ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 6 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 113 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าเดินทางและค่าธรรมเนียมสำหรับการเดินทางไปตรวจเรือนอกสถานที่ราชการ พ.ศ. .... | คค. | 12/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าเดินทางและค่าธรรมเนียมสำหรับการเดินทางไปตรวจเรือนอกสถานที่ราชการ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าเดินทางและค่าธรรมเนียมสำหรับการเดินทางไปตรวจเรือนอกสถานที่ราชการไม่ว่าในหรือนอกเวลาราชการของเจ้าพนักงานตรวจเรือ
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
เช่น อัตราค่าเดินทางไปตรวจเรือนอกสถานที่ราชการ ได้แก่ รายการค่าเบี้ยเลี้ยง รายการค่าเช่าที่พัก
และรายการค่าพาหนะ ต้องกำหนดให้สอดคล้องกับอัตราตามระเบียบของทางราชการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | รายงานสถานะของหนี้สาธารณะตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะของหนี้สาธารณะตามมาตรา
๓๕ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ณ
วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๗ โดยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๗ มีจำนวน
๑๑,๗๒๘,๑๔๙.๐๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๔.๐๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic
Product : GDP) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง ๙,๗๘๑,๘๓๓.๕๙ ล้านบาท
หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(FIDF) ๕๘๓,๖๒๗.๐๐ ล้านบาท
หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน ๑,๐๖๐,๗๓๙.๔๘ ล้านบาท
หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินโดยมีรัฐบาลค้ำประกัน ๑๘๙,๒๕๔.๘๙ ล้านบาท
และหนี้หน่วยงานของรัฐ ๑๑๒,๖๙๔.๑๐ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบที่จะต้องส่งให้แก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดกลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลุูกจ้างออกงานหรือตาย พ.ศ. .... | รง. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. ....
ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบที่จะต้องส่งให้แก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดกลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกงานหรือตาย
พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
เกี่ยวกับการดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้าง
รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อเป็นทางเลือกให้นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับการยกเว้นให้ลูกจ้างไม่ต้องเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
โดยให้แก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับดังกล่าว
ในส่วนของวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและวันใช้บังคบให้เป็นไปตามข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี
ดังนี้
๑.๑ แก้ไขวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบฯ
ในร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... จาก “ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป” เป็น
“ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป”
๑.๒
แก้ไขวันใช้บังคับร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... จาก “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” เป็น “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป”
โดยกำหนดอัตราเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างที่แต่ละฝ่ายจะต้องนำส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ดังนี้ ๑.๒.๑ จาก “ตั้งแต่วันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๗๓” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๗๓” ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย)
ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ ๐.๒๕ ของค่าจ้าง ๑.๒.๒ จาก “ตั้งแต่วันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๗๓ เป็นต้นไป” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๗๓ เป็นต้นไป”
ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ ๐.๕ ของค่าจ้าง
๑.๓
แก้ไขวันใช้บังคับร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย
พ.ศ. .... จาก “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” เป็น “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
ในระยะยาวควรพิจารณาผลกระทบและภาระที่จะเกิดขึ้นกับลูกจ้างและนายจ้างที่ต้องจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้าทั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและกองทุนประกันสังคม
และควรบริหารกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้มีประสิทธิภาพ ทั้งแนวทางการจัดหารายได้
การบริหารความเสี่ยงกองทุนเพื่อให้กองทุนมีความยั่งยืนในระยะยาว (๒)
ควรคำนึงถึงภาระทางการเงินของนายจ้างที่จะเพิ่มขึ้น
และในกรณีลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
และลูกจ้างมิได้กำหนดบุคคลจะพึงได้รับเงินสะสมและเงินสมทบไว้
ให้เงินสะสมและเงินสมทบ
รวมทั้งดอกผลตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ที่กำหนดให้จ่ายเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้แก่บุตร สามี ภรรยา บิดา มารดา
ที่มีชีวิตอยู่คนละส่วนเท่า ๆ กัน (๓) ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้
รวม ๓ ฉบับ ไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐ แต่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อลูกจ้างและนายจ้างซึ่งอาจมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น
เพราะต้องส่งเงินสมทบและเงินสะสมเข้าทั้งกองทุนประกันสังคม และ/หรือกองทุนอื่นๆ
แล้ว รวมถึงส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจมีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการ
ดังนั้น จึงควรศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และ (๔)
ควรจัดทำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นในส่วนของการปรับปรุงหรือไม่ปรับปรุงร่างกฎหมายตามผลการรับฟังความคิดเห็น
พร้อมเหตุผล
รวมถึงชี้แจงให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจถึงการกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาศึกษากลไกในการช่วยเหลือและออมเงินของลูกจ้างที่เหมาะสมในระหว่างที่กฎหมายในเรื่องนี้ยังไม่มีผลใช้บังคับ
ว่าควรมีกลไกหลักเพียงกองทุนเดียวดังเช่นในต่างประเทศ อาทิ
ประเทศสิงคโปร์ที่มีกองทุน Central Provident Fund (CPF) เป็นกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว
หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันมีกองทุนเกี่ยวกับลูกจ้าง ๓ กองทุน ได้แก่
กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
จึงอาจเป็นภาระสำหรับลูกจ้างและนายจ้างในการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ
ตามข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี และให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓
เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | รายงานผลการดำเนินคดี (แจ้งผลคำสั่งศาลปกครองสูงสุด) ในคดีหมายเลขดำที่ อ. 54/2564 คดีหมายเลขแดงที่ อ.5/2567 ระหว่าง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ร้อง กับ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ผู้คัดค้าน | นร.01 | 22/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งศาลปกครองสูงสุดคดีหมายเลขดำที่ อ. ๕๔/๒๕๖๔
คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๕/๒๕๖๗ ระหว่าง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ร้อง กับ
บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ผู้คัดค้าน ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนการพิจารณาที่ให้ส่งสำเนาคำอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ให้คู่กรณีในอุทธรณ์จัดทำคำแก้อุทธรณ์
รวมทั้งกระบวนการพิจารณาที่ได้ดำเนินการทั้งหมดตามข้อ ๗ วรรคหนึ่ง
แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ และมีคำสั่งยกอุทธรณ์สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ร้อง
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการส่งข้อมูลการอุดมศึกษาและการอื่นที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. .... | อว. | 15/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการส่งข้อมูลการอุดมศึกษาและการอื่นที่เกี่ยวข้อง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และระยะเวลาที่หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานและหน่วยงานภาคเอกชนตามลักษณะที่สภานโยบายการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติประกาศกำหนดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการอุดมศึกษาและการอื่นที่เกี่ยวข้องให้แก่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตามที่ได้รับการร้องขอ เพื่อให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีข้อมูลครบถ้วนในการจัดทำฐานข้อมูลการอุดมศึกษา
การวิจัยและนวัตกรรม นำไปสู่การพัฒนาการจัดการอุดมศึกษาและพัฒนาบุคลากรของประเทศต่อไป
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และข้อมูลเพิ่มเติมที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เห็นว่ากฎกระทรวงเป็นอนุบัญญัติซึ่งอาศัยกฎหมายแม่บทให้ฝ่ายบริหารกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมจากที่กฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้เท่านั้น
ดังนั้น
ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจึงไม่อาจกำหนดมาตรการบังคับและบทกำหนดโทษสำหรับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานภาคเอกชนตามร่างข้อ
๑๑ ได้ ประกอบกับกรณีดังกล่าวได้มีการกำหนดไว้แล้วในมาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เห็นว่าพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทกำหนดให้เป็นอำนาจของกระทรวงเท่านั้นที่สามารถร้องขอให้หน่วยงานฯ
ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการอุดมศึกษาและการอื่น
หากแต่ในร่างกฎกระทรวงนี้ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ให้หน้าที่และอำนาจแก่สำนักงานปลัดกระทรวง
(ฐานะเป็นกรม) สามารถร้องขอข้อมูล
และสามารถออกหนังสือเตือนหัวหน้าหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานภาคเอกชนที่จัดส่งข้อมูลไม่ถูกต้อง
ไม่ครบถ้วน หรือไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ อีกทั้งหากหน่วยงานฯ
ไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางปกครองอีกด้วย
จึงมีข้อสังเกตว่าการกำหนดในลักษณะดังกล่าวจะขัดแย้งกับกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจหรือไม่ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. เห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และระยะเวลาการส่งข้อมูล (ร่างข้อ ๕) ควรระบุรายการข้อมูลที่ต้องการให้ชัดเจน การจัดส่งข้อมูล
(ร่างข้อ ๖) ควรกำหนดนิยามรูปแบบ ขนาด ประเภท รายการข้อมูล คำอธิบายข้อมูล (Metadata) พจนานุกรมข้อมูล
(Data Dictionary) และบัญชีรายชื่อข้อมูล (Data
Catalog) รอบระยะเวลาการจัดส่งข้อมูลที่สอดคล้องกับการจัดเก็บข้อมูล
และการจัดหาแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่ฐานข้อมูลการอุดมศึกษา (ร่างข้อ ๙)
ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มาตรฐานข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์
มาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนข้อมูล รูปแบบข้อมูล
การจัดเก็บรักษาข้อมูลตามมาตรฐานสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ. .... | คค. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางราง พ.ศ.
.... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางรางของประเทศเพื่อควบคุมและกำกับดูแลกิจการขนส่งทางรางให้สามารถยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมขนส่งทางรางและการบริหารจัดการการขนส่งทางรางอย่างเป็นระบบ
สอดคล้องกับการพัฒนาการขนส่งรูปแบบอื่น ๆ ให้เป็นโครงข่ายเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการบังคับใช้กฎหมายที่จะเกิดขึ้นในระยะ
๓ ปีแรก จำนวน ๔๒๗,๘๘๓,๔๒๘ บาท ซึ่งอาจส่งผลต่อภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ควรให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางรางเตรียมความพร้อมให้ครบถ้วนในทุกมิติ
โดยคำนึงถึงภารกิจความจำเป็น ความสามารถในการดำเนินงาน ความคุ้มค่าของค่าใช้จ่าย
ความครอบคลุมของแหล่งเงินอื่นนอกเหนือจากงบประมาณ และจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นอย่างประหยัดในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณากำหนดแนวทางการบูรณาการยุทธศาสตร์/แนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
ตลอดจนการกำกับดูแลกิจการที่เกี่ยวกับการขนส่งทั้งทางถนน ทางอากาศ ทางราง
และทางน้ำ เพื่อให้เกิดการขนส่งเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ และให้กรมการขนส่งทางรางพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกฎหมายลำดับรอง
โดยในเบื้องต้นควรเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มบทบาทของเอกชนในกิจการระบบขนส่งทางรางเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกระบบรางได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ร่างแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมระดับผู้นำกลุ่มพันธมิตรเอเชียเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ครั้งที่ 2 [The 2nd Asia Zero Emission Community (AZEC) Leaders Meeting] | พน. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIEC) ระยะที่ 3.1 (ภายใต้โครงการ TIEC ระยะที่ 3) | พน. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง
ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๓.๑ วงเงินลงทุน
๓๘,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๒๑๔๔
ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด
ๆ ในเขตพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม
มีมาตรการรองรับในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน โดยพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผน
เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินในอนาคต รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ขอทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 | มท. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน
ปี ๒๕๖๗ และให้ใช้แทนหลักเกณฑ์เดิมที่คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ ๑๗
กันยายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ
เห็นควรเร่งดำเนินการตรวจสอบกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยอย่างชัดเจน
ครอบคลุมในทุกพื้นที่ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4027 สายท่าเรือ - เมืองใหม่ ตอน บ้านเมืองใหม่ - ทางแยกเข้าสนามบินภูเก็ต ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต | คค. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
ดังนี้ ๑) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕
ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง
การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) ๒) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ)
๓) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และ ๔) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน
เนื้อที่ ๐-๒-๑๗ ไร่ สำหรับโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗ สายท่าเรือ - เมืองใหม่
ตอน บ้านเมืองใหม่ - ทางแยกเข้าสนามบินภูเก็ต ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง
จังหวัดภูเก็ต ของกรมทางหลวง (โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๐๒๗)
เพื่อให้สามารถดำเนินการในขั้นตอนการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและดำเนินงานโครงการก่อสร้างตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นสำหรับการดำเนินการปลูกป่าทดแทนและบำรุงป่า
เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง การดำเนินการโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า
ให้ได้ข้อยุติก่อน หากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการปลูกป่าทดแทนและบำรุงรักษาป่าดังกล่าว
ให้หน่วยงานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการสำรวจและคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการตามระเบียบฯ
ก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
(นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 32 และร่างเอกสารผลลัพธ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พม. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | เอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 3 ที่กรุงโดฮา | กต. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการรับรองร่างปฏิญญาโดฮา (Doha Declaration) ว่าด้วยการทูตผ่านกีฬา
: (Sports Diplomacy) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย
(Asia Cooperation Dialogue Summit : ACD Summit) ครั้งที่ ๓ ที่กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ
ในที่ประชุมระดับผู้นำ ACD ครั้งที่ ๓ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในระดับผู้นำของประเทศสมาชิกACD
ในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการทูตผ่านกีฬา เพื่อส่งเสริม ACD ให้เป็นเวทีหารือและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความท้าทายและการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์อย่างสร้างสรรค์ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ก้าวข้ามการเมืองและยอมรับความแตกต่าง
การเน้นย้ำบทบาท และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและพัฒนาสภาพแวดล้อมทางการเงินและการค้า
รวมถึงความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานของระบบคมนาคมและดิจิทัล
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | การมอบหมายให้กรมท่าอากาศยานมอบความรับผิดชอบการบริหารท่าอากาศยานตากให้กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร | คค. | 01/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้กรมท่าอากาศยานมอบความรับผิดชอบการบริหารท่าอากาศยานตากให้กับกรมฝนหลวงและการบินเกษตรตามนัยข้อ
๑ (๔) แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบข้อ
๑ (๕) แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อนกรมท่าอากาศยาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
และกรมธนารักษ์ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมท่าอากาศยาน)
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมฝนหลวงและการบินเกษตร) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงาน ก.พ. รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงมหาดไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและค่าบริหารจัดการท่าอากาศยานตากที่จะเกิดขึ้นให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และ/หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายประมาณ โดยคำนึงถึงภารกิจ
ความคุ้มค่า ประหยัด ความจำเป็นและเหมาะสม ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป สำนักงาน ก.พ. เห็นว่ากรมท่าอากาศยานควรกำหนดแผนการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ปฏิบัติงานในท่าอากาศยานตาก
เพื่อรองรับการดำเนินการตามแนวทางการมอบความรับผิดชอบการบริหารท่าอากาศยานดังกล่าว
โดยต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ
และระเบียบที่เกี่ยวข้องตามประเภทของบุคลากรด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพังงา-ภูเก็ต | มท. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคดำเนินโครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย
การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพังงา-ภูเก็ต จากวงเงินรวมเดิม ๓,๘๗๐.๙๐๘ ล้านบาท ปรับเพิ่มเป็น ๕,๒๙๔.๔๙๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
โดยในส่วนของการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค)
ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๔/๓๕๘๕ ลงวันที่
๔ มีนาคม ๒๕๖๗) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ นร ๑๑๐๖/๐๒๑ ลงวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับแผนแม่บทการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียของการประปาส่วนภูมิภาค
ปี ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานของ การประปาส่วนภูมิภาค
ส่วนโครงการลงทุนต่าง ๆ การประปาส่วนภูมิภาคควรกำกับติดตามการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแผนงานการดำเนินงานที่กำหนดไว้
รวมถึงเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | มาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม 2567 | มท. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย
สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม ๒๕๖๗
และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ไปดำเนินการต่อไป ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก และการดำเนินมาตรการดังกล่าวจะต้องกระทำเท่าที่จำเป็น
และไม่ซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลือจากภาครัฐในลักษณะประเภทเดียวกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 799.90 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ของกรมทางหลวง | คค. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๗๙๙.๙๐
ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ของกรมทางหลวง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณและการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
สำหรับความเหมาะสมของกรอบวงเงินและแหล่งเงินให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | การขอขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ | พน. | 17/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปสองปี
จนถึงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๙ และร่างประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และมาตรการเพื่อลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. รับทราบแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพในช่วงปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๖๙ ของกระทรวงพลังงาน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้กระทรวงพลังงาน
คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงพลังงานหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาอุปทานส่วนเกินของเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืน
โดยการต่อยอดอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ การเพิ่มมูลค่าสินค้า และประยุกต์กับอุตสาหกรรมอื่น
ๆ นอกจากนี้
เห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงพิจารณาแนวทางการปรับปรุงกลไกการบริหารราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในระยะต่อไป
ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานสีเขียวผ่านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า
(EV) เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและการยกเว้นค่าธรรมเนียม ใบอนุญาตโฆษณายาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ และค่าธรรมเนียมที่เจ้าหน้าที่ได้ให้บริการตาม (17) (18) (19) (20) และ (21) ในอัตราค่าธรรมเนียมท้ายประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... | สธ. | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตโฆษณายาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์
และค่าธรรมเนียมที่เจ้าหน้าที่ได้ให้บริการตาม (๑๗) (๑๘) (๑๙) (๒๐) และ (๒๑)
ในอัตราค่าธรรมเนียมท้ายประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมและการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตโฆษณายาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์
ตาม (๑๑) และค่าธรรมเนียมที่เจ้าหน้าที่ได้ให้บริการตาม (๑๗) (๑๘) (๑๙) (๒๐) และ
(๒๑) ได้แก่ ค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ
หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ค่าคำขออนุญาตหรือคำขออื่น ๆ ค่าประเมินเอกสารทางวิชาการ ค่าตรวจสถานประกอบการ
และค่าดำเนินการอื่น ๆ ให้เป็นไปตามอัตราค่าธรรมเนียมท้ายประมวลกฎหมายยาเสพติด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เห็นสมควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง
และแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินงานทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกสิ้นปีงบประมาณ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | ร่างปฏิญญาอัสตานาระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความครอบคลุมและการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก | ดศ. | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาอัสตานาระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความครอบคลุมและการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ร่วมรับรองร่างปฏิญญาอัสตานาระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความครอบคลุมและการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก
ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความครอบคลุมและการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก โดยร่างปฏิญญาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเอกสารการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อยกระดับด้านความเท่าเทียมและการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก โดยระบุถึงการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
(ICT) และดิจิทัล
เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก โดยมุ่งเน้นการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในทุกกลุ่ม
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล และกระตุ้นการเติบโตที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
ผ่านการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การยกระดับความเชื่อมโยงทางดิจิทัล
การสร้างความเชื่อมั่นด้านดิจิทัล และการใช้เทคโนโลยี ICT เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การส่งเสริมเกี่ยวกับดิจิทัลโซลูชั่นและนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงการสร้างองค์ความรู้
และให้ความช่วยเหลือเชิงนโยบายและเชิงเทคนิค โดยคำนึงถึงโอกาส ความเสี่ยง
และความท้าทายในทุกมิติ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลที่สมดุลและยั่งยืน
เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณากำหนดกลไกการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือแนวทางการพัฒนาดิจิทัลของประเทศต่าง
ๆ ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
และภาคประชาชน โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง
ซึ่งรวมถึงประชาชนเพศหญิงและกลุ่มคนเปราะบาง
เพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัลและเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|