ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 121 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 2401 - 2420 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2401 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (จำนวน 3 ราย 1. นายมานิต นิธิประทีป ฯลฯ) | กค | 15/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่ง เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนี้
๑. นายมานิต นิธิประทีป ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร ตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ๒. นายทวี ไอศูรย์พิศาลศิริ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๓. นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
2402 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 120 ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. .... | กค | 15/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๑๒๐ ปี วันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลาย และลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์ทองคำ ราคาหนึ่งหมื่นหกพันบาท หนึ่งชนิด เหรียญกษาปณ์เงิน ราคาแปดร้อยบาท หนึ่งชนิด และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ราคายี่สิบบาท หนึ่งชนิด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นสมควรปรับคำบรรยายลวดลายของเหรียญตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงฯ จากเดิม “ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ผินพระพักตร์ทางเบื้องซ้าย ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศจอมทัพ ฉลองพระองค์ครุยจุลจอมเกล้า ทรงสายสะพายและสายสร้อยแห่งเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และสายสร้อยจุลจอมเกล้า ...” เป็น “ด้านหน้า กลางเหรียญมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ผินพระพักตร์ทางเบื้องซ้ายทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศจอมทัพ ฉลองพระองค์ครุยทรงเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ และสายสร้อยจุลจอมเกล้า ...” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2403 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงสภาพการจ้างของพนักงานโรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต | กค | 15/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต เบิกค่าธรรมเนียมแพทย์หรือที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้แก่พนักงานและบุคคลในครอบครัว กรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลคลินิกนอกเวลาในสถานพยาบาลของทางราชการ ให้เบิกจ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท ต่อครอบครัวต่อปี ๑.๒ ให้โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต เบิกค่าตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Specific Antigen : PSA) สำหรับพนักงานที่มีอายุ ๕๕ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อปี ๒. ให้กระทรวงการคลัง (โรงงานไพ่) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้กระทบต่อฐานะการเงินในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2404 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนด เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 | กค | 08/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ วงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการชำระคืนต้นเงินกู้จากบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน-๒ จำนวน ๗,๐๐๐ ล้านบาท และปรับโครงสร้างหนี้วงเงินที่เหลือ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินอายุ ๔ ปี อัตราดอกเบี้ยลอยตัว ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ โดยตั๋วสัญญาใช้เงิน (พ.ร.ก. ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๒ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศ และงานทั่วไป เล่ม ๑๓๑ ตอนพิเศษ ๗๗ ง เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2405 | การจัดหาเงินทุนเพื่อเยียวยาเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | กค | 08/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบผลการกู้เงินเพื่อชำระคืนเงินทุนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้สำรองจ่ายไปจำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ โดยกระทรวงการคลังได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. กู้เงินในรูปแบบ Term Loan วงเงิน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท อายุ ๓ ปี โดยกระทรวงการคลังค้ำประกัน รัฐบาลเป็นผู้รับภาระในการชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ย และได้มีการเปิดซองพิจารณาเงื่อนไขรายละเอียดที่สถาบันการเงินต่าง ๆ เสนอแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ มีสถาบันการเงินจำนวน ๓ แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด เป็นผู้เสนออัตราดอกเบี้ย เงื่อนไขและรายละเอียดการกู้เงินที่ดีที่สุด รวมจำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท โดย ๑) ธนาคารออมสิน เสนออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (BIBOR) ระยะ ๖ เดือน ลบร้อยละ ๐.๑๐ ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และอัตรา BIBOR ระยะ ๖ เดือน ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เสนออัตรา BIBOR ระยะ ๖ เดือน ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และ ๓) ธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด เสนออัตรา BIBOR ระยะ ๖ เดือน บวกร้อยละ ๐.๐๕ ต่อปี วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมวงเงินกู้ที่กระทรวงการคลังได้มีการจัดหาแล้วเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ วงเงิน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จะทำให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๙๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
2406 | ทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 08/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้คงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายเงินปันผลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ธ.ก.ส. มีหุ้นที่ออกและชำระแล้วจะครบจำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้นำความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดส่งรายละเอียดแผนงาน/โครงการและกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการไปประกอบการพิจารณาการเพิ่มทุนของ ธ.ก.ส. ในครั้งต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกันกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งอื่น ๆ ด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) รับไปพิจารณาทบทวนระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการของคณะกรรมการและพนักงานของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ รวมทั้งปรับปรุงระบบการประเมินผลให้สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการที่แท้จริงของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้ได้มาตรฐานที่เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นเครื่องมือในการจูงใจให้มีการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรในระยะยาว และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2407 | มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย วาตภัยและดินถล่ม ปีบัญชี 2554 | กค | 08/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบชดเชยดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปีบัญชี ๒๕๕๔ ทั้งในกรณีลูกค้าของ ธ.ก.ส. ที่เป็นเกษตรกร วงเงิน ๖,๒๓๙,๘๒๐,๐๐๐ บาท และกรณีลูกค้าของ ธ.ก.ส. ที่เป็นสถาบัน วงเงิน ๑๕๘,๔๘๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นวงเงินรวม ๖,๓๙๘,๓๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับรายละเอียดค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ ธ.ก.ส. ไว้แล้ว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๖๙๕,๓๗๙,๐๐๐ บาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๐๗๐,๓๖๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๓,๖๓๒,๕๖๑,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปีบัญชี ๒๕๕๔ ตามรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงก่อนเบิกจ่ายอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.) ตรวจสอบการดำเนินการตามมาตรการฯ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับมาตรการให้ความช่วยเหลือจากเหตุการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่มอื่น ๆ ของภาครัฐ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2408 | มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ | กค | 02/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับขั้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ออกไปอีก ๑ ปี สำหรับเงินได้สุทธิที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ ๒๐ ออกไปอีก ๑ ปี สำหรับรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ และให้จัดเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาด้วยว่าร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชนและลดภาระค่าครองชีพสมควรจะออกเป็นประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติแทนหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีรัฐธรรมนูญและการตราพระราชกฤษฎีกาจะต้องอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งปฏิรูปโครงสร้างและระบบภาษีอากรทั้งระบบ เพื่อให้ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการคลังที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีหลักการสำคัญคือ การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเป็นธรรม การส่งเสริมพฤติกรรมการผลิตการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มแรงจูงใจเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่นำไปสู่นวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพในภาคการผลิตและบริการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละประเภทเพื่อขยายฐานภาษีและรายได้ของรัฐอย่างยั่งยืนในระยะยาว และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำประมาณการมูลค่าการขาดรายได้ในแต่ละกรณีให้ชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2409 | การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2557/58 | กค | 02/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒,๒๙๒ ล้านบาท ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขอชดเชยจากภาครัฐ จากเดิมร้อยละ ๔ เป็นร้อยละ ๓ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๗๐๐ ล้านบาท ๓. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยค่าบริหารสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิมร้อยละ ๒.๕๐ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๑๒๐.๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังติดตามและตรวจสอบการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้รายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อรวบรวมรายงานต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร กระทรวงการคลังควรคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงาน เช่น ยุ้งฉางของเกษตรกร การบริหารจัดการแปรรูปและจำหน่ายข้าวของสหกรณ์ และความพร้อมของบุคลากรในการติดตามตรวจสอบปริมาณข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ และในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนการเพาะปลูกข้าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดจนการพัฒนาผลิตภาพการผลิตข้าวของไทยในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น แหล่งน้ำ ระบบขนส่ง ยุ้งฉาง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2410 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 | กค | 02/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ มีจำนวน ๕,๕๕๐,๓๙๐.๘๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๖.๐๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) โดยเป็นหนี้ของรัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๙๑๙,๓๙๘.๒๘ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๙๑,๘๙๔.๙๑ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) จำนวน ๕๓๒,๑๘๓.๔๗ ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๖,๙๑๔.๒๑ ล้านบาท ส่วนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไม่มีหนี้คงค้าง ๒. คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ ประกอบด้วย ๔ แผนย่อย และปรับปรุงแผนฯ ในระหว่างปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินกู้และบริหารหนี้ ซึ่งหลังการปรับปรุงแผนฯ ครั้งที่ ๑ ทำให้วงเงินรวมในแผนฯ ที่จะบริหารจัดการมีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๓๑๖,๓๓๐.๘๔ ล้านบาท โดยในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการกู้เงินและบริหารหนี้ เป็นวงเงินทั้งสิ้น ๕๔๘,๖๕๖.๙๙ ล้านบาท ๓. ผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนแรก ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ (ตุลาคม ๒๕๕๖-มีนาคม ๒๕๕๗) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕๑๑,๘๑๑.๖๕ ล้านบาท โดยมีความก้าวหน้าคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๑ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะในช่วง ๖ เดือนแรก ของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๓๖,๘๔๕.๓๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๕๔๘,๖๕๖.๙๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๑.๖๘ ของแผนการบริหารหนี้สาธารณะทั้งปี โดยแบ่งเป็น หนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓๗๔,๔๙๐.๐๐ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน จำนวน ๔๕,๙๒๔.๗๙ ล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน จำนวน ๑๒๘,๒๔๒.๒๐ ล้านบาท ๔. ผลการบริหารหนี้ที่ได้ดำเนินการทั้งในส่วนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๗๓,๙๖๔.๒๗ ล้านบาท (๒๓๖,๖๓๐+๑๓๑,๗๖๘.๕๘+๒,๒๘๘.๙๐+๓,๒๗๖.๗๙) สามารถลดยอดหนี้ได้ทั้งสิ้น ๖๕,๐๓๑.๗๔ ล้านบาท รวมทั้งประหยัดดอกเบี้ยได้ทั้งสิ้น จำนวน ๑๗๓.๕๑ ล้านบาท (๑๑.๔๕+๐.๑๘+๗๕.๔๗+๓๓.๙๙+๕๒.๔๒)
|
|||||||||||||||||||||||||||
2411 | ข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (HCFC Phase Out Project) | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (HCFC Phase Out Project) และอนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการตามที่ธนาคารโลกกำหนดมาตรฐานไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) แก่ผู้แทนไทยที่จะลงนามยืนยันความช่วยเหลือฯ สำหรับโครงการดังกล่าว ๓. ให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาตินำความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสารทดแทนการใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน และการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดลำดับความสำคัญ (priority) ในการส่งเสริมการลงทุนของผู้ประกอบการในการผลิตสารทดแทนการใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน การกำหนดแนวทางและมาตรการในการจูงใจผู้ประกอบการ รวมตลอดถึงการให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2412 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2557 | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ภายในกรอบวงเงิน ๔๙๔,๙๐๖,๒๒๑.๕๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่มีเหลือจ่ายจากโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑๘,๖๐๒,๓๗๕.๕๐ บาท และเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓๗๖,๓๐๓,๘๔๖ บาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยเงินต้นและดอกเบี้ยในอัตรา FDR+๑% ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอัตราเบี้ยประกันภัย ให้เหมาะสมและเป็นที่จูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปีให้มากยิ่งขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร) ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรจัดให้มีกลไกการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลฯ ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบข้อมูลเพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจขยายการดำเนินโครงการประกันภัยพืชผลไปสู่สินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งให้ฝ่ายกำกับดูแล กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การรักษาวินัยการเงินการคลัง การให้ความรู้และมาตรการสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งให้นำเรื่องดังกล่าวหารือรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการเชิงรุกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรในระยะยาวได้อย่างยั่งยืนต่อไป และให้มีความเชื่อมโยงกับโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกข้าว (zoning) การปลูกพืชทดแทน และการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2413 | รายงานการชดใช้คืนเงินทดรองราชการ ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2556/57 | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการชดใช้คืนเงินทดรองราชการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยกรมการค้าต่างประเทศได้เบิกเงินทดรองราชการที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลัง จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อโอนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนำไปจ่ายให้แก่ชาวนาตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๖/๕๗ โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางได้รับคืนเงินทดรองราชการที่กรมการค้าต่างประเทศได้นำส่งชดใช้คืนเงินทดรองราชการดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้าข้าวในระยะต่อไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น ควรบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเดียวกันที่จะพัฒนาคุณภาพข้าวให้ได้มาตรฐาน ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) กำกับให้กระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมการค้าต่างประเทศและกรมการค้าภายในชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและภาคเอกชนว่ามาตรการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ดำเนินการเกี่ยวกับการระบายข้าวและการทำสัญญาซื้อขายข้าวของรัฐ เป็นเพียงการดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสเท่านั้น มิได้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจตามปกติของภาคเอกชนแต่อย่างใด |
|||||||||||||||||||||||||||
2414 | แนวทางบรรเทาความเดือดร้อนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่เกี่ยวข้องตามมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร และมาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบทางการเมืองและวิกฤตเศรษฐกิจ ได้แก่ ๑.๑.๑ มาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติ โดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้เป็นเวลา ๖ เดือน โดยสามารถชำระเงินต้นบางส่วนพร้อมดอกเบี้ยปกติ หรือพักชำระเงินต้นแต่ให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ยปกติเต็มจำนวน และการให้กู้เพิ่มเติมกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเฉพาะในกรณีภัยพิบัติ วงเงินรวม ๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ มาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับลูกค้าของ บสย. โดยกำหนดให้สามารถพักชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันได้เป็นระยะเวลา ๖ เดือน สำหรับลูกค้าของ บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ มาตรการสินเชื่อเพื่อภาคการเกษตร ประกอบด้วย ๔ โครงการ ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินสินเชื่อรวม ๖๕,๙๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โครงการเพิ่มสินเชื่อตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร และโครงการสินเชื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก (บัตรสินเชื่อเกษตรกร) ๑.๓ มาตรการสินเชื่อเพื่อ SMEs วงเงินสินเชื่อรวม ๔๕,๖๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อ SMEs สุขใจ โดยธนาคารออมสิน โครงการสินเชื่อสนับสนุนผู้ประกอบการตามยุทธศาสตร์กระทรวงอุตสาหกรรม โครงการขยายสินเชื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต ๒ (Productivity Improvement Loan-2) โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) โครงการขยายสินเชื่อแก่ SMEs โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โครงการสินเชื่อเพิ่มสุข โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โครงการ SMEs Halal Trade โครงการสินเชื่อมาตรฐาน SMEs Flexi & Sure และแคมเปญ Happy Together โดยธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์มาตรการรับภาระค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการในโครงการ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ ในปีแรก หลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ PGS สำหรับผู้ประกอบการ OTOP และวิสาหกิจชุมชน และหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Package Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ทั้งนี้ ให้ดำเนินโครงการตามหลักเกณฑ์มาตรการดังกล่าวในระยะสั้นและเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อน ๓. อนุมัติงบประมาณในการดำเนินโครงการตามข้อ ๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๗๑๒.๕๐ ล้านบาท โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่าง ๆ ภายใต้หลักเกณฑ์มาตรการฯ ข้างต้นอย่างใกล้ชิด ให้สามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ/โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
2415 | รายงานผลการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliant Act (ความตกลง FATCA) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act : FATCA ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ คณะผู้แทนรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาความตกลง FATCA และคณะผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพื่อการจัดทำความตกลง FATCA ได้ร่วมกันจัดทำร่างความตกลง FATCA เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ โดยได้ปรับร่างความตกลงมาตรฐาน (Model Text) ที่สหรัฐฯ จัดทำขึ้นสำหรับการเจรจากับประเทศต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมกับข้อกำหนดของกฎหมายของไทย โดยหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ และหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ร่วมลงนามในบันทึกการเจรจา (Agreed Minutes) และลงนามย่อ (initial) ในร่างความตกลง FATCA เพื่อรับรองความถูกต้องของร่างความตกลง FATCA เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ ๑.๑.๒ คณะผู้แทนรัฐบาลไทยฯ และคณะผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ร่วมกันจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) เกี่ยวกับความตกลง FATCA เพื่อลงนามพร้อมกับร่างความตกลง FATCA โดยเป็นความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการยกเว้นการรายงานข้อมูลของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตรายย่อย และการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายของไทยเพื่อให้ความตกลง FATCA มีผลสมบูรณ์ รวมถึงกำหนดขั้นตอนในการขยายเวลาการสิ้นสุดของความตกลงหากประเทศไทยยังไม่สามารถเริ่มส่งข้อมูลให้สหรัฐฯ ได้ตามข้อกำหนดของความตกลง FATCA ๑.๑.๓ สหรัฐฯ มีกำหนดการเริ่มหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๓๐ จากรายได้ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ของสถาบันการเงินที่อยู่ในประเทศที่ไม่มีความตกลง FATCA กับสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ แต่สหรัฐฯ จะยกเว้นการเก็บภาษีจากสถาบันการเงินที่อยู่ในประเทศที่ได้มีการเจรจาในสาระสำคัญของร่างความตกลงกับสหรัฐฯ แล้ว (Reach Agreement in Substance) โดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเพื่อกำหนดให้สถาบันการเงินที่อยู่ในประเทศที่ได้มีการเจรจาในสาระสำคัญของร่างความตกลง FATCA กับสหรัฐฯ แล้ว และได้มีการเผยแพร่ชื่อประเทศนั้นในเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก่อนวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ได้รับสิทธิประโยชน์จากความตกลง FATCA โดยจะได้รับยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ ๓๐ นับตั้งแต่วันที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ประกาศชื่อประเทศดังกล่าวในเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ๑.๒ เห็นชอบให้ดำเนินการนำชื่อประเทศไทยขึ้นประกาศในเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพื่อกระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามและประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว เพื่อรายงานคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2416 | ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคีฉบับปรับปรุง | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเห็นว่า ร่างความตกลงมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralisation Agreement : CMIM Agreement) ฉบับปรับปรุง มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มวงเงินความช่วยเหลือให้สูงขึ้นเป็น ๒ เท่า จาก ๑๒๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๒๔๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น จะเพิ่มวงเงินผูกพันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในความตกลงฯ จากเดิม ๔.๕๕๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีมติเห็นชอบการกันเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ จำนวน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสมทบในความตกลงฯ ด้วยแล้ว จึงไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาให้ความเห็นชอบของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เรื่อง ให้อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นอำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงลงมติเห็นชอบ อนุมัติ และให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลง CMIM ฉบับปรับปรุง ๒. อนุมัติการลงนามในร่างความตกลงฯ และมอบหมายให้ ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทน และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ และหนังสือแนบท้ายความตกลงเพื่อยืนยันการผูกพันในการสมทบเงินใน CMIM ในวงเงิน ๙.๑๐๔ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนลงนามในหนังสือรับทราบการขอรับความช่วยเหลือและหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามเงื่อนไขของความตกลงฯ ๒.๓ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาลงนามในหนังสือให้ความเห็นทางกฎหมายเมื่อประเทศไทยต้องการขอรับความช่วยเหลือภายใต้ความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงดังกล่าว ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
2417 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมทั้งเหตุผลความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนราคาจำหน่ายน้ำมันภายในประเทศให้กับประชาชนและผู้สนใจได้ทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2418 | รายงานการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 | กค | 08/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ และ ครั้งที่ ๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๒ รุ่น ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๑ จำนวน ๖,๐๐๐ ล้านบาท อายุ ๔ ปี อัตราดอกเบี้ย BIBOR ระยะ ๖ เดือน-ร้อยละ ๐.๑๕ ต่อปี ครบกำหนดชำระคืนต้นเงินในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และพันธบัตรรัฐบาลประเภทอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ครั้งที่ ๒ จำนวน ๘,๐๐๐ ล้านบาท อายุ ๔ ปี อัตราดอกเบี้ย BIBOR ระยะ ๖ เดือน-ร้อยละ ๐.๑๕ ต่อปี ครบกำหนดชำระคืนต้นเงินในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗ โดยได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นเงินบางส่วน จำนวน ๒,๕๐๕ ล้านบาท จึงเหลือเงินต้นที่ต้องคืนอีกจำนวน ๕,๔๙๕ ล้านบาท (๘,๐๐๐-๒,๕๐๕ ล้านบาท) ๒. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนด จำนวน ๒ รุ่น ดังกล่าว ได้แก่ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ได้ดำเนินการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๑ อายุ ๕ ปี ให้กับธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด สาขากรุงเทพฯ จำนวน ๖,๐๐๐ ล้านบาท และเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗ ได้ดำเนินการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ครั้งที่ ๒ อายุ ๔ ปี ให้กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน ๕,๔๙๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
2419 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
2420 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2556) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปีหลังของปี ๒๕๕๖ (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและจีนขยายตัวชะลอลง ซึ่งการคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลก ทำให้เงินทุนต่างประเทศไหลออกจากภูมิภาคและไทย ส่งผลให้เงินในภูมิภาคและเงินบาทโน้มอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ เนื่องจากยังเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทาน เมื่อรวมกับอุปสงค์ในประเทศที่หดตัว และผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง โดยรวมเศรษฐกิจไทยจึงขยายตัวชะลอลง ๒. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนหดตัวหลังจากที่เร่งไปมากตามการใช้จ่ายในสินค้าคงทน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจยานยนต์ ขณะที่การใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนขยายตัวชะลอลงจากหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้น สถาบันการเงินที่เพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อแก่ครัวเรือน และสถานการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัวเนื่องจากไทยเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทานและด้านเทคโนโลยีที่ไม่สามารถตอบสนองต่อรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเท่าที่ควร ๓. การบริโภคและการส่งออกสินค้าที่หดตัว ทำให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลง ผู้ประกอบการบางส่วนชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวดีจึงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ ๔. อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ฐานะการเงินของสถาบันการเงินยังเข้มแข็ง สินเชื่อของทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนขยายตัวดีแต่ชะลอลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ และสถาบันการเงินที่เริ่มเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เงินบาทโน้มอ่อนค่าลง ฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดีแต่อาจมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคง ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๗ คาดว่าจะยังชะลอตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปีจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กระทบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยภาระหนี้ที่สูงขึ้นจะจำกัดกำลังซื้อของครัวเรือนไปอีกระยะหนึ่ง การส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แต่น้อยลง ทั้งนี้ อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัวดีขึ้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตมากขึ้น
|
.....