ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1048 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 20941 - 20960 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20941 | การร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมเชิงปฎิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ ระหว่างวันที่ 4 - 5 เมษายน 2559 | กต | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศตอบรับการเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายคณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรับข้อตกลงการเป็นประเทศเจ้าภาพ (Host Country Agreement) สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรรายงานผลการประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อให้มีการพิจารณาศึกษาผลกระทบทั้งด้านกฎหมาย ความมั่นคง การค้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งจากการละเมิดสนธิสัญญา รวมทั้งไม่ให้เกิดพันธกรณีที่ทำให้ประเทศสูญเสียผลประโยชน์จากการให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
20942 | การนำเข้าหัวพันธุ์มันฝรั่ง หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามพันธกรณีความตกลงระหว่างประเทศ ปี 2559 | กษ | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเปิดตลาดหัวพันธุ์มันฝรั่ง ตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก (WTO) ปี ๒๕๕๙ ไม่จำกัดจำนวน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ (ตามข้อผูกพันร้อยละ ๒๗) และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ โดยให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด และให้การนำเข้ามีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ๑.๒ การเปิดตลาดหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามข้อผูกพัน WTO ปี ๒๕๕๙ ปริมาณในโควตา ๔๕,๐๐๐ ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๒๗ และนอกโควตาร้อยละ ๑๒๕ โดยให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพัฒนาและขยายพันธุ์มันฝรั่งเพื่อจัดสรรให้กับเกษตรกร และถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการแปลงมันฝรั่ง รวมทั้งวิธีป้องกันโรคและการลดการสะสมของโรคในมันฝรั่งให้กับเกษตรกร ตลอดจนร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสำรวจพื้นที่เพาะปลูกมันฝรั่งให้บ่อยครั้งมากขึ้น เพื่อเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการและส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งเพื่อทดแทนการนำเข้าในพื้นที่ที่เหมาะสมให้มากขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
20943 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญา CITES ครั้งที่ 66 (SC66) และแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | ทส | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปประเด็นสำคัญในวาระการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ครั้งที่ ๖๖ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติให้ประเทศในกลุ่ม Primary Concern ซึ่งรวมถึงประเทศไทยเสนอรายงานเพิ่มเติมวิธีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ การดำเนินการในกิจกรรมหรือประเด็นใหม่ ๆ หรือการพัฒนานโยบายในการต่อต้านการล่าช้างและค้างาช้างผิดกฎหมายไปยังสำนักเลขาธิการ CITES ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒.๑ ให้กรมการปกครองเร่งรัดการแก้ไขพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. ๒๔๘๒ ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการควบคุมช้างบ้านและป้องกันมิให้นำช้างที่ผิดกฎหมายมาจดทะเบียนเป็นช้างบ้าน ๑.๒.๒ ให้กรมการปกครองร่วมกับกรมปศุสัตว์และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เร่งรัดดำเนินการรวบรวมข้อมูล DNA ของช้างบ้านทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาความเหมาะสมในการควบคุมการครอบครองสัตว์ในบัญชี CITES ที่เป็นสัตว์ต่างถิ่น (Non-native species) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา CITES และกำหนดมาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการควบคุม กำกับ ดูแลสวนสัตว์สาธารณะและสถานเพาะพันธุ์สัตว์ป่าที่มีสัตว์ตระกูลแมวใหญ่ของเอเชีย เพื่อมิให้มีการนำสัตว์ดังกล่าวเข้าสู่การค้าระหว่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ๑.๓ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการค้าและการครอบครองช้างไทยในประเทศ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ๖ หมวดกิจกรรม ได้แก่ (๑) การออกระเบียบและกฎหมาย (๒) การพัฒนา/ปรับปรุงระบบทะเบียนข้อมูล (๓) การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย (๔) การศึกษาวิจัยและเสริมสร้างศักยภาพ (๕) การประชาสัมพันธ์ และ (๖) การติดตามและประเมินผล ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมให้กรมศุลกากรเป็นหนึ่งในหน่วยงานรับผิดชอบในกิจกรรมพิจารณาทบทวนเส้นทางการลักลอบนำเข้า-ส่งออกงาช้างจากข้อมูล ETIS (The Elephant Trade Information System) และให้ความสำคัญในเรื่องประเด็นม้าน้ำ รวมถึงดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการด้านสัตว์ (Animals Committee : AC) อย่างจริงจัง และรายงานต่อสำนักเลขาธิการ CITES ทราบเป็นระยะ ๆ ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารอนุสัญญาฯ (Standing Committee : SC) ครั้งที่ ๖๗ รวมทั้งควรมีการดำเนินการในเรื่องงาช้างอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการกับสัตว์ต่างถิ่นชนิดพันธุ์อื่น ๆ โดยให้มีการออกแบบการจัดการทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
20944 | ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการดังกล่าวตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) ๑.๒ อนุมัติให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในรูปแบบ PPP Next Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการ โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรวมเป็นเวลา ๓๓ ปี ๓ เดือน (ระยะเวลาการก่อสร้าง ๓ ปี ๓ เดือน และระยะเวลาเดินรถ ๓๐ ปี) และเอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสารของโครงการ (Ridership Risk) ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี ๒๕๕๖ โดยเคร่งครัดต่อไป ๑.๓ อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ในกรอบวงเงินรวมจำนวน ๖,๘๔๗ ล้านบาท และ ๖,๐๑๓ ล้านบาท ตามลำดับ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริงต่อไป ๑.๔ อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนแก่เอกชนเป็นเงินสนับสนุนค่างานโยธา ในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๑๓๕ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และไม่เกิน ๒๒,๓๕๔ ล้านบาท สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ที่เป็นมูลค่าปัจจุบันตามที่ตกลงในสัญญาสัมปทาน โดยทยอยจ่ายให้เอกชนหลังจากเริ่มเปิดเดินรถแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ทั้งนี้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณร่วมพิจารณาแหล่งเงินและรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนต่อไป ๑.๕ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและ รฟม. รับไปดำเนินการ (๑) กำกับดูแลให้โครงการรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ สามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนงานเพื่อลดความเสี่ยงด้านปริมาณผู้โดยสาร และพิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งเร่งดำเนินการใช้ระบบตั๋วร่วมและการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมในภาพรวม ทั้งในระบบรถไฟฟ้าและระบบขนส่งมวลชนรูปแบบอื่น ตลอดจนเร่งรัดการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารสาธารณะให้สอดคล้องกับเส้นทางและระยะเวลาการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว (๒) พิจารณารูปแบบลักษณะการจ่ายเงินสนับสนุนแก่เอกชนที่สามารถส่งเสริมการประเมินผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัด (KPI) ของโครงการ เพื่อให้เอกชนเกิดแรงจูงใจในการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และเมื่อเอกชนมีผลประกอบการเกินกว่าระดับที่ตกลงกันแล้ว ก็ควรพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดส่วนแบ่งรายได้จากผลประกอบการที่ดีขึ้นด้วย (๓) เร่งจัดทำแผนการดำเนินโครงการในรายละเอียดที่ชัดเจน โดยเฉพาะแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และพิจารณาวงเงินขอรับจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เพียงพอและสอดคล้องกับขั้นตอน/ระยะเวลาการดำเนินโครงการ รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยและ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าให้สามารถรองรับการขยายตัวของเมืองได้มากขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการรับความเสี่ยง และการกำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการประมูลโครงการ การแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้า โดยมีองค์ประกอบเป็นผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุน เสนอแนะ และให้ข้อคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาในเชิงบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของ รฟม. การกำหนดผลตอบแทนจากการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงินในปัจจุบัน และพิจารณากรอบวงเงินสนับสนุนให้แก่เอกชนผู้เข้าร่วมดำเนินโครงการให้อยู่บนหลักการที่ภาคเอกชนต้องมีส่วนรับผิดชอบค่าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดให้ส่วนแบ่งรายได้ให้แก่ภาครัฐในอัตราที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไขของสัญญาที่มีบทปรับที่สะท้อนถึงมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในกรณีที่ภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. กำกับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเริ่มการประมูลได้ตามกำหนดเวลา โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามขั้นตอนการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกำหนดเวลาตามมาตรการ PPP Fast Track เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการศึกษา และวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบและครบถ้วน |
||||||||||||||||||
20945 | ร่างพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. .... | รง | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศไทย เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานและป้องกันมิให้มีการลักลอบการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
๑. ข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ๑.๑ การตราเป็นพระราชกำหนดต้องเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน จึงควรพิจารณาความเหมาะสมของรูปแบบในการตรากฎหมายด้วย ๑.๒ ร่างมาตรา ๘ เป็นการให้อำนาจอย่างกว้างขวางในการยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้และกฎหมายอื่นอีก ๕ ฉบับ จึงควรกำหนดความชัดเจนว่ากรณีใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่องที่จะยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้และกฎหมายอื่นด้วย ๑.๓ ควรพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น กฎหมายว่าด้วยการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานและกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว ๑.๔ หากมีประเด็นใดที่มีความจำเป็นรีบด่วนควรใช้อำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพื่อดำเนินการไปพลางก่อนได้ ๒. ความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า การกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศ ต้องมีทุนเป็นของผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยไม่น้อยกว่า ๓ ใน ๔ ของจำนวนทุนทั้งหมด ตามมาตรา ๑๑ ของร่างพระราชกำหนดฯ ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีและแนวทางการเปิดเสรีการค้าบริการของไทยภายใต้กรอบอาเซียน และ FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่น ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (RCEP) โดยพันธกรณีของไทยที่ได้ผูกพันไว้แล้ว ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการบริการของอาเซียน เปิดให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึงร้อยละ ๔๙ ซึ่งพันธกรณีดังกล่าวของไทย ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจากรัฐสภาแล้ว เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ทั้งนี้ ในการเปิดเสรีการค้าบริการในอาเซียน และ FTA ในอนาคต ไทยมีแนวโน้มที่จะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่ต้องเปิดให้ต่างชาติถือหุ้นได้มากกว่าร้อยละ ๔๙ |
||||||||||||||||||
20946 | ร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... | อก | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอถอนร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อนำไปหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยให้ได้ข้อยุติ และเมื่อได้ข้อยุติแล้วให้เสนอคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีว่า ในการดำเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคณะต่าง ๆ ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ให้ชัดเจน โดยให้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นผู้วางกลไก (Regulator) ในการบริหารจัดการพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้บูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เฉพาะมีความสอดคล้องกับศักยภาพแต่ละพื้นที่ภายใต้หลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลักความโปร่งใส และหลักการการมีส่วนร่วมของประชาชน และเพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น
|
||||||||||||||||||
20947 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพยาบาล สภากาชาดไทย พ.ศ. .... | ศธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพยาบาล สภากาชาดไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกฐานะของวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทยมาจัดตั้งเป็นสถาบันการพยาบาล สภากาชาดไทย เพื่อยกระดับการบริหารการศึกษาของวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทยให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางที่สามารถประสาทปริญญาบัตรได้ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับร่างมาตรา ๑๕ วรรคห้า และวรรคหก ออก กรณีรายได้ไม่เพียงพอ หรือรัฐบาลได้ปรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ค่าตอบแทน หรือสิทธิประโยชน์อื่นใดให้ข้าราชการ ให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้สถาบัน เนื่องจากในกรณีที่รายได้มีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของสถาบันในระหว่างปีงบประมาณ สถาบันก็สามารถขอรับการจัดสรรงบประมาณหรือเงินรายได้ผ่านสภากาชาดไทยตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมายวิธีการงบประมาณได้อยู่แล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||
20948 | แผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (พ.ศ. 2557 - 2560) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. 2560) แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร12 | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนพัฒนาจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน ๑๘ กลุ่มจังหวัด (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) ฉบับทบทวนใหม่ (รอบปี พ.ศ. ๒๕๖๐) ๑.๒ แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๗๖ จังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒. ในส่วนโครงการของกระทรวง กรม และโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของโครงการเพื่อเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดพิจารณานำแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยใช้ “ห่วงโซ่คุณค่า” มาเป็นกรอบในการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยอาจปรับลำดับโครงการที่อยู่ในส่วนเห็นชอบสนับสนุนภายในกรอบวงเงิน และเห็นชอบสนับสนุนเกินกรอบวงเงินให้สอดคล้องตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีภายใต้กรอบวงเงินเดิมได้ อย่างไรก็ตามจังหวัดและกลุ่มจังหวัดควรให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการตามแผน ให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกระทรวง กรม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาในเชิงพื้นที่ โดยพิจารณาจัดทำคำของบประมาณโครงการที่สอดคล้องกับศักยภาพและโอกาสการพัฒนาของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
20949 | โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. 2559 - 2572) | ศธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๗๒) โดยเป็นการนำร่องการผลิตครูระบบจำกัดรับ (ระบบปิด) ในสาขาวิชาและพื้นที่ที่เป็นความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครู ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรุงเทพมหานคร และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยดึงดูดคนดี คนเก่งเข้ามาศึกษาวิชาชีพครู ด้วยหลักสูตรและกระบวนการที่เน้นการปฏิบัติและการฝึกอบรมที่เข้มข้น และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูในภูมิลำเนาของตนเอง มีเป้าหมายรวมตลอดโครงการจำนวนรวมทั้งสิ้น ๔๘,๓๗๔ คน ทั้งนี้ อัตราที่บรรจุเป็นข้าราชการครูดังกล่าวเป็นอัตราเกษียณอายุราชการของแต่ละหน่วยงานระหว่างปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ (มิใช่อัตราตั้งใหม่) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเฉพาะในระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ส่วนงบประมาณดำเนินการ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสาขาวิชาที่ผลิตโดยเฉพาะสาขาวิชาชีพที่ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังคนของประเทศและนโยบายด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศในอนาคต (S-curve) รวมทั้งพื้นที่ในการบรรจุข้าราชการครูควรเป็นไปในลักษณะการกระจายไปยังท้องถิ่น มิใช่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองใหญ่ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาเกี่ยวกับการจัดทำแผนการผลิตครูที่สะท้อนถึงความต้องการในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง การจัดทำแนวทาง วิธีการ และตัวชี้วัดโครงการที่สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการที่ชัดเจนทั้งในเรื่องของการกระจายครูในพื้นที่ คุณภาพของครูที่ผลิต การลดความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษาในเชิงพื้นที่ การจัดทำแผนการผลิตครูภาพรวมที่คำนึงถึงสัดส่วนครูต่อนักเรียนที่เหมาะสม ตลอดจนการจัดทำแนวทาง วิธีการ และตัวชี้วัดโครงการที่สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการขอใช้อัตราเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูเพื่อบรรจุนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามหลักเกณฑ์ของโครงการ ให้กระทรวงศึกษาธิการนำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ [ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ส่วนโครงการในระยะที่ ๒ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปบรรจุไว้ในแผนการปฏิรูปการศึกษาที่จะส่งต่อให้รัฐบาลชุดต่อไปรับไปพิจารณาดำเนินการ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับโครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๗๒) มีการให้ทุนการศึกษาแก่ผู้เข้าร่วมโครงการด้วย และเพื่อเป็นการป้องกันกรณีการไม่ชดใช้ทุนการศึกษา จึงควรมีมาตรการป้องกันปัญหาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
20950 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ และผลการทบทวนในเรื่องพื้นที่และแผนการดำเนินการเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 | อก | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการจัดทำแผนหลักการใช้พื้นที่ในภาพรวมทั้งโครงการ (Master Plan and Layout) เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการค่าชดเชยปลูกป่า (พื้นที่ ๑,๒๓๔.๙๘ ไร่) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือเพื่อให้ได้ข้อยุติตามกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณให้ความเห็นไว้เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ (ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๘/๓๘๑ ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนจัดทำแผน/แนวทางการบริหารจัดการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อที่ชัดเจน โดยเฉพาะการดำเนินงานภายหลังจากการลงทุนก่อสร้างในโครงการแล้วเสร็จ โดยมีสาระครอบคลุมด้านโครงสร้างและรูปแบบการบริหารงาน กรอบระยะเวลาดำเนินการ เป้าหมายที่จะลดการพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐในแต่ละปี แหล่งเงินทุนในการดำเนินงาน ระยะเวลาคืนทุนของโครงการ และควรให้ความสำคัญกับการดึงดูดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนรายใหญ่ในการดำเนินโครงการ รวมทั้งการสร้างความร่วมมือในลักษณะบูรณาการเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำแนวทางในการสร้างแรงจูงใจด้านการลงทุนและใช้ประโยชน์ในพื้นที่โครงการหรือบริเวณใกล้เคียงของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งกลุ่มผู้ผลิต OEM และ REM โดยเฉพาะการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งในลักษณะคลัสเตอร์ที่มีความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการด้วยกัน ตลอดจนความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ โดยคำนึงถึงการรองรับการทดสอบยางล้อที่มีส่วนผสมของยางพาราเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการยางพาราของรัฐ ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||
20951 | ขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท) ภายใต้แนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ | กษ | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ภายใต้แนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบต่อไปอีก ๑ ปี โดยให้ดำเนินการภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อเดิม (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) เพื่อให้สอดคล้องกับฤดูการผลิตและรอบปีบัญชีของสถาบันเกษตรกร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ระยะเวลาจ่ายเงินกู้เริ่มตั้งแต่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และกำหนดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ให้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๑๒ เดือน ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตั้งงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่สถาบันเกษตรกร ร้อยละ ๓ จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยในอัตราร้อยละ ๐.๕ เป็นเงิน ๕๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๕๐ ล้านบาท ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ โดยให้ ธ.ก.ส. ตั้งงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายชำระคืนเงินต้น ๑.๓ มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ร่วมกับ ธ.ก.ส. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยและรายละเอียดงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้อัตราการคำนวณเดียวกันกับค่าประกันวินาศภัยโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ในอัตราร้อยละ ๐.๓๖ ภายในกรอบวงเงิน ๓๖ ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจียดจ่ายจากงบประมาณปกติ รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นภายในกรอบวงเงิน ๓๓๖ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายชำระคืนเงินต้น ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรการเสริมต่าง ๆ ของรัฐบาล อาทิ แนวทางการนำยางพาราไปใช้ในการดำเนินโครงการของส่วนราชการ เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวทางการเพิ่มมูลค่าการใช้ยางภายในประเทศอีกทางหนึ่ง และยังมีส่วนช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงของตลาดรับซื้อผลผลิตกับผู้ประกอบการแปรรูปยางภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อให้สถาบันเกษตรกรสามารถระบายยางในสต็อกให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ และสามารถชำระคืนเงินกู้ได้ครบตามกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
20952 | หลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายการที่นำงบประมาณมาจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ. .... เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนในทุกงบรายจ่ายตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ไม่สามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ไม่รวมงบกลาง ๑.๒ รายการที่ไม่นำงบประมาณมาจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ. .... ๑.๒.๑ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนที่เป็นงานดำเนินการเอง ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน งบลงทุนที่มีคุณลักษณะพิเศษต้องใช้เทคโนโลยีหรือข้อเทคนิคพิเศษชั้นสูง หรือต้องจัดหาจากต่างประเทศ รายการที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการขยายระยะเวลา และเงินงบประมาณเหลือจ่าย ๑.๒.๒ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนที่เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ และพิจารณาแล้วว่าจะสามารถลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความต่อเนื่อง และเป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ๑.๒.๓ เป็นรายการในลักษณะงบลงทุนจากการโอนเปลี่ยนแปลงเงินเหลือจ่ายจากรายจ่ายลงทุนหรือรายจ่ายประจำ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ดำเนินการได้โดยต้องลงนามจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๓ ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ได้เสนอแผนการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณพร้อมชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/ว ๖๒ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๙ เรื่อง การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วนั้น สำนักงบประมาณจะนำแผนดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา และหากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นก็จะดึงงบประมาณคืน และจัดทำร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ต่อไป ๑.๔ สำหรับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ให้รวบรวมรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันงบประมาณได้ทันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๒. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||
20953 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร] | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาของมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายได้ ๒ เท่า สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ กำหนดให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ มาหักจากเงินได้พึงประเมินเสมือนเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ เฉพาะค่าบริการหรือค่าที่พักที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยและการแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว รวมทั้งติดตามประเมินผลมาตรการดังกล่าวทั้งที่ได้ดำเนินมาตรการไปแล้วในช่วงก่อนหน้าและมาตรการในครั้งนี้ นอกจากนี้ จัดให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจทราบและเข้าใจสาระสำคัญ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่ชัดเจน รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรการดังกล่าวอย่างทั่วถึงโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
20954 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ [ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร] | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๑.๑.๑ กำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็น (๑) ค่าอาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ภัตตาคาร หรือผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม (๒) ค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบกิจการนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือ (๓) ค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ต้องซื้อสินค้าหรือรับบริการและชำระค่าสินค้าหรือบริการระหว่างวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๙ ถึง ๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ จากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ๑.๑.๒ กำหนดให้ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าหรือรับบริการเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา ๘๖/๔ แห่งประมวลรัษฎากร โดยการซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่รวมถึงการซื้อสุรา เบียร์ และไวน์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ๑.๒ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าบริการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และค่าที่พักในโรงแรมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในระยะ ๑-๒ ปีต่อจากนี้ไปกระทรวงการคลังควรเร่งดำเนินการขยายฐานภาษีโดยอาจพิจารณาใช้มาตรการจูงใจผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีเพิ่มเติมจากที่ดำเนินการส่งเสริมให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีบัญชีเดียว และความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาควบคุมราคาสินค้าให้เหมาะสม และจัดให้มีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบกิจการและประชาชนทราบสาระสำคัญและประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการดังกล่าวโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
20955 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม) | อก | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามมติคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||
20956 | รายงานผลการเดินทางไปลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง และการหารือทวิภาคี ณ ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน | กษ | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเดินทางไปลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง และการหารือทวิภาคี ณ ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง โดยเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจอร์แดน ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จอร์แดนได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการทำฝนหลวงที่มาจากโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำไปใช้แก้ไขและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนชาวจอร์แดนจากปัญหาฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีอายุ ๓ ปี แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ การฝึกอบรม การปฏิบัติการสาธิตโครงการ และจัดหาบริภัณฑ์และเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่จำเป็นให้แก่ฝ่ายจอร์แดน ๒. การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจอร์แดน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจอร์แดน มีข้อสรุปร่วมกันใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันดำเนินงานตามข้อตกลงต่าง ๆ ในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ (๒) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเร่งรัดดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรม (๓) ทั้งสองฝ่ายจะให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกการนำเข้าสินค้าเกษตรระหว่างกันเพิ่มขึ้น และ (๔) ไทยยินดีสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาให้จอร์แดนใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรและประชาชนจอร์แดน ๓. การหารือกับหน่วยงานด้านการเกษตรและภาคเอกชน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือกับผู้บริหารของหน่วยงานด้านการเกษตรและภาคเอกชนจอร์แดน ได้แก่ เอกชนที่ทำธุรกิจเกษตรแบบน้ำหยด เอกชนผู้ทำการเพาะเลี้ยงปลาในโรงเรือน และตลาดกลางสินค้าเกษตร โดยได้ศึกษาเทคโนโลยีความก้าวหน้าการทำการเกษตรแบบน้ำหยด และศึกษาระบบการเพาะเลี้ยงปลาในโรงเรือนที่มีการหมุนเวียนการใช้น้ำและบำบัดน้ำเสียอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการตลาดสินค้าเกษตรของไทย พร้อมทั้งเสนอให้จอร์แดนนำเข้าสินค้าผลไม้จากประเทศไทยมาจำหน่ายยังตลาดดังกล่าว รวมทั้งได้หารือถึงโอกาสในการขยายการค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทยและจอร์แดน โดยจอร์แดนสนใจที่จะนำเข้าสินค้าผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วงจากประเทศไทย
|
||||||||||||||||||
20957 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
20958 | รายงานผลการจัดงาน "ตลาดวัฒนธรรม ทุนวัฒนธรรมสร้างชาติ ตลาดวัฒนธรรมสร้างสุข" | วธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินงาน “ตลาดวัฒนธรรม ทุนวัฒนธรรมสร้างชาติ ตลาดวัฒนธรรมสร้างสุข” ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ระหว่างวันที่ ๑-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม โดยรูปแบบของตลาดได้จัดให้สอดคล้องกับเทศกาลสำคัญ ได้แก่ ตลาดมั่งมีศรีสุข ตลาดสร้างรัก ตลาดสร้างสุข และตลาดสร้างบุญ โดยนำผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ และหน่วยงานในสังกัดมาร่วมจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม จำนวน ๕๑๙ ร้าน มียอดผู้เข้าชมงาน จำนวน ๑๕๒,๗๘๖ คน มียอดรายได้ จำนวน ๒๖,๒๗๘,๑๙๒ บาท และมียอดสั่งซื้อ จำนวน ๑๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๘,๔๗๘,๑๙๒ บาท ซึ่งผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารมากที่สุด รองลงมา คือ เครื่องดื่ม ผ้า เครื่องประดับ ตามลำดับ และเพื่อขยายผลการจัดงานกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมเสริม ดังนี้
๑. นำคณะนักศึกษาอาสาสมัครจากประเทศออสเตรเลียกว่า ๔๐ คน ชมการแสดงและเลือกซื้อสินค้า ๒. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมนำคณะทูตานุทูตและผู้แทน ๑๕ ประเทศ เยี่ยมชมสินค้าทางวัฒนธรรมและการแสดงทางวัฒนธรรม ๓. จัดเสวนาทางวิชาการ “เรื่อง แนวทางการจัดตลาดทางวัฒนธรรม” ให้กับวัฒนธรรมจังหวัดและเครือข่ายชุมชนวัฒนธรรม ๔. การต่อยอดและจับคู่ธุรกิจของร้านค้า
|
||||||||||||||||||
20959 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานขององค์การโทรคมนาคมทางดาวเทียมระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||
20960 | โครงการสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์สู้ภัยแล้ง | พน | 29/03/2559 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรายงานเกี่ยวกับโครงการสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์สู้ภัยแล้ง โดยกระทรวงพลังงาน (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) ได้ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับวิสาหกิจชุมชนการเกษตรนอกเขตชลประทาน ซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าระดับครัวเรือนหรือชุมชนที่สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบ ทดแทนการใช้เครื่องสูบน้ำที่ใช้น้ำมันเบนซิน ซึ่งมีราคาแพง โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้เริ่มดำเนินการร่วมกับชุมชนในพื้นที่ชุมชนต้นแบบอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี พัฒนาระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อสูบน้ำจากแหล่งน้ำผิวดิน และแบบบ่อลึกหรือแหล่งน้ำบาดาลมาเก็บไว้ในถังเก็บน้ำของชุมชน สำหรับใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร นอกจากนี้ ยังได้นำร่องโครงการต้นแบบด้วยการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทานอีก ๖ แห่ง ในจังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา นครสวรรค์ และอำนาจเจริญ และวางแผนจะขยายโครงการไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้งอื่นทั่วประเทศในปี ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาจัดหาเครื่องสูบน้ำขนาดเล็กด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งโดยให้สอดคล้องกับพื้นที่เป้าหมายตามแผนการจัดหาแหล่งน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งที่มีอยู่แล้วด้วย
|
.....