ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 79 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1561 - 1580 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1561 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับคนพิการซึ่งไม่มีสัญชาติไทย) | กค | 03/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับคนพิการซึ่งไม่มีสัญชาติไทย) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้มีเงินได้ที่เป็นคนพิการซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่มีหนังสือรับรองความพิการจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมีอายุไม่เกิน ๖๕ ปีบริบูรณ์ เฉพาะเงินได้ส่วนที่ไม่เกิน ๑๙๐,๐๐๐ บาทต่อปี ทั้งนี้ สำหรับเงินได้ที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1562 | โครงการบ้านฅนไทย | กค | 03/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการดำเนินโครงการบ้านฅนไทย ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ ประเภทที่อยู่อาศัย กลุ่มเป้าหมาย กรอบวงเงินโครงการ และรูปแบบ : โครงการการผ่อนชำระสู่การเช่าระยะยาว ๑.๒ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน แยกบัญชีโครงการบ้านฅนไทย เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) โดยไม่ขอรับการชดเชยจากรัฐบาลและขอนำผลกระทบรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบ้านฅนไทยมาปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ และขอไม่นับรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NOLs) ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของ ธอส. และธนาคารออมสิน (กรณี % NPLs ที่เกิดขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย NPLs ของธนาคารในภาพรวม) และขอนำผลกระทบต่อรายได้และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงาน ๒. ให้เปลี่ยนชื่อโครงการจากเดิม “โครงการบ้านฅนไทย” เป็น “โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ” และให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของการดำเนินการ มาตรฐานของที่อยู่อาศัยที่จะพัฒนาขึ้น และการตรวจสอบคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความชัดเจน รวมทั้งควรคำนึงถึงการกระจายพื้นที่โครงการให้ครอบคลุมทั้ง ๖ ภาค การมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย และภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของวัตถุประสงค์การดำเนินโครงการฯ ตลอดจนความรับผิดชอบ และประโยชน์ที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และระยะเวลาการพิจารณาการจัดสรรที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ กรณีที่มีอุปทาน (supply) เหลือจากกลุ่มเป้าหมายที่ ๑ (ประชาชนที่อยู่ในทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกับกระทรวงการคลัง) เพื่อพิจารณาให้กลุ่มเป้าหมายที่ ๒ (ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๕,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน) และกลุ่มเป้าหมายที่ ๓ (ประชาชนทั่วไป) ให้เหมาะสม ชัดเจน และประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้รับทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึง เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ดังกล่าวสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้อย่างถูกต้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1563 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่) | กค | 26/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่) มีสาระสำคัญเป็นการขอขยายระยะเวลาเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ (New Start-up) โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักที่มีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ [เรื่อง ขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการเงินร่วมลงทุนและส่งเสริมผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ] โดยเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1564 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรอง) | กค | 26/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการจัดอบรมสัมมนาใน ๕๕ จังหวัด หรือเขตพื้นที่อื่นใดที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากำหนด ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์เพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ..(พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในจังหวัดท่องเที่ยวรอง ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวในโอกาสแรก รวมทั้งดำเนินการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการและภาคประชาชนในจังหวัดท่องเที่ยวรอง เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาสาธารณูปโภคและการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ของจังหวัดท่องเที่ยวรอง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1565 | โครงการของขวัญปีใหม่ปี 2561 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 26/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการของขวัญปีใหม่ ๒๕๖๑ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนปี ๒๕๖๑ ซึ่งประกอบด้วย (๑) โครงการเพื่อส่งเสริมวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชน โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ (๒) โครงการสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดย ธอส. ซึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั้งเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีเงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากขึ้น รวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. และ ธอส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการบวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงาน เห็นควรให้มีการดำเนินการตามกฎเกณฑ์และขั้นตอนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง และให้ ธอส. จัดเตรียมแนวทางรองรับ NPLs ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต กรณีประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามกลุ่มเป้าหมายของโครงการเกิดข้อจำกัดในการชำระหนี้ รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. ประชาสัมพันธ์โครงการชำระดีมีคืนอย่างทั่วถึงแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามเงื่อนไขโครงการ โดยการปลูกฝังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการชำระหนี้ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1566 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ราคาสิบบาท ห้าบาท สองบาท หนึ่งบาท ห้าสิบสตางค์ ยี่สิบห้าสตางค์ สิบสตางค์ ห้าสตางค์ และหนึ่งสตางค์ พ.ศ. .... | กค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ราคาสิบบาท ห้าบาท สองบาท หนึ่งบาท ห้าสิบสตางค์ ยี่สิบห้าสตางค์ สิบสตางค์ ห้าสตางค์ และหนึ่งสตางค์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดทำเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนชุดใหม่ จำนวน ๙ ชนิดราคา ได้แก่ ชนิดราคาสิบบาท ห้าบาท สองบาท หนึ่งบาท ห้าสิบสตางค์ ยี่สิบสตางค์ สิบสตางค์ ห้าสตางค์ และหนึ่งสตางค์ เพื่อใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1567 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2561 | กค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๖๑ พร้อมข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี ๒๕๖๑ ซึ่งกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ ๒.๕ ? ๑.๕ เช่นเดียวกับเมื่อปี ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและ กนง. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารเพื่อยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชน รวมทั้งรักษาระดับการผ่อนคลายนโยบายการเงินจนกว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะสามารถกลับเข้าสู่ค่ากลางของเป้าหมายการเงินได้อย่างชัดเจนควบคู่ไปกับการดูแลรักษาเสถียรภาพในระบบการเงิน และหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวอยู่นอกกรอบเป้าหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นสำหรับการบริโภคและการลงทุน ให้ กนง. เร่งพิจารณาหาแนวทางแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว และรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1568 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 | กค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ มียอดหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวนทั้งสิ้น ๖,๓๖๙,๓๓๑.๓๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๓๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้รัฐบาล จำนวน ๔,๙๕๙,๑๖๔.๔๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๙๗๐,๒๑๖.๓๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำนวน ๔๒๖,๓๒๑.๐๔ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๑๓,๖๒๙.๕๕ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพื่อใช้เป็นกรอบในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยได้มีการปรับปรุงแผนฯ แล้ว ๒ ครั้ง มีวงเงินรวมในแผนฯ ๑,๗๓๙,๐๐๗.๔๔ ล้านบาท โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังและหน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๕,๘๖๕.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๕๒ ของแผนฯ ๓. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การเคหะแห่งชาติ และการประปาส่วนภูมิภาค พบว่ามีโครงการที่มีการดำเนินการล่าช้ากว่าแผน จำนวน ๘ โครงการ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ๕ สายทาง โครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย-จีน ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1569 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 - 2564 ประจำปีงบประมาณ 2560 | กค | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาตัวชี้วัดความสำเร็จของแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ รวมถึงติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการเสร็จสิ้นทั้ง ๑๕ โครงการ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาฯ และ ๔ มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ (๑) การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสร้างรายได้ (๒) การแก้ไขปัญหาหนี้สิน (๓) การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน และ (๔) การติดตามและขับเคลื่อนนโยบายตามแผนพัฒนาฯ ๒. ภาพรวมโครงการของแผนพัฒนาฯ กระทรวงการคลังจะเร่งผลักดันและสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการจัดทำโครงการส่งเสริมการออมและการเข้าถึงสวัสดิการเพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาโครงการส่วนใหญ่มุ่งเน้นสินเชื่อที่สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อประกอบอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ รวมทั้งจะติดตามและกำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามแผนพัฒนาฯ อย่างเคร่งครัด โดยหากมีการปรับเปลี่ยน/ยกเลิกโครงการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นให้กระทรวงการคลังทราบ เพื่อรายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1570 | การดำเนินการด้านข้อมูลเครดิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยและแนวทางบูรณาการข้อมูลของประเทศ | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการด้านข้อมูลเครดิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยและแนวทางบูรณาการข้อมูลของประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยมีการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลสาธารณูปโภคและข้อมูลค้าปลีก โดยพิจารณาในประเด็นผลกระทบต่อประชาชน ความเป็นไปได้ ข้อกฎหมาย และประโยชน์โดยรวม ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการศึกษา เรื่องการจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลค่าสาธารณูปโภค ข้อมูลผู้ค้าปลีก และแนวทางบูรณาการข้อมูลของประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยมีการบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้คะแนนเพิ่มจากการประเมินและการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการเข้าไปประกอบธุรกิจ (Ease of doing business) ของธนาคารโลก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1571 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (กรณีพ้นตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์) (ศาสตราจารย์ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ และรองศาสตราจารย์ชโยดม สรรพศรี) | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง ศาสตราจารย์ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และรองศาสตราจารย์ชโยดม สรรพศรี ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างลงและที่จะว่าง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้การแต่งตั้งศาสตราจารย์ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ เป็นประธานกรรมการ มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป และรองศาสตราจารย์ชโยดม สรรพศรี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1572 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (จำนวน 7 คน 1. นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ฯลฯ) | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ จำนวน ๗ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ๒. รองศาสตราจารย์กุลภัทรา สิโรดม ๓. นายอนุชิต อนุชิตานุกูล ๔. นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ๕. นายอภิชาต ชินวรรโณ ๖. รองศาสตราจารย์กำจร ตติยกวี ๗. พลเอก วุฒินันท์ ลีลายุทธ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1573 | รายงานผลการกู้เงินภายใต้ Euro Commercial Paper (ECP Programme) ประจำปีงบประมาณ 2560 | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินภายใต้ Euro Commercial Paper (ECP Programme) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศภายใต้ ECP Programme จำนวน ๖ ครั้ง ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามสัญญาให้กู้ยืมเงินต่อบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) โดย บกท. นำรายได้มาชำระหนี้คืน จำนวน ๒๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๐ กระทรวงการคลังมีเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Programme จำนวน ๑๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีวงเงินกู้คงเหลือภายใต้ ECP Programme วงเงิน ๑,๘๗๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1574 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความ ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม 2 ฉบับ (มาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษีกรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม) | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษีกรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสนาม โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลตอบแทนเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยให้สอดคล้องกับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลตอบแทนจากเงินฝากประเภทดังกล่าวของสถาบันการเงินอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นกลางและสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1575 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ) | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนโครงการสานพลังประชารัฐ หรือเพื่อดำเนินการภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1576 | การบริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 จังหวัดเชียงราย | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงราย และให้ใช้ประโยชน์ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็นท่าเรือท่องเที่ยว) ในส่วนของข้อ ๒ ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จากเดิม ที่มอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานบริหารท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็น มอบหมายให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนเป็นผู้บริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย สำหรับการกำหนดอัตราค่าเช่าให้เป็นไปตามกฎระเบียบของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดเงื่อนไขในสัญญาให้มีการซ่อมแซมและบำรุงรักษาท่าเรือให้มีความมั่นคงแข็งแรง ตลอดจนจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนตามมาตรฐานที่กำหนด และจัดหาบุคลากรที่มีประสบการณ์มาบริหารจัดการท่าเรือ รวมทั้งให้ความสำคัญของการประมาณการเรือท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยว ประมาณการรายได้และรายจ่าย เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการพิจารณาแผนการพัฒนาท่าเรือแห่งที่ ๑ ของเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้การบริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณากรอบแนวทางบริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย ของเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุให้แก่กรมธนารักษ์ และความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาท่าเรือดังกล่าวและบริเวณโดยรอบให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (landmark) ของอำเภอเชียงแสน ตามความเห็นของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเมื่อกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเห็นชอบกรอบแนวทางการบริหารจัดการท่าเรือดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนสามารถดำเนินการบริหารจัดการท่าเรือดังกล่าวได้โดยเร็ว ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) สนับสนุนการดำเนินงานของท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย โดยดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการท่าเรือดังกล่าว ๒.๓ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยดำเนินการสนับสนุนให้ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ (landmark) โดยการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งดำเนินการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือดังกล่าวกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อสนับสนุนการยกระดับการท่องเที่ยวของภาคเหนือในภาพรวมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1577 | หลักเกณฑ์การจ่ายโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของบริษัทในเครือที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐวิสาหกิจ | กค | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การจ่ายโบนัส เพื่อช่วยให้บริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจมีแนวปฏิบัติในการจัดสรรโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยใช้วิธีเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินโบนัสกรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้แล้วเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อความในหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๘๐๘.๑/๑๙๘๗๙ ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ข้อ ๒.๒ เป็นดังนี้ “ (๑) เกณฑ์การจ่ายโบนัสพนักงาน -ให้จ่ายโบนัสพนักงานในอัตราไม่เกินร้อยละ ๙ ของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกิน ๕ เท่าของเงินเดือน -กรณีที่วงเงินไม่เกินร้อยละ ๙ ของกำไรสุทธิ ต่ำกว่า ๑ เท่าของเงินเดือน แต่มีกำไรสุทธิมากกว่า ๑ เท่าของเงินเดือน ให้จ่ายโบนัสพนักงานในอัตรา ๑ เท่าของเงินเดือน ...” ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้รัฐวิสาหกิจแม่รายงานผลการจัดสรรโบนัส และรายงานข้อมูลบริษัทตามแนวทางการบริหารและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจและบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจให้กระทรวงเจ้าสังกัดทราบ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ให้รัฐวิสาหกิจ และบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทราบ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจใดมีปัญหาในการปฏิบัติใด ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ ให้หารือไปยัง สคร. โดยให้ สคร. เป็นผู้ตอบข้อหารือและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาจนได้ข้อยุติ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และ/หรือคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงการคลัง โดย สคร. นำเรื่องดังกล่าวเสนอ คนร. และ/หรือคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1578 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2560) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๐) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๐ มีทิศทางขยายตัวชัดเจนมากขึ้นที่ร้อยละ ๓.๕ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการภาคการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวดีตามเศรษฐกิจโลก ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามรายได้ในภาคเกษตรกรรมที่ปรับดีขึ้นเป็นสำคัญ สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ ด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในเวลานี้อาจไม่สามารถช่วยให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นได้มากนัก อีกทั้งยังประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะมีทิศทางปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ กนง. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ๒.๒ ด้านนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. อยู่ระหว่างการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงิน เช่น แนวทางการกำกับดูแลเกี่ยวกับการจัดชั้นและการกันเงินสำรองเพื่อรองรับมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ ๙ (IFRS 9) ส่วนด้านนโยบายการกำกับตรวจสอบ ธปท. ได้ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำ Supervisory Stress Test ภายใต้สถานการณ์จำลองที่กำหนด เพื่อประเมินผลกระทบของสถานการณ์จำลองต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะ ๓ ปีข้างหน้า (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒) สำหรับการตรวจสอบด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ตรวจสอบด้านการเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยไซเบอร์ และระบบรองรับ National e-Payment และการดำเนินการตามแผนการยกระดับความปลอดภัยของ ATM ๒.๓ ด้านนโยบายระบบการชำระเงิน ธปท. ได้ผลักดันการดำเนินงานภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) และร่วมกับกระทรวงการคลังผลักดันร่างพระราชบัญญัติระบบการชำระเงิน พ.ศ. .... (ปัจจุบันได้ประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐) รวมทั้งร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลบริการการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ ธปท. ได้ดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการความเสี่ยงของระบบบาทเนต (Bank of Thailand Automated High-value Transfer Network : BAHTNET)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1579 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2560 | กค | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๓.๕ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๙ (ร้อยละ ๓.๑) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๐.๖๗ เร่งตัวขึ้นจากปีก่อน (ร้อยละ ๐.๑๙) เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่สถาบันการเงินมีเงินสำรองและเงินกองทุนอยู่ในระดับสูงเพียงพอ ส่วนด้านเสถียรภาพต่างประเทศของไทยยังคงเข้มแข็งและสามารถรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้ อย่างไรก็ดี กนง. เห็นว่า มีสัญญาณความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินเพิ่มขึ้นในบางจุด ได้แก่ (๑) ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ด้อยลงจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง และ (๒) พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นภายใต้ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานโดยเฉพาะแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ๒. การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕๐ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๐ เงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ ๓. ประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ กนง. ให้ความสำคัญ ได้แก่ (๑) การพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารด้านการดำเนินนโยบายการเงินต่อสาธารณชน เพื่อสร้างความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายการเงิน (๒) การติดตามพัฒนาการและประเมินความเสี่ยงด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินอย่างต่อเนื่อง และผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกรอบการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (๓) การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เช่น ปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชน และศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และ (๔) การติดตามการพัฒนาเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจควบคู่กับการใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาดำเนินนโยบายในระยะต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1580 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2560 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ | กค | 04/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี ๒๕๖๐ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยสามารถรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และสามารถนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ รวมทั้งมีการให้ความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซี่งในช่วงครึ่งปีแรก ปี ๒๕๖๐ ศูนย์ข้อมูลฯ ได้มีการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ (๑) จัดทำวารสารศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC Journal) ซึ่งเป็นวารสารที่นำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ที่ศูนย์ข้อมูลฯ ได้เผยแพร่ต่อเนื่องมาตลาด ๑๒ ปี และ (๒) จัดการอบรมและสัมมนาเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างบทบาทของศูนย์ข้อมูลฯ ให้เป็นแหล่งข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ ๒. สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีแรก ปี ๒๕๖๐ ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยเฉพาะเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีการชะลอตัวของจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยทั้งในด้านอุปสงค์และอุปทานเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ระดับราคาที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ (ยังไม่เริ่มก่อสร้าง) ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๓. ผลการสำรวจผ่านแอปพลิเคชันคนไทยมีบ้าน (Home for All) โดยสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนทั่วประเทศ พบว่ามีความต้องการซื้อบ้านหลังแรก ร้อยละ ๗๙.๗ มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินกู้ต่อเดือนสูงสุดไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ร้อยละ ๘๔.๔ มีความต้องการสินเชื่อต่ำกว่า ๒ ล้านบาท ร้อยละ ๘๒.๘ และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านพร้อมที่ดินซึ่งมีราคาสูงกว่า ๒ ล้านบาท ร้อยละ ๙๒.๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
