ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 150 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 2981 - 3000 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2981 | การดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานที่และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ | นร04 | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ จึงขอให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในการดำเนินการก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมอาคารสถานที่ และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของทางราชการ เช่น อาคารสำนักงาน สถานที่ทำการ บ้านพัก เป็นต้น ให้พิจารณาออกแบบและกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ได้มาตรฐาน เป็นไปตามแบบแผนของทางราชการ โดยยึดหลักการประหยัด เหมาะสมเท่าที่จำเป็น รวมทั้งให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2982 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับผลการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี เนื่องจากมีความเหมาะสมและสอดรับกับสมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานเงินฝากที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและตลาดการเงินโลก และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. พิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งของ ธปท. โดยให้แจ้งความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยเป็นรายปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2983 | ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... | ศธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการคุ้มครอง การดูแล การพัฒนาและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึงและเท่าเทียมตามหลักวิชาการ เชื่อมโยงการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อระหว่างช่วงก่อนวัยเรียนและวัยเรียน และเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยให้เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความเชื่อมโยงและความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... รวมทั้งข้อสั่งการที่ให้พิจารณาในขั้นตอนการปฏิบัติ ประสิทธิภาพและความเข้าใจที่ตรงกันขององค์กร เจ้าหน้าที่ และประชาชน มากกว่าคำนึงเพียงหลักการหรือการดำเนินการตามแบบอย่างจากต่างประเทศ และให้พิจารณาการดำเนินการในระยะแรกว่าจะฝากความหวังกับการบริหารจัดการของท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างไร ต้องพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้พร้อม ก่อนนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และมีการประเมินผลเฉพาะจุดหรือเฉพาะพื้นที่ก่อน และความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เช่น ความจำเป็นในการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การกำหนดหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ชัดเจนและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ความจำเป็นในการกำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การพิจารณาปรับเพิ่มอำนาจหน้าที่และกลไกการกำกับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติแทนการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยขึ้นใหม่ และกรณีร่างมาตรา ๒๗ วรรคสอง ให้บรรดารายได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยแล้วให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ควรปฏิบัติตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ได้กำหนดให้ระวางโทษปรับห้าแสนบาท กรณีที่ผู้ใดฝ่าฝืนให้มีการรับเด็กปฐมวัยเข้าในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ โดยวิธีสอบคัดเลือก อาจเป็นการตรากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๗ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษารับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2984 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ในท้องที่อำเภอขนอม และอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช | ทส | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลน ท้องที่อำเภอเมือง และอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของพื้นที่ที่เข้าข่ายเป็น “ที่จับสัตว์น้ำ” ตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพื้นที่ที่ทับซ้อนตามข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [พื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าเลนปากพญา-ปากนคร แปลง ๔” และ “ป่าเลนคลองขนอม” พื้นที่ที่จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร “ป่าเลนคลองขนอม” เพื่อเป็นที่ทำกินของราษฎร หรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่จัดสรรเพื่อการเกษตรกรรมหรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น “ที่ดินของรัฐ (ที่จัดสรร) ตำบลควนทอง (ร.๑)”] ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ในส่วนของการปลูกป่าทดแทน ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามนัยระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความตระหนักให้กับชุมชนในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์และรักษาระบบนิเวศของพื้นที่ป่าชายเลนตามเจตนารมณ์เดิมด้วย และการนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนดังกล่าว ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีพื้นที่ดินทำกิน เพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดินตามหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเห็นชอบอย่างเคร่งครัด รวมถึงการกำหนดให้มีมาตรการในการป้องกันและคุ้มครองการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมภายหลังจากที่ได้ดำเนินการตามเป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2985 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เสนอตามกรอบการปฏิรูปการศึกษาตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยนำหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญและมีความจำเป็นมากำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนสร้างเสริมให้ระบบการศึกษามีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อการศึกษา และสร้างเสริมธรรมาภิบาลของระบบการศึกษา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา (แก้ไขให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่เห็นควรตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และการรองรับรูปแบบการเรียนการสอนสมัยใหม่ โดยเฉพาะความสำคัญของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ควรเพิ่มเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ควรกำหนดความสัมพันธ์ด้านการร่วมมือระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาให้ชัดเจน ควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ควรทบทวนความซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว และควรให้มีการจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้แห่งชาติ และศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการศึกษาแห่งชาติ และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งหน่วยงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2986 | การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | นร12 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แบบที่ ๑ มีการรวมสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยไว้ในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) รวมทั้งบัญชีท้ายร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายตามบัญชีท้ายร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตรวจสอบความครบถ้วนให้แล้วเสร็จภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรีนี้ แล้วแจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากไม่มีการแก้ไขในสาระสำคัญ ให้ส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๒) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๓) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๔) ร่างพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๕) ร่างพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ (๖) ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับดังกล่าวให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑ ด้วย และให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งรัดการดำเนินการตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ แล้วส่งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป แล้วให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ (๑) พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ (๒) พระราชบัญญัติว่าด้วยการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปร่วมชันสูตรพลิกศพ ตามมาตรา ๑๔๘ (๓) (๔) และ (๕) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๕๕๐ (๓) พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ (๔) พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ และ (๕) พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ไปร่วมพิจารณากับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ควรจะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้รักษาการหรือผู้รักษาการร่วมตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีว่า ในการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่มีภารกิจด้านการวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวข้องกันหลายหน่วยงาน ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการระดับชาติ (Superboard) ซึ่งขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นกลไกในการเชื่อมโยง บูรณาการ และการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการวิจัยและการสร้างนวัตกรรมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวิจัย เพื่อให้การวิจัยและการสร้างนวัตกรรมมีความเป็นเอกภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งสามารถนำผลการวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้นำข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีว่า ในส่วนของการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นมารองรับการดำเนินงานดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการยกร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕. ให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) นำร่างพระราชบัญญัติการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติการวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พ.ศ. .... ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาทบทวนและปรับปรุงเป็นร่างเดียวเพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑ และร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการยกร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้การจัดตั้งกระทรวงดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์ และมีความเป็นเอกภาพในการบริหารราชการของกระทรวงที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว โดยให้เชิญผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้แทนสำนักงาน ก.พ.ร. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และผู้แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย มาร่วมให้ความเห็น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2987 | ร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร01 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งหรือตั้งแต่ ๒ แห่งขึ้นไป อาจดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นการพาณิชย์หรือการบริการสาธารณะขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบรัฐวิสาหกิจท้องถิ่นหรือองค์การมหาชนท้องถิ่น ตามร่างมาตรา ๒๗ และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร และควรจะมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเหมาะสมและรูปแบบเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่และรูปแบบ และควรจะต้องคำนึงถึงภารกิจและอำนาจหน้าที่โดยไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2988 | การประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. 2018 ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ดศ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารท่าทีของประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) รวมถึงร่างข้อสงวนต่อกรรมสารสุดท้ายซึ่งได้แก้ไขตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความเห็นชอบ และมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนไทยที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ตามความเหมาะสมในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ จะมีการประชุม ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ของ ITU ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทน (Credentials) โดยมอบอำนาจตามข้อ ๑.๒ ให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่เป็นหน่วยงานอำนวยการในนามของรัฐบาลไทยกับ ITU สำหรับการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ของ ITU ส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับ ITU ในอนาคต ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การประสานงานกับองค์การระหว่างประเทศตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม) อย่างเคร่งครัดต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการเจรจาต่อรองกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนให้ไทยได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของ ITU ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ ๑๐ ซึ่งจะทำให้ไทยได้มีส่วนร่วมในการบริหารงานของ ITU รวมทั้งการกำหนดนโยบายทิศทางการพัฒนา และวางแผนด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อันจะเป็นประโยชน์กับไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2989 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐรวันดา | ดศ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐรวันดา รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็มปี ค.ศ. ๒๐๑๘ (Plenipotentiary Conference 2018 : PP-18) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม-๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการพัฒนาด้านโทรคมนาคมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และเทคโนโลยีดิจิทัลของสองประเทศ เช่น พัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม ICT และเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริมความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบรนด์และพัฒนาการบริการ ส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลและระบบนิเวศดิจิทัล เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Paragraph 2 AREAS OF COOPERATION หัวข้อย่อย (D) ข้อความเดิม Digital Innovation such as Big Data, Internet of Things (IoT) and Artificial Intelligence (AI) เสนอเพิ่มข้อความ Financial Technology and Service เข้าไว้ในส่วนของตัวอย่างของ Digital Innovation ด้วย เนื่องจากสาธารณรัฐรวันดาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เข้าใกล้ความเป็น Cashless Society ดังนั้น หากมีความร่วมมือในด้านดังกล่าวด้วย ประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของสาธารณรัฐรวันดาในการดำเนินการด้านการเงินแบบไร้เงินสดในประเทศไทยอย่างสูง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2990 | การโอนบรรดาหน้าที่และอำนาจ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ งบประมาณ และเงินรายได้ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เฉพาะในส่วนของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบไปเป็นของสำนักงานส่งเสริม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) | นร | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนบรรดาหน้าที่และอำนาจ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ งบประมาณ และเงินรายได้ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เฉพาะในส่วนของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ไปเป็นของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ภายใต้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ที่ได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๒๔๙,๔๗๖,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2991 | ขอความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ 3 | พม | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ ๓ ที่จะมีการรับรองในการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ ๓ (The 3rd ASEAN Ministerial Meeting on Women) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ และการเสริมสร้างศักยภาพของสตรีและเด็กหญิงในภูมิภาคอาเซียน ส่งเสริมการนำประเด็นหญิงชายเข้าไปในทุกภาคส่วนของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และกระตุ้นรัฐสมาชิกและสามเสาหลักให้ผนึกกำลังและสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างรัฐสมาชิกและหุ้นส่วนภายนอกเพื่อยุติการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและเด็กหญิงในทุกรูปแบบ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2992 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาแห่งอัสตานาในการประชุมระดับโลกด้านการสาธารณสุขมูลฐานสำหรับการประชุม Second International Conference on Primary Health Care Towards Universal Health Coverage and the Sustainable Development Goals | สธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาแห่งอัสตานาในการประชุมระดับโลกด้านการสาธารณสุขมูลฐานสำหรับการประชุม Second International Conference on Primary Health Care Towards Universal Health Coverage and the Sustainable Development Goals มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการเคารพ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขมูลฐาน การจัดบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ราคาเหมาะสม และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายในสังคมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของคน การสร้างความยั่งยืนด้านสาธารณสุขมูลฐานแก่ประชาชน การเสริมสร้างพลังอำนาจของชาวบ้านและชุมชนผ่านการมีส่วนร่วมของนโยบายด้านสุขภาพของภาครัฐ ตลอดจนการผลักดันให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสนับสนุนนโยบายของชาติในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนทางด้านสาธารณสุขมูลฐาน โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุม Second International Conference on Primary Health Care Towards Universal Health Coverage and the Sustainable Development Goals ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2993 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 36 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๖ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี) ครั้งที่ ๑๕ และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๒ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในคราวร่วมมือด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในกรอบอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) และประเทศคู่เจรจาในกรอบสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหพันธรัฐรัสเซีย สหรัฐอเมริกา) และทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน โดยที่จะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๖ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้การรับรองในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2994 | ขออนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 2 | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศสมาชิกทุกประเทศยกเว้นประเทศไทย ได้ลงนามแล้วในการประชุมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน โดยประเทศสมาชิกเห็นพ้องกันในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การเสนอให้มีความร่วมมือในการส่งเสริมการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเพิ่มมูลค่าการค้า โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเปิดตลาดให้กับสินค้านำเข้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น การกระชับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน การจัดทำแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน การส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาคโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทรายภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2995 | (ร่าง) ฐานข้อมูลและแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและขนส่ง ภาคการจัดการของเสีย และภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ | วท | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งประเทศสมาชิกทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไทยได้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์ฯ แล้วเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยเอกสารผลลัพธ์ฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2996 | ขออนุมัติให้ความช่วยเหลือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) | คค | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) เป็นกรณีเฉพาะ ในวงเงิน ๒๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับวงเงินงบประมาณในการซ่อมแซมบูรณะนั้น ขอให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) คำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณและเร่งดำเนินการขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ขอให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องดังกล่าวไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขความตกลงว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหารและการบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าเฉพาะคราว โดยไม่มีพันธกรณีหรือเปลี่ยนแปลงท่าทีที่ทั้งสองฝ่ายได้เคยเห็นชอบร่วมกันไว้แล้ว กระทรวงคมนาคมจึงอาจพิจารณามีหนังสือแจ้งฝ่าย สปป.ลาว ตามนัยดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน และควรใช้ประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในครั้งนี้เพื่อหารือและเร่งรัดประเด็นการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนตามข้อตกลงที่ได้ร่วมดำเนินการระหว่างกัน เช่น การเพิ่มเส้นทางหมายเลข ๑๒ (R12) ไว้ในเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2997 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน จำนวน ๑ ฉบับ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา จำนวน ๒ ฉบับ และร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน จำนวน ๗ ฉบับ รวมทั้งสิ้น ๑๐ ฉบับ ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศคู่เจรจาเพื่อให้อาเซียนมีความเข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรมและเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับอาเซียนในการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงของภูมิภาค ๑.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ และรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEAN Defence Ministers’ Meeting : 12th ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ ๕ (5th ADMM-Plus) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2998 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง | นร05 | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง จำนวน ๗ มติ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่แฝดระหว่างจังหวัดนครพนมกับจังหวัดฮาติงห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ ๑.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) ๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับความตกลงเมืองพี่เมืองน้อง และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับต่างประเทศ) ๑.๔ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การรวบรวมข้อมูลการทำความตกลงเมืองพี่เมืองน้อง) ๑.๕ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง (Sister City) ระหว่างแม่สอดและเมียวดีเพื่อผลักดันการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก] เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ ๑.๖ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง (ระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับกรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน)] เฉพาะในส่วนของข้อ ๒ และข้อ ๓ ๑.๗ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง) ๒. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ให้กระทำในระดับจังหวัดของไทยกับจังหวัดหรือหน่วยการปกครองของต่างประเทศที่มีฐานะเทียบเท่าจังหวัดของไทย กรณีการสถาปนาความสัมพันธ์ฯ ในระดับที่ต่ำกว่าจังหวัดของไทยอาจอนุโลมได้เป็นรายกรณี โดยให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมร่วมกันเป็นรายกรณีไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ๓. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) และร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เพื่อการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้องฉบับมาตรฐาน (ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ที่ยกร่างโดยกระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2999 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางและการควบคุุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ | ยธ | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวส่วนใหญ่สามารถดำเนินการจนบรรลุผล เช่น ทบทวนและปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อตั้งสถานบริการ (Zoning) ครบถ้วนแล้ว ๗๗ จังหวัด และจัดทำโครงการจัดทำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่โซนนิ่งบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา และการกระทำผิดกฎหมายตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เป็นต้น สำหรับปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ได้แก่ ปัญหาอุปสรรคในการส่งต่อข้อมูลจากตำรวจมายังกรมกิจการเด็กและเยาวชน (บ้านพักเด็กและครอบครัว) ในกรณีที่มีการจับกุมเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง และกรณีเด็กประพฤติตนไม่สมควรเข้าไปใช้บริการในสถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบริการ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ได้แก่ (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่หรือที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ เข้ามาช่วยในการติดตามเยี่ยมบ้านเด็กและเยาวชน และ (๒) ให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จัดทำฐานข้อมูลกลางของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติกรรมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง หรือประพฤติตนไม่สมควร หรือเป็นแกนนำในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางการดำเนินการเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละประเภทพื้นที่เชิงบวกควบคู่กับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการส่งต่อข้อมูลให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่สุ่มเสี่ยง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่เพื่อส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์ของสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนมีจิตใจโอบอ้อมอารี ให้ความช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน การจัดตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในสายทาง/บริเวณที่เป็นจุดล่อแหลมหรือจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุและอาชญากรรมขึ้น การตรวจค้นบุคคลหรือยานพาหนะที่มีความเสี่ยงในการกระทำผิดกฎหมายอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำผิดและสร้างความเชื่อมั่นในด้านการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3000 | ขอความเห็นชอบในการจัดทำร่างความตกลงทางเทคนิคระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐอินเดีย สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรือพาณิชย์ที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต | กห | 10/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดทำร่างความตกลงทางเทคนิคระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐอินเดียสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรือพาณิชย์ที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต (Technical Agreement between the Royal Thai Navy and the Indian Navy for the Sharing of Information Relating to White Shipping) และให้ผู้บัญชาทหารเรือหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรือพาณิชย์ที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตสำหรับใช้ในวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคง และไม่นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารจะกระทำผ่านเครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ คำพูด การมองเห็น การเขียน หรือรูปแบบอื่น ๆ โดยมีกำหนดจะลงนามในร่างความตกลงฯ ในห้วงเวลาที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารเรือสาธารณรัฐอินเดียมีกำหนดการเดินทางเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๙-๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการส่งต่อและใช้ข้อมูลข่าวสารที่กำหนดในร่างความตกลงฯ โดยเฉพาะกับฝ่ายที่สามควรคำนึงถึงประเด็นความอ่อนไหวของข้อมูลที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ โดยอาจกำหนดรายละเอียดการดำเนินการในการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานอย่างระมัดระวังและรัดกุมเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....