ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 47 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 921 - 940 จากข้อมูลทั้งหมด 1462 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
921 | รายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 (ตุลาคม 2549 - กันยายน 2550) | นร | 18/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเร่งรัด ติดตามกรณี
เงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริตปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 โดยผลการดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 -กันยายน 2550 ในส่วนของการเร่งรัดติดตามให้หน่วยงานของรัฐที่เกิดกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทุจริต เร่งดำเนินการสอบสวนหาผู้รับผิดชดใช้ทางแพ่ง แจ้งความดำเนินคดีอาญา และพิจารณาโทษทางวินัยแก่ผู้ กระทำผิดและผู้ที่เกี่ยวข้อง มีเรื่องรับใหม่ ได้รับแจ้งเรื่อง 223 เรื่อง จำนวนเงินที่เสียหาย 212,893,788.46 บาท เรียกเงินชดใช้คืน 86 เรื่อง จำนวนเงิน 47,467,928.64 บาท และดำเนินการจนได้ผลเป็นที่ยุติทั้ง 3 ทาง คือ ทาง แพ่ง ทางอาญา และทางวินัย 122 เรื่อง โดยสรุป ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 มีเรื่องอยู่ระหว่างการเร่งรัดติดตาม 1,128 เรื่อง จำนวนเงินทั้งสิ้น 9,623,680,227.99 บาท โดยจำนวนเรื่องที่เกิดขึ้นในหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีปริมาณ เรื่องสูงสุด คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 428 เรื่อง และยอดเงินเสียหายสูงสุดเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวง คมนาคม ซึ่งจำนวนเงินที่เสียหายเป็นเงินถึง 7,017,286,152.95 บาท ส่วนผลการพิจารณาเรื่องที่อยู่ระหว่างการ ดำเนินการเร่งรัด ติดตาม ส่วนมากเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการทางแพ่งและอาญา มีดังนี้ ทางแพ่ง อยู่ระหว่าง ดำเนินการ 843 เรื่อง ทางอาญา อยู่ระหว่างดำเนินการ 1,021 เรื่อง และทางวินัย อยู่ระหว่างดำเนินการ 767 เรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
922 | (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545-2559) | ศธ | 11/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติเห็น
ชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545-พ.ศ. 2559) ตามที่กระทรวงศึกษา ธิการเสนอ โดย (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษา ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังและพัฒนาให้คนมีคุณธรรม นำความรู้ เป็นคนดี มีเหตุผล มีความรักในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รู้จักประมาณ รู้จักอนุรักษ์ สร้างเสริมและพัฒนาวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภูมิคุ้มกัน มีความสามารถในการแก้ปัญหา มีสมรรถนะและทักษะในการประกอบอาชีพ พร้อมเผชิญการเปลี่ยนแปลงภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ขณะเดียวกันมีความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และนำประเทศก้าวสู่สังคมเศรษฐ กิจฐานความรู้ รวมทั้งเพื่อสร้างเสริมสังคมภูมิปัญญาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ สันติวิธี และมีวิถีประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน และเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาคนและ สร้างสังคม คุณธรรม ภูมิปัญญา และการเรียนรู้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม (ร่าง) กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษา ฯ ด้วยดังนี้ หัว ข้อ 3.1.6 เรื่อง การศึกษาเฉพาะทาง ให้เพิ่มกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการเรื่องนี้ และหัวข้อ 5.8 เรื่อง การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพัฒนาครูและบุคลากรทาง การศึกษาให้มีความรู้ควบคู่คุณธรรม โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษา ฯ ที่ได้ปรับ ปรุงแก้ไขแล้ว เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการศึกษาในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า การกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณของกรอบทิศทางการพัฒนาการ ศึกษา ฯ ในระยะต่อไปควรเพิ่มสัดส่วนการจัดการศึกษาระหว่างภาครัฐและเอกชนให้มากกว่า 70 : 30 เพื่อให้เอกชน ได้มีบทบาทในเรื่องนี้มากขึ้น โดยวางแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและระบบการจัดการศึกษาที่จะนำไปสู่ผลที่ เป็นรูปธรรมและลดช่องวางทางการศึกษาของผู้เรียนในเมืองและในชนบท รวมทั้งให้ความสำคัญแก่การพัฒนาการ ศึกษาในระดับอาชีวศึกษาให้มากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงานฝีมือไว้รองรับความต้องการของภาคอุตสาห กรรมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
923 | การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม | นร | 04/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอเกี่ยวกับการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง
ของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม ดังนี้ ให้ถือเป็นหลักการให้ข้าราชการพลเรือนสตรีมีสิทธิ ไปถือศีลและปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติครั้งหนึ่ง ตลอดอายุราชการ เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน โดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาต จากผู้บังคับบัญชาก่อน และให้นำหลักการนี้ไปใช้กับข้าราชการทหาร ตำรวจ พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาห กิจ ลูกจ้างส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นสตรีด้วย กับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับหลักการดังกล่าว ไปพิจารณาปรับใช้กับข้าราชการและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นสตรี และให้สำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการและติดตามประเมินผลเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่ากรณีการถือศีลและปฏิบัติธรรมของ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นชายสมควรจะดำเนินการอย่างไรให้เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
924 | ผลความก้าวหน้าโครงการรณรงค์ก่อสร้างและซ่อมแซมฝายต้นน้ำลำธาร (Check Dam) ตามแนวพระราชดำริ "โครงการ 80 พรรษา 80 พันฝาย" | มท | 04/12/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความก้าวหน้าโครงการรณรงค์ก่อ
สร้างและซ่อมแซมฝายต้นน้ำลำธาร (Check Dam) ตามแนวพระราชดำริ "โครงการ 80 พรรษา 80 พันฝาย" โดยผลการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเป้าหมาย 64 จังหวัด ต่อเนื่องจากปี พ.ศ. 2549 ถึงเดือนกันยายน 2550 ฝายที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 161,041 ฝาย เกินเป้าหมายโครงการ ปี พ.ศ. 2549-2550 (160,000 ฝาย) จำนวน 1,041 ฝาย งบประมาณที่ใช้ดำเนินการรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,011,606,132 บาท ซึ่งทางจังหวัดได้ บูรณาการงบประมาณจากงบยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข งบประมาณปกติของส่วนราชการ และงบประมาณอื่น ๆ รวมทั้งงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และงบประมาณจากภาคประชาชนสมทบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
925 | แผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก | ศธ | 27/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอเกี่ยวกับงบประมาณ
ค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - พ.ศ. 2553 วงเงินรวม 2,750 ล้านบาท เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้ขออนุมัติหรือขอผูกพันงบประมาณ โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 กระทรวงศึกษาธิการจะพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่ได้รับการ จัดสรร ไปดำเนินการต่อไป และอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติ เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอเพื่อวางระบบ วางแผนและบริหารจัดการ เพื่อจำกัดจำนวนโรงเรียนขนาดเล็กให้ดำรงอยู่เฉพาะที่มีความจำเป็น และพัฒนาให้มี คุณภาพและประสิทธิภาพ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ และ ความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย โดยในส่วนของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เห็น ว่า ในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กควรมีเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเป็นการพัฒนาเพื่อโอนให้กับองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น และการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กกับการถ่ายโอนควรมีการดำเนินการควบคู่กันไป และควรมีข้อมูลเกี่ยว กับจำนวนโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวนนักเรียน จำนวนบุคลากร รวมถึงครุภัณฑ์ที่จำเป็นให้มีความถูกต้องและเป็น ปัจจุบัน เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นไปอย่างเหมาะสมตามความจำเป็นและง่ายต่อการนำ ไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การโอนโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไปให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ อันอาจเกิด ขึ้นจากการดำเนินการถ่ายโอนโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้รวดเร็ว และเหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง รวมทั้งในการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนขนาดเล็กที่โอนไปให้องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรประเมินผลและสามารถรักษาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาไว้ดังเดิม โดยกระทรวง ศึกษาธิการต้องร่วมรับผิดชอบในส่วนนี้ แต่ในส่วนของบุคลากรผู้สอน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณา จัดหาบุคลากรในท้องถิ่นเพื่อทำหน้าที่แทนผู้สอนเดิมตามความจำเป็น นอกจากนี้ การจัดหลักสูตรการสอนควร พิจารณาสอดแทรกเนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับสภาพสังคม ชุมชน และวิถีชีวิตในท้องถิ่นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
926 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โดยไม่ถือเป็นวันลา และเรื่อง ขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความประสงค์เข้ารับการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยถือเป็นวันปฏิบัติราชการและไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 27/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ธีรภัทร เสรีรัง
สรรค์) เสนอขอปรับปรุงถ้อยคำในหนังสือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ พศ 0001/8650 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 ข้อ 1 จากเดิม "1. ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานราชการ พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมถึงสมาชิกและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ..." เป็น "1. ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างส่วนราช การและหน่วยงานของรัฐ รวมถึงพนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ..." และที่เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ การอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงพนักงานและลูกจ้างของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลาอุปสมทบเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามง คลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ตั้งแต่วันที่ 1-15 ธันวาคม 2550 โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการได้รับเงินเดือนตามปกติ โดยให้ผู้อุปสมบทที่เคยใช้สิทธิในการลาแล้ว แต่ยังไม่เคย เข้าร่วมโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ ให้สามารถลาอุปสมบทในโครงการนี้ได้ ส่วนผู้อุปสมทบเฉลิมพระ เกียรติกับหน่วยงานอื่นให้ใช้สิทธิในการลาครั้งนี้ได้ สำหรับการปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ฯ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่สมัครเข้าปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวัน ที่ 3-7 ธันวาคม 2550 เข้าร่วมกิจกรรมได้โดยถือเป็นวันปฏิบัติราชการและไม่ถือเป็นวันลา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
927 | ร่างพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. .... | สธ | 20/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอร่างพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉิน โดย กำหนดให้มีคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินขึ้นเพื่อกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการแพทย์ ฉุกเฉิน และกำหนดให้มีสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินนเรนทรขึ้นเป็นหน่วยรับผิดชอบการบริหารจัดการ การประสาน ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทใน การบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกัน เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับ การคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึง เท่าเทียมกัน มีคุณภาพมาตรฐาน โดยได้รับการ ช่วยเหลือและรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น และส่งคณะกรรมการประสานงานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
928 | ขออนุมัติดำเนินโครงการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน ตามแผนการบรรเทาอุทกภัยระยะกลางและระยะยาว ด้านการใช้ที่ดินและป้องกันน้ำท่วม | นร | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
หลักเกณฑ์การเตรียมความพร้อมของโครงการป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน ของกระทรวงมหาดไทย รวม 2 ประการ คือ การมีส่วนร่วมและการยอมรับของจังหวัด/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่ซึ่งควรเป็นเจ้าของโครงการ ร่วมกัน และการกำหนดความรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ และการแบ่งภาระงบประมาณระหว่างหน่วยราช การส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น และมอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเตรียมความพร้อมของโครงการตามหลักเกณฑ์ดัง กล่าวให้เกิดความชัดเจน แล้วนำเสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณสนับสนุนโครงการตาม ความเหมาะสมต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปพิจารณาด้วยว่า โครงการออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน จำนวน 4 โครงการ งบประมาณ 72.10 ล้านบาท เป็นโครงการ 2 ปี (พ.ศ. 2551-2552) ถึงแม้จะใช้งบประมาณ จำนวนไม่มาก แต่เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะมีภาระการใช้งบประมาณเป็นค่าก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมอีก จึง เห็นสมควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดทำเป็นแผนงบประมาณต่อไป และโครงการก่อสร้างระบบป้องกัน น้ำท่วมพื้นที่ชุมชน จำนวน 4 โครงการ งบประมาณ 2,143 ล้านบาท มีวงเงินงบประมาณสูง และมีระยะเวลา ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551-2553 จึงต้องมีภาระผูกพันงบประมาณเพื่อจะดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป หากจะใช้ จ่ายจากเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 แล้ว จะมีผลกระทบถึงการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นอื่น ๆ นอกจากนี้ การดำเนินความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรกำหนด ขอบเขตความรับผิดชอบในการดำเนินการและจำนวนงบประมาณให้ชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
929 | มาตรการและแนวทางเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 | นร | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมาตรการและแนวทางเร่งรัดติด
ตามการใช้จ่ายงบประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ดังนี้ กำหนดแผนงานและวิธีการการประสานงานระหว่างหน่วย งานที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายระบบสาธารณูปโภค และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ส่วนโครง การที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อรับฟังความคิดเห็นก่อนที่ จะดำเนินโครงการ และการจัดหาผู้รับจ้าง ให้พิจารณาถึงความพร้อมของผู้รับจ้างทุกด้านเพื่อมิให้เกิดปัญหาในการ ดำเนินการในภายหลัง รวมทั้งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดทำรายละเอียดเงินอุดหนุนที่ได้รับ การจัดสรรจากรัฐบาลว่ามีรายการใดบ้าง และนำไปใช้จ่ายเพื่อโครงการ/กิจกรรมใดเพื่อสะดวกแก่การตรวจสอบและ ติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่จัดสรรให้ อปท. ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควร เร่งจัดสรรงบประมาณให้เร็วขึ้นเพื่อ อปท. จะได้นำไปใช้จ่ายได้ทันในปีงบประมาณ และจัดฝึกอบรมให้คำแนะนำเกี่ยว กับวิธีปฏิบัติทางการเงิน การคลังและงบประมาณ ตลอดจนซักซ้อมความเข้าใจให้กับบุคลากรของ อปท. เป็นระยะ ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
930 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2550) | มท | 13/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลสถานการณ์อุทกภัย ของกระทรวงมหาดไทย สรุปได้ดังนี้ สถาน
การณ์อุทกภัยจากหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ ระหว่างวันที่ 7-12 พฤศจิกายน 2550 มีพื้นที่ประสบภัย 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ใน 11 อำเภอ 50 ตำบล 343 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความ เดือดร้อน 42,659 คน 2,335 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม 3,747 ไร่ ถนนได้รับความเสียหาย 432 สาย สะพาน 3 แห่ง ฯลฯ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นประมาณ 15,110,000 บาท โดยสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชสถานการณ์อุทกภัยได้คลี่คลายแล้ว โดยปัจจุบันยังคง มีน้ำท่วมขังเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย บริเวณพรุเฉวง ตำบลบ่อผุด และตลาดดาว ตำบลแม่ น้ำ ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.20 ม. สำหรับการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการ เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อติดตาม สถานการณ์และประสานการช่วยเหลือ รวมทั้งบริจาคเครื่องกันหนาวเพื่อสนับสนุนให้แก่จังหวัดที่ประสบภัย และให้ จังหวัดจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 ณ สำนักงานป้องกันและบรรเทา สาธารณภัยจังหวัด และให้อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยหนาวปี พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2551 นอกจากนี้ ได้จัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ให้สำนักงานป้องกันและบรร เทาสาธารณภัยจังหวัด จำนวน 46 จังหวัด ในวงเงินจังหวัดละ 350,000 บาท เพื่อจัดหาเครื่องช่วยกันหนาวเพื่อช่วย เหลือประชาชนผู้ประสบภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
931 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมการ
ฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดมาตรฐานควบคุมกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการ ฆ่าสัตว์เพื่อจำหน่าย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากเนื้อสัตว์ที่ใช้บริโภค และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทยที่เห็น ว่ามาตรา 283 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจที่เกี่ยวข้อง กับการจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์ ตั้งแต่การตั้งโรงฆ่าสัตว์ การฆ่าสัตว์ จนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการ ฆ่าสัตว์ จึงควรแก้ไขร่างพระราชบัญญัติ ฯ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถแต่งตั้ง "พนักงานตรวจโรคสัตว์" ได้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริการ รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันต่อเหตุการณ์ ส่วนกรณีการอนุญาตตั้ง โรงฆ่าสัตว์ และโรงพักสัตว์ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรกำหนดให้ผ่านการพิจารณา ชั้นต้นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ดูแลการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมก่อน นอกจากนี้ ค่าอากร และค่าธรรมเนียมตามท้ายร่างพระราชบัญญัติ ฯ รวมทั้งค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นในส่วนที่พนักงานท้องถิ่นจัด เก็บและเปรียบเทียบปรับ ควรกำหนดให้เป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำรายได้ไปใช้แก้ปัญหาสิ่ง แวดล้อมที่เกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
932 | ขอความเห็นชอบหลักการและการนำไปสู่การปฏิบัติให้ "โครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน" เป็นวาระแห่งชาติ : สร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน รวมพลังทุกหน่วยงานส่งเสริมวัฒนธรรมสายใยชุมชนสู่ชุมชน เพื่อสังคมอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน | วธ | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอให้ "โครงการวัฒนธรรมไทยสายใย
ชุมชน" เป็นวาระแห่งชาติ : สร้างความเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืน รวมพลังทุกหน่วยงานส่งเสริมวัฒนธรรมสายใย ชุมชนสู่ชุมชน เพื่อสังคมอยู่เย็นเป็นสุขอย่างยั่งยืน โดยมีหลักการพื้นฐานมุ่งให้ประชาชนและชุมชนเป็นศูนย์กลาง ยึด หลักพึ่งตนเอง พัฒนาชุมชนให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เน้นการมีส่วนร่วมในการคิด การลงมือทำ และการร่วมรับ ประโยชน์ การนำความหลากหลายทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อตามหลักศาสนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปรัชญาทาง เศรษฐกิจพอเพียงมาสร้างคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้บังเกิดผลอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ให้ปรับถ้อยคำจากเดิม "... เป็น วาระแห่งชาติ ..." เป็น "... เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ ..." ด้วย และให้กระทรวง กรมที่เกี่ยวข้องและจังหวัดรับไปดำเนิน การตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานเพื่อขอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การส่งเสริมสนับสนุนการบริหารจัดการโครงการ ฯ และสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็น และให้กระทรวง วัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานต่าง ๆ นำแผนงาน โครงการ กิจ กรรมที่สอดคล้องกับโครงการวัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนมาพิจารณาเพื่อบูรณาการหรือเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ในระดับพื้นที่ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทในการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาวัฒนธรรม ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทใน การสนับสนุนการสร้างกระบวนการเรียนรู้ และเชื่อมโยงกับภารกิจของงานบริหารท้องถิ่น และความเห็นของสำนัก งบประมาณที่ให้กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการโครงการโดยเชื่อมโยงแนวทางการดำเนินงานในกรอบภารกิจของหน่วยงาน กำหนดเป้าหมาย และจัดทำแผนการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
933 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. .... | สว | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย บูรพา พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญ ฯ เห็นสมควรปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องคำนึงถึงความเป็นอิสระ ความ เป็นเลิศทางวิชาการ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และร่างพระราช บัญญัติมหาวิทยาลัย สำหรับค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงการศึกษาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่กำหนดในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และกระบวนการพิจารณากำหนดอัตราที่เรียกเก็บเงิน โดยเปิดโอกาสให้ ตัวแทนนิสิต และสภาคณาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นต่อสภามหาวิทยาลัยด้วย ส่วนการสรรหา กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิอาจจะพิจารณาคัดเลือกจากผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ด้วยก็ได้ โดยผู้ได้รับการสรรหาจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่เข้ามาเป็น กรรมการดังกล่าว ซึ่งมิใช่เป็นการแต่งตั้งโดยพิจารณาจากตำแหน่งบริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเป็นหลัก และเห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ แก้ไขเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อ่ไป ทั้งนี้ มอบให้กระทรวง ศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการไปพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
934 | แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต | นร | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแผน
แม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ในการบริหารจัดการลด คัดแยก และการนำขยะมูล ฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการขยะมูลฝอย การปรับปรุงแก้ไขระเบียบให้เอื้อต่อ การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้ประกอบการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีแผนงาน/โครงการที่สำคัญ 2 แผนงาน 19 โครงการ งบประมาณรวม 1,232.1 ล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของส่วนราชการ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการเร่งด่วนจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการลดและต้องแยกขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิด วงเงิน 6.4 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงบ่อฝังกลบขยะมูล ฝอยบ่อที่ 4 และฟื้นฟูบ่อฝังกลบบ่อที่ 5 วงเงิน 55 ล้านบาท และจะต้องมีการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะ สมโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 วงเงิน 12 ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงมหาดไท ย (จังหวัดภูเก็ต) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วยว่า ในการรณรงค์ ปลูกจิตสำนึกเยาวชนและชุมชนทั้งในระดับครัวเรือน สถานประกอบการ และอุตสาหกรรม ในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมใน การดูแลรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ควรดำเนินการในลักษณะของการประสานความร่วมมือในทุก ภาคส่วนให้มีความตระหนักและรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการขยะมูลฝอยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนด้านเทค นิควิชาการ และแนวทางการลดขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือให้อาสาสมัคร สาธารณสุขหมู่บ้าน และอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านเป็นแกนนำในการดำเนินการ ด้วย และให้จังหวัดภูเก็ต (องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต) เร่งรัดการดำเนินการเก็บภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีอากร ที่เก็บจากสถานบริการและโรงแรมในท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้มีเงินรายได้รองรับการดำเนินการบริหารจัดการขยะ มูลฝอยได้อย่างเพียงพอ ส่วนการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างระบบ กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาตินำผลการวิจัยที่ได้มีศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องไว้แล้วมาพิจารณาใช้ประโยชน์และประกอบการดำเนินการ เพื่อ ลดความซ้ำซ้อนและประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
935 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... | พม | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอร่าง
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและประชาชนได้มีการ รวมตัวในรูปแบบสภาองค์กรชุมชนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วน ร่วมในการพัฒนาทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ร่างระเบียบฉบับนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ และการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น และแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ จึงสมควรรับฟังความเห็นของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็น ในบางประเด็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน ตามร่างระเบียบ ฯ จะก่อให้เกิดความสับสนและความขัดแย้งในพื้นที่เนื่องจากไม่กำหนดองค์ประกอบขององค์กรชุมชน ที่ยื่นคำขอจดแจ้งการจัดตั้ง และในการจัดทำข้อบังคับการดำเนินงานก็ให้เป็นไปตามความต้องการขององค์กรชุมชน แต่ละแห่งโดยไม่มีกรอบแนวทางปฏิบัติและมาตรการกำกับดูแลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันแต่อย่างใด ส่วนอำนาจหน้า ที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน ที่กำหนดให้ประสานงานและบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหนุนเสริมการพัฒนา ของสภาชุมชน รวมทั้งการติดตามผล นั้น อาจขัดต่อแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่น ดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป โดยได้กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐมีอำนาจ หน้าที่ในการบริหารงานในพื้นที่ไว้แล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
936 | ขอความเห็นชอบสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) | กก | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการ
แข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) และหากกรุงเทพมหานครได้รับการยืนยันจาก คณะกรรมการโอลิมปิคสากล (IOC) ให้เป็นเมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรุงเทพมหานคร จัดทำรายละเอียด กรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ในการจัดการแข่งขันเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กรุงเทพ มหานครรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรศึกษาวิเคราะห์ ถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการเป็นเจ้าภาพ พร้อมทั้งจัดทำแผนการดำเนินการที่ชัดเจนเป็นระบบครอบคลุมตั้งแต่ ขั้นการเตรียมการ ขั้นการดำเนินการแข่งขัน รวมทั้งมีการพิจารณาการจัดสรรผลประโยชน์ และการดำเนินการภาย หลังการแข่งขันแล้วเสร็จ และกำหนดบทบาทความรับผิดชอบในการดำเนินการเป็นเจ้าภาพภายใต้ความร่วมมือของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรุงเทพมหานคร และการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักและร่วมรับ ภาระค่าใช้จ่าย โดยเตรียมการจัดทำรายละเอียดแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนและเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเอก ชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการด้วย และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้กรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมใน การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขัน โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนงบประมาณกับกรุงเทพมหานครในสัด ส่วนไม่เกินร้อยละ 60 ของวงเงินค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการ โดยให้กรุงเทพมหานครขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ตามความจำเป็นเป็นปี ๆ ไป ในสัดส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่จัดสรรให้กรุงเทพมหานคร ตามมติคณะกรรมการ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
937 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา | ศธ | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการ
ศึกษา ประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ พระภิกษุซึ่ง เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ผู้แทนคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น และกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิ จำนวนทั้งสิ้น 41 คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 ตุลาคม 2550) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
938 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ของรองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ณ จังหวัดพิษณุโลก | นร | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) รายงานผลการเดินทาง
ไปกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 2 ณ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2550 โดยผลการติดตามการบูรณาการแผนงาน/โครงการ งบประมาณระหว่างกระทรวงและจังหวัด พบว่า จังหวัดพิษณุโลก ได้มีการบูรณาการแผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ในเบื้องต้นไปแล้ว โดยใช้ตำบลเป็นหน่วยงานหลักในการ บูรณาการร่วมกันระหว่างส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน และได้เตรียมการบูรณาการ แผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. 2552 ด้วย ส่วนผลการติดตามการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรณีฝนตก หนักช่วงวันที่ 4-5 ตุลาคม 2550 พบว่า จังหวัดพิษณุโลกมีระบบการแจ้งเตือนที่มีความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างชุมชน และผู้นำในท้องถิ่นสามารถแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบล่วงหน้าอย่างทั่วถึง ส่งผลให้ประชาชนมีเวลาในการเตรียม ตัว ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการบูรณาการงบประมาณใน ปี พ.ศ. 2551 โดยให้จังหวัดเตรียมความพร้อม โดยเน้นการผสมผสานเชื่อมโยงการทำงานระหว่างส่วนราชการในภูมิ ภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้ดำเนินการในลักษณะคู่ขนานไปกับการดำเนินการของราชการส่วนกลางเพื่อให้มิติเวลามีความสัมพันธ์สอด คล้องกัน สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบให้ชุมชนและผู้นำท้องถิ่นร่วมมือกันพัฒนาระบบเตือนภัย และ เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
939 | รายงานการตรวจสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 4 และ 5 | นร | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรัง
สรรค์) รายงานผลการตรวจสถานการณ์อุทกภัยในเขตตรวจราชการที่ 4 (นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 และเขตตรวจราชการที่ 5 (ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี และสระบุรี) เมื่อวัน ที่ 19 ตุลาคม 2550 โดยภาพรวมผลการตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 4 และ 5 ได้มีการเตรียมรับสถานการณ์ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยระดับจังหวัด และ ศูนย์เตือนภัยทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งจัดเตรียมกระสอบทราย ติดตั้งเครื่อง สูบน้ำพร้อมให้การช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนหากเกิดอุทกภัย เป็นต้น และจากการตรวจติดตามสถานการณ์ อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว สถานการณ์น้ำไม่รุนแรงเหมือนปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากปริมาณน้ำทางเหนือมีแนว โน้มลดลง พร้อมกันนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะโดยสรุปดังนี้ การแก้ไขปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาว ให้จังหวัดสำรวจแหล่ง น้ำที่ตื้นเขิน เพื่อขุดลอก กำจัดสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำเพื่อเร่งระบายไปยังที่รับน้ำได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการช่วย เหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้จังหวัด เร่งสำรวจความเสียหาย และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็ว สำหรับ การแก้ไขปัญหาระยะยาว หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรมีการบูรณาการแผนการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบโดยมีข้อมูลเป็นปริมาณน้ำสูงสุดในปีที่ผ่าน ๆ มา ความจุของ เขื่อนต่าง ๆ ที่สามารถรองรับน้ำได้ และสำรวจพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเพื่อพัฒนาเป็นแก้มลิง หรือก้างปลาไว้รองรับ น้ำเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
940 | โครงการก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย | มท | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รับเรื่อง โครง
การก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย ไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิด ความชัดเจนถูกต้องและเหมาะสมตามความจำเป็น และประหยัด รวมไปถึงประเด็นความซ้ำซ้อนและการใช้ประโยชน์ วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีอยู่เดิมให้เต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและ บรรเทาสาธารณภัยขึ้นใหม่ และประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์และการดำเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นที่ต้องรับการถ่ายโอนภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่ เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และใช้เงินงบ ประมาณจำนวนมาก และยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับแผนปฏิบัติงาน แผนการใช้จ่ายเงินและการจัดทำรูปแบบการ บริหารจัดการโครงการ รวมทั้งขาดการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดีการจัดตั้งสถาบันดังกล่าว ยังมีความจำเป็นต่อประโยชน์ในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงเห็นควรลดขนาดของโครงการพร้อมทั้ง จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความพร้อมของ ปภ. และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ พิจารณาต่อไป และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้การ สนับสนุนโครงการดังกล่าวตามขอบข่าย (TOR) ที่ได้ปรับปรุงใหม่ของกระทรวงมหาดไทย แต่โดยที่ภารกิจด้านการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นภารกิจที่ต้องถ่ายโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกรูปแบบตาม พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ควรคำนึง ถึงการส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการฝึกอบรม การเตรียมความพร้อม และ การจัดองค์ความรู้ เพื่อรองรับการถ่ายโอนภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการจัดการภัยพิบัติ ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาทบทวน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
.....