ากับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจีนในเมืองเซินเจิ้น-ฮ่องกง
และรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
ซึ่งทรงเป็นองค์ประธานพิธีเปิดงาน Thai
Night ในงาน FILMART 2024 พร้อมทั้งส่งเสริมการส่งออกสินค้า
และ Soft Power ของรัฐบาลไทย รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
เช่น (๑) พบหารือกับผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชน เพื่อแสวงหาลู่ทางและขยายความร่วมมือการค้าการลงทุน
(๒) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางการค้า (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง และ
(๓) การเข้าร่วมพิธีเปิดเทศกาลอาหารไทย (Thai Food Festival) พร้อมเยี่ยมชมการเรียนการสอนอาหารไทยและร่วมสาธิตการทำอาหารไทย เป็นต้น ๒.
กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนวทางการดำเนินงานต่อไป
โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะดำเนินการจัดโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ข้าวไทย
สินค้าอาหารไทย และธุรกิจบริการอาหารไทย
กิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียง
กิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอาหารและธุรกิจ Thai
SELECT และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญในฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง
|