ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 141 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 2801 - 2820 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2801 | โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนการจ่ายไฟของสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๓๓ เควี ที่มีอายุการใช้งานครบ ๓๐ ปี ในปี ๒๕๖๐ และสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๑๑๖ เควี ชนิด Oil Filled ที่ชำรุด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า และเพื่อลดความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ ระยะเวลาดำเนินการ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓) วงเงินลงทุนรวม ๒,๑๓๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑,๕๙๗ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๕๓๓ ล้านบาท ตลอดจนขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ) ที่มีมาตรการห้ามขุดร่องน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ท้องทะเลในระยะ ๑ กิโลเมตร จากแนวปะการัง ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เสนอ สำหรับการกู้เงินในประเทศในกรอบวงเงิน ๑.๕๙๗ ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนของโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้ กฟภ. จัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้โครงการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำและพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการผลิตไฟฟ้าจากระบบพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ในพื้นที่ห่างไกลหรือเกาะต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น ระบบไฟฟ้าพลังงานน้ำ ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เช่น ให้ กฟภ. ดำเนินโครงการภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตาม ตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และ กฟภ. ควรกำหนดมาตรการการดำเนินงานการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงฯ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และการกระจายภาระการชำระหนี้อย่างเหมาะสม รวมทั้งให้ดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2802 | ขอความเห็นชอบการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพในโรงพยาบาล ช่วงที่ 3 ระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2566) | ศธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ช่วงที่ ๓ ระยะ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) และอนุมัติกรอบแผนการขยายศูนย์การเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพในโรงพยาบาล และกรอบอัตรากำลังการจ้างครูอัตราจ้าง ๙๙ ศูนย์ ๗๗ จังหวัด ๒๙๗ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอขอปรับเปลี่ยนชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล” เป็น “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล” เพื่อให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ๒. สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒๙๑,๑๔๘,๔๘๐ บาท เพื่อเป็นค่าจ้างครูอัตราจ้าง ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายลงทุนสำหรับศูนย์การเรียนฯ เดิม และศูนย์การเรียนฯ ที่มีแผนจะจัดตั้งใหม่ นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๒๘,๐๓๑,๕๐๐ บาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดำเนินการภายใต้มาตรการด้านงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ในโอกาสแรกด้วย ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีแผนการขยายศูนย์การเรียนฯ ในแต่ละปีงบประมาณ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็น ความพร้อม และศักยภาพการดำเนินการของโรงพยาบาลที่ประสงค์จะจัดตั้ง รวมทั้งการจ้างครูอัตราจ้างตามกรอบอัตราที่ขออนุมัติ จำนวน ๓ คน ต่อ ๑ ศูนย์ ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับจำนวนนักเรียนของศูนย์การเรียนแต่ละแห่ง โดยในกรณีที่ศูนย์การเรียนบางแห่งมีผู้เรียนจำนวนมาก อาจพิจารณาให้โรงพยาบาลใช้งบประมาณเพื่อจ้างครูเพิ่มเติม และควรมีการติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานโครงการในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของศูนย์การเรียนดังกล่าวในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคุ้มค่ายิ่งขึ้น รวมถึงจำนวนเด็กที่รับบริการและเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และผลที่ได้รับ เพื่อพัฒนาโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2803 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 เพิ่มเติม | กษ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายกรอบวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม จากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรอบวงเงิน ๓,๑๓๖.๗๓๕ ล้านบาท เป็น ๓,๒๑๑.๐๔๘ ล้านบาท เพิ่มเติมอีก ๗๔.๓๑๓ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี ๒๕๖๐ ครัวเรือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ คำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ถือว่าเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามที่กระทรวงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบเวลาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดไว้ด้วย (๑๕ วันทำการ) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าในภาพรวมของการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและการจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างโปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน รวดเร็วและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนจัดให้มีการรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายและผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องและเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย รวมทั้งควรมีการพิจารณาทบทวนแนวทางและขั้นตอนดำเนินการการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติในระยะเร่งด่วนให้เกิดความรวดเร็ว และทันกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2804 | ขออนุมัติจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย และขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป | พม | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ ดำเนินการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองจากสถาบันการเงินในกลไกตลาดปกติได้ ภายในกรอบวงเงิน ๕,๒๐๗ ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปีงบประมาณให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาความพร้อมและความสามารถในการใช้จ่าย ความคุ้มค่า ความไม่ซ้ำซ้อน ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และความเสี่ยงหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยไม่เข้าข่ายเป็นการจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาเพื่อปรับชื่อกองทุนดังกล่าวให้เหมาะสมและชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2805 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า วงเงินรวม ๔๐๔,๔๒๖,๗๐๐ บาท เพื่อบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป โดยให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และให้จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังกล่าวให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดในปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมทางการค้าที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) การติดตามพฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการผูกขาด การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค สะดวก และรวดเร็ว เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เสรีและเป็นธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2806 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2561/2562 | อก | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ในอัตราอ้อยตันละ ๗๐๐.๐๐ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส หรือเท่ากับร้อยละ ๙๗.๒๙ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศที่ ๗๑๙.๔๗ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๒.๐๐ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิต ปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ เท่ากับ ๓๐๐.๐๐ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะการยกระดับผลิตภาพอ้อยและน้ำตาลทราย รวมทั้งส่งเสริมการนำผลผลิตจากอ้อยและน้ำตาลทรายไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศ และควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จากปัญหาราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นต่ำกว่าต้นทุนการผลิต โดยให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) รวมทั้งเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2807 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำขอประทานบัตรที่ ๖/๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ของโครงการ การจัดการด้านความปลอดภัยตามเทคโนโลยีการทำเหมือง การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูสภาพพื้นที่ภายหลังการทำเหมืองแร่แล้ว และการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำกับให้บริษัท ศิลาอารี จำกัด ดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2808 | ขอเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลนหนองจิก ท้องที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี | ศธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าชายเลนหนองจิก ท้องที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวนเนื้อที่ ๙ ไร่ ๒ งาน ๑๒ ตารางวา เพื่อใช้เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนบ้านปากบางตาวา จังหวัดปัตตานี โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติทั้งหมดที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นอายุการอนุญาต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ คิดเป็นเนื้อที่ไม่น้อยกว่า ๑๙๐ ไร่ ๒ งาน ๔๐ ตารางวา รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ๒,๓๒๓,๔๑๔ บาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการโดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2809 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป | ลต | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานในการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ โดยให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2810 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ปช | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) จำนวน ๓,๗๕๐,๕๓๘,๑๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมทั้งให้ยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังกล่าว ให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2811 | คำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ศาลยุติธรรมและสำนักงานศาลยุติธรรม | ศย | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำคำของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานศาลยุติธรรม จำนวน ๓๐,๓๐๖,๘๙๑,๗๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมทั้งให้ยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังกล่าว ให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2812 | การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ศร | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน ๖๒๙,๔๘๘,๗๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมทั้งให้ยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังกล่าว ให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2813 | การดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนชั่วคราว เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงทะเลเพิ่มเติม | กษ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถมายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือ เพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวซึ่งมีอายุตั้งแต่ ๑๘ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ถือหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคล ที่ยังไม่หมดอายุ และเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรก่อนหรือในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ สามารถยื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง เพื่อรับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และรับอนุญาตให้ทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พร้อมทั้งจัดทำทะเบียนประวัติ หรือบัตรประจำตัวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ระหว่างวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเวลาสิ้นสุดการขอหนังสือคนประจำเรือและการจัดทำทะเบียนประวัติออกไปภายหลังจากวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒ ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาเปิดศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อจัดทำทะเบียนประวัติและออกหนังสือคนประจำเรือ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๒ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมอบอำนาจในการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) รหัส L-A ให้กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในการดำเนินการตรวจลงตราให้กับแรงงานต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคลที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงแรงงาน หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ให้แรงงานกลุ่มเป้าหมายรับทราบถึงการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของกระทรวงมหาดไทยฯ และการขยายระยะเวลาการออกหนังสือคนประจำเรือฯ รวมทั้งผลงานและแนวทางของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและปัญหาการค้ามนุษย์ร่วมกับประชาคมโลกผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ ของประเทศกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความมั่นใจให้กับแรงงานต่างด้าวในการทำงานด้านการประมงได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนเร่งดำเนินกระบวนการกำกับดูแลและสนับสนุนเพื่อให้การขออนุญาตทำงาน การอนุญาตให้ทำงานของแรงงานต่างด้าวในเรือประมง และการดูแลแรงงานประมงต่างด้าวให้ได้รับสิทธิและการคุ้มครองตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2814 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยา | สธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเคนยา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างไทยกับเคนยาในประเด็นหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การจัดลำดับความสำคัญของชุดสิทธิประโยชน์ที่ใช้ในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยผ่านการประเมินเทคโนโลยีด้านสุขภาพ การเสริมสร้างระบบสุขภาพบนพื้นฐานการสาธารณสุขมูลฐาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านสุขภาพ โดยจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเคนยาเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม-๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ชัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2815 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | นร | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ โดยปรับองค์ประกอบ ดังนี้ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ องค์ประกอบคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ให้รัฐมนตรีที่กำกับ ดูแลสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นประธาน เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นรองประธาน รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๑.๒ สำหรับในส่วนที่ ๒ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ จำนวน ๕ ด้าน คงเดิม ๑.๓ ส่วนที่ ๓ บทบาทและอำนาจหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee Secretariat : TNMCS) โดยให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นเลขาธิการสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และรองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นรองเลขาธิการสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ๑.๔ ส่วนที่ ๔ องค์ประกอบของคณะผู้แทนไทยในคณะมนตรี/คณะกรรมการร่วมในคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ให้รัฐมนตรีที่กำกับ ดูแล สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นผู้แทนไทยในคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำดขง และให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เลขาธิการสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็นผู้แทนถาวรไทยในคณะกรรมการร่วมฯ และรองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รองเลขาธิการสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย เป็นผู้แทนถาวรไทยสำรองในคณะกรรมการร่วมฯ ๒. ให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าว ในลำดับที่ ๑๑ จาก “อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ” เป็น “อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2816 | การปรับปรุงชื่อ องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี | สธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงชื่อ องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยปรับปรุงชื่อ จาก คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี เป็น คณะกรรมการนโยบายการจัดการสารเคมีแห่งชาติ ปรับปรุงองค์ประกอบ จาก ๔๗ หน่วยงาน เป็น ๕๒ หน่วยงาน และปรับปรุงอำนาจหน้าที่คณะกรรมการนโยบายการจัดการสารเคมีแห่งชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2817 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำขอประทานบัตรที่ ๗/๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ของโครงการ การจัดการด้านความปลอดภัยตามเทคโนโลยีการทำเหมือง การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูสภาพพื้นที่ภายหลังการทำเหมืองแร่แล้ว และการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำกับให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด วังศิลา ดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2818 | การมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีและการดำรงตำแหน่งของข้าราชการการเมืองกรณีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง | นร | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. เห็นชอบการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี กรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ไม่มี ไม่อยู่ หรืออยู่แต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามแต่กรณี ดังนี้ ๒.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้รักษาราชการแทน (เพิ่มเติม) ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายพิเชษฐ ดุรงคเวโรจน์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้แทนราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามลำดับ ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในส่วนของส่วนราชการ ได้แก่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปปรับปรุงแก้ไขคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๒๓/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชกาแทนนายกรัฐมนตรี ให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป ทั้งนี้ กรณีการดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ให้รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนั้น ๆ ปฏิบัติหน้าที่แทน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2819 | ขออนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2533 โดยให้รัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาตั้งที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย แทนการให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำญี่ปุ่นมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทย | กต | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง รัฐบาลกัวเตมาลาขอความเห็นชอบในการให้สถานเอกอัครราชทูตกัวเตมาลาประจำประเทศญี่ปุ่น มีเขตอาณาครอบคลุมถึงประเทศไทย) เฉพาะในส่วนที่ให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำญี่ปุ่นมีเขตอาณาครอบคลุมถึงประเทศไทย เป็น ให้รัฐบาลสาธารณรัฐกัวเตมาลาตั้งที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐกัวเตมาลาประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2820 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมภายใต้รัฐมนตรีว่าการแห่งรัฐว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านของระบบนิเวศน์และการพัฒนาสังคมแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือในสาขาคมนาคมขนส่ง | คค | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมภายใต้รัฐมนตรีว่าการแห่งรัฐว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านของระบบนิเวศน์และการพัฒนาสังคมแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือในสาขาคมนาคมขนส่ง และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือในการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการคมนาคมสาขาต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งระบบราง การขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ รวมถึงการขนส่งมวลชนในเมืองและการขนส่งด้วยเทคโนโลยีสะอาด โดยทั้งสองประเทศจะจัดให้มีกิจกรรมต่าง ๆ ตามขอบเขตความร่วมมือ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้เชี่ยวชาญ การเยือนของเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคระดับสูง การจัดสัมมนาและการประชุมร่วมกัน ทั้งนี้ ยังไม่มีกำหนดวันที่จะมีการลงนามในร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงฯ ที่ชัดเจน แต่จะได้ประสานงานกับสาธารณรัฐฝรั่งเศสเพื่อเร่งรัดให้มีการลงนามได้โดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับกรณีการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม เนื่องจากไม่เข้าตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม) ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
.....