ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 146 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 2901 - 2920 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2901 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 13/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2902 | มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท | นร07 | 13/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2903 | ขอความเห็นชอบและลงนามร่างบันทึกความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงโยธาธิการและขนส่งแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | คค | 13/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงโยธาธิการและขนส่งแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามดังกล่าว โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความร่วมมือฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ด้านนโยบายระหว่างสองประเทศที่จะดำเนินความร่วมมือด้านการคมนาคมขนส่งโดยไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นการเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน และแสดงความตั้งใจในการเร่งรัดการดำเนินความร่วมมือด้านคมนาคมขนส่งในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงระหว่างกันและระหว่างภูมิภาค การอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนทั้งสองประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงความร่วมมือในการสร้างกลไกในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานที่ประสบภัยระหว่างกัน โดยจะมีการลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในระหว่างการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat : JCR) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลแลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างบันทึกความร่วมมือฯ เป็นการทำความตกลงในระดับหน่วยงานมิใช้ระดับรัฐ อีกทั้งมิได้มีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และไม่จำเป็นต้องมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม เนื่องจากไม่เข้าตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)] ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2904 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ ภาค 5 พร้อมที่พักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 13/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พร้อมที่พักอาศัยและสิ่งก่อสร้างประกอบ บริเวณศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย ภายในกรอบวงเงิน ๘๕๙,๐๕๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๗๑,๘๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๖๘๗,๒๔๐,๐๐๐ บาท ให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปี ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด และมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานที่และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐด้วย ทั้งนี้ การขออนุมัติดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายในกรอบสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่กำหนดว่าต้องไม่เกินกว่าร้อยละห้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2905 | ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... | นร | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน โดยเฉพาะประเด็นร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่สมควรกำหนดบทกำหนดโทษ และควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการดำเนินการลักษณะใดเป็นการดำเนินการที่มีมาตรฐานต่ำกว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ความชัดเจนของบทนิยาม ระยะเวลาในการออกกฎหมายลำดับรอง การกำหนดกรอบเวลาและขอบเขตในการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ความสอดคล้องระหว่างวิธีการรับฟังความคิดเห็นกับบริบทของนโยบายสาธารณะในแต่ละเรื่อง ความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ภาครัฐและประชาชนจะได้รับในการดำเนินการ ความจำเป็นในการกำหนดเรื่องการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะเป็นพระราชบัญญัติ รวมทั้งการกำหนดให้คณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะต้องมีคุณสมบัติหรือไม่มีลักษณะต้องห้ามกรณีไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ในการเสนอเรื่องนี้ และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการเสนอ เรื่อง การขอจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวง และ ก.พ.ร. แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2906 | การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 | กค | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเห็นชอบการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คงหลักการให้รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ ๒๕๔๓ โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ต่อไป ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงแรงงานกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ กฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่พนักงานรัฐวิสาหกิจควรได้รับและแนวนโยบายของรัฐบาลแต่ละเรื่อง พร้อมทั้งให้เร่งรัดดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต) เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของพนักงานรัฐวิสาหกิจในกรณีเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการเรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับสิทธิสวัสดิการของรัฐวิสาหกิจที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน และควรปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อจูงใจให้บุคลากรที่มีศักยภาพสูงเข้ามาปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ตอบแทนที่เป็นตัวเงินหรือสภาพการจ้างในท้องถิ่นด้วย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถกำหนดโครงสร้างค่าตอบแทนได้เอง นอกจากนี้ การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการหรือประโยชน์อื่นของพนักงานรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ควรคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนสถานะการเงิน และผลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการกำหนดมาตรการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายควรให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับปรุงแนวทางดังกล่าว โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2907 | ขออนุมัติงบประมาณตามโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย | กค | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการของบประมาณเพิ่มเติมให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๗,๐๒๑.๙๖๘๐ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการดำเนินการจริงภายในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย) เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรเร่งพิจารณาสำรวจและตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรรายย่อยอื่นที่เป็นหนี้สถาบันเกษตรกรและไม่ได้เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ตามมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อย เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกับเกษตรกรรายย่อยที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. และให้กระทรวงการคลังประเมินผลกระทบโครงการลดดอกเบี้ยจากโครงการก่อนหน้าและติดตามความสำเร็จของโครงการปัจจุบัน รวมทั้งให้ ธ.ก.ส. มีระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างเพียงพอ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2908 | ขออนุมัติดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ 1) | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ ๑) เพื่อแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยการผันน้ำหลากส่วนเกินไม่ให้ท่วมเมืองชัยภูมิ และผันน้ำจากลำปะทาวผ่านคลองผันน้ำส่งช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกบริเวณโครงการฯ ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๓,๔๔๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีการดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนและการบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างสอดคล้องและเชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเห็นควรให้กรมชลประทานพิจารณาจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานเตรียมความพร้อม ตลอดจนบูรณาการร่วมกับกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อให้การกำหนดพื้นที่ดำเนินการตามแผนการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมในแผนฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณเหนือพื้นที่โครงการฯ สอดคล้องกับเป้าหมายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการประตูระบายน้ำกุดสวง จำนวน ๖๐ ล้านบาท และรายการประตูระบายน้ำห้วยเสียว จำนวน ๖๐ ล้านบาท ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัดเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างของโครงการฯ และพื้นที่บริเวณโดยรอบเกี่ยวกับประโยชน์ของการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2909 | การแก้ไขปัญหากรณีดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และกลุ่มจังหวัดในพื้นที่ที่ต้องได้รับอนุมัติ/อนุญาต | มท | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้กำหนดโครงการไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ที่ต้องได้รับการอนุมัติ/อนุญาตให้ใช้พื้นที่จากส่วนราชการต่าง ๆ ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาตเร่งพิจารณาให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาต รวมทั้งมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการได้ทันต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในพื้นที่ควรพิจารณายื่นขออนุมัติ/อนุญาต ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด รวมถึงควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบและเสนอมาตรการที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะเสนอโครงการ (๒) ควรให้ความสำคัญกับการมอบหมายจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่คณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคกำหนด และ (๓) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาคำขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลให้จังหวัด และกลุ่มจังหวัดปฏิบัติตามนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน และหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ [ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร (ก.บ.ภ.) ๑๑๑๒/ว ๕๘๘๖ ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง นโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน และหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓] อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาตให้ใช้พื้นที่ต่าง ๆ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การกำหนดให้มีระบบอนุญาตเฉพาะกรณีที่จำเป็น และกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2910 | มาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ | พม | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ และให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานด้านผู้สูงอายุนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป โดยมาตรการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนมาตรการฯ อย่างเป็นระบบ สร้างการบูรณาการการทำงานด้านผู้สูงอายุทั้งประเทศ ทั้งระดับนโยบาย หน่วยงาน และพื้นที่ รวมทั้งติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเป็น ๒ มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการหลักที่ ๑ การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนทุกวัย เช่น การสร้างระบบคุ้มครองและสวัสดิการผู้สูงอายุ ระบบสุขภาพเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ ปรับสภาพแวดล้อมชุมชนและบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงอายุ และมาตรการหลักที่ ๒ การยกระดับขีดความสามารถสู่การบริหารจัดการภาครัฐ ๔.๐ เช่น การปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ ข้อบังคับให้เอื้อต่อการทำงานด้านผู้สูงอายุ ปฏิรูประบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระยะเวลาการขับเคลื่อน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เช่น การขยายกลุ่มเป้าหมายของมาตรการฯ ส่งเสริมความร่วมมือจากภาคเอกชน งบประมาณความสอดคล้องกับนโยบายอื่น ๆ และการแก้ไขรายละเอียดมาตรการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำพื้นที่ของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีจำนวนนักเรียนน้อยและอาจถูกยุบรวมมาใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้และดูแลผู้สูงอายุ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2911 | โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค | ศธ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น (Thai KOSEN) จำนวน ๒ วิทยาเขต ได้แก่ สถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KOSEN KMITL) และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KOSEN KMUTT) และพัฒนาหลักสูตรที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการผลิต วิศวกรนักปฏิบัติ นักเทคโนโลยีและนวัตกรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญสูงในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม และสามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีของประเทศ สนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมและการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จัดทำหลักสูตรด้านวิศวกรรมศาสตร์ และจัดให้มีทุนการศึกษาวิจัยและพัฒนา ฝึกอบรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์แก่นักศึกษาในหลักสูตรโคเซ็น ๔ ประเภท ระยะเวลาดำเนินการ ๑๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔) งบประมาณที่ใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ ทั้งสิ้น ๓,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ในระยะยาว โดยร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในภาคอุสาหกรรมของประเทศ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีผู้แทนของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นองค์ประกอบคณะกรรมการดังกล่าว ไปพิจารณาทบทวนองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวให้เหมาะสม ส่วนการจัดตั้งสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่เดิมรองรับการจัดตั้งสถาบันดังกล่าวก่อน ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM) สำหรับทุกระดับการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ดียิ่งขึ้นโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2912 | การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม | นร12 | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม โดยกำหนดให้ส่วนราชการสามารถพิจารณาจัดโครงสร้างส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรมได้เอง โดยไม่ต้องเสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะกรณี (๑) เป็นการจัดโครงสร้าง (rearrange) เพื่อรองรับภารกิจใหม่ตามยุทธศาสตร์ นโยบาย และภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล (๒) เป็นการจัดหน่วยงานของราชการส่วนกลางในภูมิภาคใหม่ และ (๓) เป็นการจัดหน่วยงานในต่างประเทศ โดยไม่เพิ่มจำนวนกอง/จำนวนหน่วยงานของราชการส่วนกลางในภูมิภาค/จำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ในภาพรวมของส่วนราชการ และไม่เพิ่มจำนวนกองที่ปรากฏในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เช่น (๑) ควรกำหนดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนของการดำเนินงานให้ชัดเจน (๒) ต้องคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้น (๓) ต้องระมัดระวังมิให้กระทบกับการกำหนดตำแหน่งประเภทอำนวยการ (๔) ควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการ และ (๕) อาจพิจารณามอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ในกรณีการขอจัดตั้งส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรม โดยไม่เพิ่มจำนวนกอง หรือจำนวนหน่วยงานของราชการส่วนกลางที่ตั้งในภูมิภาค หรือจำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ทั้งที่ปรากฏในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ หรือตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และยังคงมีจำนวนกองหรือหน่วยงานในภาพรวมเท่าที่มีอยู่เดิมของส่วนราชการ ให้ดำเนินการตามหลักการ เงื่อนไข และขั้นตอนที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ส่วนการกำหนดตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำกว่าระดับกรม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนด ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. แก้ไขหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร ๑๒๐๐/ว ๑๓ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ให้สอดคล้องกับหลักการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมดังกล่าวต่อไป) ๔. ให้สำนักงาน ก.พ. นำข้อเสนอแนะของ ก.พ.ร. และความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่ง และการประเมินคุณภาพงานของตำแหน่งตามหลักเกณฑ์การประเมินค่างานของตำแหน่ง เสนอต่อ ก.พ. เพื่อพิจารณาทบทวนต่อไป ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งหรือรวมหน่วยงานในต่างประเทศ กรณีไม่เพิ่มจำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2913 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย - ลาว ครั้งที่ 3 | กต | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat : JCR) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๓ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมฯ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นความร่วมมือ ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ด้านการเมืองและความมั่นคง (๒) ด้านเศรษฐกิจ และ (๓) ด้านสังคมและการพัฒนา ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุม JCR ไทย-ลาว ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ขอปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในประเด็นการอำนวยความสะดวกในการผ่านแดน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ในส่วนของความร่วมมือด้านไฟฟ้าและพลังงานอื่น ๆ กับ สปป.ลาว ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ [เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๑] ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2914 | ร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 4 | กต | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ (Joint Press Communique of the Fourth Lancang-Mekong Cooperation Foreign Ministers’ Meeting’) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ในการรับรองตราสัญลักษณ์และเพลงของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง การทบทวนความสำเร็จและความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการระยะ ๕ ปี การกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคต และการส่งเสริมการดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การพัฒนาแห่งชาติของแต่ละประเทศสมาชิก โดยจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Economic Development Belt) และการริเริ่มจัดตั้งคณะทำงานร่วมหรือศูนย์ความร่วมมือระดับสาขาภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2915 | โครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบประเภทเวอร์ยิเนีย เบอร์เลย์ และเตอร์กิช ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ ยสท. และกรมสรรพาสามิตแล้ว จำนวน ๑๓,๕๕๗ ราย และที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของ ยสท. เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ซึ่งจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบ และเห็นควรมอบหมายให้ ยสท. ร่วมกับกรมสรรพสามิตในฐานะที่เป็นผู้รับขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือ พร้อมทั้งตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่จะได้รับความช่วยเหลือก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะกรณีประเภทเวอร์ยิเนียที่ต้องรวมเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบบ่มเองที่ได้รับโควตา และเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบภายใต้ผู้บ่มอิสระที่ได้รับโควตา เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ยสท. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกยาสูบ หรือสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่มีความพร้อมปรับเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นที่เหมาะสม โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเริ่มฤดูการผลิตในปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เพื่อให้เกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบมีเวลาเพียงพอในการปรับแผนการผลิต รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ยสท. ประสานความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพัฒนาอาชีพการทำการเกษตรที่ทดแทนการปลูกยาสูบ เพื่อให้มีรายได้ทดแทนจากการจำหน่ายใบยาสูบที่ลดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2916 | โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 - 2562 และหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจ่ายเงิน | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และอนุมัติกรอบวงเงินเพื่อดำเนินโครงการฯ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๑๗,๕๑๒,๗๓๔,๖๑๘ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรอบวงเงิน ๑๗,๐๐๗,๒๐๔,๖๐๐ บาท โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดจริง ในอัตราไร่ละ ๑,๘๐๐ บาท รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่ จำนวนพื้นที่เปิดกรีดแล้วรวม ๙,๔๔๘,๔๔๗ ไร่ โดยให้ใช้จากเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในส่วนของ ธ.ก.ส. ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินและชดเชยต้นทุนเงิน ในอัตรา FDR+1 ในกรอบวงเงิน ๓๗๙,๐๓๐,๐๑๘ บาท เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป เพื่อชดเชยตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง หรือให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ ค่าบริหารจัดการโครงการของการยางแห่งประเทศไทย ในกรอบวงเงิน ๑๒๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จากเงินกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา ๔๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินงานของโครงการฯ ตามความจำเป็นและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของโครงการฯ ในทุกขั้นตอน รวมถึงการประชาสัมพันธ์และการให้ข้อมูลอย่างถูกต้องกับเกษตรกร เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและสามารถเริ่มเบิกจ่ายให้กับเกษตรกรได้ตั้งแต่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเร่งพิจารณานำเสนอโครงการ ๑ หมู่บ้าน ๑ กิโลเมตร และโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกรที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแล้วให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อสนับสนุนการดูดซับปริมาณยางออกจากระบบในช่วงเวลาดังกล่าว และควรเร่งพิจารณาปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับการลดพ้นที่การปลูกยางและการวิจัย พัฒนา และขับเคลื่อนการแปรรูปสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา ตลอดจนการปรับปรุงสาระสำคัญของแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาอุตสาหกรรมยางดำเนินการไปอย่างเป็นระบบและเกิดความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2917 | โครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร และเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากสินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๔ ต่อปี ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ระยะเวลาจ่ายเงินกู้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒ กำหนดชำระคืนไม่เกิน ๑๒ เดือน นับจากวันกู้ โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ในกรอบวงเงิน ๑๕๐ ล้านบาท และสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี ในลักษณะเช่นเดียวกับการดำเนินโครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้รวบรวมยาง (วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท) และให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ ภาระที่รัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าบริหารจัดการในการรวบรวมยางพารา ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดแล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2918 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติกรอบวงเงินเพื่อดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๓,๔๕๗,๗๕๖,๒๕๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ในกรอบวงเงิน ๓,๓๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริง อัตราไร่ละ ๑,๕๐๐ บาท ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๕ ไร่ โดยให้ใช้จากเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าธรรมเนียมการโอนเงินของ ธ.ก.ส. ในกรอบวงเงิน ๑,๐๕๐,๐๐๐ บาท และชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+๑ ในกรอบวงเงิน ๗๓,๔๐๖,๒๕๐ บาท เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป เพื่อชดเชยตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง หรือให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ ค่าบริหารจัดการโครงการ ในกรอบวงเงิน ๘,๓๐๐,๐๐๐ บาท เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ การตรวจสอบรับรองสิทธิ์ การบริหารจัดการโครงการ และการติดตามประเมินผลโครงการ ตามความจำเป็นและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง ๑.๔ การมอบหมายคณะกรรมการบริหารโครงการระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และคณะทำงานตรวจสอบสิทธิ์ระดับตำบล เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินงานโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวสวนปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน ทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ความเข้าใจในการเพิ่มผลิตภาพ การบำรุงและจัดการสวนปาล์มน้ำมัน รวมถึงการจัดการกับต้นปาล์มที่มีอายุมากให้ผลผลิตต่ำ เพื่อลดต้นทุนการผลิตในภาพรวม ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2919 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ) | กค | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อสินค้าประเภทยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ ยางล้อรถจักรยาน หนังสือ รวมถึงหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แต่ไม่รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ และสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชน ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ สำหรับการซื้อสินค้าดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรประเมินประสิทธิผลของการดำเนินมาตรการในการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งภาระทางการคลังที่เกิดขึ้นจริงจากการดำเนินมาตรการภาษีดังกล่าว และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนในโอกาสแรก โดยเฉพาะร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ข้อ ๑ (๑) “ค่าซื้อยางล้อรถยนต์ ยางล้อรถจักรยานยนต์ หรือยางล้อรถจักรยาน ที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยยางล้อดังกล่าวผลิตโดยผู้ผลิตที่ซื้อวัตถุดิบยางจากการยางแห่งประเทศไทย” รวมถึงจัดทำประมาณการรายได้ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2920 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามที่ กนป. เสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร เสนอ โดยจะช่วยเหลือค่าครองชีพให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่มีปาล์มน้ำมันซึ่งให้ผลผลิตแล้ว (อายุมากกว่า ๓ ปี) และขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน ๑๕๐,๐๐๐ ราย พื้นที่ไม่เกิน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่ปลูกจริง ในอัตราไร่ละ ๑,๕๐๐ บาท ครัวเรือนละไม่เกิน ๑๕ ไร่ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๔๕๘,๒๐๖,๒๕๐ บาท และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร รับผิดชอบโครงการฯ ทำหน้าที่กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการกำกับดูแล และดำเนินการโครงกรฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าบางปะกง จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ให้เสร็จโดยเร็ว โดยให้ กฟผ. รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคากิโลกรัมละ ๑๘ บาท ส่งที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง และให้หน่วยงาน เช่น โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ลานเท และ/หรือ องค์การคลังสินค้า ที่จำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้ กฟผ. จะต้องซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรในปริมาณที่สอดคล้องกับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จำหน่ายให้กับ กฟผ. ในราคาที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จำหน่ายให้กับ กฟผ. ณ อัตราน้ำมันร้อยละ ๑๘ โดยให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการเก็บรักษา ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดวัตถุดิบและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๔. ที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงาน เร่งรัดการออกประกาศมาตรฐานคุณภาพ บี ๑๐๐ ใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับการผสม บี ๑๐ โดยเร็ว
|
.....