ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 76 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1501 - 1520 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1501 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 4 ราย 1. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ฯลฯ) | กค | 17/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง และไม่ก่อนวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ๒. นายประภาศ คงเอียด ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ๓. นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ๔. นางสาวชุณหจิต สังข์ใหม่ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1502 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวนงพงา บุญเปี่ยม) | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวนงพงา บุญเปี่ยม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๒. นายชัยยุทธ คำคุณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1503 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยปรับเพดานขยายขั้นค่าตอบแทนของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จากเดิมที่มีจำนวน ๑๓ ขั้น ให้เท่ากับค่าตอบแทนอาสาสมัครทหารพรานที่มีจำนวน ๓๓ ขั้น ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็นความเหลื่อมล้ำของค่าครองชีพ ควรมีมาตรการพิจารณาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ ทุกหน่วยงานซึ่งมีรายได้น้อย ให้ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาดำเนินการ และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1504 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายชัยยุทธ คำคุณ) | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวนงพงา บุญเปี่ยม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๒. นายชัยยุทธ คำคุณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร (นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1505 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2560 | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงิน โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๑ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ที่ร้อยละ ๓.๗ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดีในทุกตลาดส่งออกสำคัญและในเกือบทุกหมวดสินค้า และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวสูง ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๖ ใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งแรกของปีซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๗ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๑ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๖๐ ที่อัตราร้อยละ ๓.๙ จากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่องตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่ขยายตัวชัดเจน ๒. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ โดยในการตัดสินนโยบายอัตราดอกเบี้ย กนง. ได้คำนึงถึงผลบวกและผลลบของแต่ละทางเลือกนโยบาย (Policy Trade-offs) ทั้งในด้านระยะเวลาที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินภายใต้ภาระอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และเห็นว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันมีความเหมาะสม ๓. การติดตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยแม้ว่ามีทิศทางขยายตัวชัดเจนขึ้นต่อเนื่อง แต่การส่งผ่านผลดีจากการขยายดังกล่าวไปยังภาคส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนและมีแนวโน้มใช้ระยะเวลานานกว่าในอดีต ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยประเด็นที่ กนง. ให้ความสำคัญ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคุณภาพสินเชื่อในบางธุรกิจที่ยังด้อยลงแม้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการเกษตรและธุรกิจ SMEs
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1506 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2560) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวร้อยละ ๔.๑ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การลงทุนภาครัฐหดตัวเนื่องจากการลงทุนบางส่วนยังเผชิญกับข้อกำจัดด้านประสิทธิภาพการเบิกจ่ายของบางหน่วยงาน ทำให้ล่าช้าออกไปจากแผน ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ส่วนด้านเสถียรภาพต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ เนื่องจากเห็นว่า ระดับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังเอื้อให้ภาวะการเงินผ่อนคลายเพียงพอและสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ มีเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ๒.๓ ด้านนโยบายระบบชำระเงิน ธปท. ได้ส่งเสริมและพัฒนาบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการระบบพร้อมเพย์ และผลักดันให้มีการพัฒนาและส่งเสริมการใช้มาตฐาน Quick Response Code (QR Code) เพื่อการชำระเงินและการโอนเงิน เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค เพิ่มช่องทางการรับเงินของภาคธุรกิจที่สะดวก และต้นทุนต่ำ นอกจากนี้ ยังมีนโยบายส่งเสริมการเชื่อมโยงระบบหรือบริการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยการผลักดันให้มีกฎระเบียบที่รองรับและเอื้อต่อการชำระเงินข้ามพรมแดน และกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1507 | ร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและครอบคลุมการทำธุรกรรมที่มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการพิจารณาข้อกฎหมายที่อาจมีความเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายฉบับอื่น ๆ การนำแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาปรับใช้ เช่น การกำหนดให้ภาคธุรกิจที่ทำสัญญาต่างตอบแทนต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาไว้ในเอกสารชี้ชวนหรือสัญญา หรืออาจดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น การประกาศกำหนดค่าตอบแทนและค่าบริการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา การคุ้มครองเงินในบัญชีดูแลผลประโยชน์ การแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำในบางมาตรา และการแก้ไขประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1508 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2561 | กค | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๐ ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๘๔๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๖๐ จำนวน ๒๕๔,๒๗๓,๗๔๖.๙๔ บาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท ๑.๒ เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๘๖,๘๒๖,๒๕๓.๐๖ บาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง พร้อมด้วยอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อปี ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ๑.๓ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๑ ให้ได้ตามเป้าหมาย โดยเกษตรกรผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้บริการพร้อมเพย์ (Promptpay) ในการรับ-โอนค่าเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทน พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัย และร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย ๑.๔ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ ๐๒) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ ๐๒ เพื่อการรับประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมายในอนาคต และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกประเภทพืชต่าง ๆ ๑.๕ มอบหมายให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการในการตรวจสอบเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ เช่นเดียวกับการดำเนินการของโครงการฯ ในปีการผลิต ๒๕๕๙ และ ๒๕๖๐ และให้คณะกรรมการดังกล่าวดำเนินการรับรองความเสียหายของเกษตรกรในกลุ่มข้างต้น และจัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันวินาศภัยไทยเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยของโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต ๒๕๖๑ ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ และการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๗ มอบหมายให้ ธ.ก.ส. เตรียมการเพื่อให้เกษตรกรกลุ่มที่ได้รับการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยจาก ธ.ก.ส. ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับภาระโดยจ่ายเบี้ยประกันภัยส่วนหนึ่งในการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ๑.๘ มอบหมายให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาระบบการประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ เพื่อให้เกษตรกรผู้เอาประกันภัยได้รับประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต ๒๕๖๑ จะต้องมีความเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ของฤดูกาลเพาะปลูกอย่างแท้จริง รวมทั้งประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการประกันภัยในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเกษตรกรผู้เอาประกันภัย จำนวนพื้นที่การเพาะปลูก ประเภทของภัยที่จะคุ้มครอง อัตราเบี้ยประกันภัย อัตราค่าสินไหมทดแทน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ควรพิจารณาผลการดำเนินงานโดยแบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม แต่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมและมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเป็นประจำทุกปี ตลอดจนเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายผลไปยังข้าวนาปรัง ซึ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางการเกษตรเช่นกัน รวมถึงสินค้าเกษตรที่สำคัญอื่น ๆ ในระยะต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1509 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี 2560 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๖๐ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งานจัดเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ได้รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์รวม ๗ ประเภท ได้แก่ ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า เพื่อนำมาประมวลผลใน ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน ๒. การดำเนินงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ข้อมูลและข่าวสารด้านอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ ปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซต์ จัดทำวารสารฉบับใหม่ชื่อวารสาร “GHB : REIC วารสารศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์” และงานอบรมสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ๓. งานบริหารจัดการระบบสารสนเทศ ได้จัดทำโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง และอยู่ระหว่างจัดทำร่างข้อกำหนดความต้องการของระบบ (Term of Reference : TOR) เพื่อเสนอขออนุมัติงบประมาณจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ๔. ข้อมูลสถิติและสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญ (เฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล) ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๖๐ เฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทาน ๕. ผลสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยจากแอปพลิเคชัน Home For All พบว่า มีประชาชน จำนวน ๗๓,๗๖๑ ราย หรือร้อยละ ๘๙.๒ มีความต้องการที่อยู่อาศัย จากประชาชนผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด ๘๒,๗๑๙ ราย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1510 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 21 และ 28 กุมภาพันธ์ 2561 และวันที่ 14 มีนาคม 2561 | กค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๑ และ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ จำนวนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๓ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนด และจะดำเนินการออกพันธบัตร รุ่นอายุ ๑๐ ปี จำนวนรวม ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ในช่วงไตรมาสที่ ๓-๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อมาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นดังกล่าว รวมทั้งได้จัดส่งประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินดังกล่าว จำนวน ๒ ฉบับ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1511 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... | กค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. .... ไปตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับ (๑) กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัตินี้ควรกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดและให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายฯ เป็นที่สุด (๒) บทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... มีหลักการในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ อยู่ด้วย จึงควรพิจารณาเชื่อมโยงกับร่างพระราชบัญญัตินี้ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ความชัดเจนของบทบัญญัติต่าง ๆ ในร่างพระราชบัญญัตินี้ การละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายฯ ภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น การใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน กระบวนการระงับข้อพิพาท และกรณีที่ต้องนำเรื่องการจัดตั้งกองทุนเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายฯ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับประเด็นดังต่อไปนี้ไปพิจารณาแล้วส่งผลการพิจารณาไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาชองสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒.๑ บทนิยามคำว่า “กิจการส่งเสริม” ในร่างมาตรา ๔ ซึ่งกำหนดประเภทกิจการรวม ๑๒ ประเภท ส่วนกิจการอื่นให้เป็นตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนด นั้น เป็นการกำหนดประเภทกิจการที่ไม่มีความยืดหยุ่นในการปรับปรุงแก้ไขและอาจไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงควรกำหนดไว้ในกฎหมายลำดับรอง เช่น ประกาศหรือคำสั่งของคณะกรรมการนโยบายฯ ๒.๒ ร่างมาตรา ๒๑ กรณีกฎหมายใดก่อให้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคหรือเกิดความล่าช้าในการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการหารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบกฎหมายดังกล่าว เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคต่อคณะกรรมการนโยบายฯ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อสั่งการหรือเสนอให้คณะกรรมการนโยบายฯ กำหนดกรอบระยะเวลาเร่งรัดการจัดทำและดำเนินโครงการร่วมลงทุนในส่วนที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายและให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบดำเนินการตามที่คณะกรรมการนโยบายฯ กำหนด นั้น อาจเป็นการกำหนดให้คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายฯ มีอำนาจในการละเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ อันเป็นการก้าวล่วงเข้าไปทำหน้าที่แทนฝ่ายนิติบัญญัติ ๒.๓ ร่างมาตรา ๒๒ กรณีหน่วยงานเจ้าของโครงการอาจเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้เอกชนที่จะดำเนินโครงการร่วมลงทุนได้รับสิทธิและประโยชน์ เช่น ให้ได้รับสิทธิและประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือให้ใช้ทรัพย์สินของรัฐในเชิงพาณิชย์นั้น การบัญญัติในลักษณะดังกล่าวทำให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจยกเว้นกฎหมาย โดยที่กฎหมายนั้นมีบทบัญญัติที่กำหนดผู้มีอำนาจในการพิจารณาให้สิทธิและประโยชน์ไว้อยู่แล้ว สมควรที่กระทรวงการคลังจะพิจารณาความเหมาะสมของผู้มีอำนาจอนุมัติในลักษณะเช่นนี้ โดยเทียบเคียงกับแนวทางของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ๓. ให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่อง กองทุนส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของคณะกรรมนโยบายฯ แล้วแจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1512 | ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | กค | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขเพื่อใช้เป็นกรอบวินัยในการกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดมาตรการการกำกับดูแลและการควบคุมระดับหนี้ของ อปท. ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและจำเป็นตามภารกิจ และควรเพิ่มเติมเงื่อนไขในร่างระเบียบฯ ในกรณีที่ อปท. กู้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อไม่ให้ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการคลัง รวมทั้งเพิ่มเติมการจัดส่งข้อมูลการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แก่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและสำนักงานการบริหารหนี้สาธารณะ และให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและ อปท. มีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามร่างระเบียบฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับ อปท. และสาธารณชนทราบเกี่ยวกับการก่อหนี้ การบริหารหนี้ และการกำกับดูแลหนี้ของ อปท. ซึ่งไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะตามนิยามของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1513 | การเพิ่มทุนของหน่วยงานค้ำประกันเครดิตและการลงทุนแห่งภูมิภาคอาเซียน+3 | กค | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินสำหรับการเพิ่มทุนของหน่วยงานค้ำประกันเครดิตและการลงทุนแห่งภูมิภาคอาเซียน+๓ (Credit Guarantee and Investment Facility : CGIF) ตามสัดส่วนที่ประเทศไทยได้รับจัดสรร จำนวน ๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๒๘๑,๘๔๔,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงการคลังจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อรองรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนลงนามในแบบแสดงความจำนงในการเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ได้รับจัดสรร (Instrument of Subscription) โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่จำเป็นต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม เนื่องจากกรณีไม่เข้าตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1514 | ร่างพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกและปรับปรุงพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับคำนิยามของที่ราชพัสดุให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำทะเบียนที่ราชพัสดุและการปกครองดูแล บำรุงรักษา ใช้ จัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ และการเรียกคืนที่ราชพัสดุ ซึ่งจะช่วยให้ระบบการบริหารจัดการที่ราชพัสดุมีความชัดเจน และเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นำไปใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิง หรือเป็นฐานในการจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น หรือเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานอื่นของหน่วยงานของรัฐ ส่งผลทำให้เกิดความรวดเร็วในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และเพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับคำนิยม เช่น คำว่า ที่ราชพัสดุ ทรัพย์สินและที่ดิน องค์ประกอบของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ องค์ประกอบของคณะกรรมการประเมินมูลค่าทรัพย์สินประจำจังหวัด การกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการกำหนดให้โครงการจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุ การส่งบัญชีกำหนดมูลค่าประเมินทรัพย์สิน และบทกำหนดโทษ เป็นต้น และความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรพิจารณาการกำหนดโทษอาญาให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี (๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) ที่เห็นควรกำหนดโทษอาญาในกรณีที่เป็นการกระทำที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง และเป็นกรณีที่ไม่สามารถใช้มาตรการอื่นใดเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างได้ผลหรือมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะทำให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายได้ ทั้งนี้ หากโดยสภาพแล้วไม่ใช่ความผิดในลักษณะดังกล่าว สมควรใช้โทษปรับทางปกครองแทนหรือวิธีการอื่นแทนการปรับ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้กรมธนารักษ์เร่งสำรวจการใช้ที่ราชพัสดุของหน่วยงานราชการต่าง ๆ เพื่อให้มีการใช้ที่ดินและอาคารอย่างสมประโยชน์ และสอดคล้องกับศักยภาพและการใช้ที่ดินโดยรอบ อีกทั้งควรเน้นให้ส่วนราชการที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกันอยู่ในอาคารรวมเดียวกันและบางส่วนอาจนำที่ราชพัสดุมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและเมืองมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1515 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านศุลกากรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสหพันธรัฐมาเลเซีย | กค | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านศุลกากรระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสหพันธรัฐมาเลเซีย (Memorandum of Understanding Between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Malaysia Concerning Cooperation and Mutual Assistance in Customs Matters) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือ และการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างศุลกากรไทยและศุลกากรมาเลเซียให้เกิดความเข้าใจในการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับพิธีการศุลกากร กฎหมาย ข้อบังคับ และพิธีการต่าง ๆ การแจ้งข่าวสารและแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมศุลกากรหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับถ้อยคำที่ปรากฏในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จาก สหพันธรัฐมาเลเซีย เป็น มาเลเซีย ตามชื่อทางการของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน และเห็นควรให้กรมศุลกากรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าของไทยเพื่อให้ทราบความต้องการข้อมูลของฝ่ายไทยจากหน่วยงานศุลกากรของมาเลเซีย โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในกระบวนการส่งออกและนำเข้าให้กับผู้ประกอบการไทย โดยควรมีการหารือเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1516 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2561 | กค | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ คนร. อย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคนร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คนร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... ฯ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งจัดสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจ โดย คนร. ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและสอดคล้องกับมาตรฐานในการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับสากล โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการกำกับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงสภาพปัญหาและอุปสรรคในการกำกับดูแลติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิภาพสูงสุด ๑.๓ การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง พบว่าธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาองค์กรจนถึงปัจจุบัน คนร. จึงมีมติให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร และมอบหมายให้กระทรวงการคลังกำกับติดตามการดำเนินงานต่อไป สำหรับรัฐวิสาหกิจอีก ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มอบหมายให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ๒. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและกรอบเวลาที่ คนร. มอบหมาย เพื่อให้กระบวนการกำกับดูแลและการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ตลอดจนการจัดตั้งและบริหารจัดการบริษัทลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1517 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์) | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๒๕๗,๕๓๑,๖๐๐ บาท เพื่อให้กรมบัญชีกลางใช้ในการดำเนินการวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิสก์ (Electronic Data Capture : EDC) ภายใต้โครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติมอีก ๒๐,๐๐๐ เครื่อง (ร้านธงฟ้าประชารัฐ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เครื่อง และร้านประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน ๑๐,๐๐๐ เครื่อง) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามแผนเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และประเมินความต้องการใช้เครื่อง EDC ทั้งหมดให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเพียงพอในการรองรับการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายภายใต้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และความต้องการใช้เงินงบประมาณเพื่อดำเนินการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1518 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 เรื่อง แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ (กรณีคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย) | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินงานของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เป็นไปด้วยความรวดเร็ว เหมาะสม มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับยางพาราได้อย่างเท่าทันสถานการณ์ จึงสมควรที่จะมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์เกี่ยวข้องกับยางพาราเป็นอย่างดีเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการ กยท. ด้วย เพื่อร่วมพิจารณาและตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยบุคคลดังกล่าวควรเป็นกรรมการโดยตำแหน่งตามนัยมาตรา ๑๗ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ข้อ ๘ ที่กำหนดให้กรณีกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจกำหนดให้มีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ เป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ให้หน่วยงานนั้นแต่งตั้งจากบุคคลที่อยู่ในหน่วยงานเท่านั้น และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1519 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการอ้างบทอาศัยอำนาจ และการกำหนดตำแหน่งของผู้มีสิทธิเบิกจ่ายเงินค่ารับรองเท่าที่จ่ายจริง ยังไม่สอดคล้องกับนิยามคำว่า “ข้าราชการ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนของภาระงบประมาณที่อาจเพิ่มขึ้นให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการ และรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับอัตราค่าเช่าที่พักในการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาค่าเช่าที่พักท้องถิ่นในปัจจุบัน การปรับอัตราค่าเช่าที่พักสำหรับบางประเทศ และการเบิกจ่ายค่าเช่าที่พักแบบการใช้บริการห้องพักชั่วคราว (Day-Use) ระหว่างพักรอเที่ยวบินและการขอเข้าที่พักก่อนกำหนด (Early Check-in) ไปพิจารณาความเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1520 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ครบกำหนดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 | กค | 20/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้าบบาท ประกอบด้วย (๑) การกู้เงินระยะสั้น โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อายุ ๑ เดือน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑ เบิกเงินกู้ในวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๕๐ ต่อปี และ (๒) การออก R-Bill รุ่นอายุ ๑๘๒ วัน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๑ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๑.๓๓๐๐๗ ต่อปี ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดส่งประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการกู้เงินดังกล่าว จำนวน ๑ ฉบับ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
