ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1047 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 20921 - 20940 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20921 | รายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | นร12 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ตามผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของ ค.ต.ป. โดยมีข้อค้นพบที่สำคัญ เช่น การกำหนดบัญชีรายชื่อที่คาดการณ์ความแห้งแล้งในพื้นที่เกษตร ควรพิจารณาสภาพปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่ด้วย การดำเนินโครงการมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินงาน บางชุมชนต้องคัดเลือกโครงการที่มีความสำคัญน้อยกว่าเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามกรอบงบประมาณและระยะเวลาที่กำหนด มีการจ้างแรงงานจากในชุมชนเป็นหลัก บางชุมชนขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนเป็นผู้สูงอายุ หรือประชากรวัยแรงงานในภาคอุตสาหกรรมมีรายได้สูงกว่าการจ้างงานในโครงการ รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณค่าวัสดุในแต่ละพื้นที่ไม่มีการกำหนดราคากลางงานก่อสร้างตั้งแต่เริ่มโครงการ เป็นต้น ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามรายงานผลการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลของ ค.ต.ป. ประกอบด้วยข้อเสนอแนะต่อผู้รับผิดชอบโครงการ ข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานกลาง และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการควรจัดทำคู่มือการดำเนินงานให้ชัดเจน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรจัดทำระบบฐานข้อมูลผลการดำเนินงาน ข้อดี และข้อเสียของโครงการไว้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดพื้นที่เป้าหมายควรพิจารณาสภาพปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่เพื่อนำมาเป็นหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณา รวมทั้งควรกำหนดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น และเห็นควรแจ้งให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. หากมีการรายงานข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ๆ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อบูรณาการข้อมูลให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20922 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2559 | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมมีมติและข้อเสนอแนะ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. รับทราบความก้าวหน้าของการขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน มาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมกำกับการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙ (Action Plan) ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งแจ้งหน่วยงานเจ้าของโครงการให้เร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมประกวดราคาให้มีการประกวดราคาและลงนามในสัญญาก่อสร้างได้ภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ เพื่อให้มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ขนาดทาง ๑ เมตร (Meter Gauge) ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ให้เร่งรัดให้มีการเบิกจ่ายภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๙ ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๘,๐๕๒ ล้านบาท และ (๒) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ให้เร่งรัดการเจรจาต่อรองราคาใน ๘ ตอนที่เหลือ รวมทั้งเร่งประกวดราคาในอีก ๒ ตอนที่เหลือให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเร่งรัดติดตามการดำเนินการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าข่ายโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ๔. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) ที่ได้รับอนุมัติแล้วให้มีการเบิกจ่ายโดยเร็ว ทั้งนี้ ในช่วง ๒ เดือนที่เหลือของไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ (กุมภาพันธ์-มีนาคม ๒๕๕๙) ควรมีการเบิกจ่ายประมาณ ๑๐,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๕. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศมีหนังสือถึงหน่วยงานราชการเน้นย้ำให้ดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการตามมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ สำหรับวงเงิน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ก่อหนี้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ และเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกรณีที่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๙ แต่อาจจะเบิกจ่ายงบประมาณแล้วเสร็จภายหลังสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ในกรณีนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นส่งเรื่องขอผ่อนผันกรณีการเบิกจ่ายล่าช้าดังกล่าวมายังสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้รวบรวมเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีในคราวเดียว แต่หากส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมิได้แจ้งผ่อนผันไปยังสำนักงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นจะต้องนำเสนอขอผ่อนผันต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณี รวมทั้งเร่งดำเนินการตามโครงการและมาตรการที่อยู่ภายใต้กรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20923 | รายงานการจัดหาพื้นที่รองรับกากอุตสาหกรรม 6 พื้นที่ทั่วประเทศ ภายใต้แผนการจัดการกากอุตสาหกรรมปี พ.ศ. 2558 - 2562 | อก | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการจัดหาพื้นที่รองรับกากอุตสาหกรรม ๖ พื้นที่ทั่วประเทศ (Reference Plan) ภายใต้แผนการจัดการกากอุตสาหกรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๓ (การสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและต่างประเทศ) ของแผนฯ ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับกากอุตสาหกรรม ๒๐-๓๐ ปีข้างหน้าให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ รายงานดังกล่าวเป็นผลการศึกษาทางวิชาการที่สามารถนำไปใช้อ้างอิงสำหรับการจัดการกากอุตสาหกรรมในแต่ละพื้นที่ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี โดยมุ่งเน้นในหลักการ “ขยะเกิดที่ไหน กำจัดที่นั่น” และจากผลการศึกษาพบว่าพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์จัดการกากอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ (IWMCs) มีจำนวน ๑๕ จังหวัด ใน ๖ ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดลำปาง และลำพูน ภาคตะวันตก ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา และขอนแก่น ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ปราจีนบุรี ระยอง และสระแก้ว ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร และสระบุรี และภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และสงขลา และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำผลการศึกษาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์พื้นฐานในการคัดเลือกพื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นศูนย์จัดการกากอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ โดยพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ ลักษณะทางอุทกวิทยา สภาพชั้นดิน แหล่งน้ำใต้ดิน ผลกระทบต่อชุมชน การคมนาคมขนส่ง และแนวทางการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม เป็นต้น การกำหนดพื้นที่ตั้งที่ชัดเจน หากจะมีการจัดตั้งโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรมในศูนย์จัดการกากอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ เพื่อนำไปพิจารณาวางแผนการเชื่อมโยงระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า การกำหนดรัศมีระยะของแหล่งกำเนิดกากกับผู้ขนส่งและผู้กำจัดกากที่เหมาะสม และให้ความสำคัญการกำกับดูแลมาตรฐานของโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด รวมทั้งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเชื่อมโยงพื้นที่เป้าหมายในการจัดการกากอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับพื้นที่ที่กำหนดตามนโยบายหรือในแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20924 | การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ | รง | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ ๕) ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณี และกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวม ๕ กลุ่มอุตสาหกรรม ๒๐ สาขาอาชีพ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ รวมทั้งมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตแรงงานฝีมือให้มีศักยภาพ และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20925 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์) | กค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20926 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบกระหว่างไทย - ลาว ไทย - เมียนมา และไทย - มาเลเซีย | กต | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการซึ่งรับผิดชอบเรื่องเขตแดนทางบก รวม ๓ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-ลาว (ฝ่ายไทย) ๑.๑ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของตำแหน่งประธานกรรมาธิการฯ จากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ เพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมาธิการฯ โดยเพิ่มผู้แทนกองทัพเรือเป็นกรรมาธิการ เพื่อให้ครอบคลุมการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในแม่น้ำโขง ๒. คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-เมียนมา (ฝ่ายไทย) ๒.๑ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของตำแหน่งประธานกรรมการฯ จากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (หรือผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ๒.๒ แก้ไของค์ประกอบในส่วนของกรรมการและที่ปรึกษาของนายเชิดชู รักตะบุตร โดยให้นายเชิดชู รักตะบุตร พ้นจากตำแหน่งกรรมการและที่ปรึกษาเนื่องจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๓. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วม (LBC) ระหว่างไทย-มาเลเซีย (ฝ่ายไทย) แก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการฯ โดยเพิ่มนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เอกอัครราชทูต ณ คูเวต เป็นกรรมการและที่ปรึกษาใน LBC (ฝ่ายไทย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20927 | การดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2559 | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยใช้ชื่อในการรณรงค์ว่า “สงกรานต์ปลอดภัย ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย สร้างวินัยจราจร” มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเพื่อให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนน จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ (Admit) ลดลงให้เหลือน้อยที่สุด โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานด้วยตนเอง ช่วงเวลาดำเนินการ แบ่งออกเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงการรณรงค์และเสริมสร้างวินัย ระหว่างวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ และดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๙ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับคดีผู้ขับขี่ขับรถขณะมึนเมาสุรา ให้ศาลใช้ดุลยพินิจสั่งผู้ถูกคุมประพฤติดังกล่าวไปบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล หรือดูแลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึก เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ให้มีความปลอดภัยทางถนนมากขึ้น และในการทำประชาคมเพื่อกำหนดกติกาหรือธรรมนูญชุมชน หมู่บ้าน และมาตรการองค์กร ให้มีบทลงโทษและโทษทางวินัยหากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเป็นการกำกับ ทำให้เกิดความเกรงกลัวต่อโทษ และปฏิบัติตามธรรมนูญชุมชน หรือมาตรการองค์กรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเข้มงวดไม่ให้ยานพาหนะ โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่จอดบนไหล่ทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ลดความเสี่ยงต่อการเฉี่ยวชน หรือชนท้าย และให้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ “ศูนย์สร่างเมา” ในด่านชุมชน โดยมีกิจกรรมคัดกรองผู้ขับขี่ที่มีอาการหรือพฤติกรรม สงสัยว่าเมา หรืออาจดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เมื่อพบให้กักตัว หรือนำส่งที่ศูนย์สร่างเมา เพื่อบำบัดอาการเมาให้สร่างโดยเร็ว นอกจากนี้ ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งมีการกำหนดมาตรการบทลงโทษอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20928 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 และแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙ และแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙ พบว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิตยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ สาเหตุหลักส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ได้แก่ เมาสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด และพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ การไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ และการไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โดยยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ รถจักรยานยนต์ สำหรับการจัดทำแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนตลอดทั้งปี จะเน้นหนักด้านการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย รวมทั้งการพัฒนากลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย การสร้างจิตสำนึกและวัฒนธรรมความปลอดภัย การเฝ้าระวังความปลอดภัยและลดปัจจัยเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนน และพัฒนาประสิทธิภาพองค์กรและกลไกการบริหารงานความปลอดภัยทางถนนทุกระดับ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติจราจร พ.ศ. ๒๕๒๒ ต้องทำงานบริการสังคมภายใต้คำสั่งศาลที่มีการระบุประเภทงานที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนน เช่น การดูแลช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ การช่วยเหลือผู้ป่วยที่ได้รับผลจากอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนตามสถานพยาบาล การดูแลอำนวยความสะดวกผู้ป่วยอุบัติเหตุทางถนน การช่วยงานที่ตึกอุบัติเหตุหรือห้องเก็บศพ และการช่วยเหลือสงเคราะห์ดูแลคนบาดเจ็บหรือพิการจากอุบัติเหตุอย่างเข้มข้น และกำหนดจำนวนชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพความผิดและความร้ายแรงตั้งแต่ ๔๘ ชั่วโมงขึ้นไป รวมทั้งควรมีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดทางลมหายใจ (Breath Analyzer) หรือทางการตรวจเลือดของผู้ขับขี่ในรายที่เกิดอุบัติเหตุและมีผู้บาดเจ็บรุนแรงหรือเสียชีวิต นอกจากนี้ ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และให้ดำเนินมาตรการองค์กรอย่างจริงจัง ไม่เน้นเฉพาะเรื่องการสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์เท่านั้น แต่ให้ครอบคลุมถึงพฤติกรรมเสี่ยงสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ การใช้เข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่หรือโดยสารรถยนต์ การดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ และการใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งการใช้รถส่วนบุคคลและรถยนต์ราชการ และสนับสนุนให้ภาคเอกชนดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายความมั่นคง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มาเก็บรักษาไว้ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔๖/๒๕๕๘ เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการขับขี่ยานพาหนะ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ โดยไม่เกิดความเสียหายและพร้อมที่จะส่งคืนเจ้าของรถต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20929 | การลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการ "Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand" | ทส | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการลงนามในร่างบันทึกข้อตกลงโครงการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย (Domestication of Endangered, Endemic and Threatened Plant Species in Disturbed Terrestrial Ecosystem in Malaysia and Thailand) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาวิจัยเพื่อปรับสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคาม ในระบบนิเวศพื้นดินที่ถูกรบกวนในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย เพื่อเป็นการศึกษา วิจัยความรู้ และบทเรียนในวิธีการที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค โดยสำนักงานเลขานุการ ASEAN-Korea Forest Cooperation จะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ จำนวน ๑,๒๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ๖ ปี นับจากวันลงนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ควรเน้นย้ำในการให้ความสำคัญและการปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) ที่ไทยเป็นภาคีและอนุวัติในการดำเนินโครงการ ควรมีการจัดทำข้อตกลงการจัดส่งวัสดุชีวภาพ (Material Transfer Agreement) ในกรณีที่มีการเคลื่อนย้ายเชื้อพันธุกรรมทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ควรมีการจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของพันธุ์พืชที่ทำการศึกษาในโครงการเพื่อเป็นหลักฐานในการระบุอัตลักษณ์พันธุ์พืชนั้น ๆ ของประเทศไทย ควรสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูระบบนิเวศ และการปรับปรุงสภาพพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ พืชเฉพาะถิ่น และพืชที่ถูกคุกคามอย่างยั่งยืน รวมทั้งควรนำระบบการบริหารจัดการ “สะแกราชโมเดล” ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการรับรองจาก UNESCO ให้เป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล (Biosphere Reserve) มาปรับใช้เพื่อขยายผลในระดับภูมิภาค และเป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20930 | ขอถอนร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2558 จำนวน 2 ฉบับ | รง | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดคุณสมบัติของบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน หลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทน พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับบุคคลซึ่งสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20931 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... | สว | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ และเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องตามพระราชบัญญัติฯ ควรเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ลักษณะการกระทำของผู้ทำการขอทานกับผู้แสดงความสามารถ การแจ้งและการขอมีบัตรประจำตัวเป็นผู้แสดงความสามารถ โดยจัดทำเป็นคู่มือเพื่อใช้ประกอบในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย และเอกสารเผยแพร่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและมีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20932 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเกี่ยวกับภาพรวมการจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำแนกตามกระทรวงและหน่วยงาน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20933 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ครั้งที่ 17 | กษ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๕,๖๔๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๑ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๒,๑๔๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ แผนการใช้น้ำอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๗,๓๖๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๖๔ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๒,๒๒๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๗๐ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๖๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๗-๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๘ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๘ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๓๕ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๐๓ ล้านไร่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20934 | รายงานความคืบหน้าในการพัฒนาบริการใหม่ภายใต้ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) และระบบติดต่อสื่อสารสำหรับหน่วยงานภาครัฐ | ทก | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าในการพัฒนาบริการใหม่อย่างต่อเนื่องภายใต้ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) ตามมติคณะรัฐมนตรี และรับทราบรูปแบบการใช้งานของระบบภาษีไปไหนและระบบติดต่อสื่อสารแบบออนไลน์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ (G-Chat) โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ได้พัฒนาบริการใหม่ภายใต้ GovChannel ได้แก่ ๑.๑.๑ ระบบบริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐแก่ประชาชน ได้แก่ (๑) ระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารภาครัฐ (G-News) เป็นแอปพลิเคชันกลางที่หน่วยงานภาครัฐสามารถใช้เป็นช่องทางในการให้ข้อมูลข่าวสารและบริการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและยังสามารถรองรับการแจ้งเตือนข้อมูลบริการจากภาครัฐเฉพาะรายบุคคลส่งตรงถึงประชาชนได้อีกด้วย และ (๒) ระบบภาษีไปไหน ซึ่งเป็นระบบสืบค้นข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณผ่านโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐที่ สรอ. ดำเนินการร่วมกับกรมบัญชีกลางในการดำเนินการภายใต้โครงการ Thailand Government Spending ๑.๑.๒ ระบบติดต่อสื่อสารสำหรับหน่วยงานของภาครัฐที่มีความมั่นคงปลอดภัยและเชื่อถือได้ ได้แก่ (๑) ระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กลางเพื่อการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ (MailGoThai) เป็นระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กลางเพื่อใช้ในการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐ โดยเชื่อมโยงระบบ MailGoThai ให้เข้ากับระบบ Government ID (GovID) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐได้ด้วยบัญชีเดียว และ (๒) ระบบติดต่อสื่อสารแบบออนไลน์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ (G-Chat) เป็นแอปพลิเคชันเพื่อรองรับการสื่อสารภายในและระหว่างหน่วยงานรัฐผ่านคอมพิวเตอร์พื้นฐานและอุปกรณ์สื่อสารแบบเคลื่อนที่ มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลภาครัฐในระดับสูง (Government Mobile Private & Security Chat) และการบริหารจัดการระดับชั้นและสิทธิของแต่ละบุคคลในการเข้าถึงข้อมูลและการเข้าใช้งานระบบตามที่แต่ละหน่วยงานภาครัฐกำหนด ๑.๒ มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ระบบภาษีไปไหนให้แก่ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนมีช่องทางในการสืบค้นและตรวจสอบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐได้อย่างถูกต้อง และช่วยส่งเสริมความโปร่งใสในการดำเนินงานของภาครัฐ ๑.๓ ให้หน่วยงานภาครัฐนำระบบ MailGoThai และระบบ G-Chat ไปใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารภายในและระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ มีความมั่นคง ปลอดภัยของข้อมูล และลดความเสี่ยงในการถูกลักลอบนำข้อมูลทางราชการไปใช้ในทางทุจริตและเกิดความเสียหาย ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรพัฒนาระบบให้บริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) ให้มีความสะดวก ใช้งานง่าย ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และมีจำนวนเพียงพอต่อผู้ใช้ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับการใช้งานและการเข้าถึง GovChannel และนำระบบ MailGoThai และระบบ G-Chat ไปใช้งาน พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน และเห็นควรพัฒนาและบริหารจัดการระบบดังกล่าวให้มีความปลอดภัยเชื่อถือได้ โดยใช้แนวทางการรักษาความปลอดภัยบุคคล สถานที่ และข้อมูลข่าวสารตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ มีการกำหนดช่องทางสำรองหรือระบบสำรองในกรณีที่ระบบหลักเกิดปัญหาขัดข้องไม่สามารถใช้บริการได้เพื่อให้สามารถให้บริการระบบดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง และมีการกำหนดมาตรการและแนวทางการรักษาความปลอดภัยการสื่อสาร หรือการส่งข้อมูลราชการที่มีชั้นความลับผ่านทาง ระบบ MailGoThai และระบบ G-Chat นอกจากนี้ ควรดำเนินการประเมินและตรวจสอบช่องโหว่ของระบบและปรับปรุงระบบให้มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานกับทุกส่วนราชการเพื่อปรับปรุงข้อมูลสำหรับให้บริการแก่ประชาชนผ่านศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) ให้เกิดความน่าสนใจและเป็นปัจจุบันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20935 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารเรียน (โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา จังหวัดสงขลา) | ศธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการอาคารเรียนโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยสมบูรณ์กุลกันยา จังหวัดสงขลา จากเดิมอาคารเรียนแบบ ๓๒๔ ล/๕๕-ก จำนวน ๑ หลัง วงเงิน ๒๖,๗๒๖,๘๐๐ บาท เป็นอาคารเรียนแบบพิเศษ ๖ ชั้น จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๒๖,๔๐๒,๕๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๕,๓๔๕,๔๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๒๑,๐๕๗,๑๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอาคารเรียนได้ตามวัตถุประสงค์ทั้งใช้ในการจัดการเรียนการสอน และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน รวมทั้งเป็นศูนย์การเรียนภาษาสำหรับครู นักเรียน และชุมชน ในการเตรียมบุคคลให้สู่การอยู่ร่วมกับพลเมืองของอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20936 | โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | นร | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๘ เรื่อง โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยให้กองราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20937 | การขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตร ให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามมาตรการสำคัญเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล โครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เฉพาะโครงการที่ได้มีการก่อหนี้ผูกพันจนถึงขั้นจองเงินในระบบ PO (Purchase Order) ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ โดยแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งกำหนดให้การดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณ จาก “ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙” เป็น “ให้การดำเนินโครงการและเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จตามสัญญา (คาดว่าจะไม่เกินเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙)” ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย กรมบัญชีกลาง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหาแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกิดจากมาตรการฯ การใช้ประโยชน์ การบำรุงรักษา รวมถึงการโอนทรัพย์สินให้ส่วนราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ ๑.๓ อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายในส่วนของค่าใช้จ่ายบริหารจัดการโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) และโครงการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนได้จนถึงเสร็จสิ้นโครงการ รวมถึงการติดตามประเมินผลโครงการซึ่งจะต้องดำเนินการภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการตามสัญญา ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เกิดจากมาตรการฯ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการถือครองและการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินงบประมาณ รวมถึงการบำรุงรักษา หรือการจดทะเบียนทรัพย์สินให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งควรกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินมาตรการฯ รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตลอดจนกำหนดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลโครงการที่จะดำเนินการภายหลังจากเสร็จสิ้นการดำเนินโครงการตามสัญญาแล้ว เพื่อเป็นการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ และนำไปเป็นข้อมูลสำหรับกำหนดมาตรการในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20938 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | คค | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๘,๙๐๐ ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔) โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยรับภาระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดตามความเหมาะสม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ส่วนการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามแบบฟอร์มที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อประกอบการพิจารณาในขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินการของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรและกำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาขาดทุน รวมทั้งจัดทำแผนการฟื้นฟูกิจการเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่จะเสนองบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ในปีงบประมาณถัดไป การรถไฟแห่งประเทศไทยควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาการกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินการและเสริมสภาพคล่องในคราวเดียวกัน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาภาระหนี้สะสมของการรถไฟแห่งประเทศไทยในภาพรวมได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20939 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OVERDRAFT : O/D) กับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุด เพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นระยะเวลา ๑ ปี (มกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๙) ในวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรพิจารณาวิธีการกู้เงินระยะสั้นในรูปแบบอื่น ๆ และพิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินด้วยวิธีการประมูล เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านต้นทุนที่เหมาะสมตามอัตราดอกเบี้ยตลาด และให้หน่วยงานให้ความสำคัญกับการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค หากมีเงินเหลือจ่ายก็ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการเป็นลำดับแรก รวมทั้งให้ส่วนราชการที่ค้างชำระค่าสาธารณูปโภคเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัดด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้ กฟภ. เร่งพิจารณาหาแนวทางหรือมาตรการในการติดตามและเร่งรัดผู้ใช้ไฟฟ้าชำระค่าไฟฟ้าภายในวันครบกำหนดระยะเวลา สำหรับกรณีของส่วนราชการให้พิจารณาประสานความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20940 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล เฉพาะโครงการที่จะต้องขอใช้พื้นที่เพื่อดำเนินโครงการ | มท | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินการตามโครงการมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล เฉพาะโครงการที่จะต้องขอใช้พื้นที่ (ป่าสงวนแห่งชาติและที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ) จากหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาตามกฎหมาย โดยแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ในส่วนที่กำหนดให้ดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ จาก “ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙” เป็น “ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙” ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน และเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนดระยะเวลาด้วย รวมทั้งการพิจารณาอนุญาตการเข้าใช้พื้นที่ให้เป็นไปตามหลักการของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
.....