ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 125 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2481 - 2500 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2481 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ (พ.ร.ก.) ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินประมาณ ๒๖.๒๕๕๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการขยายระยะเวลาการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้ พ.ร.ก. ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังจากปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ได้แก่ ๑.๒.๑ โครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๒๓.๙๐๕๐ ล้านบาท โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพส่วนราชการ (รายการก่อสร้างศูนย์กีฬาและนันทนาการ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๑๓๙.๒๐ ล้านบาท โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๓ โครงการขยายวิทยาเขตราชบุรีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (รายการก่อสร้างหอประชุม ๑ หลัง) วงเงิน ๑๔.๙๕๗๑ ล้านบาท และโครงการเพิ่มศักยภาพสวนอุตสาหกรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (รายการก่อสร้างอาคารวิจัยและนวัตกรรม) วงเงิน ๗๒ ล้านบาท ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ตามลำดับ ๑.๒.๔ โครงการก่อสร้างอาคารสิรินธรเพื่อดูแลผู้สูงอายุ วงเงิน ๖๙๙.๗๐ ล้านบาท และโครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากร ด้านสาธารณสุข วงเงิน ๓.๙๗๖๑ ล้านบาท ของสภากาชาดไทย โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน พ.ร.ก. ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ และ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ ตามลำดับ ๑.๒.๕ รายการก่อสร้างของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๒๘ รายการ วงเงิน ๓๒๓.๙๒๒๗ ล้านบาท เบิกจ่ายถึงระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๖-เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามความคืบหน้าของแต่ละโครงการและอนุมัติการยกเลิกรายการก่อสร้างของกระทรวงสาธารณสุข และนำวงเงินกู้ดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๑.๒.๖ เงินสำรองจ่ายและค่าประกันผลงานที่จะต้องเบิกจ่ายหลังการดำเนินโครงการแล้วเสร็จจึงไม่สามารถเบิกจ่ายได้ภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ โดยขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายจนกว่าการเบิกจ่ายรายการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ ๑.๓ อนุมัติการยกเลิกโครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่โครงการหลวงประจำปี ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๙,๙๑๑,๕๐๐ บาท และนำวงเงินกู้ดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายในสาขาเศรษฐกิจต่อไป ๑.๔ จัดสรรเงินสำรองจ่ายเพื่อเป็นเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ได้แก่ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๖ รายการ วงเงิน ๒๑,๗๖๔,๐๙๖.๓๗ บาท และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ รายการ วงเงิน ๑,๔๖๕,๙๕๔ บาท ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินโครงการเดิมให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาใหม่ที่ขยายให้ในครั้งนี้ และไม่ควรให้มีการนำเสนอโครงการใหม่ใด ๆ ที่จะเป็นภาระผูกพันกับการขยายกรอบระยะเวลาอีก เนื่องจากการบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดดังกล่าวได้เลยกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้เดิมในปี ๒๕๕๕ มาระยะหนึ่งแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2482 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมเขตศุลกากร ด่านพรมแดน และทางอนุมัติของด่านศุลกากรเชียงของและด่านศุลกากรบึงกาฬ เพื่อรองรับเส้นทางตามกรอบการดำเนินการโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2483 | รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี 2555 (1 เมษายน 2555 - 31 มีนาคม 2556) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๕ (๑ เมษายน ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการงานของ ธ.ก.ส. ประจำปีบัญชี ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๔ สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ มีจำนวน ๑,๑๙๕,๐๒๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๓๙,๔๗๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๒๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๙,๐๘๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๓๑๐ ล้านบาท โดยระหว่างปีมีรายได้รวมจำนวน ๖๗,๐๗๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๐,๘๘๘ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๓๘ ในขณะที่รายจ่ายรวมมีจำนวน ๓๙,๐๓๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๔ จำนวน ๕,๗๘๒ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๓๙ โดยในปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้ตั้งสำรองรายการหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญ และขาดทุนจากการด้อยค่าจำนวน ๑๘,๙๕๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๓.๘๖ จากปีบัญชีก่อน สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๕ ธ.ก.ส. มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ร้อยละ ๑๐.๕๙ ลดลงจากสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๔ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๑๐.๙๖ ๒. ธ.ก.ส. มีโครงการสำคัญ เช่น โครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๔ (หนี้ค้างชำระ) โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๕ (หนี้ปกติ) โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||
2484 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ดำเนินโครงและอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ให้กับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการพัฒนาระบบยื่นรายงานประกอบแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (Summary Table) วงเงิน ๙๘๘,๕๗๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยให้กรมสรรพากรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีงบประมาณเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๑๐,๗๐๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๓ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ๑.๔ อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติจัดสรรเงินกู้ DPL ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง สำหรับโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPPs Model) สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูง วงเงิน ๒๖,๗๕๐,๐๐๐ บาท (วงเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการอีกครั้งในขั้นตอนการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy : DPL) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของกรอบระยะเวลาโครงการศึกษาจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnerships : PPPs) และโครงการศึกษาและจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้มีกรอบระยะเวลาที่สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และประสานกระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และการรถไฟแห่งประเทศไทย) เพื่อให้การดำเนินโครงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน เป็นการศึกษาต่อยอดจากผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูง ๔ เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา กรุงเทพฯ-หัวหิน และกรุงเทพฯ-ระยอง และมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของกระทรวงคมนาคม และข้อสังเกตของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานระบบร่วมกับระบบงานอื่นที่มีอยู่ ควรมีรายละเอียดการคำนวณและวิเคราะห์ปริมาณงานที่ให้บริการเพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสมในการออกแบบระบบและขนาดของฮาร์ดแวร์ที่เลือกใช้ ควรมีการบูรณาการฐานข้อมูลของระบบให้เข้ากับฐานข้อมูลส่วนอื่น ๆ ของกรมสรรพากร รวมทั้งกำหนดอัตราค่า Man month ของที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและพัฒนาระบบให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังประกาศ นอกจากนี้ ควรแจกแจงรายละเอียดของการพัฒนาระบบงานประยุกต์ที่จะดำเนินการให้ชัดเจนตามมาตรฐานราคากลางการพัฒนาซอฟต์แวร์ และวางแผนขั้นตอนการดำเนินงานแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของโปรแกรมประยุกต์ก่อนการจัดหาระบบฮาร์ดแวร์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2485 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่ตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พ.ศ. .... | กค | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่ตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สน.๑๑๔๘ เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๒๙๖ ไร่ ๑ งาน ๐๐ ตารางวา โดยมีเนื้อที่ถอนสภาพประมาณ ๑๙๑ ไร่ ๓ งาน ๕๕.๘ ตารางวา ในท้องที่ตำบลห้วยยาง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2486 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรก ปี 2556 | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรก ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การรายงานและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ งานวิชาการ การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร และสถานการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยศูนย์ข้อมูลฯ สามารถดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ สามารถนำข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ รวมทั้งมีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งแรก ปี ๒๕๕๖ ได้มีการจัดการอบรมและสัมมนาเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างบทบาทของศูนย์ข้อมูลฯ ให้เป็นแหล่งข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่น่าเชื่อถือและนำไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจของทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
2487 | ขอขยายกรอบงบลงทุนเพิ่มเติมโครงการบ้านสวัสดิการเพื่อข้าราชการ "โครงการบ้านธนารักษ์" | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการโครงการบ้านสวัสดิการเพื่อข้าราชการ “โครงการบ้านธนารักษ์” ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด โดยการก่อสร้างโครงการบ้านธนารักษ์ภูเก็ต สุพรรณบุรี และเชียงใหม่ แล้วเสร็จรวม ๓ โครงการ เมื่อปี ๒๕๕๑ คงเหลือโครงการบ้านธนารักษ์นนทบุรี ที่ผู้รับจ้างไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญา (ครบสัญญาวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) เนื่องจากผู้รับจ้างประสบปัญหาสภาพคล่อง และบริษัทฯ ได้บอกเลิกสัญญาจ้างแล้วเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ทั้งนี้ การดำเนินการภายหลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จของโครงการบ้านธนารักษ์ภูเก็ต สุพรรณบุรี และเชียงใหม่ ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ได้ส่งมอบบ้านให้ข้าราชการผู้จองสิทธิ์แล้ว จำนวน ๓๐๕ หน่วย จากทั้งหมด ๓๔๐ หน่วย สำหรับโครงการบ้านธนารักษ์นนทบุรี บริษัทฯ ได้จ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังดำเนินการตรวจสอบปริมาณงานและประเมินมูลค่างานคงเหลือของอาคาร นอกจากนี้ ได้ประเมินค่าก่อสร้างเพิ่มเติมงานสาธารณูปโภคภายนอกที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ ค่าซ่อมแซมความเสียหายต่าง ๆ จากการหยุดก่อสร้าง และงานประกอบอื่น ๆ เพื่อความสมบูรณ์ รวมทั้งได้ปรับราคาตามดัชนีค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น และมีแผนดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่เหลือ ๑.๒ อนุมัติขยายกรอบวงเงินลงทุนเพิ่มเติมโครงการบ้านธนารักษ์ จากวงเงินลงทุนเดิม ๑,๐๑๔.๓๒๕ ล้านบาท เป็น ๑,๑๓๒.๓๗๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๑๑๘.๐๔๙ ล้านบาท โดยใช้เงินสภาพคล่องและเงินที่เรียกคืนจากธนาคารผู้ค้ำประกันสัญญาจ้างก่อสร้างของผู้รับจ้างรายเดิม รวมทั้งรายได้ค่าก่อสร้างตามประมาณการรายรับ ๒. ให้กระทรวงการคลังและบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าโครงการบ้านธนารักษ์ภูเก็ตและโครงการบ้านธนารักษ์นนทบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว เห็นควรให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้บริษัทฯ เร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อผู้รับประโยชน์จากโครงการฯ และฐานะการเงินของบริษัทฯ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกำกับการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการฯ และการเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตลอดจนพิจารณาความเหมาะสมของแหล่งเงินทุนโครงการฯ โดยคำนึงถึงปัญหาสภาพคล่องและฐานะการเงินของบริษัทฯ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินโครงการบ้านสวัสดิการเพื่อข้าราชการ “โครงการบ้านธนารักษ์” ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด รวมทั้งกำกับติดตามการดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดังกล่าว และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
||||||||||||||||||
2488 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 13 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2557) | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๓ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ วงเงินชดเชยรวมทั้งสิ้น ๒,๐๘๕ ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ๑.๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๕๓ ล้านบาท ๑.๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งได้ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๓๒ ล้านบาท ๑.๒ กำชับให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางที่มีความชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดการดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ระยะที่ ๑๓ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางและมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๒ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖)] โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งศึกษาแนวทางการดำเนินมาตรการ เพื่อให้ผลการศึกษามีความครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ สามารถบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการ อนุมัติและเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑,๕๕๓ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๗ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินในวงเงิน ๕๓๒ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นให้แก่ ขสมก. และ รฟท. สำหรับการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการรถร่วมประจำทางเพื่อลดต้นทุนการให้บริการ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงประชาชนผู้ใช้บริการ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
2489 | การปรับปรุงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของธนาคารออมสิน | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงค่ารักษาพยาบาลบิดา มารดาของพนักงานธนาคารออมสิน จากวงเงินปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท เป็น ๖๐,๐๐๐ บาท และการปรับปรุงค่ารักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลเอกชนและคลินิกประกอบโรคศิลปะ ประเภทผู้ป่วยนอกเท่าที่จ่ายจริง ภายในวงเงินไม่เกินปีละ ๓,๖๐๐ บาท โดยไม่ระบุวงเงินในแต่ละครั้ง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า กระทรวงการคลังควรพิจารณาศึกษาภาพรวมการกำหนดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และประมาณการภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เพื่อพิจารณาหาแนวทางในการพัฒนารูปแบบและกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2490 | การกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ในปีงบประมาณ 2557 จำนวน 11,000 ล้านบาท | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๑๑,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อป้องกันปัญหาการขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานของ ธอส. ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน และการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้ ธอส. รับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องในระยะยาว โดยให้ ธอส. พิจารณาออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีระยะเวลายาวขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับอายุของทรัพย์สินที่เป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากเฉพาะกลุ่มสำหรับผู้ฝากเงินรายใหญ่ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบริษัทประกันชีวิต ที่มีความต้องการลงทุนระยะยาว และประสานกับกระทรวงการคลังในการวางแผนเพื่อระดมทุนระยะยาวผ่านตลาดตราสารหนี้ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น เพื่อลดภาระของภาครัฐและให้การบริหารหนี้สาธารณะของภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2491 | มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่อง มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ โดยหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายได้มีการพิจารณาร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับแผนการรับงานก่อสร้างในต่างประเทศเพื่อประกอบการดำเนินโครงการในลักษณะนำร่อง ซึ่งทางสมาคมฯ แจ้งว่า ในปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการก่อสร้างไทยที่ดำเนินการก่อสร้างในต่างประเทศมีความต้องการใช้ Counter Guarantee (สัญญาค้ำประกันหรือคำรับรองที่ออกโดยธนาคารเพื่อเป็นหลักประกันทางสินเชื่อต่อธนาคาร หรือสถาบันการเงินด้วยกัน) เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอตั้งงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าวในขณะนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศฟื้นตัวขึ้น และผู้ประกอบการก่อสร้างในต่างประเทศมีความต้องการใช้ Counter Guarantee สมาคมฯ จะได้แจ้งให้กระทรวงการคลัง เพื่อกระทรวงการคลังจะได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
2492 | ขออนุมัติดำเนินการสรรหาเอกชนเพื่อรับสัมปทานเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่องไอซีดีที่ลาดกระบังของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของโครงการสรรหาเอกชนเพื่อรับสัมปทานเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ที่ลาดกระบังของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. ดำเนินการต่อไปตามหมวด ๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ จนกว่าจะแล้วเสร็จ ส่วนการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปจะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๙ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้ รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจัดให้มีมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้วย สำหรับการคัดเลือกเอกชนเพื่อรับสัมปทานไอซีดีลาดกระบังโดยลดจำนวนผู้ประกอบการให้เหลือน้อยราย ควรมีการศึกษาวิเคราะห์เพิ่มเติมโดยเฉพาะประเด็นจำนวนผู้ประกอบการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความรอบคอบและเกิดการแข่งขันของผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตอบสนองต่อประโยชน์สูงสุดของผู้ใช้บริการและผลประโยชน์ของภาครัฐในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การพัฒนาระบบการขนส่งทางรางและการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าและตู้สินค้าให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และครบวงจร จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการขนส่งได้มาก และจะทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการเลือกใช้บริการจากระบบการขนส่งทางรางมากยิ่งขึ้น จึงขอให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นดังกล่าวไปเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
2493 | ความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) เรื่อง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หรือไม่ | กค | 01/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ [เรื่อง ความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) เรื่อง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือไม่] โดยให้เพิ่มข้อความ “โดยให้เชิญกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมประชุมด้วย” ท้ายข้อ ๓ ในมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
|
||||||||||||||||||
2494 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ | กค | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการค้ำประกันการชำระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ซึ่งแก้ไขปรับปรุงจากร่างประกาศฯ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยเพิ่มเติมร่างข้อ ๒ วรรคสอง ในประเด็นการกำหนดข้อยกเว้นกรณีมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของประเทศ กระทรวงการคลังอาจเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น นอกจากหนี้ ๘ รายการที่กระทรวงการคลังอาจค้ำประกันการชำระหนี้ตามร่างข้อ ๒ วรรคหนึ่งได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้โดยเฉพาะในกรณีการดำเนินการตามข้อ ๒ วรรคสองของร่างประกาศฯ กระทรวงการคลังต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดตามกระบวนการและขั้นตอนในการจัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะตามกรอบของกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2495 | ความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 5) เรื่อง สถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักเป็นโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 หรือไม่ | กค | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรให้คณะรัฐมนตรีรับทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการซึ่งรวมถึงการปฏิบัติและการผ่อนผันตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่เกี่ยวข้องกับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ เนื่องจากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักมีความสำคัญต่อการจัดหาและกระจายเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อภาคการขนส่ง หากมีการหยุดให้บริการชั่วคราวย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชน ระบบการขนส่ง และระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้ โดยในระหว่างที่สถานีก๊าซธรรมชาติหลักยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ผู้ประกอบการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักจะต้องยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในกรณีที่การขออนุญาตประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า หากสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักดำเนินการจัดตั้งก่อนประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ สำหรับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ดำเนินการจัดตั้งหลังประกาศบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการผังเมืองในพื้นที่ กระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน อย่างไรก็ดี มาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานได้ หากผู้ขอใบอนุญาตอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีฯ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความมั่นใจว่าพร้อมที่จะพิจารณาดำเนินการเพื่อมิให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะสามารถพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่ยื่นขอใบอนุญาตให้แล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลา ๙๐ วัน [ทั้งนี้ ภายหลังจากที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) ได้แจ้งผลการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว ได้มีผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งดำเนินการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจากกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว] ๑.๒ หากคณะรัฐมนตรีมีนโยบายจะให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจพลังงานด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักด้วยนั้น กระทรวงพลังงานต้องดำเนินการให้มีกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักที่มีมาตรฐานที่ไม่ด้อยไปกว่ากฎหมายเดิมที่ได้ดำเนินการอยู่โดยหน่วยงานอื่น ๆ ก่อนที่จะรับมอบภารกิจในการกำกับดูแลสถานีบริการก๊าซธรรมชาติหลักไปดำเนินการ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เพื่อมิให้เกิดความเสียหายในด้านพลังงานของประเทศ ๓. เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการจัดตั้งกระทรวงพลังงานเพื่อกำกับดูแลการพลังงานทั้งระบบ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กฎหมายภายใต้กระทรวงพลังงานครอบคลุมการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานทุกประเภท เช่น แก๊สธรรมชาติ Biogas พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานทดแทนประเภทอื่น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||
2496 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 8/2556 | กค | 24/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งเห็นชอบผ่อนผันขยายระยะเวลาการก่อหนี้และการปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (รอบที่ ๒) ของหน่วยงาน จำนวน ๒๗๘ หน่วยงาน จำนวนเงิน ๑๒๓,๖๐๕.๘๙๗๕ ล้านบาท โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพฯ และไม่สามารถก่อหนี้ได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ต้องตกลงกับกระทรวงการคลังขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ด้วย ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ
|
||||||||||||||||||
2497 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2498 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน (นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม) | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสุเมธ ดำรงชัยธรรม เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสิน แทนนายศรกวี ปูรณโชติ กรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารออมสินที่ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
2499 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญพร้อมอุปสรรคจากการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย รอบ 12 เดือน ปี พ.ศ. 2555 | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ พร้อมอุปสรรคจากการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย มีการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย รวมทั้งกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติ ผ่านโครงการต่าง ๆ มีการพัฒนาช่องทางการเข้าถึงระบบประกันภัย และการพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ ความเสี่ยงภัย และความต้องการของประชาชน รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการประกันภัย ระยะเวลาที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์บางโครงการมีน้อย และแนวทางปฏิบัติของการรับประกันภัยของกองทุนฯ ยังมีความซับซ้อน ๒. มาตรการที่ ๒ เสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย มีการพัฒนาระบบการกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง มีการจัดทำแนวปฏิบัติเรื่องการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการจัดทำแผนรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบริษัทประกันภัย มีการติดตามและตรวจสอบบริษัทประกันภัยเพื่อสร้างเสถียรภาพที่มีต่อระบบประกันภัย รวมทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ความเห็นที่แตกต่างกันของบริษัทประกันภัยในเรื่องการคำนวณอัตราส่วนความพอเพียงของเงินกองทุนรายเดือน บริษัทประกันภัยบางแห่งไม่ให้ความร่วมมือในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการออกประกาศ ข้อกำหนด และแนวทางปฏิบัติของสำนักงาน คปภ. ๓. มาตรการที่ ๓ พัฒนากฎหมายและระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์แบบครบวงจร มีการพัฒนากฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีการพัฒนาระบบ E-Claim เชื่อมต่อระหว่างโรงพยาบาลและบริษัทประกันภัย และการเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ประชาชนขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย และปัญหาจากการไล่เบี้ยเรียกเงินคืนกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยที่มีขั้นตอนเพิ่มมากขึ้น ๔. มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย มีการพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล และจัดทำโครงสร้างฐานข้อมูลการประกันภัย มีการนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้ มีการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการประกันภัย และมีการพัฒนาความรู้ด้านวิชาการประกันภัย สำหรับอุปสรรคจากการดำเนินงาน ได้แก่ ความไม่ชัดเจนของการจัดทำแผนพัฒนาบุคลากรและการสื่อสารแนวทางการพัฒนาบุคลากรทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การวางแผนอัตรากำลังไม่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลง ปัญหาด้านการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการประกันภัยที่ต้องประสานและขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ยังมีความล่าช้า การจัดการความเสี่ยงของสำนักงาน คปภ. ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น รวมทั้งการตรวจสอบภายในที่ยังไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้รับการตรวจสอบ
|
||||||||||||||||||
2500 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2556 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 17/09/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๔๙๖.๕๙๗ ล้านบาท โดยมีประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๔๗๑.๑๙๓ ล้านบาท และจำนวน ๒,๙๖๗.๗๙๐ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) และข้อ ๑๐ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้ รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งปรับปรุงคุณภาพการให้บริการเชิงสังคมเพื่อให้ประชาชนได้รับการให้บริการที่เป็นไปตามมาตรฐาน ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจการรถไฟในภาพรวมเพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของ รฟท. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอการรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕) ด้วย |
.....