ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 143 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 2841 - 2860 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2841 | การรับมอบภารกิจพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน | วธ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนปฏิบัติงานตามภารกิจพิธีการศพทั่วประเทศ และให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติภารกิจนี้ โดยให้พร้อมดำเนินการเต็มรูปแบบได้ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น เพื่อกำหนดเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างรองรับการปฏิบัติงาน อัตรากำลัง วัสดุครุภัณฑ์ งบประมาณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยยึดหลักความประหยัด เหมาะสม คุ้มค่า เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ราชการ และให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2842 | แนวทางการจัดซื้อยา หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย | กค | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการจัดซื้อยา หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์ยา หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย มูลค่ารวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของแผนความต้องการจัดซื้อยาตามชื่อสามัญ (Generic name) หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยารายการที่ตรงกับบัญชีนวัตกรรมไทยทั้งหมดของหน่วยงานนั้น ๆ ดังนี้ ๑.๑.๑ จัดซื้อยาทั่วไป (ยาเคมี) ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยตามบัญชีรายการยาของหน่วยงานนั้น ๆ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของมูลค่ารวมของวงเงินงบประมาณค่าจัดซื้อยาทั่วไป (ยาเคมี) ตามชื่อสามัญที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย ณ ต้นปีงบประมาณ ๑.๑.๒ จัดซื้อยาชีววัตถุ ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยตามบัญชีรายการยาชีววัตถุของหน่วยงานนั้น ๆ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐ ของมูลค่ารวมของเงินงบประมาณค่าจัดซื้อยาชีววัตถุตามชื่อสามัญที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย ณ ต้นปีงบประมาณ ๑.๒ วิธีการจัดซื้อในบัญชีนวัตกรรมไทย ๑.๒.๑ หากรายการยาตามชื่อสามัญ (Generic name) ที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาตามบัญชีนวัตกรรมไทยรายการใด มีผู้แทนจำหน่ายเอกชนเพียงรายเดียว และมีองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ได้ผลิตออกจำหน่ายด้วยแล้ว หน่วยงานของรัฐจะจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงจากผู้แทนจำหน่ายเอกชน องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยรายใดก็ได้ ๑.๒.๒ หากรายการยาตามชื่อสามัญ (Generic name) ที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาตามบัญชีนวัตกรรมไทยรายการใด มีผู้แทนจำหน่ายเอกชนหลายราย และมีองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ได้ผลิตออกจำหน่ายด้วยแล้ว หากหน่วยงานของรัฐจะจัดซื้อจากผู้แทนจำหน่ายเอกชน ให้หน่วยงานของรัฐจัดซื้อโดยวิธีคัดเลือก แต่หากจะจัดซื้อจากองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร หน่วยงานของรัฐจะจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงจากองค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย หรือโรงงานเภสัชกรรมทหาร ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยรายได้ก็ได้ อนึ่ง หน่วยงานของรัฐจะต้องปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อ ๑.๑.๑ และข้อ ๑.๑.๒ โดยเคร่งครัด หากในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่สามารถจัดซื้อยาทั่วไป (ยาเคมี) หรือยาชีววัตถุ ได้ตามสัดส่วนร้อยละที่กำหนดไว้ในข้อ ๑.๑.๑ และข้อ ๑.๑.๒ หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งจะต้องรายงานเหตุผลความจำเป็นไปยังหน่วยงานต้นสังกัดทุกรายไตรมาส เพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดรายงานไปยังสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2843 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 เกี่ยวกับการกู้เงินสำหรับโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) | กค | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังจัดหาเงินกู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมและนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อ สำหรับการดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินโดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งจัดทำรายงานผลการดำเนินการต่าง ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะในส่วนของการพิจารณาแนวทางการจัดตั้งองค์กรพิเศษที่เป็นอิสระจากการกำกับกิจการของ รฟท. พร้อมทั้งกำกับติดตามแผนการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการโครงการฯ ได้ภายในปี ๒๕๖๔ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2844 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อยปาบึก ปี 2562 ของกระทรวงการคลัง | กค | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาบึก ปี ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) มาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย (๒) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับบริจาค และ (๓) มาตรการทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ทั้ง ๗ แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศทไย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมจำนวน ๑๙ มาตรการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ที่ราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก และกำหนดมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถในพื้นที่ที่ราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยจากพายุโซนร้อนปาบึก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องและครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2845 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (จำนวน 4 คน 1. นายเจษฎา โชคดำรงสุข ฯลฯ) | สธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน ๔ คน แทนตำแหน่งที่ว่างเนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ มกราคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายเจษฎา โชคดำรงสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข ๑.๒ พลเอก เอกจิต ช่างหล่อ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก ๑.๓ นางดวงตา ตันโช ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง ๑.๔ นางสมศรี วัฒนไพศาล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ในครั้งต่อไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2846 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติรับโอนข้าราชการที่ได้รับการคัดเลือก ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (รองศาสตราจารย์ ประวิต เอราวรรณ์) | ศธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่อนุมัติรับโอน รองศาสตราจารย์ประวิต เอราวรรณ์ ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ สังกัดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2847 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน พ.ศ. .... | คค | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่แขวงคลองสามประเวศ แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ตำบลหนองปรือ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ตำบลบางเตย ตำบลวังตะเคียน ตำบลท่าไข่ ตำบลบางขวัญ ตำบลบ้านใหม่ ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำบลบ้านสวน ตำบลหนองข้างคอก ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมืองชลบุรี ตำบลบางพระ ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา ตำบลนาเกลือ ตำบลหนองปรือ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง ตำบลนาจอมเทียน ตำบลบางเสร่ ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และตำบลสำนักท้อน ตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อก่อสร้างย่านสถานี ทางเข้าออกสถานี ทางรถไฟ และดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์แก่กิจการรถไฟ ตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน หรืออยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเวนคืนที่ดินเพื่อดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์แก่กิจการรถไฟ ตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี (๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑) และเจตนารมณ์ของกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการส่งมอบที่ดินที่จะเวนคืนให้ครบถ้วนเพื่อให้ดำเนินโครงการฯ ได้ และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น (๑) กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต (๒) รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินกระบวนการขั้นตอนการเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ในโครงการฯ เพื่อให้ รฟท. สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ในการจัดหาและส่งมอบที่ดินให้แก่เอกชนคู่สัญญาได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในร่างสัญญาร่วมลงทุนของโครงการฯ และ (๓) ให้ รฟท. พิจารณาการกำหนดแนวเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามความจำเป็นเท่านั้น เพื่อลดผลกระทบการเวนคืนที่ดินของประชาชน และช่วยให้ รฟท. ควบคุมวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้อยู่ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจาก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2848 | ร่างพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร09 | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการยุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยยังไม่ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๖ จนกว่าการโอนส่วนงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) จะแล้วเสร็จตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ และรองรับสภาพนิติบุคคลของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ให้ยังคงดำรงอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกานี้ และในระหว่างที่ยังดำเนินการโอนสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นขององค์การสวนสัตว์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่แล้วเสร็จ ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) มีอำนาจบริหารจัดการสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและกิจการที่ต่อเนื่องจนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) กรณีพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เนื่องจากยุบเลิกหน่วยงานนั้น ให้ได้รับค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้หรือเงินสะสมของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2849 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการแฟลตพักแพทย์ 20 ยูนิต 6 ชั้น เป็นอาคาร คสล. 6 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 2,366 ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ ตำบลเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 หลัง | สธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการแฟลตพักแพทย์ ๒๐ ยูนิต ๖ ชั้น เป็นอาคาร คสล. ๖ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒,๓๖๖ ตารางเมตร (โครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ ตำบลเวียงสระ อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑ หลัง จากวงเงิน ๒๔.๕๒ ล้านบาท เป็นวงเงิน ๒๘.๓๕ ล้านบาท โดยวงเงินที่เพิ่มขึ้น จำนวน ๓.๘๓ ล้านบาท ใช้จ่ายจากเงินบำรุงโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน ๑.๕๙ ล้านบาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๒.๒๔ ล้านบาท จากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามที่สำนักงบประมาณได้เห็นชอบความเหมาะสมของวงเงินค่าก่อสร้างแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการก่อหนี้ผูกพันหรือจ่ายเงิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ในการริเริ่มแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในอนาคต ขอให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2850 | (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ | ศธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติที่คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการเพื่อประกาศใช้ต่อไป โดย (ร่าง) มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการดูแลพัฒนาและจัดการศึกษาและการดำเนินงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยทุกสังกัดที่ดูแลเด็กในเวลากลางวัน ช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิด-๖ ปีบริบูรณ์ หรือก่อนเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่สามารถนำไปใช้ประเมินการดำเนินงานของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกสังกัด ประมาณกว่า ๕๓,๓๓๕ แห่ง เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดบริการและความต่อเนื่องของการพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยกำหนดมาตรฐานย่อย ๓ ด้าน คือ (๑) ด้านการบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (๒) ด้านครู/ผู้ดูแลเด็กให้การดูแลและจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเล่นเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย และ (๓) ด้านคุณภาพของเด็กปฐมวัย แบ่งเป็นเด็กแรกเกิด-อายุ ๒ ปี และเด็กอายุ ๓-อายุ ๖ ปี (ก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ๑.๒ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เรื่อง (ร่าง) มาตรฐานศูนย์เด็กเล็กแห่งชาติ และให้ใช้มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติเป็นมาตรฐานกลางของประเทศแทน ๑.๓ ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณานำมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติไปใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุนให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและรับผิดชอบมีการบริหารจัดการ การประเมินผลกาดำเนินงาน เพื่อยกระดับการพัฒนาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานฯ ๑.๔ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานและรายงานต่อ ก.พ.ป. เป็นระยะ ๆ หรืออย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ดำเนินการตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อแผนแม่บทดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และแผน/ยุทธศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2851 | ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) | กษ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณ รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓ โครงการ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ (๑) โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (๒) โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน และ (๓) โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ ๑) โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเตรียมความพร้อมทั้งด้านการจัดหาที่ดิน และการขอใช้พื้นที่ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการและรายการ โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการและรายการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2852 | การขอรับจัดสรรงบเงินอุดหนุนแก่ศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue) | กต | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบวงเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue : ACSDSD) ไม่เกินปีละ ๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นระยะเวลา ๕ ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ รวมถึงควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ทราบถึงการดำเนินงานของศูนย์ ACSDSD และประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งศูนย์ ACSDSD ดังกล่าว และควรมีการติดตามและประเมินผลเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของศูนย์การดำเนินงานในการประสานงานระหว่างประเทศในครั้งต่อไปด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ในประเด็นงบเงินอุดหนุน ควรพิจารณาตามความจำเป็นและอาจจะของบประมาณสนับสนุนจากเครือข่ายความเป็นหุ้นส่วนกับภาคีภายนอก เช่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สหภาพยุโรป และธนาคารโลก สำหรับโครงการ กิจกรรม และงานวิจัยของศูนย์ ACSDSD ซึ่งจะช่วยลดภาระรายจ่ายด้านงบประมาณในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2853 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 3/2561 | กษ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๖๒ ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) (๒) การบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลตามความตกลงของเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปี ๒๕๖๒ และ (๓) มาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Measure : SSG) ภายใต้ความตกลงเกษตรของ WTO ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งพันธกรณีระหว่างประเทศที่มีอยู่อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2854 | การเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองนวัตกรรมชีวภาพ (BIOPOLIS) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ (๒) โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน ๓ GeV และห้องปฏิบัติการ ของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง [ซึ่งรวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) และ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวปฏิบัติในการเสนอเรื่องและขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนขององค์การมหาชนที่มีวงเงินลงทุนสูงเกินกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท)] อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น ควรเตรียมความพร้อมด้านอื่น ๆ เพื่อรองรับนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูงควบคู่กันไป โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ส่วนโครงการวิจัยและนวัตกรรมขนาดใหญ่เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) แผนงานบูรณาการวิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2855 | การทบทวนข้อเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานของรัฐตามแผนการปฏิรูปประเทศ | นร12 | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๑.๑ ให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ตัดข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งหน่วยงานต่าง ๆ ออกจากแผนการปฏิรูปประเทศ ๑.๒ ในการเสนอขอจัดตั้งหน่วยงาน ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ การขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง กับต้องมีข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม (One-In, X-Out) เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ และให้เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงานทุกขั้นตอนประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ๑.๓ ในการจัดทำแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการภายใต้ยุทธศาสตร์ชาตินั้น มิให้กำหนดเรื่องการจัดตั้งหน่วยงาน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกับแผนการปฏิรูปประเทศอีก ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อห้ามไม่ให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่เป็นการเน้นการยุบเลิกภารกิจที่ไม่จำเป็น ซึ่งการจัดตั้งหน่วยงานอาจจะเป็นกลไกที่มีความจำเป็นและเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ จึงเห็นควรให้ส่วนราชการยึดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด และเห็นควรให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาทบทวนบทบาท/ภารกิจที่ภาครัฐควรดำเนินการทั้งระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปประเทศ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติ ๓.๑ ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม) อย่างเคร่งครัด ๓.๒ ระบุข้อเสนอให้ยุบเลิกหรือยุบรวมหน่วยงานที่มีอยู่เดิม เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนทั้งในด้านภารกิจและงบประมาณ ๓.๓ เสนอแผนการนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงาน ประกอบคำขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2856 | สรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปสาระสำคัญการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งที่ประชุมฯ ได้พิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์อาเซียน แผนงาน/โครงการกิจกรรมด้านการศึกษาภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน อาเซียนบวกสาม สุดยอดเอเชียตะวันออก และความร่วมมืออาเซียนกับประเทศคู่เจรจา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนให้ข้อคิดเห็นเพื่อพัฒนาการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาของภูมิภาค และการกำหนดแนวทางการดำเนินความร่วมมือระหว่างกันให้สอดรับกับพลวัตการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณารับรองกฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน แผนปฏิบัติการอาเซียน-จีนเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ และแผนปฏิบัติการอาเซียนบวกสามด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยร่วมลงนามในกฎบัตรฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสมาชิกอาเซียนหรือผู้แทนในโอกาสแรก และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยร่วมลงนาม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกฎบัตรฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับประเด็นการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา-ภาครัฐบาล-ภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตกำลังคนรองรับการเป็นอุตสาหกรรม ๔.๐ และการจัดตั้ง ASEAN TVET Development Council เพื่อเร่งยกระดับการพัฒนาการศึกษาด้านอาชีพ (TVET) เพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ โดยมีความกังวลถึงความเป็นไปได้ของการประสานงานข้ามสาขาระหว่างเสาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนกับเสาเศรษฐกิจ และอำนาจหน้าที่ของ ASEAN TVET Development Council ของ TVET ยังขาดความชัดเจนซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหา ที่ประชุมคณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสแรงงานอาเซียนว่าด้วยแนวปฏิบัติที่ก้าวหน้าด้านแรงงานเพื่อเสริมสร้างการแข่งขันในอาเซียนจึงมีมติเห็นควรชะลอการนำเรื่องดังกล่าวสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน จนกว่าจะมีความชัดเจนในประเด็นดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2857 | มาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ | กค | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมวิธีการชำระเงิน การรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดรายการสินค้าและบริการที่จะไม่ได้รับสิทธิ (Negative List) ของมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2858 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่และการแบ่งส่วนราชการภายใน ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค ๑-๙ และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่และการแบ่งส่วนราชการภายใน ในสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณเกี่ยวกับ (๑) การเพิ่มหน่วยงานระดับกองกำกับการเพื่อรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี สืบสวนสอบสวนปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ควรดำเนินการไปพร้อมกับการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรและเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาระบบการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรับมือกับรูปแบบการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น (๒) การดำเนินการของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง ต้องเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลด้านความมั่นคงของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมของประเทศ (๓) การปรับเกลี่ยกำลังพลเพื่อรองรับการแบ่งส่วนราชการดังกล่าว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น โดยกรณีของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอาจใช้วิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน โดยเน้นการฝึกอบรมกำลังพลให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพื่อรองรับปริมาณงานในความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น และ (๔) หากการเพิ่มส่วนงานดังกล่าวทำให้มีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ควรปรับแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยดำเนินการตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามนัยมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2859 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กรณีรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป (จำนวนรวม 12 โครงการ) [การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กรณีรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป (เพิ่มเติม)] | มท | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวนรวม ๑๒ โครงการ โดยให้กระทรวงมหาดไทยจัดลำดับความสำคัญของโครงการตามความเหมาะสมจำเป็น ตามวงเงินงบประมาณประจำปีเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดทำแผนการดำเนินการและยืนยันความพร้อมของโครงการ โดยมีรายละเอียดพื้นที่ดำเนินการ แบบรูปรายการ ประมาณการค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีสถานที่/พื้นที่พร้อมจะดำเนินการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน และคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในแต่ละปีงบประมาณให้เป็นไปตามสัดส่วนของรายจ่ายลงทุนที่กำหนด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดกรอบการจัดสรรงบประมาณ โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2860 | ร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... | ดศ | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ซึ่งเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่อย่างใด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ แล้วให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....