ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 128 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2541 - 2560 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2541 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) | กค | 30/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา และปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราภาษีในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังทำความตกลงกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหาข้อยุติในประเด็นการแยกการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลออกจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และหลังจากพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับไประยะหนึ่ง ควรศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนจัดทำมาตรการ แนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบเพิ่มมากขึ้น ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2542 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2556 | กค | 30/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมมีมติรับทราบภาพรวมผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจประจำปี ๒๕๕๕ ข้อมูลเพิ่มเติมด้านการเงินประกอบการพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด องค์การสะพานปลา องค์การตลาด องค์การคลังสินค้า และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ๑.๒ เห็นชอบผลการพิจารณาและมติที่ประชุม กนร. ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เรื่อง แผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกฟื้นฐานะการเงินของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) ประจำปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ประจำปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ๑.๒.๑ เห็นชอบในหลักการให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ดำเนินการตามแนวทางของแผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกฟื้นองค์กรและรองรับนโยบาย Smart Thailand ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๑.๒.๒ ให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกรรมการและฝ่ายเลขานุการ กนร. เพื่อใช้ในการประกอบการจัดทำรายละเอียดของแผนงานในแต่ละแนวทางให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำกับ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ให้มีการจัดทำรายละเอียดของแผนปฏิบัติการ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจทั้งสองให้บรรลุเป้าหมายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์และพิจารณาการแก้ไขปัญหาทางการเงินให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท รายงานความคืบหน้าของการดำเนินการต่าง ๆ และผลประกอบการในแต่ละเดือนให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณา และนำเสนอ กนร. เพื่อทราบ ทั้งนี้ หาก บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ไม่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบแนวทางและเป้าหมายที่กำหนดไว้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาจนำเสนอ กนร. พิจารณาแนวทางดำเนินการใหม่ต่อไป ๒. ให้ กนร. รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นควรแก้ไขมติที่ประชุม กนร. ระเบียบวาระที่ ๔ เรื่องเพื่อพิจารณา แผนยุทธศาสตร์เพื่อพลิกฟื้นฐานะการเงินของ บมจ. ทีโอที ประจำปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ และ บมจ. กสท ประจำปี ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ในหน้า ๕๔ โดยเพิ่มเติมข้อความ “๔. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปพิจารณาและนำเรื่อง การแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ เสนอต่อที่ประชุม กนร. ต่อไป” ไปพิจารณาด้วย ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดย บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๒ แห่ง ควรพิจารณาในประเด็นข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการขอใช้คลื่นความถี่จากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติซึ่งต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ นอกจากนี้ ควรพิจารณาจัดเตรียมแนวทางบริหารความเสี่ยงทั้งในด้านเทคโนโลยี ด้านการตลาด ด้านกฎหมาย และด้านการเงิน เพื่อให้สามารถพลิกฟื้นฐานะการเงิน รวมทั้งสามารถให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2543 | งบการเงินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) (ระหว่างชำระบัญชี) และงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (ระหว่างชำระบัญชี) ที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๙๐ แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานของผู้สอบบัญชี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่างบการเงินของ บสท. สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (ระหว่างชำระบัญชี) แสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และผลการดำเนินงาน (เฉพาะทุนประเดิม) และงบกระแสเงินสดโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามเกณฑ์การชำระบัญชี ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ บสท. มีสินทรัพย์ ๓๑๕,๗๓๒ ล้านบาท หนี้สิน ๑๕,๙๗๐ ล้านบาท ส่วนของเจ้าของ ๑,๓๗๔ ล้านบาท และรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ๒๙๘,๓๘๘ ล้านบาท ๓. งบรายรับหรือรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ บสท. มีรายรับจากการบริหารสินทรัพย์รับโอน ๕๑,๒๘๒ ล้านบาท และรายจ่ายในการบริหารสินทรัพย์รับโอน ๑,๑๗๓ ล้านบาท จึงมีรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ๕๐,๑๐๙ ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดสะสมของรายรับและรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอนตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีรายรับ ๓๓๐,๘๓๓ ล้านบาท และรายจ่าย ๓๒,๔๔๕ ล้านบาท จึงมีรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ๒๙๘,๓๘๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2544 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
2545 | มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ๒. นางเบญจา หลุยเจริญ
|
||||||||||||||||||||||||
2546 | การให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒. นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๓. พลตำรวจตรี สงกรานต์ สังขกร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางเบญจา หลุยเจริญ) ๔. นางสาวนิชนันท์ วังคะฮาตธัญญกิจ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางเบญจา หลุยเจริญ)
|
||||||||||||||||||||||||
2547 | การขยายขอบเขตความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม 3 ประเทศ | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ขยายขอบเขตความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) เพิ่มเติมไปยัง ๓ ประเทศ คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ทั้งนี้ เพื่อใช้นโยบายการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและวิชาการเป็นกลไกและเครื่องมือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเพิ่มการขยายตัวทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ๓ ประเทศ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปทำงานในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ๒. ให้ส่งร่างประกาศคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (คพพ.) เรื่อง การขยายขอบเขตความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติม ๓ ประเทศ (สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ราชอาณาจักรภูฏาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต) ให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาในรายละเอียด แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความร่วมมือทางวิชาการ เห็นควรให้ สพพ. ประสานงานตรงกับสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศที่เกี่ยวข้อง และให้ สพพ. ควรพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศผู้ขอรับความช่วยเหลือ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนแก่ประเทศนั้น นอกจากนี้ ควรกำหนดลำดับความสำคัญของประเทศและกลุ่มประเทศ รวมถึงสัดส่วนของการให้ความช่วยเหลือ ทั้งทางด้านการเงินและวิชาการแก่ประเทศและกลุ่มประเทศนั้น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และควรเน้นการให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีพรมแดนติดกับราชอาณาจักรไทยเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงตามแผนแม่บทการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน เพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า โดยที่ปัจจุบันรัฐบาลมีการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับมิตรประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ นอกเหนือจากประเทศเพื่อนบ้านตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อให้มีการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนของประเทศทั้งในภูมิภาคต่าง ๆ และในเวทีการค้าโลกให้มากยิ่งขึ้น สมควรพิจารณาปรับปรุงชื่อ รวมทั้งขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของ สพพ. และ คพพ. รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง จึงมอบให้กระทรวงการคลังและ สพพ. รับข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้นไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2548 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (นายธานินทร์ อังสุวรังษี) | กค | 19/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายธานินทร์ อังสุวรังษี เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์แทนนายชัยเกษม นิติสิริ กรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ขอลาออก ทั้งนี้ ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2549 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ เพิ่มเติม จำนวน ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามความต้องการใช้เงินในแต่ละช่วงเวลา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2550 | รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2553 ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการให้บริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งมีประมาณการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จำนวน ๑,๘๗๕.๗๒ ล้านบาท และจำนวน ๓๕๖.๖๓๗ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ งวดที่ ๒ จำนวน ๑๘๖.๑๕ ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับผลการประเมินค่าตัวชี้วัดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ๑.๒ ให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ข้อ ๑๕ ที่กำหนดให้รัฐวิสากิจนำเงินอุดหนุนบริการสาธารณะส่วนเกินส่งคืนคลัง หากผลประกอบการจากการให้บริการสาธารณะเมื่อสิ้นปีบัญชีต่ำกว่าวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะที่กำหนดในบันทึกข้อตกลงการให้บริการสาธารณะ ๑.๓ ให้ รฟท. และ ขสมก. รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะอนุกรรมการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สาขาขนส่งทางบก ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะทราบ ดังนี้ ๑.๓.๑ ปรับปรุงระบบการปันส่วนต้นทุนให้ใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการตรวจสอบตั๋วให้สอดคล้องกับจำนวนและระยะทางที่ผู้โดยสารเดินทางจริง เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานมีความถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น ๑.๓.๒ เร่งรัดการดำเนินงานก่อสร้างและซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนปรับปรุงคุณภาพและความสะอาดของการให้บริการภายในตัวรถโดยสารให้ได้มาตรฐาน ๑.๓.๓ จัดทำแนวทางการปรับปรุงผลการดำเนินงานการให้บริการสาธารณะสำหรับตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมาย พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวต่อคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อให้การกำกับดูแลการดำเนินงานให้บริการสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ๑.๓.๔ พิจารณาปรับโครงสร้างอัตราค่าโดยสารเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับต้นทุนการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ภายในกรอบระยะเวลาดำเนินการที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการทุกระดับและภาระการอุดหนุนโดยรวมของรัฐบาลในระยะยาว ๑.๓.๕ ดำเนินการศึกษาต้นทุนต่อหน่วยในการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนพิจารณากำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานรองรับเพื่อประกอบการพิจารณาข้อเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของการรถไฟแห่งประเทศไทยในปีต่อไป ๑.๓.๖ เร่งรัดการปิดบัญชีเพื่อส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับรองความถูกต้องโดยเร็ว ๒. กรณีการให้ ขสมก. ส่งคืนเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลัง จำนวน ๑๒๘.๒๕๐ ล้านบาท นั้น เห็นชอบให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. ชะลอการส่งเงินคืนคลังออกไปก่อน เนื่องจากปัจจุบัน ขสมก. ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะไม่ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการรถเมล์ฟรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน และเมื่อ ขสมก. ได้รับเงินชดเชยจากมาตรการดังกล่าวและมีสภาพคล่องทางการเงิน จะดำเนินการทยอยส่งเงินคืนคลังต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2551 | รายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 4 | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ผู้ให้กู้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาเงินกู้ จำนวน ๔ สัญญา ได้แก่ TXXI-7 TXXII-7 TXXIII-4 และ TXXVI-1 ได้เห็นชอบให้ชำระหนี้ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย เงินต้นที่จะชำระคืนก่อนครบกำหนด จำนวน ๑๑,๘๙๒,๕๕๑,๐๐๐ เยน และดอกเบี้ย จำนวน ๕๖,๘๑๘,๐๖๘ เยน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๑๑,๙๔๙,๓๖๙,๐๖๘ เยน หรือเท่ากับ ๓,๕๒๖,๗๓๖,๗๘๖.๗๓ บาท (อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยต่อ ๑ เยน เท่ากับ ๐.๒๙๕๑๔ บาท) โดย กฟภ. ขอให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดหาเงินกู้เพื่อชำระหนี้ดังกล่าว จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยวิธีการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และ กฟภ. จะดำเนินการโอนเงินบาทมาสมทบกับเงินกู้ที่ได้จากการออกตั๋วสัญญาใช้เงินอีก จำนวน ๒๖,๗๓๖,๗๘๖.๗๓ บาท ๒. กระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินในประเทศเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน สำหรับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามสัญญาเงินกู้ จำนวน ๔ สัญญา ดังกล่าว ในวงเงิน ๓,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ อายุ ๑๐ ปี มีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง [อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา เฉลี่ย ๗ วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ๔ แห่ง (FDR) ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย] บวกด้วย Spread โดยดอกเบี้ยงวดแรกของตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกให้ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ มีอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ ๓.๖๖๘ ต่อปี ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
2552 | มาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ) ที่เห็นชอบให้ขยายเวลาการปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุในการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ ออกไปอีก ๒ ปี จนถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ โดยให้ส่วนราชการที่จะทำการจัดซื้อในวงเงินเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือจัดจ้างในวงเงินเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สามารถจัดซื้อ จัดจ้าง โดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้โดยอนุโลม ทั้งนี้ ส่วนราชการในส่วนภูมิภาค หรือส่วนราชการในส่วนกลางที่มีหน่วยงานตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค ซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ให้อยู่ในอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการนั้นหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี ที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการเป็นสำคัญ ต่อมาคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๒ (๒) ขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจออกไปอีก ๒ ปี ซึ่งการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณาแล้วเห็นว่า การให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลา (อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ยังไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ ได้อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๒ (๒) มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจดังกล่าวออกไปอีก ๒ ปี จนถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และได้มีหนังสือแจ้งเวียนให้หน่วยงานต่าง ๆ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
2553 | รายงานผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 และ 2551 สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553 และ 2552 และสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 และ 2553 ของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ และสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. งบแสดงฐานะการเงิน ๑.๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ มีสินทรัพย์รวม ๑๓,๔๒๖,๗๒๐,๒๐๐.๖๖ บาท และ ๑๒,๙๐๐,๓๓๗,๖๐๔.๖๒ บาท หนี้สินรวม ๑,๕๕๐ บาท และ ๒,๖๖๔,๔๘๔.๘๖ บาท ทุนรวม ๑๓,๔๒๖,๗๑๘,๖๕๐.๖๖ บาท และ ๑๒,๘๙๗,๖๗๓,๑๑๙.๗๖ บาท ตามลำดับ ๑.๒ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ มีสินทรัพย์รวม ๙,๖๔๓,๕๘๔,๘๑๒.๕๔ บาท และ ๑๓,๔๒๖,๗๒๐,๒๐๐.๖๖ บาท หนี้สิน รวม ๒,๕๘๔ บาท และ ๑,๕๕๐ บาท ทุนรวม ๙,๖๔๓,๕๘๒,๒๒๘.๕๔ บาท และ ๑๓,๔๒๖,๗๑๘,๖๕๐.๖๖ บาท ตามลำดับ ๑.๓ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ มีสินทรัพย์รวม ๑๐,๓๑๐,๙๐๐,๕๒๕.๙๘ บาท และ ๙,๖๔๓,๕๘๔,๘๑๒.๕๔ บาท หนี้สินรวม ๒,๖๖๐ บาท และ ๒,๕๘๔ บาท ทุนรวม ๑๐,๓๑๐,๘๙๗,๘๖๕.๙๘ บาท และ ๙,๖๔๓,๕๘๒,๒๒๘.๕๔ บาท ตามลำดับ ๒. งบรายได้และค่าใช้จ่าย ๒.๑ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๑ มีรายได้รวม ๓,๐๓๐,๓๓๕,๘๐๘.๐๗ บาท และ ๒,๖๑๑,๔๖๖,๗๔๐.๙๙ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๒,๙๕๔,๐๒๓,๗๑๕.๓๕ บาท และ ๑,๗๗๗,๔๒๙,๒๒๑.๓๙ บาท กำไรสุทธิ ๗๖,๓๑๒,๐๙๒.๗๒ บาท และ ๘๓๔,๐๓๗,๕๑๙.๖๐ บาท ตามลำดับ ๒.๒ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ มีรายได้รวม ๑,๐๙๔,๕๓๑,๓๕๗.๑๐ บาท และ ๓,๐๓๐,๓๓๕,๘๐๘.๐๗ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๕,๑๓๙,๖๕๒,๑๓๘.๘๕ บาท และ ๒,๙๕๔,๐๒๓,๗๑๕.๓๕ บาท ขาดทุนสุทธิ ๔,๐๔๕,๑๒๐,๗๘๑.๗๕ บาท และกำไรสุทธิ ๗๖,๓๑๒,๐๙๒.๗๒ บาท ตามลำดับ ๒.๓ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ มีรายได้รวม ๑,๐๘๐,๕๓๔,๙๐๙.๑๗ บาท และ ๑,๐๙๔.๕๓๑,๓๕๗.๑๐ บาท ค่าใช้จ่ายรวม ๗๒๑,๘๘๗,๑๑๑.๑๕ บาท และ ๕,๑๓๙,๖๕๒,๑๓๘.๘๕ บาท กำไรสุทธิ ๓๕๘,๖๔๗,๗๙๘.๐๒ บาท และขาดทุนสุทธิ ๔,๐๔๕,๑๒๐,๗๘๑.๗๕ บาท ๓. คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้มีมติรับทราบผลการตรวจสอบรายงานการเงินดังกล่าวแล้วในการประชุม ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
2554 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 5/2556 | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการก่อหนี้ให้แก่หน่วยงานที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่อนผันโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๑.๑ รายการที่ประกวดราคาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ผู้รับจ้างทำให้ต้องดำเนินการประกวดราคาใหม่ หรือบางส่วนอยู่ระหว่างขออนุมัติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) เพื่อจัดซื้อจัดจ้างวิธีอื่น จำนวน ๓๘๕ รายการ จำนวนเงิน ๕,๐๘๕.๒๙ ล้านบาท ๑.๒ โครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วต้องเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามในสัญญา จำนวน ๒๖๑ รายการ จำนวนเงิน ๔,๖๗๖.๒๕ ล้านบาท ๑.๓ รายการที่อยู่ระหว่างปรับปรุง TOR (ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง) หรือแก้ไขแบบรูปรายการก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓๓ รายการ จำนวนเงิน ๔,๕๓๐.๒๓ ล้านบาท ๑.๔ รายการที่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่งบประมาณไม่เพียงพอ และอยู่ระหว่างการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการ และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ จำนวน ๑๐๗ รายการ จำนวนเงิน ๘๑๐.๓๓ ล้านบาท ๑.๕ รายการที่ได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่ต้องรอผลจากผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๕๑ รายการ จำนวนเงิน ๑๖,๒๙๐.๒๕ ล้านบาท ๒. รายการที่ขอผ่อนผันตามเหลักเกณฑ์รายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ขยายเวลาถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ และรายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์รายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการ รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รายการที่จัดสรรต่อไปให้หน่วยงานอื่น/หน่วยงานอื่นเบิกจ่ายแทนกัน และรายการกรณีอื่น ๆ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ยกเว้นรายการต่อไปนี้ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๒.๑ เงินอุดหนุนสำหรับพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีเร่งด่วน จำนวน ๑๘,๕๐๖.๐๙ ล้านบาท ๒.๒ งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓,๒๖๓.๘๕ ล้านบาท ๒.๓ โครงการที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณชนในวงกว้างมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาโครงการดังกล่าว ๓. หน่วยงานที่ไม่แจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๒ หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สถาบันการบินพลเรือน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๔. คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะไม่มีการพิจารณาผ่อนผันอีก เมื่อพ้นระยะเวลาผ่อนผันข้างต้น หากหน่วยงานมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ให้ดำเนินการขอช่องทางอื่นต่อไป ๕. หน่วยงานต้องดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใน ๑ เดือน หลังจากเวลาที่กำหนดผ่อนผันให้ก่อหนี้ดังกล่าวข้างต้น และเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สำหรับรายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
2555 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (นายอัชพร จารุจินดา) | กค | 02/07/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายอัชพร จารุจินดา เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แทนนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
2556 | การทบทวนแหล่งเงินกู้สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ - บางซื่อ) ระยะที่ 3 | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการในการใช้แหล่งเงินในประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ระยะที่ ๓ แทนการกู้เงินจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมตามความจำเป็น และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบการเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้พิจารณาแนวทางการแจ้งแหล่งเงินกู้ [องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA)] ทราบถึงเหตุผลความจำเป็นของการดำเนินการดังกล่าว เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งดำเนินการตามขั้นตอนและกฎหมายที่เกี่ยวข้องจากการเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินของโครงการฯ พร้อมทั้งจัดทำแผนการเบิกจ่ายเงินที่สอดคล้องกับแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ของกระทรวงการคลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ รฟม. สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2557 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางพุทธชาติ อรุณเวช) | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางพุทธชาติ อรุณเวช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่า (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
2558 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2556 | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๒ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้ามีมูลค่านำเข้ารวม ๘๒๙.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๒๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๖๕,๐๗๐.๑๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ ๒๕๕๕ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๕) ๑๓๔.๕๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๙.๓๖ ๒. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๕๗.๖๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๔๘.๔๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๔.๔๐ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๔๙.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๐.๗๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๖.๑๑ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๙๗.๒๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๙.๐๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๔๒.๕๒
|
||||||||||||||||||||||||
2559 | รายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ ซึ่งมีความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ในภาพรวมมากกว่าร้อยละ ๘๐ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๑๐ โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓ โครงการ และยกเลิกดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ สรุปสาระสำคัญของผลการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้ดังนี้ ๑.๑. ยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล ประกอบด้วย ๑.๑.๑ โครงการพัฒนาระบบการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในรูปแบบคณะกรรมการ อยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางการพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เพื่อใช้เป็นกรอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารเงินนอกงบประมาณ และการจัดทำร่างข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดตั้ง การบริหารจัดการและการประเมินผลทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๑.๒ โครงการพัฒนาระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ได้จัดทำรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีงบบัญชี ๒๕๔๗-๒๕๕๓ พร้อมทั้งเสนอแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ระหว่างจัดทำร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... ๑.๑.๓ โครงการพัฒนาระบบประเมินสถานะการเงินของเงินนอกงบประมาณและการนำส่งเงินนอกงบประมาณส่วนเกินเป็นรายได้แผ่นดิน ได้จัดทำข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยการให้องค์การของรัฐบาลที่ใช้ทุนหรือทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๖ ขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การนำเงินรายได้สะสมเกินความจำเป็นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ๑.๑.๔ โครงการพัฒนาระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ ได้จัดทำระบบบริหารทะเบียนบัญชีเงินฝากอิเล็กทรอนิกส์ และได้จัดให้มีการอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยจะมีการขยายผลให้ครอบคลุมถึงการให้บริการผ่านระบบ Web Services พร้อมทั้งเชื่อมโยงบูรณาการร่วมกับระบบงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ GFMIS ๑.๑.๕ โครงการพัฒนาระบบบริหารบัญชีเงินฝาก ได้ดำเนินการสำรวจและปิดบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่หมดความจำเป็นในส่วนภูมิภาคในระบบ GFMIS จำนวน ๑,๕๘๖ บัญชี ส่งผลให้การบริหารเงินนอกงบประมาณประเภทเงินฝากกระทรวงการคลังเกิดประโยชน์ต่อทางราชการมากยิ่งขึ้น ๑.๑.๖ โครงการพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ อยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายฉบับแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมและยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยร่วมมือกับมูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ศึกษาวิเคราะห์การจัดทำร่างพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. .... รวมทั้งได้ประมวลแนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๑.๑.๗ โครงการศึกษาและพัฒนาโครงสร้างองค์กรให้มีความพร้อมในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลางได้มีการปรับโครงสร้างจากกลุ่มพัฒนาเงินนอกงบประมาณ เป็นสำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ ๑.๑.๘ โครงการปรับปรุงระบบงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติกระบวนการให้บริการทางเครือข่ายสารสนเทศ (E-mail Address) ซึ่งจะสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงานกับทุนหมุนเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น ๑.๒. ยุทธศาสตร์ด้านสารสนเทศ ได้ยุติการดำเนินการเนื่องจากไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วย โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ (e-Nonbudgeting) และโครงการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานด้านระบบสารสนเทศการบริหารเงินนอกงบประมาณ ๑.๓. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากร ประกอบด้วย ๑.๓.๑ โครงการพัฒนาการจัดทำองค์ความรู้ด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ ได้มีการศึกษาและกำหนดหัวข้อองค์ความรู้เรื่องเงินฝากบูรณะทรัพย์สิน และจัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินแจ้งเวียนส่วนราชการถือปฏิบัติ พร้อมทั้งได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคลากรในสำนักในลักษณะ Coffee Talk เป็นประจำทุกสัปดาห์ ๑.๓.๒ โครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค ได้จัดทำโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณในส่วนภูมิภาค โดยจัดประชุมสัมมนาภายในสำนักงานคลังเขต ๖ และเขต ๙ จำนวน ๑๖ จังหวัด โดยจะมีการขยายผลการดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งประเทศโดยเร็วต่อไป ๑.๓.๓ โครงการพัฒนาสมรรถนะเจ้าหน้าที่กรมบัญชีกลางในฐานะที่ปรึกษาในการบริหารระบบเงินนอกงบประมาณของหน่วยงานของรัฐ ได้ดำเนินการตามโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยง เพื่อเป็นการอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรภายในหน่วยงาน ๑.๓.๔ โครงการจัดประชุมสัมมนาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านการประเมินผลการดำเนินงานเงินนอกงบประมาณเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ ได้จัดประชุมสัมมนาและชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลแก่เจ้าหน้าที่ของทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์การประเมินผลตัวชี้วัดร่วมด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน และจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารความเสี่ยงให้แก่เจ้าหน้าที่ทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ รุ่น ๑.๓.๕ โครงการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๐" ได้จัดฝึกอบรมและชี้แจงการจัดทำรายงานฯ และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานให้จัดส่งรายงานฯ ให้ครบถ้วน เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้อย่างครบถ้วน ถูกต้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย (มติคณะรัฐมนตรี ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) ในการรายงานครั้งต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2560 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 ครั้งที่ 2 | กค | 25/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับลดลง ๑๒,๒๓๑.๕๘ ล้านบาท จากเดิม ๑,๙๔๘,๒๑๑.๘๒ ล้านบาท เป็น ๑,๙๓๕,๙๘๐.๒๔ ล้านบาท ๑.๒ รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๕,๕๓๐ ล้านบาท จากเดิม ๑๒๑,๗๐๓.๕๐ ล้านบาท เป็น ๑๓๗,๒๓๓.๕๐ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่และการปรับโครงสร้างหนี้และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ปรับปรุง ครั้งที่ ๒ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (DPL) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้กระทรวงการคลังกู้เงินบาทแทนการกู้เงินจากธนาคารโลก ในวงเงินรวมไม่เกิน ๑๖,๕๔๔ ล้านบาท รวมทั้งให้กระทรวงการคลังนำเงินที่ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารโลกไปให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กู้ยืมต่อจากกระทรวงการคลัง วงเงิน ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อปรับปรุงรายละเอียดแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ให้เป็นปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....