ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 41 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 801 - 820 จากข้อมูลทั้งหมด 1462 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
801 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2551 | นร | 23/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและ
ความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2551 สรุปได้ดังนี้ 1. ข้อมูลประชากรผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุ (ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป) 7.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.1 ของประชากรทั้งหมด ประชากรอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปมีจำนวนเพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุหญิงมี แนวโน้มอายุยืนกว่าผู้สูงอายุชาย 2. สถานการณ์ด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ 57.7 มีปัญหาการ มองเห็น ปัญหาการได้ยินสูงขึ้นแบบทวีคูณ ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุง่าย กรณีพลัดตกหกล้มสูงถึงร้อยละ 40.4 มีผู้สูงอายุที่พิการ ร้อยละ 15.3 สำหรับโรคของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ความผิดปกติของต่อมไร้ ท่อ และโรคเบาหวาน ตามลำดับ 3. การดูแลและสวัสดิการของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุร้อยละ 90 ยังคงได้รับการดูแลเอาใจใส่จากสมาชิกของ ตนเอง รวมทั้งยังมีการดูแลและสวัสดิการผู้สูงอายุโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสาธารณประโยชน์ 4. การทำงาน รายได้ และการออมของผู้สูงอายุ การทำงานของประชากร พ.ศ. 2551 พบผู้สูงอายุที่ทำ งานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37.3 ส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม แต่การทำงานนอกภาคเกษตรกรรม ก็เพิ่มขึ้น ผู้สูงอายุร้อยละ 62.0 ประกอบธุรกิจส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง และมีสัดส่วนการเป็นลูกจ้างเอกชนเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 13.3 ผู้สูงอายุมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยลดลง นอกจากนี้ แรงงานผู้สูงอายุนอกระบบ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 91.4 แนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่ยากจนลดลงเหลือ 1.19 ล้านคน ส่วนสถานการณ์การออม พบ ว่าสัดส่วนการออมส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นจากเดิมแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยการออมเพื่อวัยสูงอายุมีทั้งแบบบังคับ และแบบ สมัครใจ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น 5. การเข้าถึงข้อมูลการศึกษา การเรียนรู้ตลอดชีวิต ผู้สูงอายุฟังวิทยุลดลง แต่นิยมชมโทรทัศน์เพิ่มขึ้นต่อ เนื่อง โดยรายการที่นิยมส่วนใหญ่ คือ ข่าว รองลงมา คือ บันเทิง ในปี พ.ศ. 2551 ผู้สูงอายุศึกษาต่อในสถาบันอุดม ศึกษา จำนวน 2,950 คน เพิ่มขึ้นจากเดิม เข้ารับการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐาน 13,501 คน และเข้าศึกษาตาม อัธยาศัยในหลักสูตรอาชีพระยะสั้น 148,941 คน โดยสนใจการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคม/ชุมชน 6. ศักยภาพของผู้สูงอายุ ในปี พ.ศ. 2551 มีผู้สูงอายุที่มีศักยภาพในด้านต่าง ๆ คือ ด้านการบริหาร มีผู้ สูงอายุที่ทำงานการเมือง คณะกรรมการระดับชาติ ระดับภูมิภาค ระดับท้องถิ่น ด้านการมีส่วนร่วมทางสังคม ด้าน การอนุรักษ์และถ่ายทอดภูมิปัญญา 7. สถานการณ์เด่นผู้สูงอายุไทย ปี พ.ศ. 2551 ได้แก่ การสรรหาผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2551 การสร้างระบบการติดตามและประเมินผลแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) และสถานการณ์ผู้ สูงอายุในรอบปี พ.ศ. 2551 เป็นต้น 8. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 8.1 ให้ความสำคัญกับการจัดระบบและช่วยเหลือการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุ พร้อมทั้งดูแลและจัดสิ่ง แวดล้อมในครอบครัว และสถานที่สาธารณะให้เหมาะสมแก่ผู้สูงอายุ การจัดทำมาตรฐานการดูแลของสถานบริการ และผู้ดูแลเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่เหมาะสม 8.2 มีการผลิตสื่อทั้งประเภทเนื้อหาและรูปแบบที่ผู้สูงอายุนิยมและเพิ่มช่องทางด้านสื่อโทรทัศน์ โดย เฉพาะในช่วงเวลาที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้ดู และการสอดแทรกสาระที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ อาทิ ด้านสุขภาพ เป็นต้น 8.3 เร่งจัดตั้งระบบบำนาญชราภาพที่มาจากการออมส่วนบุคคล ร่วมกับการจัดสวัสดิการจากรัฐ เพื่อ เป็นหลักประกันสำหรับผู้สูงอายุในอนาคต 8.4 ผลักดันให้แผนผู้สูงอายุแห่งชาตินำไปสู่การแปลงแผน เพื่อการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ การมีส่วนร่วมของทุกหน่วยงานโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีบทบาทเป็นเจ้าภาพในการนำแผนไปสู่ การปฏิบัติ โดยเฉพาะการส่งเสริมอาชีพและรายได้ของผู้สูงอายุ และส่งเสริมกระบวนการภาคประชาสังคม โดยมี หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเป็นผู้สนับสนุนองค์ความรู้และทรัพยากรต่าง ๆ ร่วมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
802 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | ศธ | 23/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมใน
การจัดการการอาชีวศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญ คือ 1. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขประกอบเกณฑ์การประเมินความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น 2. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความประสงค์จะจัดการการอาชีวศึกษายื่นคำขอต่อสำนัก งานล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามร้อยวันก่อนวันเริ่มต้นปีการศึกษาที่จะเปิดทำการสอน 3. กำหนดองค์ประกอบคณะกรรมการเพื่อทำการประเมินเพื่อทำหน้าที่ประเมินความพร้อมในการจัด การการอาชีวศึกษาและแจ้งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
803 | การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้างและผู้ประกอบอาชีพอื่น | มท | 16/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อจ่ายคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ ประกอบอาชีพงานก่อสร้างที่ได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 และวัน 2 ธันวา คม 2551 กรณีผิดสัญญาที่ได้นำส่งเป็นเงินรายได้แผ่นดินแล้ว จำนวน 641 โครงการ จำนวนเงิน 123,324,148 บาท ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจ่ายคืนให้แก่ผู้รับจ้างต่อไป 1.2 การเบิกจ่ายเงินงบกลาง ฯ ให้เบิกจ่ายได้เมื่อกรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบการขอคืนเงินค่าปรับและ ได้อนุมัติให้ถอนคืนเงินค่าปรับได้ 2. ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง และให้รับความ เห็นของกระทรวงการคลัง ที่ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเบิกจ่ายเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณี ฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ หากกรมส่งเสริมการปกครองท้อง ถิ่นเบิกจ่ายเงินรายการดังกล่าวไม่แล้วเสร็จกระทรวงการคลังจะไม่อนุมัติให้กันเงินงบประมาณที่คงเหลือไว้เบิกเหลื่อม ปี ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
804 | แต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในคณะกรรมการการอาชีวศึกษาแทนตำแหน่งที่ว่าง (นายอำนาจ เต็มสงสัย) | ศธ | 16/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอำนาจ เต็มสงสัย เป็นกรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แทนนายสายัณห์ มีแสง ที่ถึงแก่กรรม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดย ให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (16 กุมภาพันธ์ 2553) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
805 | การนำเสนอวาระเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ปี 2553 ต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 02/02/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบวาระเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 เพื่อขับเคลื่อนประเด็นจังหวัดน่าอยู่สำหรับ เด็กและเยาวชน และกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์เสนอ ดังนี้ 1.1 รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยจะเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็ก และเยาวชนให้เกิดผลอย่างทั่วถึงและเป็นรูปธรรม โดยมีตัวชี้วัดการดำเนินงานที่ชัดเจน 7 ด้าน ได้แก่ ด้านความปลอด ภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้านสุขภาพอนามัย ด้านครอบครัวอบอุ่น ด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้านการมีส่วนร่วม ด้าน การคุ้มครองสิทธิเด็ก และด้านความปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยง 1.2 จัดให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อเด็กและเยาวชน ตามตัวชี้วัดจังหวัดน่าอยู่ และกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับ เด็กและเยาวชน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาบรรจุเรื่องนี้ไว้ในแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้อง ถิ่น รวมทั้งจัดสรรงบประมาณดำเนินการ และรายงานผลความก้าวหน้าเป็นระยะทุกปี 1.3 รัฐบาลโดยกระทรวงด้านสังคม ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และ กระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการการจัดกิจกรรมและดำเนินการในประเด็นจังหวัดน่าอยู่และกิจกรรมสร้างสรรค์ สำหรับเด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายให้การสนับสนุนข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ คำ ปรึกษาแนะนำในเชิงสร้างสรรค์ ทรัพยากร รวมทั้งพื้นที่ และให้สอดคล้องกับความต้องการ รวมทั้งเกิดจากการมีส่วน ร่วมของเด็กและเยาวชน 2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ 2.1 ให้มีการส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่กิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็น กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน 2.2 เร่งสร้างประชาคมเด็กและเยาวชนให้มีการรวมตัวพร้อมทั้งจัดเวทีการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในกิจ การแสดงออกเชิงสร้างสรรค์ในกิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อพัฒนากลุ่มเด็กและเยาวชน ด้วยกันเอง 2.3 จัดให้มีกิจกรรมที่เด็กและเยาวชนสนใจ 2.4 เสนอการใช้กิจกรรมกีฬา นันทนาการ เพื่อการบำบัดรักษาหรือเยียวยาเด็กและเยาวชนที่มีปัญหา ในด้านต่าง ๆ และหรือเด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส เด็กพิการ และทุพพลภาพ 2.5 ให้ความเสมอภาคแก่เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส เด็กพิการและทุพพลภาพในการรับบริการกิจกรรม กีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างทั่วถึง 2.6 จัดให้มีศูนย์การเรียนรู้ด้านกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เหมาะสมกับเด็กและเยาว ชนอย่างยั่งยืน 2.7 การพัฒนาเด็กและเยาวชน ควรจัดเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะความปลอดภัยจากการเข้า ร่วมกิจกรรมกีฬา นันทนาการ และวิทยาศาสตร์การกีฬา |
||||||||||||||||||||||||||||||
806 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ 1.1 นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1.2 แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1.3 การจัดสรรงบประมาณให้กับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 1.4 การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2. เห็นชอบปรับปรุงประมาณการรายได้สุทธิ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จากเดิม จำนวน 1,542,650 ล้านบาท เป็น จำนวน 1,522,000 ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
807 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2552 | ทส | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการทรัพยา
กรน้ำแห่งชาติเสนอสรุปผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการจัดงานวันน้ำโลก ในภาคต่าง ๆ ทั้ง 4 ภาค ใช้ชื่อโครงการ "คุณภาพน้ำ คุณภาพชีวิต : ความท้าทาย และโอกาส" เนื่องในสัปดาห์อนุรักษ์ทรัพยากรน้ำแห่งชาติและวันน้ำโลก และให้แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการเพื่อช่วยในการจัดงาน โดยรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกรรมการไปพิจารณาดำเนินการด้วย 2. ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วย งานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. .... และรวบรวมความคิดเห็นนำเสนอ ประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 3. ที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ รวบรวมจำนวนหมู่บ้านที่ยังไม่มีระบบประปา พร้อมทั้งให้จัดลำดับ ความสำคัญที่ต้องดำเนินการเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นข้อ มูลในการพิจารณา ทั้งนี้ หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดที่ไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับระบบประปาหมู่บ้าน ได้ ให้เสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจ ฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบให้หน่วยงานที่มีความพร้อมเข้ามาสนับ สนุนการดำเนินการ และหากไม่มีงบประมาณดำเนินการจะได้พิจารณาหาแหล่งงบประมาณ 4. ที่ประชุมมีมติรับทราบเกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และมอบ ให้กรมชลประทานรับไปศึกษาเพิ่มเติมและพิจารณาว่าจะสามารถนำโครงการดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการดำเนิน การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบได้อย่างไร พร้อมทั้งนำเสนอเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระ ยาทั้งระบบของกรมชลประทานในการประชุมครั้งต่อไป 5. ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานสรุปการเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2552 และผลการดำเนินงานของคณะ อนุกรรมการติดตามสถานการณ์น้ำ และเตรียมความพร้อมด้านอุทกภัย 6. ที่ประชุมมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 253/2552 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เรื่องแต่งตั้งผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่ง ชาติเพิ่มเติม 7. ที่ประชุมมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีและการดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากร น้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2552 และให้กระทรวงมหาดไทยติดตามการดำเนินการของแต่ละจังหวัดในเรื่องห้ามไม่ให้ มีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ชุ่มน้ำ และตรวจสอบการดำเนินการก่อสร้างอาคารวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ราชภัฏในพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัดพิษณุโลก 8. ที่ประชุมมีมติรับทราบและเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ นำเสนอเรื่องที่หน่วยงานต่าง ๆ ขอความ เห็นจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในระหว่างที่ไม่มีการประชุม ให้เสนอประธานกรรมการ ฯ พิจารณา สั่งการหรือให้ความเห็น และนำมาเสนอคณะกรรมการ ฯ ทราบในการประชุมครั้งต่อไป 9. ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานรายละเอียดโครงการผันน้ำจากพื้นที่จังหวัดจันทบุรีไปยังแหล่งเก็บกัก น้ำจังหวัดระยอง โดยให้กรมชลประทานดำเนินการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ครอบ คลุมเพิ่มเติมทั้งลุ่มน้ำก่อนดำเนินการก่อสร้างโครงการ 10. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางและหลัก เกณฑ์การนำน้ำในแหล่งน้ำสาธารณะไปใช้ 11. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการดำเนินงานจัดประชุมของคณะอนุกรรมการจัดทำแผนการอนุรักษ์ฟื้น ฟูแหล่งน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อหาแนวทางการปรับปรุงฟื้นฟูบึงสีไฟ จังหวัดพิจิตร และให้ประธานอนุกรรมการอนุ รักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำติดตามการดำเนินงานมานำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป 12. ที่ประชุมมีมติรับทราบผลการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการจัดสรรน้ำสำหรับภาคการใช้น้ำด้าน ต่าง ๆ 13. ที่ประชุมมีมติมอบให้ฝ่ายเลขานุการ ฯ รับไปพิจารณาการจัดทำตราสัญลักษณ์ของคณะกรรมการ ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
808 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2552 | ทส | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติการประชุมคณะกรรม
การสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2552 โดยมีเรื่องที่สำคัญรวม 9 เรื่อง ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนวทางการสนับสนุนงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรุงเทพมหานคร ด้านการจัดการน้ำเสียชุมชนและการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน 2. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกและถมทะเลระยะที่ 1 บริเวณปากคลองปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล 3. โครงการทางพิเศษสุวรรณภูมิ (โครงการ M1) 4. โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานพังงา ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา 5. โครงการเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ทุ่งสง) จำกัด คำขอประทานบัตรที่ 1/2548 ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับคำขอประทานบัตรที่ 2/2548 ถึง 19 /2548 รวม 19 แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลที่วัง ตำบลชะมาย และตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 6. การกำหนดมาตรฐานค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในบรรยากาศโดยทั่วไป 7. มาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียซึ่งมีสาร 1,2-ไดคลอโรอีเทนและสารไวนิลคลอไรด์จาก อุตสาหกรรมเคมี 8. มาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน 9. การแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่มาบตาพุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
809 | รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการศูนย์รวมน้ำใจชาวไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติ และขอความเห็นชอบให้ส่วนราชการทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมบริจาคเงินสมทบช่วยเหลือผู้ประสบภัยเฮติ | นร | 26/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) ประธานกรรม
การอำนวยการศูนย์รวมน้ำใจชาวไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการอำนวยการศูนย์รวมน้ำใจชาวไทยช่วยผู้ประสบภัยเฮติ โดยคณะกรรมการอำนวยการ ฯ ได้จัดประชุมครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2553 สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ 1.1 รับทราบรายงานการส่งมอบเงินบริจาคของรัฐบาล จำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทาง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโกซิตี้ ได้มอบเงินดังกล่าวให้แก่เอกอัครราชทูตเฮติประจำประเทศเม็กซิโกแล้วโดยเงิน ดังกล่าวจะถูกนำไปจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นเพื่อจัดส่งจากกรุงเม็กซิโกซิตี้ไปยังเฮติ 1.2 เห็นชอบแนวทางการจัดส่งข้าวสาร จำนวน 20,000 ตัน เพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวเฮติ 1.3 รับทราบศักยภาพและความพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข ในการจัดส่งทีมแพทย์และ พยาบาลไปยังสาธารณรัฐเฮติ โดยระยะเร่งด่วน เห็นควรจัดส่งทีมแพทย์และพยาบาลของไทยเข้าร่วมปฏิบัติการ ในสาธารณรัฐเฮติร่วมกับทีมแพทย์ของเม็กซิโก และระยะต่อไป เห็นควรจัดส่งทีมแพทย์และพยาบาลเข้าไปปฏิบัติ การให้ความช่วยเหลือชาวเฮติภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติทันทีที่องค์การ ฯ มีความพร้อมและร้องขอ 1.4 เห็นควรขอความร่วมมือไปยังรัฐวิสาหกิจ จังหวัด และภาคเอกชน 3 สมาคมให้เปิด ศูนย์รับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวเฮติ สำหรับเงินบริจาคที่รัฐบาลได้รับเปิดผ่านทางศูนย์รับบริจาคทำ เนียบรัฐบาล และบัญชีของธนาคารกรุงไทย เห็นควรส่งมอบไปยังรัฐบาลและประชาชนชาวเฮติผ่านทางองค์การ สหประชาชาติ 1.5 เห็นควรมอบบุคคลระดับรัฐมนตรีไปเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีที่องค์การสหประชาชาติมี กำหนดจะจัดขึ้นเพื่อพิจารณาแผนการให้ความช่วยเหลือบูรณะฟื้นฟูสาธารณรัฐเฮติ 1.6 ให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันพิจารณาจัดทำแผน และเตรียมความ พร้อมในการจัดส่งหน่วยทหารช่างเพื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับองค์การสหประชาชาติในระยะต่อไป 2. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามมติที่ประชุม ฯ ครั้งที่ 1/2553 และให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการอำนวยการ ฯ โดยให้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินการเป็นเอกภาพและสอดคล้องในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
810 | รายงานการรับ - จ่ายเงินนอกงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2551 - 2552 | กษ | 12/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอรายงานการรับ-จ่ายเงินนอก
งบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2552 ของกรมประมง และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิ สภาต่อไป ดังนี้ 1. ประเภทเงินบริจาค/อุดหนุน มีรายรับรวม 48,348.06 บาท มีรายจ่ายรวม 48,348.00 บาทมีเงินคงเหลือหลังหักภาระผูกพันรวม 21,266.00 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 21,266.06 บาท 2. ประเภทเงินบูรณะทรัพย์สิน มีรายรับรวม 159,074.44 บาท มีรายจ่ายรวม 251,588.84 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 530,371.92 บาท 3. ประเภทเงินรายได้จากการดำเนินงาน มีรายรับรวม 15,758,818.32 บาท มีรายจ่ายรวม 21,697,508.80 บาท มีเงินคงเหลือหลังหักภาระผูกพัน 12,353,450.61 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 12,353,450.61 บาท 4. ประเภทเงินประกันสัญญา/เงินมัดจำ มีรายรับรวม 8,456,010.13 บาท มีรายจ่ายรวม 5,550,101.80 บาท มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 14,381,779.79 บาท 5. ประเภทเงินกู้ มีรายรับรวม 4,567,479.17 บาท มีรายจ่ายรวม 4,567,479.17 บาท รวม เงินคงเหลือทั้งสิ้น 133,058.85 บาท 6. ประเภทเงินสินบนรางวัล มีรายรับรวม 5,740,150 บาท มีรายจ่ายรวม 5,840,706 บาท รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น 176,500 บาท 7. ประเภทเงินฝากต่าง ๆ มีรายรับ 23,765,559.30 บาท มีรายจ่าย 23,743,979.33 บาท มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 4,045,510.23 บาท 8. ประเภทเงินรับฝากเพื่อรอจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)/ถอนคืน มีรายรับ รวม 5,113,155.03 บาท มีรายจ่ายรวม 5,177,257.33 บาท มีเงินคงเหลือทั้งสิ้นรวม 1,336,309.34 บาท 9. ประเภทเงินทุนหมุนเวียน มีสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 74,455,369.53 บาท มีทรัพย์สินไม่ หมุนเวียนรวม 16,681,978.10 บาท มีสินทรัพย์รวม 91,137,347.63 บาท มีหนี้สินหมุนเวียนรวม 6,989,009.81 บาท มีหนี้สินไม่หมุนเวียนรวม 5,956,573.03 บาท มีหนี้สินรวม 12,945,582.84 บาท มีสินทรัพย์หมุนเวียน 78,191,764.79 บาท 10. ประเภทเงินทุนหมุนเวียน มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 66,856,729.89 บาท มีรายได้ สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานรวม 2,813,556.32 บาท มีรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ รวม 2,814,041.32 บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
811 | ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงประเภทของหน่วยงานราชการที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือภาษีประจำปีและนิรโทษกรรมค่าธรรมเนียม และภาษีประจำปีที่ค้างชำระของหน่วยงานราชการ) รวม 2 ฉบับ | คค | 05/01/2553 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ จำนวน 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ
พิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อน เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ดังนี้ 1. ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ 1.1 กำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีให้แก่รถของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เฉพาะรถที่มิได้ใช้ในทางการค้าหรือหากำไร 1.2 กำหนดให้บรรดาค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีของรถของหน่วยงานตามมาตรา 9 (3) แห่ง พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับให้เป็นอันระงับไป 2. ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ 2.1 กำหนดมิให้นำมาตรา 23 มาใช้บังคับแก่การขนส่งส่วนบุคคลซึ่งหน่วยงานของรัฐ มหาวิทยาลัย และสถาบันอุดมศึกษา วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ สภากาชาดไทยและสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถาน พยาบาล เป็นผู้ประกอบการขนส่ง แต่ผู้ประกอบการขนส่งต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้ เสมือนดังเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลทุกประการ 2.2 กำหนดให้รถที่ใช้ในการขนส่งส่วนบุคคลของส่วนราชการ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ องค์การมหาชน หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนด ในกฎกระทรวง วัด มัสยิด มิซซัง มูลนิธิ และสภากาชาดไทย ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี 2.3 กำหนดให้บรรดาภาษีประจำปีของรถของหน่วยงานตามมาตรา 88 แห่งพระราชบัญญัติการขน ส่งทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ค้างชำระไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็น อันระงับไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
812 | รายงานผลการเตรียมความพร้อมของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการเตรียมความพร้อม
ของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด (ก.ธ.จ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โดย ก.ธ.จ. จะปฏิบัติภารกิจการ ตรวจสอบและติดตามงาน/โครงการตามแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ แผนปฏิบัติราชการประจำ ปีของจังหวัด และการใช้จ่ายงบประมาณของจังหวัด งบประมาณของกระทรวงและกรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัด รวมทั้ง งบอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรับฟังข้อคิดเห็น ปัญหาข้อร้องเรียนจากประชาชนเกี่ยวกับการ ดำเนินการหรือการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ/เจ้าหน้าที่ของรัฐ สำหรับแผนที่จะสนับสนุนการดำเนินงาน ของ ก.ธ.จ. ในช่วงต่อไป เช่น การศึกษาวิจัยกำหนดกรอบทิศทางในการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานตามอำนาจหน้า ที่ของ ก.ธ.จ. และกำหนดตัวชี้วัดการปฏิบัติงานที่ชัดเจน การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับบทบาทและอำนาจหน้าที่ของ ก.ธ.จ. เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบเกี่ยวกับกลไกการตรวจสอบภาคประชาชนตามระเบียบ ฯ เพื่อให้การปฏิบัติ งานของ ก.ธ.จ. มีความคล่องตัวและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการประสานความร่วมมือระหว่าง ก.ธ.จ. กับ องค์กรตรวจสอบและองค์กรติดตามประเมินผลอื่นๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนธรรมาภิบาลและการบริหารกิจการบ้าน เมืองที่ดีมีอยู่ในระบบการบริหารของทุกหน่วยงานของรัฐ ทุกจังหวัด เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
813 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (วงเงิน 149,999.8371 ล้านบาท) | กค | 29/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 (วงเงิน 149,999.8371 ล้านบาท) ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบ ประมาณภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 100.00 ของวงเงินตามแผนที่ได้รับอนุมัติ ให้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 1.2 ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินให้แล้วเสร็จภายในวัน ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ทั้งนี้ สำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้ รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 เมษายน 2553 1.3 ให้หน่วยงานที่ได้รับเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ บันทึกข้อมูลแผนงาน งวด งานและงวดเงินตามระบบที่กระทรวงการคลังกำหนด และรายงานผลความก้าวหน้าตามแผนงาน งวดงาน และงวดเงินที่สอดคล้องกับความสำเร็จของงานในแต่ละเดือน ไตรมาส เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามเร่งรัด การใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ 1.4 ให้นำอัตราการเบิกจ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ตามเป้าหมายที่คณะ รัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงาน 1.5 ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติ การ ฯ ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด 2. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานและเร่งรัดให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำการบันทึก ข้อมูลการดำเนินงานในระดับพื้นที่และจัดทำแผนปฏิบัติงานเพื่อให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติแผนและ จัดสรรงบประมาณโครงการ ฯ ตามขั้นตอนต่อไปโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
814 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... | พม | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ. .... ที่ปรับปรุงแก้ไขจากร่างของสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่แก้ไขปรับปรุงมีดังนี้ 1.1 ร่างมาตรา 6 แก้ไขเป็น "ให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบในการ สงเคราะห์และควบคุมคนขอทานตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งเสนอนโยบายแผนงานและมาตรการในการควบคุม สงเคราะห์ และคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้ซึ่งขอทาน และแนวทางการจัดการกับผู้หาประโยชน์จากผู้ซึ่งขอทานโดยมิ ชอบด้วยกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรี" (ตัดอำนาจในการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลเกี่ยวกับการสง เคราะเห์และการควบคุมการขอทานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออก) 1.2 เพิ่มเติมร่างมาตรา 7 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งตัวผู้ขอทานและเป็นคนชราภาพ หรือคน วิกลจริต พิการ หรือเป็นคนมีโรค ซึ่งไม่สามารถประกอบอาชีพและไม่มีทางเลี้ยงชีพและไม่มีญาติมิตรอุปการะ ไป ยังสถานสงเคราะห์ 1.3 เพิ่มเติมร่างมาตรา 8 กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนด เงื่อนไข หรือวางระเบียบเกี่ยวกับการแสดงหรือการละเล่นของวณิพกหรือนักแสดงสาธารณะ 2. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ ไขปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ ฯ ควรพิจารณาทั้งระบบ เช่น ชื่อร่างพระราชบัญญัติ "ควบคุมการขอทาน" อาจเป็น การสะท้อนสภาพปัญหาของสังคมไทยที่น่าจะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมุ่งประสงค์จะคุ้มครองสวัสดิการผู้ด้อยโอกาส สงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพให้มีคุณภาพ ชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ และพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับวณิพกหรือนักแสดงสาธารณะที่มีหน้าที่ต้องแจ้ง ต่อพนักงานท้องถิ่นในกรณีที่จะเล่น หรือแสดงในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และข้อสังเกตกระทรวง แรงงาน สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ เกี่ยวกับบทบัญญัติให้อำนาจอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของกฎหมาย เช่น มาตรา 9 ซึ่งกำหนดให้มีอำนาจในการควบคุมผู้ที่ถูกส่งตัวมาที่สถานสงเคราะห์ และสั่งให้ทำ การงานในสถานสงเคราะห์หรือสถานที่อื่นได้ นั้น ควรกำหนดให้มีการตรากฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดหลัก เกณฑ์การใช้อำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบของส่วนราชการไว้ในบทบัญญัติดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ควรเพิ่ม เติมเนื้อหาในส่วนของหน้าที่ของ อปท. ตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ไว้ในร่างกฎหมายนี้ด้วย ไปประกอบการพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
815 | การกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ได้พิจารณางบประมาณเงินอุดหนุนขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยปรับลดงบประมาณลงจำนวน 847.53 ล้านบาท และเห็นชอบการแปรญัตติเพิ่ม เติม จำนวน 4,042.72 ล้านบาท ทำให้เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้แก่ อปท. เพิ่มขึ้นจำนวน 3,195.18 ล้านบาท มีผลให้ ยอดรวมเงินอุดหนุนของ อปท. เพิ่มขึ้นจากเดิม 136,700 ล้านบาท เป็นจำนวน 139,895.18 ล้านบาท ทำให้สัดส่วน รายได้ของ อปท. ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25.02 เป็นร้อยละ 25.26 โดย อปท. จะมีประมาณ การรายได้ทั้งสิ้น 340,995.18 ล้านบาท |
||||||||||||||||||||||||||||||
816 | มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552) | กค | 15/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางการชดเชยให้รัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพคำนวณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลดภาระค่าครองชีพของประชา ชน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 1.2 ให้รัฐวิสาหกิจกู้เงินเพื่อชดเชยยอดค้างชำระสำหรับนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคน ไทยทุกคน จำนวน 3,803.218 ล้านบาท และกรอบวงเงินชดเชยสำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชา ชน ระยะที่ 2 จำนวน 11,117.000 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เพื่อชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจดังกล่าวต่อไป 1.3 ขยายกรอบวงเงินสำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนระยะแรก เพิ่มเติม ให้แก่การ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ในกรอบวงเงินงบประมาณ 62.151 ล้านบาท 37.418 ล้านบาท และ 39.407 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งสิ้น 138.976 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณจัด สรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็นที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งนี้ ในส่วนของเงินที่ได้จัดสรรงบประมาณให้แก่องค์ การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามหลักเกณฑ์การคำนวณในข้อ 1.1 จำนวน 21.934 ล้าน บาท ให้นำยอดเงินดังกล่าวไปหักออกจากการชดเชยภาระค่าใช้จ่ายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพสำหรับมาตร การลดภาระค่าครองชีพของประชาชนระยะที่ 2 2. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อไปอีก เป็นเวลา 3 เดือน (1 มกราคม-31 มีนาคม 2553) และให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณา แนวทางการจัดสรรเงินเพื่อสนับสนุนการขยายระยะเวลาการดำเนินตามมาตรการดังกล่าว ให้แก่หน่วยงานที่รับผิด ชอบดำเนินการ ได้แก่ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ส่วนการดำเนิน การขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้จากงบประมาณที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อชดเชยรายได้ที่ลดค่าน้ำ ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นของตน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
817 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2552 | นร | 15/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่าย
เลขานุการคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) รายงานผลการประชุมและมติคณะกรรม การ กพอ. ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับผลการติดตามเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ดังนี้ 1.1 ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รายงานสถิติจำนวนครั้งการตรวจวัดค่าคุณภาพอากาศ จากปล่องโรงงาน (CEMs) ที่เกินมาตรฐาน (Alert) ในแต่ละเดือนต่อคณะกรรมการ กพอ. และจัดทำป้ายหน้าโรง งานเพื่อแสดงสถิติจำนวนครั้งที่คุณภาพอากาศเกินมาตรฐาน รวมทั้งให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ควบ คู่กับการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและค่ามาตรฐานที่กำหนด 1.2 ให้กรมควบคุมมลพิษ หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนจัดทำสรุปแผนงานและมาตรการ แก้ไขปัญหามลพิษเร่งด่วน และนำเสนอต่อคณะทำงานแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุดโดยด่วนต่อไป โดยมาตร การแก้ไขปัญหามลพิษเร่งด่วน ประกอบด้วย 1.2.1 การปนเปื้อนของโลหะหนักและสารอินทรีย์ระเหยง่ายในดินและน้ำใต้ดิน 1.2.2 การแก้ไขปัญหาการสะสมตัวของตะกอนดินปากคลองชากหมาก 1.2.3 การจัดการ VOCs ในภาพรวมบริเวณมาบตาพุด 2. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับแผนงานพัฒนาระบบเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณใกล้ เคียง จังหวัดระยอง ในระยะต่อไป โดยให้คณะทำงานแก้ปัญหาเร่งด่วนของมาบตาพุดรับไปพิจารณาในรายละเอียด ของแผนงานดังกล่าวในส่วนของการติดตั้งป้ายแสดงคุณภาพสิ่งแวดล้อม ชุดตรวจวัด VOCs ศูนย์รับข้อมูลและแสดง ผลในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำอัตโนมัติ และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลการตรวจวัดคุณ ภาพสิ่งแวดล้อม โดยจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว แล้วนำเสนอคณะกรรมการ กพอ. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
818 | ร่างพระราชบัญญัติรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | มท | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ พร้อมความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการ คลัง ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาใช้ประกอบการพิจารณา โดยใช้ร่างพระราชบัญญัติรายได้ขององค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ฉบับที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเป็นหลัก แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ครั้งหนึ่ง 2. เพื่อให้การจัดเก็บภาษีและรายได้อื่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมความพร้อมหรือวางแผนการดำเนินงานในเรื่องนี้ไว้ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
819 | การทบทวนแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (ปี พ.ศ. 2553 - 2556) และการขอแก้ไขงบประมาณโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปี พ.ศ. 2553 ของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 | นร | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณา
การ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ 5 /2552 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการ และเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้ 1. เรื่อง การทบทวนแผนพัฒนาจังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด (ปี พ.ศ. 2553-2556) 1.1 เห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด 75 จังหวัด และแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด ที่ผ่านการ ทบทวนจากคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) และคณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัด แบบบูรณาการ (ก.บ.ก.) ตามความเห็นของ อ.ก.น.จ. ด้านแผนและด้านงบประมาณ ทั้ง 5 คณะ และให้จังหวัดและ กลุ่มจังหวัดรับข้อสังเกตของ อ.ก.น.จ. ฯ ไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป 1.2 ให้ อ.ก.น.จ. ฯ ช่วยปรับปรุงแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้สมบูรณ์มากขึ้น โดยเฉพาะการ กำหนดวิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธาสตร์ และเป้าประสงค์ ให้มีจุดเน้นที่ชัดเจนสามารถสะท้อนมิติการพัฒนาที่สำคัญ รวมทั้งปรับปรุงระบบฐานข้อมูลของจังหวัด และกลุ่มจังหวัดให้มีความสมบูรณ์ เพื่อประกอบการวางแผนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 1.3 เห็นชอบให้ ก.น.จ. จัดให้มีการประชุมเพื่อบูรณาการโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ระหว่างจังหวัด /กลุ่มจังหวัด (Area) กับกระทรวง ทบวง กรม (Function) 1.4 เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยจัดการประชุมเพื่อบูรณาการโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ระหว่าง จังหวัด/กลุ่มจังหวัด (Area) กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัด/กลุ่มจังหวัดนั้น 1.5 เห็นชอบปฏิทินการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัด ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2554 ที่ปรับใหม่ให้สอดคล้องกับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2552 2. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนกิจกรรมและงบประมาณของโครงการ จำนวน 6 โครงการ ตามแผนปฏิบัติ ราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ยุทธศาสตร์การ พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไหม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
820 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2552 - 2554 | สธ | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2552-2554 มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้มีการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี โดยมีมาตร การและแนวทางการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมรายสาขารวม 6 สาขา ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุข อนามัย และการสุขาภิบาล ด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการเตรียมการและวางแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ ฯ ไปปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะ กรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เห็นควรปรับระยะเวลาของแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็น พ.ศ. 2553-2555 และปรับตัวชี้วัดที่ ระบุว่า "ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำบริโภคเพื่อการบริโภค อุปโภค อย่างเพียงพอ" เป็น "ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการบริโภค 5 ลิตร/คน/วัน และเพื่อการอุปโภค 45 ลิตร/คน/วัน" และให้ความสำคัญในการพัฒนาจิตสำนึกของประชาชนและชุมชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ เข้าถึง ตระหนักถึงความสำคัญของการอนามัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเข้าร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบคุณภาพด้าน สุขภาพ (HIA) อย่างเข้าใจทั้งสิทธิและหน้าที่ที่ต้องขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้วยกัน นอกจากนี้ เร่งรัดให้มีการประชา สัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติ หน้าที่และบทบาทของตนเองในการแก้ไขปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน การจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ซึ่งเป็นปัญหาใกล้ชิดประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....