ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 127 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2521 - 2540 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2521 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี ธนาคารออมสิน พ.ศ. .... | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๐๐ ปี ธนาคารออมสิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท หนึ่งชนิด ออกใช้เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี ธนาคารออมสิน ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2522 | การแปรสภาพกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแปรสภาพกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการหลักทรัพย์ของรัฐในปัจจุบันให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนกิจการที่จำเป็นและต้องการส่งเสริมจากภาครัฐ ซึ่งจะสามารถช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐได้ และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนของประเทศขยายตัวและมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมทั้งเป็นทางเลือกในการออมและการลงทุนให้แก่ประชาชน โดยวิธีการแปรสภาพกองทุน ได้แก่ การขยายอายุกองทุน และปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์ รูปแบบ โครงสร้างเงินทุน และข้อกำหนดต่าง ๆ ให้สามารถดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรกำหนดนิยามและขอบเขตของการลงทุนเชิงรุก (Active Portfolio Management) ให้มีความชัดเจนเพื่อใช้เป็นกรอบนโยบาย หลักการ และเงื่อนไขที่จะใช้ในการบริหารจัดการหลักทรัพย์ของกองทุนฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาครัฐและผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว และเมื่อภายหลังกองทุนฯ แปรสภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้พิจารณาช่วงระยะเวลาที่จะจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับนักลงทุนทั่วไปเพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระจายช่องทางการออมและการลงทุนแก่ประชาชนให้มากขึ้น ทั้งนี้ ในการแปรสภาพกองทุนฯ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ รวมทั้งปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
2523 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2524 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ราย 1. นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ฯลฯ) | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายราฆพ ศรีศุภอรรถ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมศุลกากร ๒. นายสุทธิชัย สังขมณี ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมสรรพากร ๓. นายสาธิต รังคสิริ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||
2525 | ร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสุราและอัตราภาษีสุรา พ.ศ. .... | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. ๒๔๙๓ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสุราเพื่อกำหนดวิธีการจัดเก็บภาษีสุราให้เหมาะสม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับการออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดชนิดของสุราและอัตราภาษีสุราในจำนวนเท่าใด ให้กระทรวงการคลังพิจารณาถึงหลักความเป็นธรรมในการรับภาระภาษีดังกล่าว และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในภาพรวม รวมถึงการจูงใจในการให้ผู้บริโภคลดหรือเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ให้ประสานกับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อให้พระราชกำหนดและกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับอย่างมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||
2526 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และวันที่ 31 ธันวาคม 2554 รวม 2 ฉบับ | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวม ๒ ฉบับ ซึ่งเป็นการรายงานงบดุล บัญชีกำไร และขาดทุนของ ธพว. โดยผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๙๘,๘๘๒.๗๒ ล้านบาท ลดลงจากปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๖,๕๕๙.๖๙ ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ ๑๔.๓๔ เนื่องจากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิลดลง โดย ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ มีเงินฝากสถาบันการเงินเฉพาะกิจในประเทศจำนวน ๑๙๖.๓๗ ล้านบาท ๒. ปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ธพว. มียอด NPLs เท่ากับ ๓๑,๓๑๗.๔๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๓๕ ของเงินให้สินเชื่อ (เงินสินเชื่อ ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ เท่ากับ ๙๖,๗๙๗.๑๗ ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๕,๙๖๔.๘๖ ล้านบาท (ณ สิ้นปี ๒๕๕๔ มียอด NPLs จำนวน ๑๕,๓๕๒.๕๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๗๓ ของเงินให้สินเชื่อ) หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๑๐๔ ๓. อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ธพว. มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ระดับร้อยละ ๓.๒๘ (เงินกองทุนรวม ๒,๖๖๙.๑๓ ล้านบาท และมีสินทรัพย์เสี่ยง ๘๑,๒๗๗.๐๓ ล้านบาท) ลดลงจากสิ้นปี ๒๕๕๔ ที่มีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ระดับร้อยละ ๖.๗๘ (เงินกองทุนรวม ๖,๑๔๓.๐๓ ล้านบาท และมีสินทรัพย์เสี่ยง ๙๐,๖๐๔.๕๕ ล้านบาท ) ๔. ผลการดำเนินงานของ ธพว. ในปี ๒๕๕๕ มีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน ๔,๐๓๙.๓๐ ล้านบาท ลดลงจากปี ๒๕๕๔ ที่มีผลกำไรสุทธิ จำนวน ๒๒๒.๔๑ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑,๙๑๖.๑๑
|
||||||||||||||||||
2527 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 3 (ตุลาคม 2555 - มิถุนายน 2556) | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๓ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มิถุนายน ๒๕๕๖) ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๓ มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๖๖๓,๙๓๘.๐๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๙.๓๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๓๓ เป็นการเบิกจ่ายในรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๔๖๔,๖๘๗.๖๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๓.๓๕ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๖,๗๒๙.๑๓ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๙๙,๒๕๐.๔๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๔๙.๔๑ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๓,๒๗๐.๘๗ ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๐.๕๙ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๐,๒๕๕.๑๔ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๘๙,๖๗๕.๗๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๓.๑๗ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๓,๙๑๗.๗๙ ล้านบาท ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ จำนวน ๔,๓๔๑.๔๙ ล้านบาท ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ จำนวน ๑๐,๑๒๓.๔๙ ล้านบาท ๕. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๑๒,๘๐๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๐ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๗๗,๓๑๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
2528 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2556 | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๖ โดยแบ่งพื้นที่รับประกันภัยออกเป็น ๕ พื้นที่ ตามระดับความเสี่ยง ได้แก่ พื้นที่เสี่ยงต่ำที่สุด พื้นที่เสี่ยงต่ำมาก พื้นที่เสี่ยงต่ำ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง และพื้นที่เสี่ยงสูง โดยอนุมัติวงเงินงบประมาณ จำนวน ๔๙๔,๙๐๖,๒๒๑.๕๐ บาท เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นำไปดำเนินโครงการฯ ๑.๒ ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายสำรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR)+๑% ในปีงบประมาณถัดไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนความชัดเจนในการประกาศภัยของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบภัย ทั้งนี้ เพื่อความถูกต้องและรวดเร็วในขั้นตอนการขอเอาประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่เกษตรกร ๒. ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยค่าเบี้ยประกันภัยที่ได้สำรองจ่ายตามรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดในการแบ่งพื้นที่ตามความเสี่ยงระดับต่าง ๆ ให้ชัดเจน การกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการในแต่ละระดับความเสี่ยงของพื้นที่ให้มากขึ้น การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยให้เป็นธรรม การกำหนดอัตราค่าสินไหมทดแทนให้แตกต่างและสอดคล้องกับอัตราการจ่ายเบี้ยประกันภัยและมูลค่าความเสียหายเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการของเกษตรกร การกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานเรื่องการประกันภัยข้าวให้ชัดเจน มีความต่อเนื่องและยั่งยืน อาทิ การกำหนดมาตรการจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัย การเข้าร่วมโครงการของผู้รับประกันภัย การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย การกำหนดอัตราค่าสินไหมทดแทน และแนวทางในการลดภาระงบประมาณของรัฐบาลในการอุดหนุนเบี้ยประกันภัยในระยะยาว รวมถึงการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้เกษตรกรได้ทราบข้อมูลโครงการอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ให้ ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นต้น ร่วมมือกันในการเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของโครงการฯ และพิจารณาขยายขอบเขตการรับประกันให้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ด้วย อาทิ มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา และปาล์มน้ำมัน รวมทั้งพิจารณาทบทวนการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติ โดยให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผลทางการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีความรับผิดชอบในการวางแผนการผลิตที่เหมาะสม และการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรับประกันภัยเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของรัฐบาลในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
2529 | ร่างหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อสร้างความโปร่งใสในการได้มาซึ่งบุคคลในบัญชีรายชื่อฯ ที่เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่สอดคล้องกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจตามเจตนารมณ์ในบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เพื่อมิให้เกิดปัญหาความขาดแคลนบุคคลที่มาจากบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ ในการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ในช่วงระยะเวลา ๑ ปี ก่อนที่บุคคลจะพ้นจากบัญชีรายชื่อเมื่อครบกำหนดระยะเวลา ๕ ปี ให้กระทรวงการคลังสอบถามความประสงค์ในการสมัครเข้ารับการคัดสรรขึ้นบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจใหม่ไปยังบุคคลในบัญชีรายชื่อฯ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามและเตรียมการคัดสรรขึ้นบัญชีรายชื่อฯ ตามขั้นตอนของหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ล่วงหน้าต่อไป |
||||||||||||||||||
2530 | ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคีฉบับปรับปรุง | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation Agreement : CMIM Agreement) ฉบับปรับปรุง ทดแทนความตกลง CMIM ฉบับปัจจุบัน โดยมีสาระสำคัญตามกรอบการเจรจาการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคีที่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้มีมติเห็นชอบแล้ว และนำเสนอร่างความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง ให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ร่างความตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ต่อไป ๒. เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation Agreement : CMIM Agreement) ฉบับปรับปรุงแล้ว อนุมัติการลงนามในร่างความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง และหนังสือแนบท้ายความตกลงดังกล่าว เพื่อยืนยันการผูกพันในการสมทบเงินใน CMIM ในวงเงิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนลงนามในหนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือและหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง รวมทั้งให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาลงนามในหนังสือให้ความเห็นทางกฎหมายเมื่อประเทศไทยต้องการขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงดังกล่าว ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง |
||||||||||||||||||
2531 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (กระทรวงการคลัง) (นายอำพน กิตติอำพน) | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายอำพน กิตติอำพน ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
2532 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (จำนวน 7 ราย 1. รองศาสตราจารย์ กุลภัทรา สิโรดม ฯลฯ) | กค | 20/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ซึ่งได้ผ่านการสรรหาและคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ จำนวน ๗ คน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์กุลภัทรา สิโรดม ๒. นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร ๓. รองศาตราจารย์ธัญญะ เกียรติวัฒน์ ๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมบัติ อยู่เมือง ๕. นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ๖. รองศาสตราจารย์สุกรี เจริญสุข ๗. นายกงกฤช หิรัญกิจ
|
||||||||||||||||||
2533 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยกำหนดให้ลูกจ้างประจำผู้รับบำเหน็จรายเดือนหรือผู้รับบำเหน็จพิเศษรายเดือน สามารถนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงการคลังควรประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในเรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการนำสิทธิบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราดอกเบี้ยที่ควรจะกำหนดเป็นอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เนื่องจากการกู้เงินโดยมีบำเหน็จตกทอดเป็นหลักทรัพย์ในการประกันเป็นการกู้ยืมที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อมิให้เป็นภาระแก่ผู้รับบำเหน็จมากเกินไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
2534 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ผู้ยกให้ รายบริษัท ชะอำคันทรีโฮม จำกัด | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กพ.๖๑๘ และ กพ.๖๑๙ ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่ายจังหวัดกำแพงเพชร คืนแก่บริษัท ชะอำคันทรีโฮม จำกัด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||
2535 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การกำหนดรายชื่อบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมหลักทรัพย์] | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การกำหนดรายชื่อบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมหลักทรัพย์] มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า “ผู้ยืมหรือผู้ให้ยืม” ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๓๑) พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยเพิ่ม “สำนักหักบัญชี ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์” เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืม เพื่อให้การทำธุรกรรมการยืมหรือให้ยืมหลักทรัพย์กับสำนักหักบัญชีได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การกำหนดรายชื่อบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมหลักทรัพย์] ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการแล้วเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
2536 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 รวม 2 ฉบับ | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ รวม ๒ ฉบับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการของ ธสน. ในปี ๒๕๕๕ ๑.๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๑,๑๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๔๙๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๑.๙๑ ๑.๒ มีการอนุมัติวงเงินสินเชื่อและค้ำประกัน เพื่อการสนับสนุน และส่งเสริมการส่งออก การนำเข้า และการลงทุนภายในประเทศ จำนวน ๑๒๘,๕๒๕ ล้านบาท และเพื่อการสนับสนุนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศ จำนวน ๔๐,๙๖๘ ล้านบาท ๑.๓ การประกันการส่งออก ประกอบด้วย การประกันการส่งออกระยะสั้นได้ให้การรับประกันไปยังผู้ซื้อ ๗๙ ประเทศ โดยมีมูลค่าในการรับประกันเท่ากับ ๑๓๕,๐๗๓ ล้านบาท รวมค่าเบี้ยประกัน ๑๙๐ ล้านบาท และการประกันการส่งออกระยะกลางและระยะยาวเป็นการรับประกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินที่มีระยะเวลาการชำระเงินหรือระยะสัญญาเกินกว่า ๑๘๐ วัน แต่ไม่เกิน ๕ ปี โดยผู้เอาประกันจะได้รับชดเชยค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่ไม่ได้รับชำระเงินตามสัญญาเนื่องจากความเสี่ยงทางการค้าและความเสี่ยงทางการเมือง โดยมีอัตราการชดเชยสูงสุดร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ๑.๔ การประกันความเสี่ยงการลงทุน เป็นบริการรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองจากการที่โครงการลงทุนของผู้เอาประกันได้รับความเสียหายจากการดำเนินนโยบาย กฎระเบียบ หรือการดำเนินการใด ๆ ของรัฐบาลประเทศที่ผู้เอาประกันไปลงทุน ตลอดจนภัยทางการเมืองซึ่งมีผลทางลบต่อโครงการลงทุนและความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ของผู้เอาประกัน โดย ธสน. สามารถให้ความคุ้มครองได้ทั้งในส่วนของผู้ถือหุ้นและในส่วนเงินกู้ โดยมีอัตราการชดเชยความเสียหายสูงสุดร้อยละ ๙๐ ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ๒. ผลการดำเนินงานของ บตท. ในปี ๒๕๕๕ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๙.๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้น ๕.๘๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๔๒.๑๗ จากปัจจัยสำคัญประกอบด้วย ๒.๑ มีรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จำนวน ๑๖.๕๔ ล้านบาท และส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง จำนวน ๐.๒๗ ล้านบาท ๒.๒ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ๑๓.๔๒ ล้านบาท เนื่องจากมีต้นทุนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ๑๒.๙๕ ล้านบาท ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ๐.๔๗ ล้านบาท เนื่องจากมีการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลง ๒.๙๘ ล้านบาท ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๓๕ และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๕๐ ๒.๓ ได้ซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากโครงการความร่วมมือและโครงการจัดซื้อกองสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ๓,๒๕๖ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๔ การพัฒนาตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์อื่นหนุนหลัง (Asset-Backed Securities : ABS) โดย บตท. ได้ลงนามในสัญญาร่วมกับการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในการให้ความร่วมมือระหว่างกันในการพัฒนาธุรกรรมนำกองสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ กคช. มาทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ จึงถือเป็นการระดมทุนผ่านตลาดทุน โดยเบื้องต้นจะคัดเลือกแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินและเริ่มเข้าทำการ Due Diligence ของสินเชื่อของ กคช. และกำหนดโครงสร้างตราสารแล้ว นอกจากนี้ ยังได้นำกองสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาคัดกรองและหนุนหลัง เพื่อออกตราสารหนี้ MBS (Mortgage-backed Securities) รวม ๙๐๐ ล้านบาท เป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ จำนวน ๖๖๐ ล้านบาท และหุ้นกู้ด้อยสิทธิ จำนวน ๒๔๐ ล้านบาท โดยได้ออกขายให้แก่นักลงทุนเรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||
2537 | หลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการใช้อัตราเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ข้อมูลอัตราเงินเดือนพื้นฐานของ ๕ กลุ่มวิชาชีพ ประกอบด้วย กลุ่มวิชาชีพวิศวกรรม สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) การเงิน และงานวิจัย โดยแยกระดับวุฒิการศึกษาเป็นระดับปริญญาตรี โท และเอก ยกเว้นกลุ่มวิชาชีพสถาปัตยกรรมมีเฉพาะระดับปริญญาตรีที่ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาที่เป็นนิติบุคคล ประสบการณ์การทำงานของแต่ละกลุ่มวิชาชีพแยกเป็นรายปีตั้งแต่ ๕ ปี จนถึง ๓๐ ปี และมากกว่า ๓๐ ปีขึ้นไป ๒. แนวทางการใช้ตัวคูณอัตราค่าค่าตอบแทน (Mark-Up Factor) ตัวคูณอัตราค่าตอบแทนมีพื้นฐานมาจากการคิดรวมค่าสวัสดิการสังคม (Social Charges) ค่าโสหุ้ย (Overhead) และค่าวิชาชีพ (Professional Fee) กับเงินเดือนพื้นฐาน (Basic Salary) ของที่ปรึกษา โดยคิดเป็นร้อยละของเงินเดือนพื้นฐาน ๓. แนวทางและหลักเกณฑ์ในการคำนวณราคากลางค่าจ้างที่ปรึกษา การคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการ ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย ๒ ส่วน คือ ค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) ๔. ขั้นตอนการคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการจะเป็นผลรวมของค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) และค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) มีขั้นตอนในการคำนวณ ประกอบด้วย ๔.๑ ขั้นตอนที่ ๑ เจ้าของโครงการจะต้องแจกแจงหรือกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตการดำเนินงาน ๔.๒ ขั้นตอนที่ ๒ กำหนดประเภทบุคลากรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ที่จะเข้าดำเนินการโครงการ ๔.๓ ขั้นตอนที่ ๓ กำหนดวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ พร้อมกับประเมินระยะเวลาการทำงานของแต่ละคนที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๔ ขั้นตอนที่ ๔ ให้นำอัตราเงินเดือนพื้นฐานของที่ปรึกษาแต่ละคน (Basic Salary) คูณกับตัวคูณอัตราค่าตอบแทน (Mark-up Factor) และคูณกับระยะเวลาการทำงาน จะได้ค่าจ้างที่ปรึกษาของแต่ละคน ผลรวมค่าจ้างที่ปรึกษาของทุกคนจะเป็นค่าตอบแทนบุคลากร (Remuneration) ที่ใช้ในการดำเนินโครงการ ๔.๕ ขั้นตอนที่ ๕ ค่าใช้จ่ายตรง (Direct Cost) เมื่อรวมกับค่าตอบแทนบุคลากรทั้งโครงการกับค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct Cost) จะได้ค่าที่จ้างที่ปรึกษาทั้งโครงการ ๕. การทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางการจ้างที่ปรึกษา อัตราเงินเดือนพื้นฐาน และอัตราตัวคูณค่าตอบแทนตามความเหมาะสม ดำเนินการอย่างน้อยทุก ๕ ปี |
||||||||||||||||||
2538 | มาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ได้แก่ มาตรการด้านการบริโภคภาคเอกชน มาตรการด้านการลงทุนภาคเอกชน มาตรการด้านการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการด้านการส่งออก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในภาพรวมและการดำเนินงานในแต่ละด้าน ควรคำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และประชาชน อย่างแท้จริง และให้กระทรวงการคลังประสานกับหน่วยงานเจ้าภาพเพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและกรอบระยะเวลาการดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานเจ้าภาพ เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างสม่ำเสมอ และจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรอบการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจปี ๒๕๕๖ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพเพิ่มเติม ๓.๑ ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพิ่มเติมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการคลังในการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการภาษีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาแก้ไขระเบียบที่เป็นอุปสรรคหรือปัญหาในทางปฏิบัติของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย ๓.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการเร่งรัดการจ่ายเงินของกองทุนตั้งตัวได้ตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพื่อให้ขบวนการขับเคลื่อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น รวมทั้งให้สำนักงบประมาณรายงานสถานภาพและความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ของกองทุนนอกงบประมาณให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณารายละเอียดและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณของจังหวัดในส่วนที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการชี้แจงกับกระทรวงต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดสัมมนา โดยขอความร่วมมือให้กระทรวงจัดสัมมนากระจายไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ภายในไตรมาส ๑ และไตรมาส ๒ ของปีงบประมาณ ๓.๕ ให้กระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการไว้แล้ว ดำเนินการจัดนิทรรศการส่งเสริมสินค้าไทยให้มากขึ้น เช่น สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของกระทรวงมหาดไทย โครงการธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศและส่งเสริมการใช้สินค้าไทย ๓.๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการจัดทำวีซ่าเพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวจากต่างชาติ |
||||||||||||||||||
2539 | รายงานผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของทางราชการ | กค | 06/08/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการเปิดเผยราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับผลการดำเนินการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา โดยมีรองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นประธาน โดยคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาหลักเกณฑ์ ความเหมาะสม และเสนอแนะในการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางค่าจ้างที่ปรึกษา และอยู่ระหว่างเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อจะแจ้งเวียนหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางการจ้างที่ปรึกษาต่อไป ๒. สำนักงบประมาณได้กำหนดราคามาตรฐานและปรับปรุงราคามาตรฐานครุภัณฑ์ให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ และได้เวียนแจ้งส่วนราชการถือปฏิบัติ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งมีรายละเอียดรายการมาตรฐานครุภัณฑ์เพิ่มขึ้น จำนวน ๔๘ รายการ ปัจจุบันสำนักงบประมาณอยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศราคามาตรฐานครุภัณฑ์เพิ่มเติม และพัฒนาระบบราคาอ้างอิงสำหรับรายการนอกบัญชีราคามาตรฐานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดราคามาตรฐานครุภัณฑ์ และใช้ในการจัดทำงบประมาณของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดราคากลางของหน่วยงานภาครัฐ ๓. กระทรวงสาธารณสุข โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการคำนวณราคากลางของยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพิ่มขึ้น จากยาในบัญชียาหลัก เพื่อให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้ในการประกาศราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางสำหรับการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา โดยยาในบัญชียาหลัก และยานอกบัญชียาหลัก ให้ใช้ราคากลางตามประกาศของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ส่วนเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ให้ใช้ราคามาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขจัดทำขึ้น ๔. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางประเภทฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และประกาศบังคับใช้แล้ว สำหรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ประเภทโปรแกรมประยุกต์ อยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินราคากลางเพื่อประกาศให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||
2540 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง) | กค | 30/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้กิจการของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เฉพาะการให้กู้ยืมแก่สมาชิกของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....