ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 130 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2581 - 2600 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2581 | รายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ครั้งที่ 2 | กค | 28/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการกู้เงินในประเทศเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน สำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXI-4 และสัญญาเงินกู้เลขที่ TXXII-3 ในส่วนเฉพาะเงินต้นเพื่อชำระหนี้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในวงเงิน ๙,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ภายใต้ขอบเขตพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ อายุ ๙ ปี ๒๗ วัน อัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง [อัตราต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา เฉลี่ย ๗ วัน ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ๔ แห่ง (FDR) ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย] บวกด้วย Spread โดยดอกเบี้ยงวดแรกของตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกให้ในวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ มีอัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ ๓.๕๘๓ ต่อปี ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๖ และได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2582 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ) | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าเช่าพื้นที่ ค่าก่อสร้างสถานที่จัดแสดง ค่าประกันภัย ค่าระวาง หรือค่าขนส่งสินค้าและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าร่วมงานออกร้าน งานนิทรรศการหรืองานแสดงสินค้าในต่างประเทศ สำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ทั้งนี้ เฉพาะกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานของรัฐว่าได้เข้าร่วมงานจริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2583 | การดำเนินการเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษารายบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับการชำระหนี้ตามคำพิพากษารายบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการคลังได้เจรจากับ BTSC เพื่อขอให้ลดดอกเบี้ยตามคำพิพากษา โดย BTSC ลดดอกเบี้ยให้จำนวน ๑๘,๗๑๕,๖๐๘.๒๘ บาท และกระทรวงการคลังได้ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้วเป็นจำนวน ๑,๑๑๙,๒๗๖,๕๕๔.๔๕ บาท ๑.๒ กระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ ๑.๓ สำหรับเงินที่ชำระให้ BTSC เมื่อกรมธนารักษ์ดำเนินการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ในขั้นตอนของการคัดเลือกผู้รับสิทธิพัฒนาจะได้มีการประสานเพื่อกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้รับสิทธิจ่ายเงินค่าชดเชยงานก่อสร้างฐานรากพร้อมดอกเบี้ยที่ทางราชการจ่ายให้กับ BTSC ทั้งหมดคืนให้กับรัฐด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโครงการพัฒนาที่ดินราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ต้องรับผิดในการละเมิดตามนัยพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรเร่งพิจารณาเสนอโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการพื้นที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการสนับสนุนการพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะในกรุงเทพมหานคร และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่อประชาชนผู้ใช้บริการขนส่งมวลชนสาธารณะ และเห็นว่าการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดเพื่อหาผู้ต้องรับผิดสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทางราชการนั้น ควรต้องดำเนินการโดยระมัดระวังมิให้การใช้สิทธิเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดขาดอายุความด้วย และในส่วนของการดำเนินการกับบริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด (BKT) หากกรมธนารักษ์ประสงค์จะใช้สิทธิไล่เบี้ยกับ BKT กรมธนารักษ์จะต้องดำเนินการใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจาก BKT ภายในระยะเวลาการฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากความเสียหายดังกล่าวเป็นเรื่องของความรับผิดตามสัญญาทางปกครอง ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2584 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาทบทวนข้อมูลรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งและดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ซึ่งต้องจัดทำรายงานฯ มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๒๑ แห่ง และ ๔๓๗ แห่ง ตามลำดับ โดยไม่นับรวมกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการปกครองพิเศษ และมีจำนวนหน่วยงานที่ต้องดำเนินการรวบรวมรายงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับกรมบัญชีกลางเริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลทางการเงินของหน่วยงานดังกล่าวอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ดังนั้น จึงไม่มีข้อมูลทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ที่จะนำมาใช้ในการรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน และเห็นสมควรแจ้งให้หน่วยงานของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำรายงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ รวมทั้งข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานที่ยังมิได้จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ๓. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง |
|||||||||||||||||||||||||||
2585 | ร่างกรอบการเจรจาเพื่อการยกระดับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาเพื่อการยกระดับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ และเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยร่างกรอบเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกระดับ AMRO เป็นองค์การระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของ AMRO ให้มีความเป็นอิสระในการประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ รายประเทศและของทั้งภูมิภาค ๑.๒ การบริหารจัดการ AMRO อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+๓ ๑.๓ การให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ AMRO และบุคลากรของ AMRO ควรเป็นไปตามหลักความจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ (Functional Necessity) ซึ่งจะต้องพิจารณาโครงสร้าง วัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO เป็นสำคัญ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO และพิจารณาเปรียบเทียบกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่ให้กับองค์การระหว่างประเทศอื่น ทั้งนี้ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันนั้น ไม่ควรจะให้มากกว่าองค์การระหว่างประเทศอื่นที่มีโครงสร้างและภารกิจที่คล้ายกัน เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) โดยคำนึงถึงข้อจำกัดของกฎหมายภายในของแต่ละประเทศสมาชิกเป็นสำคัญ ๑.๔ กรณีที่มีข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกกับ AMRO ให้สามารถใช้กลไกระงับข้อพิพาทในทางสากลได้ อาทิ วิธีอนุญาโตตุลาการหรือการจัดตั้งองค์คณะไต่สวน (Tribunal) ทั้งนี้ กลไกดังกล่าวต้องมีความเป็นกลาง มีขั้นตอนที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ประเทศสมาชิกทุกประเทศ ๑.๕ ให้เจรจาเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและประเด็นดังกล่าวต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม ๒. สำหรับผู้แทนในคณะกรรมการ AMRO Board มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาว่าควรเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านเศรษฐกิจมหภาคเป็นผู้แทน |
|||||||||||||||||||||||||||
2586 | การให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิษฐ์ถาวร และนางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์) | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง ๑.๑ นายภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ ให้พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๑.๒ นายภิญโญ ตั๊นวิเศษ ให้พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) ๒. ให้แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๒.๑ นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิษฐ์ถาวร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒.๒ นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย)
|
|||||||||||||||||||||||||||
2587 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2588 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวได้ดีจากอุปสงค์ในประเทศภาคเอกชน โดยการบริโภคเพิ่มขึ้นตามภาวะการจ้างงาน รายได้ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการภาครัฐ ขณะที่การลงทุนของภาคธุรกิจมีต่อเนื่อง ทั้งเพื่อซ่อมแซมความเสียหายจากอุทกภัยและเพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการในประเทศ ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายในประเทศขยายตัวดี ขณะที่การผลิตที่เน้นเพื่อการส่งออกได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกสินค้าและการส่งออกในตลาดคู่ค้าหลักชะลอตัว สำหรับภาคการท่องเที่ยวขยายตัวสูงจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย ๒. เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่สร้างความกังวล ฐานะการเงินของภาคธุรกิจและภาคสถาบันการเงินเข้มข้นขึ้นตามเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัว และมีผลสนับสนุนให้สินเชื่อภาคธุรกิจเติบโตจากทั้งความต้องการที่มีต่อเนื่องและความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ขณะเดียวกันสินเชื่อภาคครัวเรือนขยายตัวสูงตามความต้องการใช้จ่ายของประชาชน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกที่ทำให้การซื้อรถยนต์สูงกว่าปกติ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการกู้ยืม เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคงต่อเนื่อง และฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ภาระผูกพันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเสถียรภาพด้านการคลังในระยะต่อไป ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปี ๒๕๕๕ โดยในช่วงครึ่งแรกของปียังมีอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้นอย่างช้า ๆ โดยจะกลับมามีบทบาทเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ แรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงปัจจุบัน ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความผันผวนของเงินทุนไหลเข้าจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ การขยายตัวของสินเชื่อภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น ๓๐๐ บาททั่วประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2589 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2555 | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีมติอนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยเฉพาะไตรมาสที่ ๓ และ ๔ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๘๔ และ ๑.๘๒ ตามลำดับ ชะลอลงจากช่วงครึ่งแรกของปี ตามการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการที่ชะลอลงสู่ระดับปกติ หลังจากที่เร่งขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศภายหลังปัญหาอุทกภัยในปี ๒๕๕๔ คลี่คลายลง ๒. เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวต่อเนื่อง โดยผลกระทบของเศรษฐกิจโลกจำกัดอยู่เฉพาะต่อการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออก ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศขยายตัวได้ดี โดยการบริโภคภาคเอกชนได้รับแรงส่งจากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับภาวะการเงินที่ผ่อนปรน รวมทั้งตลาดแรงงานที่ตึงตัวต่อเนื่องส่งผลให้รายได้และความเชื่อมั่นของครัวเรือนอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนการลงทุนภาคเอกชนเติบโตต่อเนื่อง โดยเป็นการลงทุนเพื่อทดแทนความเสียหายจากอุทกภัยและเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปี ๒๕๕๖ กนง. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ ๔.๙ โดยอาศัยอุปสงค์ในประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อในภาพรวมมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงปัจจุบัน ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังมีสูงกว่าความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อ ๔. ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ ในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ๑ ครั้ง ร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี เพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและรักษาแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศที่อาจจะอ่อนแรงลงในระยะต่อไป ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ ๒.๗๕ ต่อปี ณ สิ้นปี ๒๕๕๕ ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าภาวะการเงินในปัจจุบันยังอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอต่อความจำเป็นของเศรษฐกิจ ๕. ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มแข็งขึ้น จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกที่ปรับดีขึ้น สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยการแข็งค่าของเงินบาทอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ค่าความผันผวนของเงินบาทมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา และลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ ๓ ปี ทั้งนี้ นโยบายผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเงินทุนเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศมีส่วนช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดความสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนโดยรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||
2590 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 2 (ตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556) | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป้าหมายการเบิกจ่ายไตรมาสที่ ๒ รายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๔๔.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๒๕.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๒๑๒,๖๘๖.๕๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๕๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๕๓ โดยเป็นการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๐๖๓,๕๙๗.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๑๘ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๙,๘๖๖.๖๔ ล้านบาท และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๔๙,๐๘๘.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๗.๒๖ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๐,๑๓๓.๓๖ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๑๒.๒๖ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๐,๒๓๖.๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕๘,๘๙๐.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๙๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง : รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๘๒๔.๖๖ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๑๑,๕๘๓.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๙๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๘๖๕.๘๙ ล้านบาท ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๑๙๗.๓๔ ล้านบาท ๕. การเบิกจ่ายเงินของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๘,๑๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๖.๙๒ ของวงเงินงบประมาณ ๒๒๑,๓๐๖.๙๒ ล้านบาท ๖. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๐,๓๑๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๖.๙ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๕๗,๐๑๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2591 | รายงานผลการประชุมเกี่ยวกับผลกระทบของค่าเงินบาทต่อเศรษฐกิจไทย | กค | 14/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมเกี่ยวกับผลกระทบของค่าเงินบาทต่อเศรษฐกิจไทย ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการนโยบายการเงิน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้ปรึกษาหารือถึงผลกระทบของค่าเงินบาทที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งแนวทางการลดผลกระทบที่มีต่อภาคการส่งออก และมีความเห็นร่วมกันว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไป โดยแข็งค่ากว่าค่าเงินของคู่แข่งในภูมิภาคนี้และขาดเสถียรภาพจะมีผลเสียต่อการส่งออก การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งภาคเอกชนได้ขอให้ภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาการชะลอตัวของการส่งออกทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ได้แก่ การผลักดันให้ใช้เงินบาทเป็นเงินสกุลสำหรับการค้าขายในภูมิภาคนี้ การลดอุปสรรคในการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาคนี้ การสนับสนุนให้มีผู้เรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น และการจัดทำโครงการพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านพลังงานเพื่อรองรับภาคการผลิต การพิจารณามาตรการเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบในประเทศเพิ่มขึ้น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ขายสินค้าให้กับผู้ส่งออกและสามารถใช้เงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าภายในประเทศโดยไม่ต้องแลกเป็นเงินบาท การจัดหาสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาสินค้าในด้านต่าง ๆ การลดหย่อนภาษีสำหรับการนำอัญมณีและเครื่องประดับที่เข้ามาแสดงและซื้อขายในประเทศ และการให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลเผยแพร่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับเงินสกุลอื่น ๆ ๒. ที่ประชุมเห็นควรให้มีการประชุมในลักษณะนี้ขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง โดยอาจเปลี่ยนหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมในครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2592 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้ พ.ร.ก. ช่วยเหลือ0กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง ที่ครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2556 | กค | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ที่ครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔ รุ่น วงเงินรวม ๓๑,๘๗๗.๐๕ ล้านบาท และดำเนินการชำระคืนเงินทดรองจ่ายคงค้างจากการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๒๕๕.๐๐ ล้านบาท ทำให้วงเงินการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ๒๕๕๖ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๒,๑๓๒.๐๕ ล้านบาท (๓๑,๘๗๗.๐๕+๒๕๕.๐๐) โดยมีผลการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำนวน ๓ รายการ วงเงินรวม ๒๔,๖๕๓.๘๐ ล้านบาท และการดำเนินการชำระคืนเงินทดรองจ่ายคงค้างจากการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒๕๕.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนทั้งสิ้น ๒๔,๙๐๘.๘๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (บัญชี Premium FIDF 1&3) จำนวน ๑๒,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท และกู้เงินระยะสั้น จำนวน ๑๒,๔๐๘.๘๐ ล้านบาท ๒. การปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดในวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑ รายการ คือ เงินกู้ระยะสั้นเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๓ วงเงิน ๗,๒๒๓.๒๕ ล้านบาท โดยทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง จำนวน ๕,๐๙๑.๒๐ ล้านบาท และกู้เงินระยะสั้น จำนวน ๒,๑๓๒.๐๕ ล้านบาท ทำให้คงค้างการชำระคืนเงินทดรองจ่ายเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งสิ้น ๑๒,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท (๗,๔๐๘.๘๐+๕,๐๙๑.๒๐) ๓. การกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ ฉบับ และได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๐ ตอนพิเศษ ๒๘ ง เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๖ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2593 | การบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) | กค | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จำนวน ๑๙๐,๐๕๕ ล้านเยน โดยการแปลงหนี้ด้วยวิธี Cross Currency Swap (CCS) หรือการทำ Swap หนี้เงินเยนขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) เป็นหนี้เงินบาท ทั้งนี้ หากในอนาคต รฟม. มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงหนี้ต่างประเทศได้เองแล้ว ให้ รฟม. เป็นผู้รับผิดชอบการบริหารหนี้โดยตรงต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ให้กับ รฟม. ให้สอดคล้องกับข้อผูกพันตามธุรกรรม Swap ตามกำหนดระยะเวลาที่รัฐบาลรับภาระ |
|||||||||||||||||||||||||||
2594 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดท่าหรือที่ สนามบินศุลกากร ทางอนุมัติ ด่านพรมแดน และด่านศุลกากร พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อกำหนดให้ที่และเขตศุลกากรช่องสะงำเป็นที่สำหรับนำของเข้าหรือส่งของออก และกำหนดทางอนุมัติและด่านศุลกากรช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ สำหรับเขตแดนทางบก ระหว่างราชอาณาจักรและราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2595 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีกรณีเงินช่วยเหลือตามโครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนด) | กค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๗๒ (พ.ศ. ๒๕๕๒) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อกำหนดให้การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินช่วยเหลือข้าราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ ตามพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับตั้งแต่ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2596 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 | กค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน ๒,๔๓๖.๔๔๒ ล้านบาท และ ๑,๕๒๔.๘๓๕ ล้านบาท ตามลำดับ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง และให้ทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวกู้เงินเพื่อเป็นเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามกรอบวงเงินที่เสนอ โดยรัฐรับภาระหนี้และให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันการกู้เงิน พิจารณาวิธีการกู้เงิน รายละเอียดและเงื่อนไขในการกู้เงินต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2597 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 1 ปีงบประมาณ 2556 | กค | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๘๔๘.๔๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๑.๓๔ ของมูลค่านำเข้ารวม (๖๓,๔๗๐.๔๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ ๒๕๕๕ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑๙๒.๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๙.๓๕ ๒. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๒๐๐.๓๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๓๗.๗๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๒๓.๒๕) น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๓๖.๖๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๔๒.๖๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๔๕.๔๑) นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๑๐๔.๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๓๓.๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือร้อยละ ๔๖.๔๒)
|
|||||||||||||||||||||||||||
2598 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้กรรมการรัฐวิสาหกิจต้องไม่เป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้บริหารโดยการมอบหมายของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาการมีประโยชน์ได้เสียของกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ๑.๓ แก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๔ กำหนดให้ผู้บริหารต้องไม่เป็นหรือภายในระยะเวลาสามปีก่อนวันได้รับแต่งตั้ง ไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุนหรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ หรือกรรมการในนิติบุคคลดังกล่าวโดยการมอบหมายของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๕ กำหนดให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจอาจใช้ดุลพินิจในการรับผู้มีลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกตามมาตรา ๙ (๕) เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้ ๑.๖ กำหนดยกเว้นการดำเนินกระบวนการสรรหาผู้บริหาร และแต่งตั้งกรรมการที่มาจากบุคคลในบัญชีรายชื่อ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีเหตุผลจำเป็นพิเศษที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยให้การได้มาและการจ้างผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด ๑.๗ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรารักษาการ โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ ๒. ให้กระทรวงการคลังเสนอหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินกระบวนการสรรหาผู้บริหารและการจ้างผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่มีเหตุผลจำเป็นพิเศษที่ได้รับการยกเว้นตามร่างมาตรา ๑๐ ที่มีความชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังศึกษาและจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองที่จำเป็นเพื่อรองรับการประกาศใช้ควบคู่กับร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ในระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้สามารถแต่งตั้งคณะทำงานต่าง ๆ หรือว่าจ้างที่ปรึกษาขึ้นเพื่อดำเนินการดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
2599 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีสาระสำคัญคือ การแก้ไขปัญหาสมาชิก กบข. ในเรื่องบำนาญ โดย ๑.๑.๑ ข้าราชการ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข.) ๑.๑.๑.๑ สมาชิก กบข. ซึ่งประสงค์จะกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และให้ถือว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๑.๒ ผู้ซึ่งจะต้องออกจากราชการไม่ว่ากรณีใด ๆ ยกเว้นกรณีถึงแก่ความตาย ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้สมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงเมื่อวันออกจากราชการ ๑.๑.๑.๓ การแสดงความประสงค์ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือวันออกจากราชการ และให้มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ทั้งนี้ การแสดงความประสงค์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ๑.๑.๑.๔ ข้าราชการตามข้อ ๑.๑.๑.๑-๑.๑.๑.๓ ไม่มีสิทธิได้รับเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว โดยให้ กบข. ส่งเงินดังกล่าวเข้าบัญชีเงินสำรอง สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว กบข. จะจ่ายคืนให้แก่ข้าราชการผู้นั้น ๑.๑.๑.๕ การส่งเงินเข้าบัญชีเงินสำรองและการจ่ายคืนเงินสะสมและผลประโยชน์ให้เป็นไปตามที่ กบข. กำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังซึ่งจะกำหนดให้ กบข. นำเงินประเดิม เงินสมทบ เงินชดเชย และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวที่ได้รับคืนจากสมาชิกส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ทั้งนี้ กบข. จะต้องจัดทำรายงานการนำเงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวส่งเข้าบัญชีเงินสำรองต่อกรมบัญชีกลางตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดข้อมูลที่ กบข. จะต้องรายงานให้กรมบัญชีกลางทราบ ๑.๑.๑.๖ หากข้าราชการซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ หรือก่อนวันออกจากราชการ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ ๑.๑.๒ ผู้รับบำนาญ (สมาชิก กบข. ซึ่งเข้ารับราชการก่อนวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และสมัครเป็นสมาชิก กบข. แต่ได้ออกจากราชการแล้ว) ๑.๑.๒.๑ หากประสงค์จะขอกลับไปรับบำนาญตามสูตรเดิม (พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔) ให้แสดงความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ และผู้รับบำนาญจะต้องคืนเงินก่อน (เงินประเดิม เงินชดเชย เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว) ที่ได้รับไปแล้วแก่ทางราชการโดยผู้รับบำนาญจะได้รับบำนาญตามสูตรเดิม ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ โดยวิธีหักกลบลบกัน ๑.๑.๒.๒ การหักกลบลบกัน หากมีกรณีที่ผู้รับบำนาญต้องคืนเงิน ให้ผู้รับบำนาญคืนเงินแก่ส่วนราชการผู้เบิกภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เพื่อนำส่งให้กรมบัญชีกลาง โดยเงินที่ส่วนราชการได้รับคืน ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หากมีกรณีที่ต้องคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ กรมบัญชีกลางจะคืนเงินให้ผู้รับบำนาญ หากมีเงินเหลือ จะนำส่งเข้าบัญชีเงินสำรอง ๑.๑.๒.๓ ผู้รับบำนาญที่ได้แสดงความประสงค์แล้ว เป็นผู้รับบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ตั้งแต่วันที่ออกจากราชการ แต่หากผู้รับบำนาญมีกรณีที่ต้องคืนเงิน ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ จึงจะได้รับสิทธิดังกล่าว ๑.๑.๒.๔ หากผู้รับบำนาญซึ่งได้แสดงความประสงค์ไว้แล้วถึงแก่ความตายก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้ถือว่าการแสดงความประสงค์นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และหากมีกรณีต้องคืนเงิน ให้ส่วนราชการผู้เบิกแจ้งกรมบัญชีกลางเพื่อถอนเงินที่ผู้รับบำนาญคืนให้แก่ส่วนราชการผู้เบิก เพื่อคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด จะกำหนดเรื่องการดำเนินการถอนเงินคืนให้แก่ผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบำนาญที่ตายไปก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ ๑.๒ เห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว รวมทั้งเงินบำนาญส่วนเพิ่ม จากการดำเนินการตามแนวทางที่ให้ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ซึ่งเป็นสมาชิก กบข. โดยสมัครใจสามารถเลือกกลับไปรับบำนาญตามระบบเดิม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือและลดภาระให้แก่ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ๒. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2600 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพาสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....