ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 148 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 2941 - 2960 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2941 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 2/2561 | กษ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางในการจัดทำข้อมูลสินค้ามะพร้าว แนวทางการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าว การป้องกันการลักลอบและนำเข้ามะพร้าวผิดกฎหมาย การกำหนดให้สินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าควบคุม และกำหนดมาตรการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าว การแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและออกหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีทั้งหมดหรือบางส่วน สำหรับเมล็ดถั่วเหลือง มะพร้าว เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าวที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๓ และการรับซื้อเนื้อมะพร้าวในราคานำตลาดเพื่อแก้ไขปัญหามะพร้าวงอกที่คงเหลืออยู่ในระบบ ๑.๒ ที่ประชุมเห็นชอบการบริหารการนำเข้าน้ำมันถั่วเหลือง มะพร้าว (มะพร้าวผลและมะพร้าวฝอย) เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าว ปี ๒๕๖๒ ภายใต้กรอบ WTO FTA และ AFTA (ยกเว้นการบริหารนำเข้ามะพร้าวผล) ให้มีการบริหารจัดการเช่นเดียวกับปี ๒๕๖๑ ๑.๓ ที่ประชุมเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษามาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Measure : SSG) ภายใต้ความตกลงเกษตรของ WTO ในเรื่องการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับสินค้ามะพร้าว ๒. ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการกวดขันจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ เช่น มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาค ๒๕๖๑ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑) อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลปริมาณผลผลิตทางการเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง มะพร้าว เป็นต้น ในช่วงฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งประมาณการปริมาณผลผลิตในฤดูกาลหน้าเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดให้เหมาะสม สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำข้อมูลดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2942 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือและความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรึกษาหารือและความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก (Memorandum of Understanding on Consultations and Cooperation between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs and Cooperation of the Republic of Mozambique) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีและพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการเมือง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การศึกษา สาธารณสุข กีฬา และวิทยาศาสตร์ (๒) การสนับสนุนการเยือนในระดับที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงให้มีการปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนทัศนะในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกันเกี่ยวกับประเด็นทวิภาคี ประเด็นภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศ และ (๓) การสนับสนุนให้คณะทูต กงสุล คณะผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ (UN) และองค์การระหว่างประเทศของทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือและประสานงานอย่างใกล้ชิด โดยจะมีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2943 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการต่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น วงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๒,๘๙๘,๓๔๗.๒๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๘๗๘,๗๘๙.๖๐ บาท เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากโครงการส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในกรอบทวิภาคี งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการเปิดสถานทูตสถานกงสุล ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป โดยค่าเช่าอาคารที่ขออนุมัติครั้งนี้อยู่ในกรอบสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เกินร้อยละห้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. การเช่าอาคารดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินภารกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2944 | มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ | พณ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอว่า เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงพลังงานนำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า ๑๖๐,๐๐๐ ตัน กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ในราคา ๑๘ บาทต่อกิโลกรัม โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดหาจากเกษตรกรผู้ผลิตที่ลานเทและโรงงานสกัดที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่ง กฟผ. จะรับมอบน้ำมันปาล์มดิบที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง โดยใช้เงินในการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒,๘๘๐ ล้านบาท คิดเป็นต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าค่าไฟฟ้า จำนวน ๑,๓๕๔ ล้านบาท และ กฟผ. จะขอรับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับส่วนต่างส่วนที่เหลือ จำนวน ๘๒๙ ล้านบาท กฟผ. จะขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อปรับลดเงินรายได้นำส่งเข้ารัฐเหลือเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตในส่วนที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนโดยเร็ว เช่น การอนุญาตขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม การอนุญาตการขนส่งน้ำมันปาล์มทางรถบรรทุกจากองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลตำบลที่เกี่ยวข้อง การอนุญาตการขนย้ายน้ำมันปาล์มจากพื้นที่ภาคใต้และขนย้ายเข้าจังหวัดฉะเชิงเทราจากกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ การขออนุญาตเพิ่มกำลังแรงม้าเครื่องจักรจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชื้อเพลิงไฟฟ้าจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นต้น เพื่อให้ กฟผ. สามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างรวดเร็วและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. อนุมัติการใช้งบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ โดยการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าและผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันให้ทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น กระทรวงพาณิชย์ควรหารือกับกระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ในเรื่องขั้นตอนวิธีการในกรรรับซื้อ การขนส่ง รวมถึงกำลังการผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันปาล์มดิบต่อเดือนให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระยะเวลาของโครงการที่จะให้ กฟผ. ลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน การจัดทำข้อมูลรายละเอียดวงเงินส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการลดพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมันทั้งในพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันและพื้นที่บุกรุกพื้นที่ป่า โดยให้มีการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก การปลูกพืชเสริม หรือประกอบอาชีพอื่นแทน และการกำหนดมาตรการให้ภาคเอกชนรับซื้อปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2945 | โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง | กษ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมมติ ดังนี้
๑. รับทราบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีดยาง โดยช่วยเหลือค่าครองชีพของเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทยที่มีสวนยางเปิดกรีด จำนวน ๙๙๙,๐๖๕ ราย และคนกรีดยาง จำนวน ๓๐๔,๒๖๖ ราย คิดเป็นพื้นที่เปิดกรีดแล้วรวม ๑๐,๐๓๙,๖๗๒.๒๙ ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดจริง ไร่ละ ๑,๘๐๐ บาท ไม่เกินรายละ ๑๕ ไร่ แบ่งเป็นเจ้าของสวนยาง ๑,๑๐๐ บาท และคนกรีดยาง ๗๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๑๐ เดือน (ธันวาคม ๒๕๖๑-กันยายน ๒๕๖๒) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ๑๘,๖๐๔,๙๕๐,๒๐๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งเสนอโครงการให้คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาราคายางในสถานการณ์ปัจจุบันก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป รวมทั้งควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับเป็นสำคัญ โดยให้ความสำคัญกับการกำหนดแนวทางในการดำเนินงานโครงการของคณะกรรมการระดับต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีความชัดเจนและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และพื้นที่สวนยางที่เข้าร่วมโครงการจะต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ตลอดจนกำหนดให้มีกลไกในการติดตามและตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณโครงการ เพื่อให้โครงการเกิดความโปร่งใส คุ้มค่า และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2946 | มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวม ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา (๒) มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (๓) มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย และ (๔) มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการฯ วงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๓๘,๗๓๐ ล้านบาท เห็นควรให้กระทรวงการคลังปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยปรับมาตรการที่ใช้จ่ายจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท และขณะนี้ยังคงมีเหลือเพียงพอเพื่อดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมฯ ในระยะแรก หากไม่เพียงพอเห็นควรให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินเพิ่มสำหรับกองทุนประชารัฐฯ เพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ตามขั้นตอนและกระบวนการต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการยกระดับคุณภาพชีวิตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาตนเองในปี ๒๕๖๑ ควรมีการติดตามความก้าวหน้า และรับทราบปัญหา/อุปสรรค เพื่อจะได้กำหนดมาตรการให้กับแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งควรมีการบูรณาการมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เช่น มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น เพื่อให้รัฐบาลมีข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และในระยะต่อไป รัฐบาลอาจมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของกองทุนประชารัฐฯ ได้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดมาตรการเพื่อหาแหล่งรายได้อื่น นอกเหนือจากเงินงบประมาณ เพื่อลดภาระของรัฐบาล และสร้างความยั่งยืนของกองทุนประชารัฐฯ นอกจากนี้ การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวควรกำหนดเป็นมาตรการชั่วคราว เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงทางการคลังและเป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2947 | ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้เองในปี ๒๕๖๐ ในกรอบวงเงิน ๑๘๖,๒๙๙,๕๐๐ บาท ประกอบด้วย (๑) ค่าใช้จ่ายในการผลิตบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน ๓,๘๐๒,๓๐๙ ใบ จำนวนเงิน ๑๖๒,๖๘๗,๒๐๐ บาท (๒) ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน ๓,๘๐๒,๓๐๙ ใบ จำนวนเงิน ๗๙๘,๔๕๐ บาท และ (๓) ค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการรายปี รวมค่าบริหารจัดการโครงการ ค่าควบคุมงาน และบริหารระบบต่าง ๆ รวมถึงการบริหารฐานข้อมูลและจัดทำ Dashboard & Data Analytics จำนวนเงิน ๒๒,๘๑๓,๘๕๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2948 | รายงานผลการดำเนินการโอนความรับผิดชอบการบริหารตลาดนัดจตุจักร ไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2949 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | กค | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๓ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๑) สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่ม ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ผลไม้ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง นาฬิกาและอุปกรณ์ สูท เสื้อ กระโปรง กางเกง สำหรับบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิง และเนคไท สุราต่างประเทศ เลนส์ รองเท้าหนังและรองเท้าผ้าใบ แว่นตา ปากกาและอุปกรณ์ เครื่องประดับที่ทำด้วยคริสตัล ไวน์ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ดอกไม้ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ และเครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล มีมูลค่านำเข้า ๑,๐๕๒.๔๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ ๑.๗๑ ของมูลค่านำเข้าร่วม) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๑๔๙.๔๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๖.๕๕ โดยสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง นาฬิกาและอุปกรณ์ สำหรับอากรขาเข้าที่จัดเก็บจากสินค้าฟุ่มเฟือย ๖๕.๒๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๑๑.๒๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๐.๙๕ โดยสินค้าที่มีการจัดเก็บอากรสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง สูท เสื้อ กระโปรง กางเกงฯ กระเป๋าหนังและเข็มขัดหนัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๑ (เรื่อง มูลค่าการนำเข้าสินค้าบางประเภท) โดยให้กระทรวงการคลังรายงานการนำเข้าสินค้าบางประเภท (สินค้าฟุ่มเฟือย) ต่อคณะรัฐมนตรี ตามความจำเป็นเฉพาะในคราวที่กระทรวงการคลังพิจารณาเห็นว่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและอาจก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นได้เท่านั้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2950 | การขยายอายุบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ดศ | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายอายุบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและจีนว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (exchange of letters) เพื่อขยายอายุบันทึกความเข้าใจฯ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ทั้งนี้ การขยายอายุบันทึกความเข้าใจฯ จะเป็นการส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างอาเซียนกับจีน และระหว่างอาเซียนกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ที่จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศ ความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกอาเซียนรวมถึงไทยในการพัฒนาบุคลากร เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดี เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2951 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ | วท | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยทั้งสองฝ่ายประสงค์ให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อผลักดันความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีสาระสำคัญครอบคลุมความร่วมมือ ๘ สาขา ได้แก่ ๑) อาหารและการเกษตร ๒) วิทยาศาสตร์สุขภาพและชีววิทยาศาสตร์ ๓) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานและสิ่งแวดล้อม ๔) เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ การจัดการด้านดิจิทัลและข้อมูล ๕) สิ่งอำนวยความสะดวก ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ๖) นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๗) การสำรวจพื้นผิวโลก วิทยาศาสตร์อวกาศ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอวกาศ และ ๘) สาขาอื่น ๆ เช่น การส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจในภาคที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ และการสนับสนุนกิจกรรมวิจัยและพัฒนา วิสาหกิจเริ่มต้นและการเป็นผู้ประกอบการและครอบคลุม ๙ รูปแบบ คือ ๑) การกำหนดสาขาโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมในหัวข้อที่สนใจร่วมกัน ๒) การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ๓) โครงการวิจัยและพัฒนาร่วม ๔) การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการ และนักวิจัย ๕) การจัดและการร่วมประชุมด้านวิทยาศาสตร์ การประชุมทางวิชาการ การสัมมนา การฝึกอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ นิทรรศการ ฯลฯ ๖) การจัดและการร่วมภารกิจการค้า ๗) การอำนวยความสะดวกในการดำเนินการตามแผนงานและโครงการร่วม ๘) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือและการตรวจสอบข้อเสนอสำหรับการพัฒนาต่อไป และ ๙) รูปแบบอื่น ๆ ของความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจเห็นพ้องร่วมกัน ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนีงสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไวให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2952 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | สว | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ส่งคืนร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลา พร้อมให้แจ้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปด้วยว่า คณะรัฐมนตรีรับหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและให้ส่งความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ไปเพื่อประกอบการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่เห็นควรแยกเรื่องการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ออกเป็นอีกมาตราหนึ่งต่างหากจากยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ รวมทั้งแยกเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่อนุญาตจะออกใบอนุญาตให้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ออกเป็นอีกมาตราหนี่ง ต่างหากจากยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ นอกจากนี้ โดยที่ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด มีความมุ่งหมายที่จะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีอำนาจในการกำหนดพื้นที่เพื่อการทดลองหรือทดสอบไม่ว่าจะเป็นการผลิต การทดสอบเกี่ยวกับยาเสพติด การให้เสพหรือครอบครองยาเสพติดเฉพาะกรณีเพื่อการศึกษาวิจัยที่จะนำไปใช้ในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด หรือเพื่อลดอันตรายจากยาเสพติดเท่านั้น ไม่ใช่กรณีเพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งจะเป็นอำนาจของสาธารณสุขโดยคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ดังนั้น จึงควรกำหนดให้ชัดเจนสำหรับกรณีตามมาตรานี้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2953 | มาตรการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยในช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยว | กก | 13/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” ระหว่างวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑-วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ รวมทั้งการขอเปิดให้บริการพื้นที่พิเศษเพิ่มเติมแก่นักท่องเที่ยวในการคืนภาษี (VAT Refund) ในพื้นที่ย่านแหล่งท่องเที่ยว หรือ ห้างสรรพสินค้า สำหรับการซื้อสินค้าออกนอกราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกรมสรรพากร เรื่อง การแต่งตั้งตัวแทนการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว ๑.๒ การเพิ่มความถี่ของการเดินทาง สำหรับหนังสือเดินทางที่ขอรับการตรวจลงตราแบบสามารถเดินทางได้ครั้งเดียว (Single Entry Visa) ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย จากเดิมที่สามารถเดินทางได้ ๑ ครั้ง เป็นสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ ๒ ครั้ง (Double Entries Visa) ภายใน ๖ เดือน โดยคิดค่าธรรมเนียมอัตราเดิม คือคนละ ๑,๐๐๐ บาท โดยกำหนดระยะเวลาการขอรับการตรวจลงตราที่สถานทูตเป็นระยะเวลา ๒ เดือน ๑.๓ การให้อนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) แบบอนุญาตครั้งเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีวีซ่าอยู่แล้ว (ทั้งแบบ TR และ VoA) โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของไทย สามารถกลับเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยอีก โดยไม่ต้องขออนุญาตอีกครั้ง และสามารถรักษาสิทธิ์การอยู่ในประเทศไทยตามระยะเวลาคงเหลือที่กำหนดในวีซ่าเดิม ๑.๔ แก้ไขหลักการกฎกระทรวงมหาดไทยในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา ๓๐ วัน (ผ.๓๐) ซึ่งจะเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทางช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือพรมแดนที่เป็นเขตติดต่อกับพรมแดนทางบก สามารถเข้ามาในประเทศไทยด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปีปฏิทิน ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย กำหนดมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว และจัดให้มีการติดตามและประเมินผลความคุ้มค่าของมาตรการดังกล่าว เพื่อเป็นแนวทางในการทบทวนและปรับปรุงมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ควรพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ มิให้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งมีการติดตามผลการดำเนินงานเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2954 | ร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | ดส | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยขึ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวของภาคเอกชนผู้ประกอบกิจการดิจิทัล เพื่อเป็นกลไกในการผลักดันนโยบายภาครัฐ เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกับแผนพัมนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นควรให้ปรับปรุงวัตถุประสงค์ของสภาดิจิทัลฯ ให้ครอบคลุมถึงการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลให้ชัดเจน และการปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยให้มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันการสับสนในการดำเนินการตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานในภายหลัง และข้อสังเกตเกี่ยวกับบทนิยามที่ยังไม่มีความชัดเจน การจัดตั้งสภาดิจิทัลฯ และความเป็นนิติบุคคลของสภาดิจิทัลฯ อำนาจหน้าที่ของสภาดิจิทัลฯ และคณะกรรมการสภาดิจิทัลฯ มีความซ้ำซ้อนกัน และยังขาดเนื้อหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของสำนักงานสภาดิจิทัลฯ และการกำหนดต้องสอดคล้องกับมาตรา ๗๗ วรรค ๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรี (๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโทษทางอาญาในกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่มีความเห็นเพิ่มเติมว่า สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัลทั้งในภาครัฐและผู้ประกอบการธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศไทยโดยให้มีมาตรฐานขององค์ความรู้และทักษะด้านดิจิทัลเพื่อเป็นแนวทางในการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรที่จะรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณาให้มีการแต่งตั้งประธานคณะกรรมการตามร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลเพื่อให้การประสานการดำเนินการระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2955 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างราชอาณาจักรไทย - รัฐอิสราเอล | คค | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยการแก้ไขความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลว่าด้วยบริการเดินอากาศในจุดระหว่างและพ้นไปจากอาณาเขตของตน ลงนามย่อเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ และเห็นชอบบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทย-รัฐอิสราเอล ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงข้อตกลงเดิมให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นการรักษาความปลอดภัยด้านการบิน การปรับปรุงจำนวนความจุความถี่ในการรับขนทางอากาศระหว่างกัน จากเดิมที่ไม่จำกัดจำนวนความจุความถี่ เป็นให้ทำการบินได้ไม่เกิน ๒๘ เที่ยว/สัปดาห์ การปรับปรุงสิทธิการรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ และการปรับปรุงข้อบทให้สามารถทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน (Code Share) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้สายการบินทั้งสองฝ่ายสามารถขยายบริการและเครือข่ายการบินเพิ่มมากขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๑.๓ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ และร่างพิธีสารฯ ต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับประเด็นการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2956 | การลงนามพิธีสารฉบับที่ 1 เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขข้อบทที่ ๓๘ ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) เพื่อเป็นพื้นฐานทางกฎหมาย (Legal basis) สำหรับรองรับระบบการรับรองถิ่นกำหนดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN-Wide-Self-Certification : AWSC) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ โดยสามารถขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้โดยการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางไปขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อมาประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักงานเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนมีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อร่างพิธีสารดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2957 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม 2561 | นร11 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๔.๑ ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีการขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ส่วนมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๘ มีสาเหตุสำคัญจาก (๑) อุปสงค์จากต่างประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหมวดยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและอุปกรณ์ และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และ (๒) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๕.๗ เมื่อรวม ๑๑ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๑ รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒.๐ ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๖.๔ ในเดือนก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากการชะลอตัวลงของรายรับจากนักท่องเที่ยวในเกือบทุกภูมิภาค ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่องโดยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๐ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวในเกณฑ์สูงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๑ ซึ่งเป็นการขยายตัวในหมวดพืชผลสำคัญและหมวดปศุสัตว์ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานเพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นในทุกภูมิภาค ตามการขยายตัวในเกณฑ์ดีของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กลุ่มยูโรโซนและญี่ปุ่น ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่น ๆ ส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออก ทั้งนี้ ภายใต้การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศปรับทิศทางนโยบายการเงินเข้าสู่ภาวะปกติอย่างต่อเนื่อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๗) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจรายเดือนของประเทศในภาพรวม โดยครอบคลุมถึงความเคลื่อนไหวของดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญด้านต่าง ๆ เช่น ภาคการเกษตร การค้า การลงทุน เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเฉพาะในคราวที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสาธารณชนในวงกว้างเท่านั้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2958 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | กค | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๘ แห่ง ให้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ รวมถึงอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการรัฐวิสาหกิจเพื่อให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมทั้งไม่เกิดช่องว่างในการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณากำหนดยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๘/๒๕๕๘ เรื่อง การให้กรรมการหรือคณะกรรมการตามกฎหมายบางฉบับปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ไว้ในร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งให้พิจารณาขอบเขตของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2959 | ขอความเห็นชอบต่อการเสนอให้ไทยเป็นที่ตั้งศูนย์บริการด้านธุรการระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (Global Shared Service Center) | กต | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การเสนอให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งศูนย์บริการด้านธุรการระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (Global Shared Service Center : GSSC) โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับหากได้รับเลือก ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการส่งแบบแสดงเจตจำนงของประเทศไทยในการรับเป็นศูนย์ GSSC แก่สำนักเลขาธิการสหประชาชาติ โดยระบุรายละเอียดที่ประเทศไทยจะสนับสนุน ได้แก่ การจัดทำความตกลงประเทศเจ้าบ้าน การอนุญาตให้เจ้าหน้าที่จากประเทศที่สามทำงานได้ และการให้เงินอุดหนุนแก่ศูนย์ GSSC จำนวน ๒๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี เป็นระยะเวลา ๓ ปี ระหว่างปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ๑.๓ ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามท้ายแบบแสดงเจตจำนงที่จะส่งให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติ ภายในวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยสอดคล้องกับระยะเวลาและวงเงินตามสัญญา ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ รวมทั้งควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ทราบถึงการจัดตั้งศูนย์ GSSC ในประเทศไทย และประโยชน์ที่จะได้รับโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยว และหากได้มีการจัดตั้งศูนย์ GSSC ดังกล่าวในประเทศไทย ควรมีการติดตามประเมินผลเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศในครั้งต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2960 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๑๙ ฉบับ โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามหรือรับรองเอกสาร จำนวน ๑๕ ฉบับ เช่น ร่างปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติว่าด้วยความช่วยเหลือทางกงสุลโดยคณะทูตของรัฐสมาชิกอาเซียนในประเทศที่สามแก่คนชาติของรัฐสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ เป็นต้น และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสาร จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ ร่างเอกสารแนวคิด-ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารแจ้งตอบรับไปยังสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามเอกสารในนามอาเซียน จำนวน ๓ ฉบับ เช่น ร่างข้อตกลงระหว่างทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีนิวเคลียร์และการประยุกต์ใช้ ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ และการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารที่จะมีการลงนามหรือการรับรองดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
.....