ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 73 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1441 - 1460 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1441 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... | กค | 21/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม ตลอดจนยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน พร้อมข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) เกี่ยวกับประเด็นการจัดตั้ง “กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม” ที่มีลักษณะเป็นเงินนอกงบประมาณ และอาจไม่สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา ๖๑ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และในประเด็นที่กำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการจัดประชารัฐสวัสดิการ โดยเป็นผู้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวเสียเอง จึงไม่สอดคล้องกับหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของกระทรวงการคลัง รวมทั้งในประเด็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการกำหนดมาตรฐานการจัดสวัสดิการสังคม ควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของรูปแบบการจัดสวัสดิการและการจัดทำฐานข้อมูลของภาคประชาชน เพื่อให้การจัดสวัสดิการสังคมสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึงและประชาชนได้รับสวัสดิการที่ไม่ซ้ำซ้อนกัน ๒. รับทราบคำชี้แจงข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) ของกระทรวงการคลังว่า กระทรวงการคลังจะพิจารณาวงเงินที่จะต้องจ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ตรงตามข้อเท็จจริงและตามความจำเป็น ดังนั้น วงเงินของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมจึงมีปริมาณเท่าที่จำเป็นและสอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๖๑ และตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๐ ที่ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน และที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำโครงการประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาโดยตลอด ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1442 | ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. .... | กค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และกรอบวินัยการคลังในการบริหารหนี้สาธารณะของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ยึดถือและใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1443 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง) | กค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินเท่าที่ผู้มีเงินได้ได้จ่ายไปเป็นค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดท่องเที่ยวรอง หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกำหนดพื้นที่ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางปฏิบัติในการแสดงหลักฐานและการตรวจสอบเอกสารที่จะใช้ประกอบการขอลดหย่อนภาษีให้ชัดเจน ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทั่วไปด้วย และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้กำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลัง และควรมีการรายงานผลการดำเนินการและประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวที่ส่งผลต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวสู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1444 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน | กค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ของกรมการขนส่งทางบก ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการรวมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เข้าด้วยกัน เพื่อให้การกำกับและควบคุมดูแลการใช้รถ มาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยเกี่ยวกับรถ และการประกอบการขนส่งมีมาตรฐานเป็นแนวทางเดียวกันและมีความทันสมัย และในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงให้กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยบทบัญญัติในส่วนของการจัดตั้งกองทุนและบทบัญญัติในส่วนของเงินและทรัพย์สินของกองทุนยังคงหลักการเช่นเดิม ดังนั้น การเสนอขอจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนนี้ จึงมิใช่การจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนใหม่ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... พบว่า การบริหารจัดการและการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนไม่เป็นไปตามนัยมาตรา ๖๓ วรรคสอง ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๒๑ (๒) คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนจึงเห็นว่า กรมการขนส่งทางบกควรปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... ในส่วนของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียนให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงดำเนินการตามขั้นตอนอื่นต่อไป ๑.๓ เพื่อให้การจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการพิจารณาให้ความเห็นชอบให้เงินและทรัพย์สินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. .... ต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย เช่น การพิจารณาให้ความเห็นชอบให้แหล่งเงินของกองทุนดังกล่าวไม่ต้องนำส่งคลังตามนัยมาตรา ๒๕ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1445 | รายงานผลการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงอำเภอหนองหาน - อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข 22 ช่วงสกลนคร - นครพนม (กิโลเมตรที่ 180 - 213) และทางหลวงหมายเลข 23 ช่วงร้อยเอ็ด - ยโสธร | กค | 14/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการก่อสร้างทางสายหลักเป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงอำเภอหนองหาน-อำเภอพังโคน ทางหลวงหมายเลข ๒๒ ช่วงสกลนคร-นครพนม (กิโลเมตรที่ ๑๘๐-๒๑๓) และทางหลวงหมายเลข ๒๓ ช่วงร้อยเอ็ด-ยโสธร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการฯ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และผู้อำนวยการสำนักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) กรอบวงเงิน ๙๙.๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินกู้ในคราวเดียวทั้งจำนวน และจะดำเนินการแปลงเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาท แล้วจึงนำฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากคลังของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะภายใต้ชื่อบัญชีเฉพาะของโครงการฯ เพื่อรองรับการเบิกจ่ายให้กับสัญญางานก่อสร้างและสัญญาจ้างที่ปรึกษาในแต่ละงวดงานตามความก้าวหน้าของโครงการฯ ตลอดจนดำเนินการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย (Cross Currency Swap) ภายใต้หลักเกณฑ์การบริหารความเสี่ยงเงินกู้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ รายละเอียดหนังสือสัญญาเงินกู้ดังกล่าวมีสาระสำคัญและเงื่อนไขเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๒. กระทรวงการคลังได้จัดทำประกาศกระทรวงการคลังเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาเสร็จแล้ว และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงจะจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) ส่งให้แก่ ADB พิจารณาก่อนประกาศให้สัญญาเงินกู้โครงการฯ มีผลใช้บังคับ หลังจากนั้น กรมทางหลวงจึงจะสามารถเบิกจ่ายเงินกู้ได้ตามแผนงานโครงการฯ ที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1446 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 5 ราย 1. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ฯลฯ) | กค | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๕ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนที่ผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมจะพ้นไป และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. โอน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ตำแหน่งอธิบดี กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ๒. โอน นายพชร อนันตศิลป์ ตำแหน่งอธิบดี กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ๓. โอน นายอำนวย ปรีมนวงศ์ ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ๔. ย้าย นายยุทธนา หยิมการุณ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ๕. โอน นางแพตริเซีย มงคลวนิช ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1447 | การให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นบุคคลที่ไม่ต้องจ่ายค่าบริการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 | กค | 07/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นบุคคลที่ไม่ต้องจ่าค่าบริการ ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เป็นผู้สูงอายุ จำนวน ๓.๖ ล้านคน ไม่ต้องจ่ายค่าบริการตามพระราชบัญญัติฯ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อายุไม่เกิน ๖๐ ปีบริบูรณ์ อาจไม่ต้องจ่ายค่าบริการตามพระราชบัญญัติฯ ในกรณีต่าง ๆ เช่น (๑) ผู้มีรายได้น้อยตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้แก่ คนโสดหรือผู้เยาว์ที่ไม่มีผู้อุปการะ มีรายได้ไม่เกินเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท หรือบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งมีรายได้รวมกันไม่เกินเดือนละ ๒,๘๐๐ บาท (๒) คนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และ (๓) บุคคลที่แสดงความประสงค์ที่ไม่จ่ายค่าบริการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวไม่ควรมีผลกระทบต่อภาพรวมของการเพิ่มค่าใช้จ่ายค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีสิทธิในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (อัตราเหมาจ่ายรายหัว) และคำนึงถึงความเท่าเทียม ความเสมอภาค ในการได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าบริการของกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกลุ่มเป้าหมายถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับอย่างชัดเจนและถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งจะต้องปฏิบัติตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างรอบคอบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1448 | รายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ประจำปี 2560 | กค | 31/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ประจำปี ๒๕๖๐ โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๘ แผนงาน จาก ๔๖ แผนงาน ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบการชำระเงินสำหรับตลาดทุน (๒) การให้บริการระบบงานกลางสำหรับการซื้อขายกองทุนรวม (๓) การปรับกติการองรับรูปแบบการทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแทนคน (๔) การศึกษาการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับตลาดทุนไทย (๕) การแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย (๖) การพัฒนาทักษะและความรู้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านตลาดทุนของไทย (๗) การอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการนำเงินไปลงทุนในประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) และ (๘) กฎหมายเพื่อรองรับธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนแผนงานที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ผ่านตัวชี้วัดผลการดำเนินการ (KPI) ทั้งในระดับวิสัยทัศน์และระดับเป้าหมายหลัก ๔ ด้าน ในระยะครึ่งแผน (สิ้นปี ๒๕๖๒) เปรียบเทียบกับเป้าหมายในปี ๒๕๖๔ เพิ่มเติมต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการดำเนินการอื่น ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ ได้แก่ การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนฯ การพัฒนาและกำกับดูแลตลาดทุนให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ลงทุนรายใหญ่และรายย่อย กลไกในการประสานความร่วมมือในการพัฒนาและกำกับดูแลตลาดการเงินในภาพรวม และการพิจารณาศึกษาผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามแผนงานภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ ๓ (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้บรรลุผลโดยเร็วตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1449 | มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย | กค | 31/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาและลดภาระหนี้สินของเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และส่งเสริมเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ฟื้นฟูการประกอบอาชีพ โดยเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับสิทธิ์ขยายระยะเวลาชำระหนี้ต้นเงินกู้เป็นระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ตามความสมัครใจ และจะได้รับการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเพิ่มศักยภาพการประกอบอาชีพ สินเชื่อเพื่อปรับโครงสร้างการผลิต หรือสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและจัดหาปัจจัยการผลิตได้ รวมทั้ง ธ.ก.ส. จะส่งเสริมการออมที่เหมาะสมให้กับเกษรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๒,๗๒๔.๘๕ ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ อย่างรอบคอบ ตลอดจนรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และขอทำความตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑) มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้มุ่งเน้นการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร การปรับปรุงระบบการผลิตให้เข้าสู่ระบบการเกษตรแบบผสมผสานโดยเปลี่ยนจากการผลิตพืชเชิงเดี่ยวมาสู่การปลูกพืชหลากหลายชนิด รวมถึงกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้มีการดำเนินการในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผ่านมาว่ามีประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด และ (๒) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยอื่นที่เป็นหนี้สถาบันเกษตรกร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่มีภาระหนี้และไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ตามมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อยให้ได้รับความช่วยเหลือที่เท่าเทียมและทั่วถึงเช่นกันด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1450 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 3 ราย 1. นายลวรณ แสงสนิท ฯลฯ) | กค | 31/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายลวรณ แสงสนิท ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ๒. นางสาววิไล ตันตินันท์ธนา ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1451 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 24/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและการจ่ายค่าชดเชย เป็นดังนี้ ๑.๑ ภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันในปีแรก อัตราร้อยละ ๒ ต่อปี จำนวน ๓๐๐ ล้านบาท และการชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยอัตราร้อยละ ๑๘ ของวงเงินค้ำประกัน จำนวน ๒,๗๐๐ ล้านบาท เห็นควรให้ บสย. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ภาระงบประมาณของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ จำนวน ๑๓,๕๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย การชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันในอัตราเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ ๒.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันเป็นจำนวนไม่เกิน ๓,๓๗๕ ล้านบาท และการชดเชยการจ่ายค่าประกันชดเชยตลอดอายุโครงการ ๑๐ ปี เป็นเงินจำนวนไม่เกิน ๑๐,๑๒๕ ล้านบาท เห็นควรให้ บสย. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินและไม่เคยใช้บริการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ก่อนเป็นลำดับแรก การกำหนดคุณสมบัติผู้ประกอบการที่ขอรับการค้ำประกันควรกระจายวงเงินให้ครอบคลุมผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs รายเล็กในต่างจังหวัดที่มีศักยภาพมากขึ้น รวมทั้งการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันและความรับผิดชอบจ่ายค่าประกันชดเชยต่อราย SMEs และการจ่ายค่าประกันชดเชยสูงสุดต่อ Portfolio ซึ่งกำหนดตามความเสี่ยงของผู้ประกอบการรายย่อย หรือตามความเหมาะสมของแต่ละกลุ่ม SMEs ควรพิจารณาให้สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและสถาบันการเงินผู้เข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๗ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการให้ชัดเจนและทั่วถึง รวมทั้งให้ติดตามการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้การปรับลดอัตราการจ่ายค่าประกันชดเชยเป็นอุปสรรคต่อการขอรับสินเชื่อของผู้ประกอบการรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1452 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศ] | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรซึ่งประกอบกิจการให้บริการโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามประมวลรัษฎากร ให้มีความเหมาะสม ชัดเจน และสอดคล้องกับลักษณะการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการสนับสนุนให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เกิดความเหมาะสมและส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการกำหนดลักษณะและประเภทของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความชัดเจนไว้ในกฎหมายลำดับรอง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณากำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ในต่างประเทศที่ได้ให้บริการแก่ผู้รับบริการในประเทศไทยต้องมาตั้งสถานประกอบการในประเทศไทยหรือมีตัวแทนในการประกอบกิจการในประเทศไทยต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1453 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การผลิตและการแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ จากจำนวนผู้มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งหมด ๑๑.๔๗ ล้านราย ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ มีผู้มีสิทธิมารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ๑๑.๐๖ ล้านราย (ร้อยละ ๙๖) ๑.๒ การวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) จากเป้าหมายที่กำหนดจะวางเครื่อง EDC ณ จุดจำหน่ายสินค้าและบริการของหน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๔๕,๖๕๕ เครื่อง ณ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ได้วางเครื่องแล้ว ๓๐,๔๖๐ เครื่อง (ร้อยละ ๖๖) ๑.๓ การจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ได้จ่ายเงินแล้วรวม ๓๐,๗๑๖.๔๔ ล้านบาท ๑.๔ การใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และรถไฟฟ้า ได้พัฒนาระบบเพื่อรองรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามมาตรฐานกลางระบบตั๋วร่วม (แมงมุม) (Version 2.0) และกำหนดให้ผู้มีสิทธินำบัตรมา Reinitialize ที่สถานีรถไฟฟ้าได้ตั้งแต่วันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เพื่อให้สามารถเริ่มใช้ชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วงได้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ รวมทั้งจะขยายการให้บริการให้สามารถใช้ได้กับระบบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๑.๕ ปัญหาอุปสรรค จากการลงพื้นที่ติดตามการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ๘ เดือนที่ผ่านมา ยังคงพบปัญหาร้านธงฟ้าประชารัฐทำผิดหลักเกณฑ์ ซึ่งสำนักงานคลังจังหวัดได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพิกถอนการเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐ และกรมบัญชีกลางได้สั่งการให้สำนักงานคลังจังหวัดเรียกคืนเครื่อง EDC จากเจ้าของร้านดังกล่าวแล้ว และจะไม่ให้วางเครื่อง EDC ของโครงการให้แก่ร้านค้าเหล่านี้ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาเพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้มากยิ่งขึ้น เช่น การชำระเงินผ่าน QR code เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แล้วให้ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ในเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1454 | รายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note : PN) วงเงิน ๕,๔๐๐ ล้านบาท และวงเงิน ๙,๖๐๐ ล้านบาท ก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ (LB26DA) จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท อายุ ๘.๕๗ ปี ประมูลในวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๒.๗๓๐๙ ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1455 | แนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง ประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) ข้อ ๑ จากเดิม “๑. ... (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน” เป็น “๑. ... (๓) วงเงินค่าโดยสารรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ระบบ e-Ticket/รถไฟฟ้า จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และอนุญาตให้จ่ายเงินชำระค่าโดยสารได้เกินวงเงิน ๕๐๐ บาท ๑ ครั้งต่อเดือน โดยวงเงินที่เกินจะนำไปหักจากวงเงินในเดือนถัดไป (๔) วงเงินค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน และ (๕) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ จำนวน ๕๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน” ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ เร่งรัดการดำเนินการเชื่อมต่อระบบการชำระเงินของการให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. เพื่อให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้สิทธิผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒.๒ เร่งรัดการเจรจากับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีผู้โดยสารใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถโดยสารรถไฟฟ้าได้ทุกสายทาง ๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธินำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทยอยลงทะเบียนใช้สิทธิที่สถานีรถไฟฟ้าภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้การจัดสวัสดิการสังคมและการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีผลกระทบต่อการให้บริการประชาชนทั่วไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1456 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย (จำนวน 9 ราย 1. นายระเฑียร ศรีมงคล ฯลฯ) | กค | 17/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย รวม ๙ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ ๒. รองศาสตราจารย์สุดา วิศรุตพิชญ์ กรรมการ ๓. นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการ ๔. พลตำรวจเอก รชต เย็นทรวง กรรมการ ๕. นายณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ กรรมการ ๖. นายอัญญา ขันธวิทย์ กรรมการ ๗. นางสาวพรรณิภา อภิชาตบุตร กรรมการ ๘. นายลวรณ แสงสนิท กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) ๙. นายยุทธนา หยิมการุณ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1457 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของหรือครอบครองที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือเป็นเจ้าของห้องชุดที่มีมูลค่าเกิน ๕๐ ล้านบาท และใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเจ้าของห้องชุดรอการจำหน่ายซึ่งอยู่รอบพื้นที่ที่มีโครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ท่าเรือ โครงการทางด่วนพิเศษ หรือโครงการอื่น ๆ ซึ่งพื้นที่ที่จัดเก็บภาษีดังกล่าวกำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมี ๕ กิโลเมตร รอบพื้นที่โครงการฯ ในอัตราไม่เกินร้อยละ ๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีภายใต้ร่างพระราชบัญญัติฯ ควรพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเพิ่มภาระกับประชาชน และคณะกรรมการพิจารณากำหนดพื้นที่จัดเก็บภาษีที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ควรพิจารณากรอบหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจที่ชัดเจนและสอดคล้องกับหลักการของบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อป้องกันการใช้ดุลพินิจที่อาจกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่เห็นควรให้มีการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ถูกต้องตรงกันทั้งต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและผู้เสียภาษีตามที่พระราชบัญญัติฯ กำหนด เพื่อให้เกิดความราบรื่นและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย รวมทั้งในขั้นตอนของการดำเนินงานควรให้มีการพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการพัฒนาพื้นที่บริเวณโดยรอบสถานี ซึ่งอาจจะส่งผลต่อปริมาณผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1458 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 22 และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 4 | กค | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ ๒๒ (ASEAN Finance Ministers’ Meeting : AFMM) และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ ๔ (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting : AFMGM) เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุม AFMM ครั้งที่ ๒๒ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจ และความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิก เช่น ด้านศุลกากร ด้านการประกันภัยในอาเซียน ด้านการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินและการต่อต้านการฟอกเงิน เป็นต้น ๑.๒ การประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) การสนับสนุนให้ใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งในการรับมือกับภัยพิบัติ และการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลให้เป็นประโยชน์มากขึ้น รวมทั้งการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการด้านการเงินการคลังอาเซียนภายใต้แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒๐๒๕ เช่น การเปิดเสรีบัญชีทุนเคลื่อนย้ายที่ปัจจุบันไทยได้ร่วมจัดตั้งกลไกการชำระเงินสกุลท้องถิ่นแบบทวิภาคีกับมาเลเซียและอินโดนีเซียแล้ว และการเร่งเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินในระบบดิจิทัลของประเทศสมาชิก เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันจัดทำแถลงการณ์ร่วมของการประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเนื้อหาของถ้อยแถลงร่วมการประชุม AFMGM ครั้งที่ ๔ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันไทยด้านนโยบาย ดังนั้น หากเป็นไปได้ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องควรเสนอร่างถ้อยแถลงฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนตามนัยมาตรา ๔(๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ก่อนเข้าร่วมการประชุม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1459 | การกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 | กค | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท โดยการกู้ยืมเงินดังกล่าวจะช่วยให้ สพพ. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่สอดคล้องกันของอายุเงินกู้และอายุเงินให้กู้ยืม (Mismatch Maturity) และความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) และสร้างความน่าเชื่อถือถึงฐานะของ สพพ. ในตลาดทุน ซึ่งจะส่งผลให้ สพพ. สามารถปฏิบัติภารกิจให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการในการร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ในขั้นตอนการออกพันธบัตร ให้ สพพ. ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1460 | ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล พ.ศ. .... | กค | 10/07/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินบุคคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล โดยการที่บุคคลผู้ก่อตั้งทรัสต์ซึ่งเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลได้โอนทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินของตนให้แก่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป็นทรัสตี และให้ผลประโยชน์จากการบริหารจัดการทรัพย์สินตกแก่ผู้รับประโยชน์ซึ่งมิใช่ผู้ก่อตั้งทรัสต์ อันจะทำให้การบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการกำหนดให้มีทรัสต์เพื่อการจัดการทรัพย์สินสอดคล้องกับมาตรา ๑๖๘๖ ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับประเด็นเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฯ เช่น มาตรา ๘ ที่บัญญัติในวรรคแรกกับวรรคสองขัดแย้งกันเอง และมาตรา ๗๙ (๑) (๒) และวรรคสาม การเข้าไปในสถานที่ตามที่ระบุมีความจำเป็นต้องขอหมายค้นหรือไม่ รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับการอ้างอิงมาตราในร่างพระราชบัญญัติฯ ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่ในบางมาตรา เช่น มาตรา ๕๙ และมาตรา ๘๘ เป็นต้น นอกจากนี้ สัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามร่างพระราชบัญญัติฯ น่าจะยังไม่ครอบคลุมถึงเรื่องการก่อตั้งทรัสต์โดยพินัยกรรม และในเรื่องบำเหน็จหรือค่าตอบแทนของทรัสต์จะถือว่าเป็นสาระสำคัญที่จะต้องมีระบุไว้ในสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามร่างพระราชบัญญัติฯ หรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดอายุของกองทรัสต์ควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงการกระจายตัวของความมั่งคั่งในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากกองทรัสต์สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาความมั่งคั่งสำหรับผู้มีรายได้สูง และการกำหนดอายุกองทรัสต์นานเกินไปอาจทำให้การกระจุกตัวของความมั่งคั่งในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และควรศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติกรรมสัญญาและการบริหารทรัพย์สินไว้เป็นฉบับเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
