ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 72 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 1421 - 1440 จากข้อมูลทั้งหมด 9659 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1421 | ผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (Asian Infrastructure Investment Bank: AIIB) ครั้งที่ 3 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1422 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2561 | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เร่งรัดดำเนินการตามแผนการฟื้นฟูองค์กร และให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจกำกับและติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง รวมทั้งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระบบคมนาคมขนส่งในภาพรวม (๒) การกำหนดมาตรการรองรับการเกษียณอายุก่อนกำหนดของบุคลากรรัฐวิสาหกิจ และบุคลากรที่จะเข้าสู่กลุ่มผู้เกษียณอายุ และ (๓) การสร้างการรับรู้ให้กับพนักงานให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการดำเนินการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ๑.๒ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีมติเห็นชอบกรอบหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ (ฉบับเดิม) โดยได้พิจารณาให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและตามมาตรฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยหลักการและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ฉบับปรับปรุง จะมีทั้งสิ้น ๑๐ หมวด ประกอบด้วย (๑) การดำเนินงานของภาครัฐในฐานะเจ้าของ (๒) การดำเนินงานตามกฎหมาย (๓) สิทธิและความเท่าเทียมกันของเจ้าของกิจการ/ผู้ถือหุ้น (๔) ว่าด้วยเรื่องคณะกรรมการ (๕) บทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย (๖) นวัตกรรมและความยั่งยืน (๗) การเปิดเผยข้อมูล (๘) การบริหารความเสี่ยงและการควบคุมภายใน (๙) จรรยาบรรณ และ (๑๐) การติดตามผลการดำเนินงาน ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับกรณีการเพิ่มทุนให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยว่า ภายหลังการเพิ่มทุนให้กับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำนวน ๑๘,๑๐๐ ล้านบาท ส่วนของทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยก็จะยังติดลบอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1423 | ร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย (Framework Agreement for Reimbursable Advisory Services : RAS Framework Agreement) และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ลงนามในร่างสัญญาประธานฯ เพื่อใช้เป็นสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่ายของทุกหน่วยงานรัฐต่อไป โดยร่างสัญญาประธานฯ เป็นรูปแบบหนึ่งของความร่วมมือทางวิชาการระหว่างธนาคารโลกและประเทศต่าง ๆ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางความร่วมมือ ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ธนาคารโลกในฐานะผู้ให้บริการให้คำปรึกษา และหน่วยงานของรัฐในฐานะผู้รับบริการการให้คำปรึกษาต้องปฏิบัติตาม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างสัญญาประธานฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น ควรกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่หน่วยงานของรัฐจะดำเนินการจ้างธนาคารโลกในรูปแบบการให้ความร่วมมือทางวิชาการแบบมีค่าใช้จ่าย (Reimbursable Advisory Services : RAS) ให้ชัดเจน ควรระมัดระวังในการกำหนดเงื่อนไขของร่างสัญญาในแต่ละโครงการไม่ให้ขัดแย้งกับร่างสัญญาประธานฯ และเอกสารแนบท้ายสัญญาที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว และควรให้หน่วยงานของรัฐจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณภายใต้กรอบวงเงินและแผนการชำระเงินเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามวิธีการงบประมาณต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1424 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2562 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๒,๒๕๑.๖๔๔ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๓,๓๓๓.๓๗๑ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ทราบ เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ ขสมก. และ รฟท. เร่งดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การพลิกฟื้นฐานะองค์กร และการลงทุนโครงการต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานภาระที่รัฐต้องรับชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ตามนัยมาตรา ๒๘ และดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของ ขสมก. และ รฟท. ให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่ต้องขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้มีความชัดเจน เหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำข้อตกลงการให้บริการสาธารณะและเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้แล้วเสร็จโดยเร็วยิ่งขึ้น เพื่อลดปัญหาการขาดสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจและภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมาให้บริการสาธารณะ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำงวดครึ่งปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๙ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1425 | ร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล การกำหนดผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานของระบบการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตลอดจนการกำหนดแนวทางการคุ้มครองประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลและผู้ใช้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ปรับแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางในการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (มาตรา ๒๖ และมาตรา ๘๑ ประกอบกับมาตรา ๒๖๓)] ประกอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ [เรื่อง แนวทางการจัดทำร่างกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เพิ่มเติม)] และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำหนดนิยามและบทบัญญัติของกฎหมายในร่างฉบับนี้ ควรมีความชัดเจนมากที่สุดเพื่อป้องกันการตีความกฎหมาย และเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดหน้าที่ของสมาชิก และการทำหน้าที่ผู้ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (AS) ของหน่วยงานรัฐ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามกระบวนการและขั้นตอนของการเสนอกฎหมายต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1426 | การเพิ่มทุนแบบสามัญและเฉพาะเจาะจงของกลุ่มธนาคารโลก ปี 2561 | กค | 11/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบสามัญ และการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ของธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและวิวัฒนาการ (International Bank for Reconstruction and Development : IBRD) และบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (The International Finance Corporation : IFC) ในวงเงินจำนวน ๗๗.๙๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา ๕ ปี หรือประมาณ ๒,๖๕๒ ล้านบาท (คำนวณ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ ๓๔ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐ) โดยแบ่งออกเป็นส่วนของ IBRD จำนวน ๓๘.๔๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๑,๓๐๗ ล้านบาท และส่วนของ IFC จำนวน ๓๙.๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๑,๓๔๕ ล้านบาท และมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบสามัญและการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงของ IBRD และ IFC ให้กระทรวงการคลังจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนและวิธีการงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1427 | รายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note : PN) วงเงินที่ ๒ จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๒ (LB28DA) อายุ ๑๐.๔๔ ปี จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๒.๗๔๑๗ ต่อปี และได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1428 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรประจำปีบัญชี 2560 (วันที่ 1 เมษายน 2560-31 มีนาคม 2561) | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประจำปีบัญชี ๒๕๖๐ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๑) ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานปีบัญชี ๒๕๖๐ ยุทธศาสตร์การดำเนินงานระยะ ๕ ปี (ปีบัญชี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และนโยบายสำคัญของปีบัญชี ๒๕๖๑ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1429 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานในปี ๒๕๖๐ และทิศทางและนโยบายการดำเนินงานของ บตท. ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1430 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ประกอบด้วย รายงานผลการดำเนินงานปี ๒๕๖๐ ผลการดำเนินงานด้านสินเชื่อและรับประกัน และทิศทางและแผนงานปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ ของ ธสน. ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1431 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2560 | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๖๐ โดยมีทุนหมุนเวียนทั้งสิ้น ๑๑๕ ทุน แต่มีทุนหมุนเวียนที่สามารถประเมินผลการดำเนินงานได้ทั้งหมด ๑๑๓ ทุน ได้แก่ (๑) ทุนหมุนเวียนในระบบประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๙๕ ทุน ในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยรวม ๔ ด้าน ดีกว่าเป้าหมายปกติ โดยมีคะแนนเฉลี่ยด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสูงที่สุด และมีคะแนนเฉลี่ยด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียนต่ำที่สุด (๒) ทุนหมุนเวียนที่ไม่เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานของกรมบัญชีกลาง ประจำปี ๒๕๖๐ จำนวน ๑๘ ทุน แบ่งเป็นทุนหมุนเวียนที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้มีการประเมินผลการดำเนินงาน จำนวน ๙ ทุน และทุนหมุนเวียนที่มีสถานะไม่พร้อมเข้าสู่ระบบประเมินผล ในปีบัญชี ๒๕๖๐ จำนวน ๙ ทุน สำหรับปัญหาอุปสรรคที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ได้แก่ การขาดกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้บริการที่แท้จริง การวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการลงทุนในโครงการสำคัญ และการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนเทียบกับคู่เทียบในประเภททุนหมุนเวียนเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1432 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ ราย นายโสภณ หงษ์ทอง และนายสุทธิรัตน์ (สทรรป) หงษ์ทอง | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงโฉนดเลขที่ ๑๒๙๘๖ เลขที่ดิน ๑๔๘ ตำบลสามบัณฑิต อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ ๒-๐-๐๐ ไร่ คืนให้แก่ นายโสภณ หงส์ทอง และนายสุทธิรัตน์ (สทรรป) หงส์ทอง ผู้ยกให้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1433 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสุรีพร ศิริขันตยกุล) | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุรีพร ศิริขันตยกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี (นักบัญชีทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1434 | การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 04/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตามความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ดำเนินโครงการพัฒนาฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์มือสอง จำนวน ๓๑.๑ ล้านบาท ๑.๒ การใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ตามความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แก่มูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology : InFinIT) จำนวน ๖๕๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้มีการติดตามและประเมินผลก่อนจะขอรับเงินสนับสนุนในแต่ละงวด เพื่อแสดงถึงความพร้อมและศักยภาพในการใช้จ่ายเพื่อดำเนินโครงการฯ อย่างเหมาะสม และควรกำหนดบทบาทหน้าที่ให้มีความชัดเจนเพื่อลดความซ้ำซ้อนกับกลไกที่มีอยู่เดิม รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการและประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) และสำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ให้สถาบันการเงินอื่นที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ มีส่วนร่วมในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในระยะต่อไปด้วย นอกจากนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สอดคล้องกับการเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานโครงการฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการของสถาบัน InFinIT บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1435 | รายงานการชำระบัญชีที่เสร็จสิ้นขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน | กค | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการชำระบัญชีที่เสร็จสิ้นขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ จนถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดการเลิกจ้างและจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานให้แก่พนักงานของ ปรส. ที่ยังปฏิบัติงานอยู่หลังวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติยุบเลิก ปรส. จำนวน ๑๘ คน โดยได้เลิกจ้างและจ่ายค่าชดเชยพนักงานหมดสิ้นทุกคนแล้ว และมีผลในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ๒. การติดต่อชำระหนี้หรือยื่นคำทวงหนี้ต่อคณะกรรมการผู้ชำระบัญชีของ ปรส. พบว่า มีเจ้าหนี้ จำนวน ๒๒ ราย และลูกหนี้ จำนวน ๑ ราย ซึ่ง ปรส. ได้จัดการใช้หนี้เงินเสร็จสิ้นไปตามมาตรา ๑๒๕๓ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ๓. การบริจาคทรัพย์สินของ ปรส. แทนการจำหน่ายก่อนการยุบเลิกและชำระบัญชีของ ปรส. เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ คณะกรรมการ ปรส. ได้ประมูลขายทรัพย์สินของ ปรส. ที่ไม่ได้ใช้งาน และได้บริจาคทรัพย์สินให้ส่วนราชการที่แจ้งความจำนงขอรับบริจาค รวมทั้งได้ตัดจำหน่ายทรัพย์สินที่ไม่สามารถรื้อถอนได้ เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนเงิน ๕๙๕,๔๓๘.๔๑ ล้านบาท สำหรับทรัพย์สินที่มีชื่อบริจาคให้หน่วยราชการที่เคยแสดงความจำนงขอมาแต่ไม่มารับ ปรส. ได้รวบรวมและมอบให้สำนักงานอัยการสูงสุดนำไปใช้ประโยชน์ ส่วนอุปกรณ์และเครื่องใช้สำนักงานที่ใช้งานไม่ได้และที่ยังเหลืออยู่บางชิ้นเพื่อการใช้งาน ได้บริจาคให้มูลนิธิพระดาบสนำไปปรับปรุงใช้ในการเรียนการสอนของโรงเรียนพระดาบส ๔. ปัญหาสำคัญที่ทำให้การชำระบัญชีของ ปรส. ยืดเยื้อเป็นเวลานานคือ การดูแลติดตามคดีที่ ปรส. ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วม ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาในขั้นตอนต่าง ๆ ของศาลตั้งแต่ยังไม่ยุบเลิก ปรส.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1436 | โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 | กค | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ เพื่อส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ส่งเสริมการพัฒนาตนเองและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างภาครัฐกับประชาชน โดยจะให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่แก่ผู้มีรายได้น้อย ผ่านกลไกการดำเนินโครงการที่กระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน กสทช. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดทำแผนการดำเนินโครงการดังกล่าวในรายละเอียด เช่น แนวปฏิบัติในการดำเนินโครงการฯ ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ รูปแบบชุดข้อมูลแนวทางการประชาสัมพันธ์โครงการฯ เป็นต้น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำประเด็นต่อไปนี้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๑ ให้นำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้จัดทำไว้เป็นรายบุคคลมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงความต้องการของผู้เข้าร่วมโครงการฯ แต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้ในการออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิตามโครงการฯ แบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ ๑.๒ ให้ประสานงานกับสำนักงาน กสทช. เพื่อขอความร่วมมือให้หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) ควรสนับสนุนให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดสรรการให้บริการที่เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อยและภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ และ (๒) ให้ระมัดระวังความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นของการให้บริการอินเทอร์เน็ตภายใต้โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ ที่กระทรวงการคลังเสนอมาในครั้งนี้กับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. เช่น ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำฐานข้อมูลผู้ได้รับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐมาวิเคราะห์เพื่อใช้ออกแบบข้อมูลที่ตอบสนองความต้องการของผู้ได้รับสิทธิแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเป้าหมาย และควรประชาสัมพันธ์การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และให้สำนักงาน กสทช. หารือร่วมกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของภาครัฐและประชาชน และความซ้ำซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นกับโครงการเน็ตประชารัฐที่ดำเนินการอยู่แล้ว รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินโครงการฯ เพื่อนายกรัฐมนตรีทราบในลักษณะข้อมูลออนไลน์ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี และให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการฯ ในภาพรวม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกในการประเมินผลโครงการสวัสดิการแห่งรัฐในภาพรวม เพื่อให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ได้อย่างชัดเจน และนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงรูปแบบการจัดสวัสดิการของภาครัฐในระยะต่อ ๆ ไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1437 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม) | กค | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร เพื่อจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เฉพาะรายได้ตามมาตรา ๔๐ (๔) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร และปรับปรุงการจัดเก็บภาษีจากกองทุนรวมทั้งระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า เดิมรัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมเพื่อลดความเสี่ยงของผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อย ซึ่งการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวของกระทรวงการคลังอาจจะส่งผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยเปลี่ยนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้โดยตรงมากขึ้น อันจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยสูงขึ้น ดังนั้น กระทรวงการคลังควรพิจารณากำหนดมาตรการลดความเสี่ยงในการลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยที่เปลี่ยนไปลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้โดยตรงมากขึ้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1438 | การเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด รายเดือน (๒๐๐/๑๐๐ บาท/คน/เดือน) สำหรับระยะเวลาคงเหลืออีก ๔ เดือน (กันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๑) เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้มีสิทธิตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนด้วยเงินจำนวนเท่าเดิมกับที่เคยได้รับ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้แก่ผู้มีสิทธิสามารถนำไปใช้จ่ายตามความต้องการ อันจะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ และส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การพิจารณาแนวทาง รูปแบบ วิธีการ และการบูรณาการกลไกสนับสนุนมาตรการทางการคลังต่าง ๆ อย่างครอบคลุมและเป็นองค์รวม ตลอดจนพึงเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีสิทธิใช้จ่ายในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมและเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชนโดยรวม รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับการใช้งานกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการ ทั้งความพร้อมด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการให้ทราบถึงช่องทางและวิธีการใช้บัตร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ทราบถึงการเติมเงินสงเคราะห์เข้ากระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม (กรณีที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๑๐๐ บาท และกรณีที่มีรายได้เกินกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี ได้รับเงินเดือนละ ๕๐ บาท) รวมทั้งรณรงค์เพื่อเสริมสร้างวินัยให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์หลักของการดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1439 | การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2561 | กค | 28/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เรียกให้ทุนหมุนเวียนที่มีทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี ๒๕๖๑ จำนวน ๑๘ ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘,๗๕๙.๗๕ ล้านบาท โดยให้ทุนหมุนเวียนนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินฯ ภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ (ยกเว้นกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) ๑.๒ ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนประสานงานกับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน ปีบัญชี ๒๔๖๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ในกรอบวงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ให้ตระหนักถึงศักยภาพและความเหมาะสมในการใช้จ่ายเงินเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของภารกิจในความรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และหากมีทุนหรือผลกำไรส่วนเกินให้เร่งนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 1440 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นายเกียรติณรงค์ วงศ์น้อย) | กค | 21/08/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเกียรติณรงค์ วงศ์น้อย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
