ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 149 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 2961 - 2980 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2961 | ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการรับรองวันเยาวชนอาเซียนเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ (ASEAN Declaration on the Adoption of the ASEAN Youth in Climate Action and Disaster Resilience Day) | พม | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบถ้อยคำและสารัตถะในร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการรับรองวันเยาวชนอาเซียนเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ (ASEAN Declaration on the Adoption of the ASEAN Youth in Climate Action and Disaster Resilience Day) และให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ เป็นการเน้นความสำคัญของการเฉลิมฉลองเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้ในหมู่เยาวชนและสร้างความเข้มแข็งในการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานด้านการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งยืนยันภารกิจสำคัญของประเทศสมาชิกอาเซียนและวิสัยทัศน์ตามประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ๒๐๒๕ ด้านการจัดการภัยพิบัติของอาเซียน เพื่อที่จะทำให้มีมาตรการเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้สามารถคาดการณ์ ตอบสนอง จัดการปัญหา ปรับตัวและสร้างใหม่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้เยาวชนร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบรรเทาสาธารณภัยและภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สำหรับงบประมาณปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2962 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561) | นร | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการพิจารณาเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติใน ๓ ประเด็น คือ การจัดที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ การพิจารณาให้ความเห็นกรณีอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายอื่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกัน และการพิจารณาแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ หรือมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐเสนอคณะรัฐมนตรี ไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดเสนอร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ซึ่งได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2963 | ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโนยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561)] | นร | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ รวม ๒ ฉบับ ไปเพื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไปแล้ว ๒. เห็นชอบกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติใน ๓ ประเด็น คือ การจัดที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ การพิจารณาให้ความเห็นกรณีอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายอื่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกัน และการพิจารณาแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ หรือมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐเสนอคณะรัฐมนตรี ไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งรัดเสนอร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ซึ่งได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว เพื่อให้มีผลใช้บังคับพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2964 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปเพื่อแก้ไขความตกลงให้การสนับสนุนทางการเงินภายใต้โครงการการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการจัดการพื้นที่คุ้มครองในอาเซียน | ทส | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปเพื่อแก้ไขความตกลงให้การสนับสนุนทางการเงินภายใต้โครงการการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการพื้นที่คุ้มครองในอาเซียน และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับของฝ่ายอาเซียน รวมทั้งให้แจ้งความเห็นของประเทศไทยต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนต่อไป โดยสาระสำคัญของการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนฯ จะมีการขอปรับแก้ไขความตกลงฯ ใน ๒ ประเด็น ได้แก่ การขอเพิ่มระยะเวลาในการดำเนินงานภายใต้ความตกลงฯ จากเดิม ๖๐ เดือน เป็น ๖๖ เดือน และการขอเพิ่มเชิงอรรถ ๒ ข้อ ในภาคผนวก ๑ ข้อบทที่ ๒.๒ ข้อกำหนดด้านเทคนิคและการบริหารจัดการของความตกลงฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดแผนปฏิบัติการที่มีความสอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรองรับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซี่งใช้จ่ายจากเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปภายใต้กรอบอาเซียน-สหภาพยุโรป ไปดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2965 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ | นร12 | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดย อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดได้ตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง ๑๐ แห่ง (ตาก เชียงราย มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา ตราด หนองคาย นราธิวาส นครพนม และกาญจนบุรี) และได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดจึงได้ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา รวมถึงได้เปรียบเทียบกับกรณีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ตลอดจนได้วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบรรลุตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (๒) การกำหนดให้มีกฎหมายเฉพาะรองรับเพื่อบริหารจัดการภายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และ (๓) การกำหนดเจ้าภาพรับผิดชอบเต็มเวลา โดยจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ กำกับดูแล และติดตามการดำเนินการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นอื่น ๆ เช่น การกำหนดมาตรการจูงใจให้มีการลงทุนเพิ่มเติม การสร้างความรู้ความเข้าใจกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมทวิภาคีหรือพหุภาคีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนเชื่อมต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรกำหนดเป้าหมายของแต่ละเศรษฐกิจพิเศษ โดยคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงการค้า และศักยภาพของกลุ่มจังหวัดทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายเชิงนโยบายของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และอาจพิจารณาตัดโอนอัตราข้าราชการที่เพิ่มใหม่เพื่อรองรับการปฏิบัติภารกิจที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมากำหนดเป็นอัตรากำลังของสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับกรณีที่ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด มีข้อเสนอแนะให้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสนอคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ให้ดำเนินการให้ถูกต้องและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้คำนึงถึงแนวทางการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานใหม่ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2966 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยเป็นเอกสารที่จะมีการรับรอง จำนวน ๔ ฉบับ และเอกสารที่จะมีการลงนาม จำนวน ๒ ฉบับ รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) แนวทางการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของเรือที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับของอนุสัญญา (๒) แผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันของภูมิภาคอาเซียน (๓) มาตรฐานและวิธีการปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (๔) แผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งอาเซียน-จีน ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๓ (๕) ร่างพิธีสาร ๔ ว่าด้วยสิทธิการบินเชื่อมจุดในประเทศสมาชิกอาเซียน และ (๖) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยและการตรวจควบคุมเรือที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับของอนุสัญญาระหว่างประเทศในประเทศสมาชิกอาเซียน ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารฯ ตามข้อ ๑.๑ (๑)-(๔) ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในเอกสารฯ ตามข้อ ๑.๑ (๕) แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารดังกล่าว ก่อนแสดงเจตนาการมีผลผูกพันของเอกสารต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Power) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๑.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของเอกสารตามข้อ ๑.๑ (๕) ให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบัน เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบเอกสารดังกล่าวแล้ว ๑.๖ ให้อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามเอกสารตามข้อ ๑.๑ (๖) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าร่างเอกสารส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนาม ซึ่งเป็นเอกสารที่มิได้ใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศกับเป็นเอกสารการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งเป็นเพียงเอกสารที่แสดงเจตนาเพื่อความร่วมมือระหว่างอาเซียน และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย จึงไม่เข้าลักษระการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำหรับร่างพิธีสาร ๔ ว่าด้วยสิทธิการบินเชื่อมจุดในประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นเอกสารที่มีการใช้ถ้อยคำที่มุ่งหมายให้ให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเข้าลักษณะการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้นต้องได้รับความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ในชั้นการให้สัตยาบันร่างพิธีสารฯ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาเพื่อให้มีผลผูกพัน คณะรัฐมนตรีจะต้องเสนอร่างพิธีสารฯ เพื่อขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติก่อนการให้สัตยาบันร่างพิธีสารฯ ไปดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2967 | ขอความเห็นชอบและลงนามร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ว่าด้วยการขยายเส้นทางบิน | คค | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ว่าด้วยการขยายเส้นทางบิน มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายความเชื่อมโยงทางอากาศระหว่าง ๓ ประเทศ เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของการให้บริการเดินอากาศภายในอนุภูมิภาค โดยให้มีการขยายเส้นทางบิน การให้สิทธิและการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกันกับเส้นทางภายในประเทศ และการอนุญาตการแต่งตั้งสายการบินที่กำหนดหลายสายการบิน โดยมีกำหนดการลงนามร่างพิธีสารฯ ในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ ระหว่างวันที่ ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างพิธีสารฯ และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารดังกล่าว ก่อนแสดงเจตนาการมีผลผูกพันของเอกสารต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สำหรับการลงนามในร่างพิธีสารฯ ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งยืนยันการมีผลใช้บังคับของร่างพิธีสารฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างความเข้าใจให้แก่สายการบินเกี่ยวกับประโยชน์และผลกระทบที่จะได้รับจากการแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการแข่งขันที่อาจเกิดขึ้น และขยายโอกาสในการทำการบินไปยังเส้นทางในอนุภูมิภาค รวมถึงพิจารณากำหนดมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสายการบินของไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันและการให้บริการรับขนผู้โดยสาร รวมทั้งกำหนดกลไกการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมสายการบินภายในประเทศจากการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศด้านการขนส่งทางอากาศต่าง ๆ ที่มีการลงนามแล้ว เพื่อนำไปสู่การพิจารณากำหนดแนวทางการทบทวนความตกลงฯ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการบินและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทยในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2968 | แก้ไขเพิ่มเติมประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง | กษ | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ มายื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือ เพื่ออยู่ในราชอาณาจักรและทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .. พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจในการออกกฎหมายลำดับรองตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เป็นหน่วยงานหลัก และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) กระทรวงแรงงาน (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดชายทะเล ๒๒ จังหวัด และศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ให้การสนับสนุนการเปิดศูนย์เพื่อจดทะเบียนและออกหนังสือคนประจำเรือสำหรับแรงงานต่างด้าวเพื่อทำงานในเรือประมง ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมอบอำนาจในการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-immigrant) รหัส L-A ให้กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในการดำเนินการตรวจลงตราให้กับแรงงานต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง หรือหนังสือรับรองสถานะบุคคลของคนต่างด้าวที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงแรงงาน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินกระบวนการและสนับสนุนเพื่อให้การขออนุญาตทำงานและการอนุญาตให้ทำงานของแรงงานต่างด้าวในเรือประมงสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงานทำงานในเรือประมง โดยเฉพาะในช่วงภายหลังจากการสิ้นสุดอายุของหนังสือคนประจำเรือในระยะเวลาหนึ่งปีที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2969 | การดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 | ทส | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติในร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ควรเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ตามร่างมาตรา ๑๐ (๔) จากเดิม “กำหนดมาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหา การคุ้มครองป้องกันที่ดิน การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม เพื่อให้การใช้ที่ดินของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด” แก้ไขเป็น “กำหนดมาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหา การคุ้มครองป้องกันที่ดิน การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม รวมถึงการจัดที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ เพื่อให้การใช้ที่ดินของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด” ๑.๒ ควรเพิ่มเติมร่าง “มาตรา ๑๐ (๖/๑) พิจารณาให้ความเห็นกรณีอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามกฎหมายอื่นหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกัน” ๑.๓ ควรเพิ่มเติมร่าง “มาตรา ๑๐ (๖/๒) กำหนดนโยบายและพิจารณาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินของรัฐหรือมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกำหนดแนวเขตที่ดินของรัฐเสนอคณะรัฐมนตรี” ๒. มอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติในร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2970 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 6 คณะ) | กต | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 6 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการความร่วมมือไทย-สหภาพยุโรป คณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ คณะกรรมการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-เยอรมนี คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย คณะกรรมการร่วมฝ่ายไทยว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ตุรกี และคณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับยูเครน และอนุมัติองค์ประกอบของคณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์) ประจำปี 2561 จำนวน 7 คน เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (6 พฤศจิกายน 2561) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2971 | เอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 26 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 30 | กต | 06/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๖ และภาคผนวก และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๖ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ๑.๒ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๓๐ และภาคผนวก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๓๐ ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2972 | ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา [ถูกยกเลิกโดย 15207/68 (มติ ครม. 17/06/68)] | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาไม่เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้โครงการฯ เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๖,๓๓๓ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ หากกองทัพเรือมีความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น ให้กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และการท่าเรือแห่งประเทศไทยร่วมกันพิจารณาดำเนินการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่โครงการฯ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมาย การคัดเลือกเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมและจำเป็นสำหรับการดำเนินกิจการเพื่อลดผลกระทบต่อต้นทุนโครงการฯ การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรทั้งในเชิงนโยบายและคุณภาพให้สามารถรองรับการดำเนินงานของศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานและกิจกรรมการบินที่เกี่ยวเนื่องได้ทันทีเมื่อเปิดให้บริการ การกำหนดส่วนแบ่งรายได้ของโครงการฯ การกำหนดแนวทางการดำเนินการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานในระยะต่อไป โดยเปิดโอกาสในการคัดเลือกเอกชนรายอื่น ๆ ที่มีศักยภาพเข้าร่วมด้วย การพิจารณารูปแบบการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) ที่จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกควรประสานกระทรวงอุตสาหกรรมในการกำหนดแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้มีขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2973 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๓,๑๖๔,๗๖๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๕๙๐,๐๔๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๒,๕๗๔,๗๒๐ บาท และยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี กรณีเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการต่ำกว่า ๕ ปี ด้วย หากการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวมีระยะเวลาต่ำกว่า ๕ ปี ๒. สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ควรดำเนินการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับเงื่อนเวลาของภารกิจ โดยอัตราค่าเช่าไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนให้สอดคล้องกับวงเงินตามสัญญาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2974 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 | นร11 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๒ (เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีประเด็นการพัฒนาและข้อสั่งการ ได้แก่ (๑) การพัฒนาสภาพแวดล้อมในการพัฒนาการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์เชื่อมโยงกับต่างประเทศ (๒) การสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยที่มีศักยภาพ (๓) การพัฒนาและสนับสนุนการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ด้านศาสนาศิลปวัฒนธรรมและสุขภาพ เพื่อเป็นการสร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน และ (๔) การดำรงฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนสู่การเป็นกลุ่มจังหวัดสีเขียว โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2975 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 | นร11 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๒ (เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ ห้องประชุมแสนหวี หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ (๑) การขับเคลื่อนนโยบายเชิงพื้นที่ (๒) ด้านการท่องเที่ยว (๓) ด้านการค้าและการลงทุน (๔) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (๕) ด้านการเกษตร (๖) ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต (๗) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนโครงการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวพะเยา-หลวงพระบาง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2976 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการให้ความเห็นชอบ รับรอง และลงนามในการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (10th ASEAN Ministers Meeting on Education and the related Meetings) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) กฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (The Charter of ASEAN University Network) (๒) แผนปฏิบัติการอาเซียน-รัสเซียด้านการศึกษา (ASEAN-Russia Plan of Action on Education) (๓) แผนปฏิบัติการอาเซียน-จีนเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ [Plan of Action for ASEAN-China Education Cooperation (2017-2020)] และ (๔) แผนปฏิบัติการอาเซียนบวกสามด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๘ (ASEAN Plus Three Plan of Action on Education 2018-2025) มีสาระสำคัญเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของประเทศไทยที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการพัฒนามิติของการศึกษาที่ครอบคลุมถึงการสร้างโอกาสในการเข้าถึงทางการศึกษา การลดความเหลื่อมล้ำ และการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2977 | ขอความเห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๑-๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ โดยเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยและจีนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ได้แก่ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการเงิน ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารยกระดับความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดผลักดันการอำนวยความสะดวกคมนาคมขนส่งและการค้าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเส้นทางถนน R3A เชื่อมไทย-จีน ผ่าน สปป.ลาว ให้เกิดผลทางปฏิบัติโดยเร็ว สำหรับการระบุถึงกรอบและแผนงานความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในร่างเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ ควรมีการปรับปรุง โดยขึ้นต้นด้วยแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๓๕ มีขอบเขตกว้างกว่ายุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๔๖ และจึงตามด้วยกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ในปี ๒๕๕๘ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2978 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค-บริโภค ของราษฎรโดยเฉพาะเทศบาลหนองบัวแดง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ และพื้นที่ใกล้เคียง และเพื่อกักเก็บน้ำหลากส่วนเกินในช่วงฤดูฝนไว้ใช้เพื่อการเพาะปลูกในช่วงเวลาฝนทิ้งช่วงและฤดูแล้ง ใน ๓ ตำบลของอำเภอหนองบัวแดง ได้แก่ ตำบลหนองแวง ตำบลหนองบัวแดง และตำบลนางแดด ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่กรมชลประทานเสนออย่างเคร่งครัด รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานของโครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2979 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๑ เพิ่มเติม จำนวน ๑ รายการ คือ มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักรและการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าวตามบทบัญญัติมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ รวมถึงรักษาเสถียรภาพและสร้างความเป็นธรรมด้านราคาสินค้าให้แก่เกษตรกร และควรมีการติดตาม กำกับดูแล และแก้ไขปัญหาการลักลอบนำสินค้าเกษตรเข้ามาในประเทศได้ทันทวงที ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2980 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้รับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘ บัญญัติให้การดำเนินโครงการหรือกิจการใดภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชนตามที่มีกฎหมายกำหนด ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการหรือกิจการนั้น โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานที่ถูกต้องและมีข้อมูลครบถ้วน และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๙ วรรคสี่ บัญญัติให้ในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินกระบวนการหรือขั้นตอนเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนที่จะเป็นผู้รับงานนั้นไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้นั้นไม่ได้ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๗,๗๖๘ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น การพิจารณาประมาณการจำนวนผู้โดยสารจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านและรอบคอบ การเร่งจัดทำแผนแม่บทสนามบินอู่ตะเภาให้แล้วเสร็จโดยเร็วก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในภาพรวมของการพัฒนาสนามบิน รวมถึงตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างในโครงการฯ การกำหนดขอบเขตกิจกรรมและสิทธิต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการฯ ในการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนอย่างรอบคอบ การกำหนดโครงสร้างการบริหารโครงการฯ ทั้งระหว่างการก่อสร้างและดำเนินโครงการฯ โดยอาจพิจารณาหน่วยงานหรือนำบุคลากรที่มีศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทั้งทางด้านเทคนิคและการบริหารสนามบินพาณิชย์ขนาดใหญ่มาช่วยในการบริหารจัดการโครงการฯ การกำหนดเงื่อนไขการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีความสอดคล้องกับปริมาณการขนส่ง การใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณภาพการให้บริการ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตลอดจนดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการจัดเตรียมแผนงานและมาตรการรองรับในกรณีหากมีการร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบจากการดำนเนินงานสนามบินให้มีความชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินการโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กองทัพเรือดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๕.๑ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อบูรณาการการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน ให้สอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๕.๒ เร่งรัดการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
|