ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1055 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21081 - 21100 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21081 | โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ | กค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) ซึ่งมีกรอบการดำเนินโครงการในหลักการเดียวกับโครงการบ้านประชารัฐที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นรขอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวและหรือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองบนที่ดินราชพัสดุ โดยให้สถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนพิเศษ แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเสนอขอปรับถ้อยคำในวัตถุประสงค์ของโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ในข้อ ๒.๑.๑.๑ ของหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๓๑๔/๖๕๗๔ ลงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ จาก “เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวและหรือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง” เป็น “เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มีที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราวและหรือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง” เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมาย หากมีจำนวนความต้องการเกินกว่าอุปทาน อาจพิจารณากลุ่มสูงอายุและกลุ่มที่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นกลุ่มที่มีลำดับความสำคัญสูง ส่วนการสำรวจที่ดินราชพัสดุที่ยังมิได้นำมาใช้ประโยชน์และมีศักยภาพในการพัฒนา ทั้งที่เป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อย และการพัฒนาพื้นที่ในเชิงพาณิชย์ และการให้ ธอส. และธนาคารออมสินพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบเพื่อป้องกันหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs) ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ รวมทั้งธนาคารทั้งสองแห่งควรมีกระบวนการพิจารณาคัดกรองการให้สินเชื่อที่ระมัดระวังเป็นพิเศษ สำหรับการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) แบบผ่อนปรนหลักเกณฑ์ Debt Service Ratio (DSR) และ Debt to Income Ratio (DTI) โดยให้คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และความสามารถในการใช้จ่ายประจำวัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ หากการดำเนินโครงการฯ เข้าข่ายตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กรมธนารักษ์ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวและประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้ ธอส. และธนาคารออมสินแยกบัญชีมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Post Finance) เป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล (Public Service Account : PSA) และไม่นับรวมหนี้ NPLs ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของ ธอส. และธนาคารออมสิน รวมทั้งให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการฯ บวกกลับกำไรสุทธิเพื่อการคำนวณโบนัสพนักงานได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดย ธอส. และธนาคารออมสินจะต้องไม่ขอรับการชดเชยงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในอนาคต ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการคัดเลือกเอกชนที่เข้าร่วมพัฒนาโครงการฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้เอกชนที่มีศักยภาพและสามารถดำเนินโครงการได้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ๕. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับการบูรณาการโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ข้าราชการบำนาญ และข้าราชการที่เกษียณอายุแล้ว เพื่อให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการสำรวจจำนวนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อวางแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในระยะยาว รวมทั้งกำหนดรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง บ้านประชารัฐ) |
|||||||||||||||||||||
21082 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) | คค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในกรอบวงเงินรวม ๘๒,๙๐๗ ล้านบาท (ไม่รวมค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว) ประกอบด้วย ค่างานก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๘๐,๑๑๘ ล้านบาท (รวมค่า Provisional Sum) และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างงานโยธาโครงการ จำนวน ๒,๗๘๙ ล้านบาท โดยแต่ละรายการจะแบ่งเป็นหลายสัญญาตามความเหมาะสมทางเทคนิค ๑.๒ แหล่งเงินดำเนินโครงการ ๑.๒.๑ ให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมโดยวิธีการให้กู้ต่อหรือค้ำประกันเงินกู้ภายใต้กรอบวงเงินค่างานก่อสร้างงานโยธาค่า Provisional Sum ของงานโยธาและค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโยธา ในกรอบวงเงินรวม ๘๒,๙๐๗ ล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินในกรอบวงเงินสำหรับในแต่ละกรณีตามพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๗๕ (๓) โดยให้ รฟม. ทยอยกู้เงินดังกล่าวเป็นงวด ๆ ตามความเหมาะสมและความจำเป็น ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีให้เป็นรายได้แก่ รฟม. ให้เพียงพอเพื่อการดำเนินการ การบริหารงาน การลงทุน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และการชำระหนี้แก่แหล่งเงินกู้ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง และเงินชดเชยสาธารณะของโครงการ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เห็นควรเร่งรัดการนำเสนอรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้ รฟม. สามารถดำเนินการสรรหาเอกชนเข้าร่วมลงทุน การกำกับดูแลให้ รฟม. กำหนดราคากลางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้ไม่เกิน ๓๐ วันก่อนเริ่มดำเนินการจัดหาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม การดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุอย่างเคร่งครัดและเจรจาต่อรองราคาให้ได้ราคาต่ำสุด การนำเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ มาใช้ การเร่งรัดดำเนินโครงการและเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนโดยเร็ว รวมทั้งการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการเพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับการบริหารโครงการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การเร่งพิจารณาการนำเสนอโครงการเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มได้ทั้งเส้นทางภายในปี ๒๕๖๕ ตามเป้าหมาย การพิจารณาหาข้อสรุปเรื่องรูปแบบการลงทุนและบริหารจัดการเดินรถที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยเร็ว การแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณศูนย์ซ่อมบำรุงภายในและภายนอกสถานี การเร่งดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาของแผนงานที่กำหนด ตลอดจนเสนอโครงการในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถโดยให้เอกชนร่วมลงทุนให้สอดรับกับระยะเวลาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ยังคงมีภาระงบประมาณค่อนข้างสูง แม้ว่าจะมีการปรับลดกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาของโครงการลงบางส่วนแล้ว ดังนั้น ในระหว่างดำเนินโครงการ หาก รฟม. พิจารณาแล้วเห็นว่างานก่อสร้างในส่วนใดที่เอกชนมีความสนใจจะเข้าร่วมลงทุน เช่น การก่อสร้างอาคารจอดแล้วจร ก็ให้ รฟม. เร่งพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณภาครัฐ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐด้วย ๔. ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐดำเนินการสุ่มตรวจโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมที่ผ่านมา เพื่อศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนของการจ้างที่ปรึกษาโครงการและให้ข้อเสนอแนะในการจ้างที่ปรึกษาที่เหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21083 | ขอความเห็นชอบแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ ปี 2558 - 2560 และขออนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2558 | พม | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ จำนวน ๑๑๖ โครงการ ๓๕,๓๔๒ หน่วย วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๒๓,๒๓๔.๔๑๙ ล้านบาท แหล่งที่มาของเงินลงทุน ประกอบด้วย เงินกู้ภายในประเทศ ๑๔,๐๙๓.๐๙๓ ล้านบาท เงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ๒,๔๘๔.๓๒๔๑ ล้านบาท และเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๖,๖๕๗.๐๐๑๙ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๔๓ โครงการ ๑๑,๔๘๕ หน่วย วงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๗,๗๙๒.๙๕๓ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๘๙๓.๓๒๔๙ ล้านบาท เงินกู้ภายในประเทศ ๕,๕๖๑.๗๗๒ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กคช. ๑,๓๓๗.๘๕๖๑ ล้านบาท ๒. การขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีนำมาใช้จ่ายเพื่อการนี้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ ให้ กคช. ปฏิบัติตามกฎกระทรวง เรื่อง กำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๘ มีโครงสร้างเงินลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ กคช. จึงควรเร่งดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยพิจารณาดำเนินโครงการในพื้นที่ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงสูงก่อน พร้อมกับกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดและวางแผนการขายเพื่อการเข้าถึงของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย กำกับ ติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด รวมถึงประเมินผลกระทบทางการเงินอย่างสม่ำเสมอ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21084 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศ จำนวน 6 รายการ) | มท | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถอนเรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศ จำนวน ๖ รายการ) คืนไปได้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21085 | การให้สัตยาบันต่อพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ | พม | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. ให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีและให้สัตยาบันต่อพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ โดยพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกเพื่อทำให้การคุ้มครองสิทธิของคนพิการสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีกระบวนการที่คนพิการหรือองค์กรคนพิการสามารถร้องเรียนเกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและสามารถเสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการได้โดยตรง ซึ่งการไต่สวนกระทำโดยลับ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายดำเนินการจัดทำภาคยานุวัติสารดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21086 | ขอความเห็นชอบหลักการการลงนามต่อสนธิสัญญามาร์ราเคชเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงงานที่มีการโฆษณาแล้วสำหรับคนตาบอด คนพิการทางการเห็น และคนพิการทางสื่อพิมพ์ | พม | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคชเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงงานที่มีการโฆษณาแล้วสำหรับคนตาบอด คนพิการทางการเห็น และคนพิการทางสื่อพิมพ์ (Marrakesh Treaty to Facilitate Access to Published Works for Persons Who Are Blind, Visually Impaired, or Otherwise Print Disabled : MVT) ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรศึกษากฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาฯ ก่อนการดำเนินการเพื่อเข้าเป็นภาคีต่อไป และในการปฏิบัติให้เป็นไปตามพันธกรณีในสนธิสัญญาฯ จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องการเผยแพร่งานอันมีลิขสิทธิ์ในรูปแบบที่คนพิการสามารถเข้าถึงได้ต่อสาธารณชน กรณีจึงเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. หากจะมีการยื่นภาคยานุวัติสารอันเป็นขั้นตอนการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันตามสนธิสัญญาฯ เมื่อใด ให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
21087 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ญี่ปุ่น | คค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ฉบับลงนาม วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงสิทธิการบินต่าง ๆ ได้แก่ เส้นทางการบิน สิทธิความจุความถี่ สิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ การปรับปรุงข้อบทการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน และความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ รวมทั้งร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและญี่ปุ่น ๒. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||
21088 | การดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) | กค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการนำความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปรับปรุงรายละเอียดการดำเนินโครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาแนวทางการบูรณาการระบบ CCTV เพื่อการควบคุมทางศุลกากร กับระบบ CCTV ของหน่วยงานอื่น ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกัน โดยกรมศุลกากรได้เสนอรูปแบบการบูรณาการใช้งานร่วมกันในลักษณะต่าง ๆ และให้กรมศุลกากรใช้บริการโครงข่ายสื่อสาร CCTV และอุปกรณ์ต่อพ่วงกับเครือข่ายของบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ เกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้งานระบบหรือพัฒนาต่อยอดจากระบบของหน่วยงานอื่นที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว การจัดทำรายละเอียดสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) ที่แสดงให้เห็นภาพรวมของการดำเนินการ การจัดหากล้องโทรทัศน์วงจรปิดควรอ้างอิงตามเกณฑ์ราคากลางและคุณลักษณะพื้นฐานของกล้องโทรทัศน์วงจรปิดตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำหนด และการจัดหาครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ให้กำหนดคุณลักษณะเฉพาะที่เปิดกว้างไม่เจาะจงเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง และควรมีคณะทำงานหรือหน่วยงานที่กำหนดรูปแบบมาตรฐานในการเชื่อมต่อและเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และบูรณาการข้อมูล ตลอดจนการจัดทำรายละเอียดนโยบายด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การจัดทำรายละเอียดนโยบายด้านความปลอดภัยทางไอที แผนการบริหารความเสี่ยง แผนการโอนย้ายระบบ แผนการบูรณาการระบบ คุณลักษณะของรายการอุปกรณ์ที่จัดหา สถาปัตยกรรมองค์กร และจัดให้มีกระบวนการทำ POC (proof of concept) ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21089 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 (โครงการก่อสร้างอาคารด่านพรมแดนคลองใหญ่) | กค | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมศุลกากรเปลี่ยนแปลงรายการ ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการในรายการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน รายการตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งหากชำระหนี้ล่าช้าจะมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น และรายการข้อผูกพันตามสัญญาที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้แล้วเสร็จและสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งงบประมาณไว้แล้ว ดังนี้ ๑.๑ ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๒๘๙/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๙๖,๔๐๐ บาท (ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙) ๑.๒ ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๔๘๓๕/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๘,๖๐๕,๔๐๐ บาท (ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๙) ๑.๓ ค่าก่อสร้างโครงการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน สำนักงานศุลกากรภาคที่ ๒ จำนวน ๕๙๗,๕๐๐ บาท วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๑,๕๙๙,๓๐๐ บาท สำหรับค่าจ้างเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาดและบำรุงรักษาและซ่อมแซมแก้ไขระบบปรับอากาศนั้น กรมศุลกากรได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประเภทงบดำเนินงาน ลักษณะค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ รองรับไว้แล้ว จึงเห็นสมควรให้ใช้จ่ายและถัวจ่ายจากงบประมาณดังกล่าวก่อน ทั้งนี้ การดำเนินการชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าว ให้กรมศุลกากรต่อรองให้เหลือต่ำสุด และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการหาผู้รับผิดชอบตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดในกรณีการชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๒๘๙/๒๕๕๘ รายบริษัท ไฮเพอรอน จำกัด โจทก์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โจทก์ร่วม กรมศุลกากร จำเลย และคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๔๘๓๕/๒๕๕๘ รายบริษัท เอส.อาร์.เค. อีเล็คโทรนิค จำกัด ที่ ๑ นายสุรเกียรติ งามวิถี ที่ ๒ โจทกก์ กรมศุลกากร จำเลยด้วย |
|||||||||||||||||||||
21090 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2557/2558 | อก | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ เป็นรายเขต ๙ เขต โดยราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๘๕๔.๒๕ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๕๑.๒๕ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. ต่อเมตริกตัน และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย เท่ากับ ๓๖๖.๑๑ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหาแนวทางในการลดต้นทุนการเพาะปลูกอ้อย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาล และเพิ่มรายได้รวมเฉลี่ยให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมน้ำตาล รวมทั้งเร่งหาข้อยุติเรื่อง การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทยและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาโดยเร็ว และเร่งทบทวนโครงสร้างการคำนวณต้นทุนการผลิตอ้อยให้สามารถสะท้อนราคาต้นทุนที่แท้จริงและนำไปใช้ในการกำหนดราคาอ้อยที่เหมาะสมได้ นอกจากนี้ ให้เร่งการดำเนินการตามแนวทางยุทธศาสตร์อ้อยโรงงานและน้ำตาลทรายภายใต้ยุทธศาสตร์สินค้าเกษตร ๔ สินค้า (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลังผลิตภัณฑ์ ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม อ้อยโรงงานและน้ำตาลทราย) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ โดยเฉพาะด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มคุณภาพความหวานอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21091 | การดำเนินงานรองรับการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำ จากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก (Core River Basin Management Functions Decentralization) | ทส | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการ “การดำเนินงานรองรับการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำ จากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก (Core River Basin Management Functions Decentralization) ๑.๒ มอบหมายคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยทำหน้าที่พิจารณารายละเอียดการดำเนินงานรองรับการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก (Core River Basin Management Functions Decentralization) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็นเจ้าภาพหลักรับผิดชอบแผนงบประมาณในเชิงบูรณาการเพื่อการใช้จ่ายงบประมาณร่วมกันของส่วนราชการที่รับผิดชอบดำเนินกิจกรรม และการจัดสรรงบประมาณตามแผนบูรณาการ ให้มีการจัดสรรตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ เห็นควรให้มีการจัดสรรตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
21092 | การขอความเห็นชอบในการปิดบัญชี "หัวใจไทย ส่งไปเนปาล" เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว ณ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล | นร01 | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ปิดบัญชี “หัวใจไทย ส่งไปเนปาล” ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาทำเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี ๐๖๗-๐-๑๐๓๓๐-๖ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เสนอ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางในการส่งมอบเงินบริจาคในบัญชี “หัวใจไทย ส่งไปเนปาล” จำนวน ๒๓๒,๒๕๖,๖๐๐.๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย ณ วันปิดบัญชี ให้กับสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21093 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ | กต | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๒๗๐ (ค.ศ. ๒๐๑๖) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ มีสาระสำคัญประกอบด้วย การคว่ำบาตรทางอาวุธ การอายัดทรัพย์สินและห้ามเดินทาง การป้องกันเครือข่ายการแพร่ขยายอาวุธ การสกัดกั้นและการขนส่ง มาตรการรายสิ่งของ (โดยห้ามรัฐสมาชิกถ่ายโอนสิ่งของใด ๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้ ๒ ทาง) มาตรการรายสาขา (โดยห้ามการส่งออกจากเกาหลีเหนือในส่วนของสินค้าประเภทแร่ธาตุบางชนิด) มาตรการทางการเงินและการธนาคาร สินค้าฟุ่มเฟือย (เพิ่มเติมรายการสินค้าฟุ่มเฟือยที่ห้ามถ่ายโอนไปยังเกาหลีเหนือ) และการดำเนินการตามมาตรการคว่ำบาตร ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามรายชื่อล่าสุด พร้อมทั้งแจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป นอกจากนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||
21094 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (บริหารระดับสูง) (สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ) (นางสาวสุกัญญา ธีระกูรณ์เลิศ) | นร | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวสุกัญญา ธีระกูรณ์เลิศ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและมีคำสั่งให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
21095 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายที่จะใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินโดย ๑๒ คณะภาคธุรกิจ และให้ทุกส่วนราชการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายต่าง ๆ โดยใช้กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อนตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีเสนอ นั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะภาคธุรกิจทั้ง ๑๒ คณะ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมกับทุกส่วนราชการรวบรวมกิจกรรมที่ต้องดำเนินการและพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมดังกล่าวโดยจัดทำเป็นแผนการดำเนินการให้ชัดเจน ทั้งนี้ โครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วนให้เริ่มดำเนินการภายในปี ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ส่วนที่เหลือให้ส่งต่อให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงในระยะยาวต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยสร้างความเข้าใจกับภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเน้นหลักการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันในภาคส่วนต่าง ๆ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามแผนอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยให้วิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางที่จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืนให้คณะรัฐมนตรีทราบภายหลังเทศกาลสงกรานต์ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคมและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย รวมทั้งนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการเก็บข้อมูลการก่ออุบัติเหตุของผู้ขับขี่เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เช่น การต่อใบอนุญาตขับขี่รถ ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง โดยให้เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) เน้นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจหรือประเด็นที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลไม่ถูกต้อง รวมถึงประโยชน์โดยตรงที่ประชาชนจะได้รับ โดยให้ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวให้สื่อมวลชนเผยแพร่เป็นประจำทุกวัน นั้น ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวและสำเนาข่าวประชาสัมพันธ์ส่งให้กรมประชาสัมพันธ์เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ด้วย ๒.๓ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะรองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติม ๓ คณะ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ด้านการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธาน ด้านการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และด้านการปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือน โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน ทั้งนี้ ให้นำเสนอคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีลงนามโดยด่วน ๒.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อสร้างโครงการออกแบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ (คลองด่าน) นั้น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ อาจพิจารณาปรับลดพื้นที่การดำเนินโครงการลงเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียเฉพาะในเขตพื้นที่ดังกล่าว และนำพื้นที่ส่วนที่เหลือไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น การจัดทำแหล่งท่องเที่ยว การจัดทำศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อรองรับเหตุอัคคีภัยในอาคารสูง เช่น การจัดให้มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์บนอาคาร การเตรียมรถกระเช้าที่ใช้ในการดับเพลิงให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และการให้มีช่องทางติดต่อสื่อสารเฉพาะระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
|||||||||||||||||||||
21096 | การเดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา | กก | 19/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้นำคณะนักลงทุนด้านธุรกิจโรงแรมและพลังงานของประเทศไทยไปหารือร่วมกับรัฐมนตรีโรงแรมและการท่องเที่ยว (นายอู เท อ่อง) และคณะนักธุรกิจจากสมาคมท่องเที่ยวของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนด้านการท่องเที่ยวของภาคเอกชนในกลุ่มประเทศ กัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม-ไทย (CLMVT) ในระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ จังหวัดระนอง และเกาะสอง-เมืองมะริด-กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการพัฒนาร่วม ประกอบด้วย (๑) ด้านการตลาด เช่น การส่งเสริมเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและการพัฒนาการท่องเที่ยวทางทะเล (๒) ด้านการบริหารบุคคล เช่น จัดการฝึกอบรมบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในขณะปฏิบัติงาน (On-the-job Training : OJT) (๓) ด้านพัฒนาการท่องเที่ยว สนับสนุนให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ศึกษาและจัดทำแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวหมู่เกาะมะริด (๔) ด้านการลงทุน สนับสนุนให้ฝ่ายไทยลงทุนในอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการลงทุนและพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเล และ (๕) ด้านการตรวจลงตราหนังสือเดินทางและจุดผ่านแดน โดยเมียนมาขอให้ไทยเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดนถาวรเพิ่มเติม ๒. การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์รายสาขา สนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) เช่น การผลักดันโครงการจัดสร้างศูนย์ธาราบำบัดแบบครบวงจร ณ จังหวัดระนอง
|
|||||||||||||||||||||
21097 | ผลการบรรยายสรุปแก่นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน | กต | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการบรรยายสรุปแก่นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปัญหา-อุปสรรคของการดำเนินงานที่ผ่านมาของทั้งสามเสา (เสาการเมืองและความมั่นคง เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมและวัฒนธรรม) รวมทั้งด้านกฎหมายและการประชาสัมพันธ์ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อคิดเห็นและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนงานและกิจกรรม/โครงการที่จะดำเนินการในระยะ ๑-๓ เดือนข้างหน้าที่เป็นรูปธรรม เพื่อรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบอย่างสม่ำเสมอ โดยควรจัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วน ระบุกิจกรรมหลัก กิจกรรมรอง กิจกรรมเสริม แนวทางในการดำเนินการ (how to) หน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานสนับสนุน แหล่งงบประมาณ รวมทั้งมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานและการดำเนินการในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น ๆ ด้วย ๑.๒ หน่วยงานควรมีการประเมินความพร้อม/ศักยภาพของไทยในประเด็นหรือสาขาที่มีความสำคัญ (priority areas) ของแต่ละเสา โดยเปรียบเทียบกับความพร้อม/ศักยภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาติดตามและเร่งรัดการออกและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหารือเกี่ยวกับการทบทวนกลไกในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในกรอบอาเซียน เพื่อให้สามารถประสานงานและบูรณาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอแนวทางที่ชัดเจนให้แก่นายกรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก ๑.๕ ประเทศไทยควรมี “บทบาทนำในเชิงพฤตินัย” โดยเป็นผู้คิดริเริ่ม/เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความร่วมมือกับประเทศไทย เช่น การส่งเสริมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นต้น และควรมีบทบาทเชิงรุกในการให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งควรส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยวในรูปแบบ ๑+๑ (ประเทศไทยและประเทศอาเซียนอีก ๑ ประเทศ) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ จัดทำข้อมูลแจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับแผนรองรับความตกลงและพันธกรณีที่จะมีขึ้น ระยะเวลาที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพันธกรณี และระยะเวลาที่กฎหมายรองรับพันธกรณีจะต้องมีผลใช้บังคับ การดำเนินนโยบายความสัมพันธ์และความร่วมมือกับต่างประเทศ การเตรียมความพร้อมประเทศไทยในด้านต่าง ๆ ภายหลังการเป็นประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ การดำเนินมาตรการทางการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างและเป็นธรรม การเร่งพัฒนาความเชื่อมโยงการขนส่งและโลจิสติกส์ภายใต้ความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนและอนุภูมิภาค รวมทั้งการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศให้เป็นที่เชื่อมั่นของนานาชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ทุกกระทรวงจัดทำรายงานผลการดำเนินงานที่เป็นการขับเคลื่อนการเป็นประชาคมอาเซียน (ASEAN) ทั้ง ๓ เสาหลัก โดยเฉพาะกิจกรรมที่จะดำเนินการร่วมกันกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยให้จำแนกเป็น ๖ ด้าน ตามการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อจัดส่งให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
21098 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2558 | สลธ.คสช. | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๕๘ ใน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑) การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายองค์กรชาวนา (๒) การจัดการปัญหาหมอกควันที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (๓) การพัฒนาระบบบริการสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม (๔) การลดการบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และ (๕) วิกฤติการณ์เชื้อแบคทีเรียดื้อยาและการจัดการปัญหาแบบบูรณาการ ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมตามอำนาจหน้าที่โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
21099 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยเพิ่มอัตราโทษสำหรับความผิดที่กระทำต่อแรงงานเด็ก ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
21100 | ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... | ยธ | 12/04/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการรวบรวมกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และวิธีพิจารณาคดียาเสพติด รวมทั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องซึ่งมีจำนวนหลายฉบับและกระจัดกระจายกันอยู่ มารวมไว้ในฉบับเดียวกัน พร้อมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ ความเชื่อมโยงและความซ้ำซ้อน การกำหนดฐานความผิด บทนิยาม แนวนโยบายเกี่ยวกับยาเสพติด คณะกรรมการ ค่าตอบแทนพิเศษ การจัดตั้งแผนกคดียาเสพติดขึ้นในศาลอุทธรณ์ กระบวนการพิจารณา การควบคุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมเสนอเรื่องกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเพื่อพิจารณาเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ แล้วแจ้งผลการพิจารณาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ เห็นควรเตรียมความพร้อมทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการในการขับเคลื่อนนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณ รวมทั้งจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้ครอบคลุมครบถ้วนตามปฏิทินงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....