ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1058 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 21141 - 21160 จากข้อมูลทั้งหมด 124293 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21141 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลกลัดหลวง และตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... | มท | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลกลัดหลวง และตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลกลัดหลวง และตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เพื่อประโยชน์ในด้านการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการควบคุมความหนาแน่นของอาคาร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21142 | สรุปผลการเยือนประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) | ศธ | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเยือนประเทศมาเลเซียและสาธารณรัฐสิงคโปร์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การเยือนประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีปิดการประชุมวิชาการระดับภูมิภาคและมอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศในงาน “10th Regional Congress on Search for SEAMEO Young Scientists (SSYS 2016)” ณ SEAMEO Hall ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ของซีมีโอ : ศูนย์ซีมีโอเรคแซม เมืองปีนัง รวมทั้งได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้แทนนักเรียนทุกคนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้แทนประเทศเพื่อเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ โดยเชื่อมั่นว่าศูนย์ซีมีโอเรคแซมจะสามารถสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาของภูมิภาคในการประยุกต์ใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่สร้างสรรค์และเป็นนวัตกรรมซึ่งมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนานักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ๒. การเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือข้อราชการกับ Mr. Ng Chee Meng, Acting Minister for Education (Schools) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสิงคโปร์ เกี่ยวกับการพัฒนาประเด็นสำคัญด้านการศึกษา ๗ ประเด็นที่ได้รับการเห็นพ้องจากที่ประชุมรัฐมนตรีศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ว่าจะเป็นจุดเน้นในการพัฒนาวาระการศึกษาในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า (๒๕๕๘-๒๕๗๘) การดำเนินความร่วมมือโครงการโรงเรียนเครือข่าย (Partner School Project) ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนที่เป็นสมาชิกของทั้งสองฝ่าย รวม ๒๐ แห่ง และกำลังจะขยายเป็น ๓๐ แห่ง การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อยกระดับการศึกษาสายอาชีวะของไทยและส่งเสริมกำลังคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยจะเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายอาชีพ (อาชีวศึกษา) กับสายสามัญศึกษา จากเดิม ๓๐ : ๗๐ เป็น ๕๐ : ๕๐ รวมทั้งการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษซึ่งปัจจุบันเป็นภาษาในการทำงานของประชาคมอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||
21143 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 2558/59 ครั้งที่ 18 | กษ | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ครั้งที่ ๑๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๙ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๓๕,๑๒๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๐ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๑,๖๒๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๕ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๒. การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘-๒๐ มีนาคม ๒๕๕๙ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๘,๐๐๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๗๐ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๒,๓๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๗๔ ของแผนการจัดสรรน้ำ คิดเป็นระบายน้ำเฉลี่ยวันละ ๑๖.๖๘ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ ช่วงวันที่ ๑๔-๒๐ มีนาคม ๒๕๕๙ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อนจำนวน ๔ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เฉลี่ยวันละ ๑๗.๙๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๔. สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ แผนเพาะปลูก ๗.๔๕ ล้านไร่ ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ ไม่ปลูก ๑.๐๕ ล้านไร่ โดยในพื้นที่ที่ปลูก ๖.๔๐ ล้านไร่ แบ่งเป็น เก็บเกี่ยวแล้ว ๖.๓๘ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๒ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว พื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๗๖ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว และพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๕๙ ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จำนวน ๑.๙๘ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว ๑.๕๑ ล้านไร่ เสียหาย ๐.๐๐๔ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว ๐.๔๗ ล้านไร่
|
||||||||||||||||||||||||
21144 | รายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ปี 2559 | พณ | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนมกราคม ปี ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมมูลค่าการส่งออกของไทยเดือนมกราคมปี ๒๕๕๙ ยังคงเผชิญแรงฉุดรั้งสำคัญที่กดดันมูลค่าส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยสืบเนื่องจากปี ๒๕๕๘ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันที่ลดลงกระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน และกำลังซื้อของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตรโลกที่อยู่ในระดับต่ำ การใช้มาตรการลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออกของหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังมีสถานการณ์ที่ดีกว่าประเทศผู้ส่งออกสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย อีกทั้งข้อมูลการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยแสดงว่าไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในตลาดและสินค้าส่งออกสำคัญไว้ได้ สะท้อนให้เห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันของไทยไม่ได้ลดลงตามมูลค่าส่งออก ๒. มูลค่าการค้าระหว่างประเทศในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกเดือนมกราคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๕,๗๑๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๘.๙๑ (YoY) แต่หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกจะหดตัวอยู่ที่ร้อยละ ๕.๔ (YoY) และมีแนวโน้มหดตัวในอัตราที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรลดลงร้อยละ ๔.๑ (YoY) และมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวลดลงร้อยละ ๘.๕ (YoY) สำหรับการนำเข้าเดือนมกราคม ๒๕๕๙ มีมูลค่า ๑๕,๔๗๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๑๒.๓๗ (YoY) ส่งผลให้ดุลการค้าระหว่างประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๙ ยังคงเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๙ ติดต่อกัน เป็นมูลค่า ๒๓๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๓. แนวทางการขับเคลื่อนการส่งออกของไทย ปี ๒๕๕๙ มี ๕ ด้าน ได้แก่ การขยายการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะตลาดอินโดจีน หรือ CLMV การเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก การส่งเสริมการค้าบริการ (Trade in Services) การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ และการผลักดันและแก้ปัญหาทางการค้าร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน
|
||||||||||||||||||||||||
21145 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีคำร้องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กห | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีคำร้องที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับข้อเสนอแนะนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปเป็นแนวทางปฏิบัติแล้ว และได้รายงานความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ต่อผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21146 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร12 | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการและรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยรายงานดังกล่าวข้อค้นพบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การตรวจราชการ การตรวจสอบภายใน การควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยง การปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ รายงานการเงิน และการสอบทานกรณีพิเศษ รวมทั้งมีข้อเสนอแนะที่หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบจะต้องดำเนินการต่อไป ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะตามบันทึกความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และเห็นควรให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบดำเนินการตามข้อเสนอแนะ รายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงยุติธรรม และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำข้อค้นพบและแนวทางการแก้ไขในรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเชื่อมโยงเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และให้นำข้อค้นพบและแนวทางการแก้ไขในรายงานผลดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ากับระบบการติดตามผลการดำเนินตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบที่เชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการของนายกรัฐมนตรี (PMOC) เป็นต้น รวมทั้งให้หน่วยงานที่พบปัญหาและผู้รับผิดชอบรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการทุก ๖ เดือน ต่อคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ที่รับผิดชอบ สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาที่พบจากการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หน่วยงานผู้รับผิดชอบควรตระหนักถึงความสำคัญและดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21147 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิพลเมือง กรณีขอความช่วยเหลือให้ชาวพม่าที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทย | สม | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเรื่อง สิทธิพลเมือง กรณีขอความช่วยเหลือให้ชาวพม่าที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและการฝึกอบรมวิชาชีพด้านต่าง ๆ ในค่ายพักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบให้ได้มาตรฐาน และเปิดโอกาสให้มีการสอบเทียบวุฒิการศึกษา เพื่อให้เยาวชนที่มีศักยภาพได้มีโอกาสในการศึกษาต่อในชั้นสูงต่อไป และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศต้นทาง ๑.๒ กระทรวงมหาดไทยควรส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเตรียมการเดินทางกลับไปยังประเทศต้นทางได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอ และควรคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้หนีภัยการสู้รบตามหลักการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย (Non-refoulement) ด้วย ๑.๓ กระทรวงการต่างประเทศควรให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights : AICHR) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-พม่า โดยอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21148 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่และภาพรวมของปี 2558 | นร11 | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่และภาพรวมของปี ๒๕๕๘ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญในเชิงบวกทั้งในด้านการจ้างงานโดยรวม รายได้และผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น คนไทยลดการสูบบุหรี่ อย่างไรก็ดี ยังมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต้องติดตาม เฝ้าระวังเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งการจ้างงานภาคเกษตรกรรมยังลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง จำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่เพิ่มขึ้น อัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในกลุ่มเยาวชนและการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกที่เพิ่มขึ้น สถานการณ์ความรุนแรงของเด็กและสตรี การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งความจำเป็นในการเร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาพื้นฐานและเร่งผลิตกำลังคนให้มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
|
||||||||||||||||||||||||
21149 | มติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2559 และการดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ | ทก | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และการดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม ..... ตอนพิเศษ ..... การดำเนินการคืนคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ขนาดความกว้างแถบคลื่นความถี่ 4.8 MHz ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และการขอปรับปรุงการใช้คลื่นความถี่ย่าน 2300 MHz ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รวมทั้งความก้าวหน้ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ๘ ฉบับ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะจากที่ประชุมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และเห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) (Digital Government Development Plan) โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมการพัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศ (Data Center) เพื่อนำเสนอแนวทางในการบริหารจัดการ และการพัฒนาศูนย์ข้อมูลและบริการกลางภาครัฐในรายละเอียดต่อไป และให้ประสานงานกับสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการในการบูรณาการศูนย์ข้อมูลบริการภาครัฐ รวมทั้งเห็นชอบรายละเอียดการดำเนินการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็น ASEAN Digital Hub ๓. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดให้มีการประชุมการชี้แจงสาระสำคัญและรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป และเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ พร้อมทั้งได้รับความคิดเห็นเพิ่มเติมจากหนังสือราชการ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ www.digitalthailand.in.th ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้นำข้อคิดเห็นดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการปรับปรุง (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
21150 | ขอความเห็นชอบต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2559 - 2561) | ทก | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ และ/หรือรายวาระ (agenda-based) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี และแผนปฏิบัติการที่จะจัดทำขึ้น ไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติราชการและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานให้สอดคล้องกัน ๑.๔ ให้ทุกกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัลระยะ ๓ ปี ของหน่วยงานแทนการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเดิม และให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ที่ให้ทุกกระทรวง ทบวง และหน่วยงานอิสระจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเป็นระบบโดยจัดทำแผน ๓ ปี และปรับทุกปีตามความเหมาะสม และให้เสนอแผนของหน่วยงานควบคู่ไปกับการของบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในงบประมาณรายจ่ายประจำปีทุกปี ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร การทบทวนโครงสร้างของส่วนราชการ การปรับปรุงกฎระเบียบ และการกำหนดตัวชี้วัด รวมทั้งการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย อาทิ แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ควรพิจารณาเรื่องการลดภาษีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนพัฒนาไปสู่การแข่งขันเชิงธุรกิจในระยะยาว ส่วนแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะ ๓ ปี ควรมีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยคอมพิวเตอร์ในระดับประเทศ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและภาคประชาชน และควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการ (Operating System) รวมทั้งโปรแกรมด้านงานเอกสาร เช่น Word Processing, Spread Sheet ที่พัฒนาโดยประเทศไทย และส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ขึ้นในประเทศ นอกจากนี้ การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ควรระบุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วิธีการดำเนินงานตามโครงการ ระยะเวลาที่จะใช้ในการดำเนินงาน และกรอบวงเงินงบประมาณให้มีความชัดเจน โดยจะต้องไม่ทับซ้อนกับภารกิจที่แต่ละส่วนราชการกำลังดำเนินการอยู่แล้ว ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจในแผนดังกล่าวกับทุกภาคส่วนทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค มีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาระบบและการเชื่อมโยงข้อมูลตามแผนรัฐบาลดิจิทัล ต้องดำเนินการตามกรอบมาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ (TH e-GIF) เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลของภาครัฐเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21151 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล | ทส | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ๑.๒ กรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ประกอบด้วย ๑.๒.๑ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาทั่วไป มี ๗ ด้าน ได้แก่ (๑) การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ (๒) การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน (๓) การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น (๔) การส่งเสริมคุณภาพชีวิต (๕) การป้องกันภัยคุกคามจากมนุษย์และธรรมชาติ (๖) การประหยัดพลังงานด้านการสัญจรและสภาพแวดล้อม และ (๗) การดูแลและบำรุงรักษาอาคารและสาธารณูปการ ๑.๒.๒ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ (Zoning) ในพื้นที่หลัก มี ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ และ (๕) ด้านการบริหารและการจัดการ ๑.๒.๓ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ต่อเนื่อง มี ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน (๒) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม (๓) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง และ (๔) ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวหรืออยู่ในเส้นทาง/เขตทาง/พื้นที่ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เมืองเก่า จำเป็นต้องมีการตรวจสอบร่วมกันอีกครั้ง ส่วนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ควรมีการพิจารณาแนวทางและกรอบเวลาให้ชัดเจนเพื่อหน่วยงานจะได้สามารถวางแผนงาน/โครงการได้ รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ กับโบราณสถาน ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าประสานความร่วมมือกับภาคประชาชนและหน่วยงานในระดับพื้นที่หรือท้องถิ่นเพื่อให้มีความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ๕ เมืองดังกล่าว โดยในการดำเนินงานของส่วนราชการหากมีภาระด้านงบประมาณเพิ่มเติม ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมถึงการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้ครอบคลุมครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21152 | การบริหารจัดการน้ำมันปาล์มของกลาง | พณ | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งยกเลิกคณะกรรมการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันอย่างเป็นระบบ ที่แต่งตั้งเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖ ๑.๒ มอบหมายให้กรมศุลกากรดำเนินการเกี่ยวกับน้ำมันปาล์มของกลางซึ่งคดีถึงที่สุดเพื่อไม่ให้นำกลับมาหมุนเวียนในเชิงพาณิชย์ โดยส่งมอบให้ส่วนราชการหรือมูลนิธิที่มีหนังสือขอนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานทดแทน หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือจำหน่ายโดยวิธีการทำลาย ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มของกลางดังกล่าวจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ในการกำหนดมาตรการควบคุมและระบบติดตามตรวจสอบน้ำมันปาล์มของกลางอย่างรัดกุม ในกรณีที่จะนำไปใช้ประโยชน์จากหน่วยงานราชการหรือมูลนิธิ อาทิ การจัดทำทะเบียนการบันทึกข้อมูลผลผลิตที่เกิดจากการใช้น้ำมันปาล์ม เช่น กรณีนำไปผลิตเป็นไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบการนำไปใช้จริง รวมถึงกระบวนการขนส่งน้ำมันปาล์มของกลางอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการลักลอบนำไปใช้หมุนเวียนในเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาปาล์มน้ำมันในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21153 | ขอความเห็นชอบให้ปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินในเรื่องค่ารักษาพยาบาลของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินในเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้พนักงานรวมคู่สมรส บุตร บิดา มารดา และลูกจ้างรวมคู่สมรสและบุตร มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยภายนอกจากสถานพยาบาลของเอกชนและคลินิกของเอกชนเท่าที่จ่ายจริง รวมกันปีละไม่เกิน ๓,๖๐๐ บาท โดยให้มีผลตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินการปรับปรุงสภาพการจ้างดังกล่าวที่เห็นควรให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและผลการดำเนินการ และจัดหารายได้ที่จะเพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น โดยไม่ให้เกิดผลกระทบทางด้านการเงินของหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
21154 | การมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการจัดทำรายงานการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม | อส | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติเพื่อเข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม) โดยให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบการจัดทำรายงานการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แทนสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) นำเรื่องการขอการสนับสนุนกรอบอัตรากำลังเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑)] ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กติกาฯ และเห็นควรสนับสนุนกรอบอัตรากำลัง จำนวน ๒๐ อัตรา ให้แก่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อรองรับภารกิจที่จะเพิ่มขึ้น โดยอัตรากำลังที่จะเพิ่มขึ้น ควรจัดสรรผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางและมีทักษะทางภาษา เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจการจัดทำรายงานฯ ตามมาตรฐานของสหประชาชาติการติดตามการปฏิบัติตามพันธกรณี รวมถึงการสร้างหลักประกันสิทธิมนุษยชนและการสร้างความตระหนักรู้ในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21155 | การลงนามความตกลง Cooperation Agreement for the Joint Capacity-Building Activities under the ITU Academy's Centres of Excellence | ทก | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลง Cooperation Agreement for the Joint Capacity-Building Activities under the ITU Academy''s Centres of Excellence ซึ่งเป็นเอกสารที่กำหนดแนวทางและวิธีการในการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงการบริหารจัดการศูนย์ฝึกอบรม และบทบาทหน้าที่ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) และหน่วยงานเจ้าภาพผู้จัดตั้งศูนย์อบรมแต่ละสาขา และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการจัดฝึกอบรมตามข้อตกลงฯ ในส่วนที่ประเทศไทยต้องรับผิดชอบ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้นำข้อเสนอแนะของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย ซึ่งจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. มอบหมายให้ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ๔. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อลงนามในความตกลงฯ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21156 | การดำเนินการตามมาตรการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการ : การถ่ายโอนภารกิจภาครัฐ | นร12 | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจของส่วนราชการในกลุ่มกระทรวงด้านสังคมและส่วนราชการในกลุ่มกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ทั้ง ๓ ระยะ จำนวน ๑๔๑ งาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ งานที่ดำเนินการถ่ายโอนงานแล้วเสร็จ จำนวน ๘๑ งาน คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๔๕ ๑.๒ งานที่อยู่ระหว่างดำเนินการถ่ายโอนงาน จำนวน ๒๘ งาน คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๘๕ ๑.๓ งานที่ไม่เห็นควรถ่ายโอนงาน จำนวน ๓๒ งาน คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๗๐ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับภารกิจที่จะถ่ายโอน เช่น ภารกิจศูนย์ฝึกพาณิชนาวีของกรมเจ้าท่า ภารกิจทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) ของกรมทางหลวง ภารกิจเงินทุนหมุนเวียนค่าเครื่องจักรกลของกรมทางหลวง และภารกิจเพิ่มเติมในงานฝึกอบรมด้านการตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน รวมทั้งภารกิจที่ไม่เห็นควรถ่ายโอน เช่น งานขายทอดตลาด งานจัดทำบัญชีรับจ่ายเงินแก่ผู้มีส่วนได้ และงานประเมินราคาทรัพย์ ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. เห็นชอบในหลักการแนวทางการติดตามผลการดำเนินการถ่ายโอนงาน พร้อมทั้งข้อเสนอแนะและมาตรการการขับเคลื่อนการถ่ายโอนงาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการจัดทำรายละเอียดแต่ละมาตรการการขับเคลื่อนเพื่อชี้แจงให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกิดความเข้าใจและนำไปปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน และร่วมดำเนินการและให้ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคแก่ส่วนราชการอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ภาครัฐควรมีการตรวจสอบ ติดตามประเมินผลการดำเนินงานของเอกชนเพื่อให้การดำเนินงานมีมาตรฐานและสามารถดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนได้ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ มีความเคร่งครัดในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความเหมาะสมกับภารกิจและสอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณ รวมถึงการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้ครอบคลุมครบถ้วน ควรมีการศึกษาติดตามประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการ การให้ความสำคัญกับมาตรการขับเคลื่อนการถ่ายโอนภารกิจภาครัฐในระยะยาว การนำหลักการเปิดโอกาสให้องค์กรที่ไม่ใช่ภาคราชการเข้ามาแข่งขันในการให้บริการสาธารณะมาใช้ในการถ่ายโอนภารกิจภาครัฐ และการวางระบบติดตามการดำเนินการถ่ายโอนงานของส่วนราชการที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด โดยควรเร่งรัดหรือวางกรอบระยะเวลาการดำเนินงานของแต่ละส่วนราชการให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้รับฟังข้อสังเกตจากภาคส่วนต่าง ๆ และศึกษาจากกรณีตัวอย่างของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้สำหรับประเทศไทยด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21157 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การตรวจดูข้อมูล และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้จ่ายในการให้ผู้รับหลักประกันรับรองความถูกต้องของจำนวนหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระ พ.ศ. .... | พณ | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การตรวจดูข้อมูล และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การตรวจดูข้อมูล และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับหลักประกันทางธุรกิจ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้จ่ายในการให้ผู้รับหลักประกันรับรองความถูกต้องของจำนวนหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ให้หลักประกันมีหนังสือขอให้ผู้รับหลักประกันทำหนังสือยืนยันหรือระบุจำนวนหนี้ที่ยังมิได้ชำระภายในระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันที่มีหนังสือไปยังผู้รับหลักประกันครั้งก่อน ผู้ให้หลักประกันต้องชำระค่าใช้จ่ายแก่ผู้รับหลักประกัน ครั้งละไม่เกิน ๒๐๐ บาท ต่อ ๑ ฉบับ |
||||||||||||||||||||||||
21158 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย) พ.ศ. .... | คค | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งข้ามแม่น้ำโขงต่อจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๓๕๖ ทางสายทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ ตอนทางเข้าสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชียงของ เป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพาน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21159 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... | มท | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลทับยายเชียง และตำบลหอกลอง อำเภอพรหมพิราม ตำบลวัดโบสถ์ ตำบลท่างาม ตำบลบ้านยาง และตำบลท้อแท้ อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการใช้บังคับร่างกฎกระทรวงฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินโครงการตามแผนพัฒนาด้านพลังงาน และร่างกฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงที่การประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน ๙ ประเภท ๑๗ โรงงาน คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๒๙ ของโรงงานทั้งหมดในพื้นที่วางผัง ไม่ได้กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ ส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ จึงเห็นควรให้เพิ่มประเภทและขนาดโรงงานในร่างกฎกระทรวงฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ การกำหนดคำนิยามของคำว่า “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับนันทนาการ” และ “การใช้ที่ดินที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม” ที่ระบุไว้ในการใช้ที่ดินแต่ละประเภทให้ชัดเจน การจัดทำฐานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและเผยแพร่ต่อสาธารณะให้ทราบว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นไปแล้วเท่าใด และใช้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดผังเมืองรวมฉบับที่จะมีการปรับปรุงของแต่ละเมือง เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการในการอ้างอิงประกอบการพิจารณาอนุมัติดำเนินกิจการประเภทอื่น ๆ และเพื่อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในการพิจารณาเลือกประเภทกิจการให้เหมาะสมกับพื้นที่ในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามผังเมืองรวมฉบับนี้ โดยเฉพาะที่ดินบริเวณริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย เพื่อป้องกันการบุกรุกทำลายสภาพตามธรรมชาติของแม่น้ำ และเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนให้มีคุณภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21160 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลป่าแมต อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พ.ศ. .... | มท | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลป่าแมต อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลป่าแมต อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ บางส่วน เพื่อมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาใช้เป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติจังหวัดแพร่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....