ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 147 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 2921 - 2940 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2921 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลระยะเร่งด่วน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | สธ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ระยะเร่งด่วน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๗๖๓,๕๓๘,๕๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานที่สะท้อนผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้นของประชาชน และผลสัมฤทธิ์ของโครงการในการช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2922 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพทุกระดับ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน | สธ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมวงเงินทั้งสิ้น ๙๒๑,๘๒๐,๙๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรงบประมาณรายการก่อสร้างและปรับปรุงซ่อมแซมที่พักอาศัยของหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2923 | ขออนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ศธ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการและกีฬาแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในระหว่างการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ไทย-ลาว ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนาม โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อใช้เป็นกรอบความร่วมมือทางการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับต่าง ๆ การส่งเสริมการค้นคว้าวิจัย การพัฒนาหลักสูตรสเต็มศึกษา โลจิสติกส์ การศึกษาพิเศษ และการตรวจสอบเอกสารวุฒิการศึกษาของนักศึกษาและพระสงฆ์ลาวที่เรียนในประเทศไทย โดยได้ระบุให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการศึกษาไทย-ลาว เพื่อใช้เป็นเวทีในการหารือกิจกรรม/โครงการความร่วมมือระหว่างกัน โดยแต่ละฝ่ายผลัดกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้และสิ้นสุดของบันทึกความเข้าใจฯ เป็นระยะ ๕ ปี และจะต่ออายุอัตโนมัติออกไปอีก ๕ ปี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2924 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย - ลาว | ทส | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย-ลาว มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองฝ่าย และเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในการดำเนินการจัดทำโครงการจัดสร้างสวนรุกขชาติไทย-ลาว ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในเขตโรงเรียนมัธยมสมบูนนาซอน บ้านนาซอน เมืองปากงึม นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Joint Cabinet Retreat : JCR) ครั้งที่ ๓ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2925 | หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ | นร07 | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2926 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 (เรื่อง มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ) | พน | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอว่า โดยที่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้มีมติเกี่ยวกับมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศแล้ว ดังนั้น เพื่อให้แนวทางการดำเนินมาตรการฯ มีความชัดเจนและสอดคล้องกับมติ กนป. ดังกล่าว กระทรวงพลังงานจึงขอแก้ไขข้อความของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ) ในส่วนที่เกี่ยวกับการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จากเดิมความว่า “..กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) จะดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ๑๖๐,๐๐๐ ตัน ในราคา ๑๘ บาทต่อกิโลกรัม โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดหาจากเกษตรกรผู้ผลิตที่ลานเทและโรงงานสกัดที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะรับมอบน้ำมันปาล์มดิบที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง..” เป็น “..กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าบางปะกง จำนวน ๑๖๐,๐๐๐ ตัน โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบในราคากิโลกรัมละ ๑๘ บาท ส่งที่ท่าเทียบเรือโรงไฟฟ้าบางปะกง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ลานเท และ/หรือองค์การคลังสินค้าที่จำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จะต้องซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรในปริมาณที่สอดคล้องกับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในราคาที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ได้จำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ณ อัตราน้ำมันร้อยละ ๑๘ โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับภาระในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการเก็บรักษา..”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2927 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าควบคุมการก่อสร้างอาคารสำนักงานสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย | ยธ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงานสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยและสิ่งก่อสร้างประกอบ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ๑ แห่ง จากวงเงินเดิมจำนวน ๘,๗๔๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงินจำนวน ๑๘,๑๔๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีเฉพาะราย ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๕,๖๘๖,๓๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑๒,๔๕๓,๗๐๐ บาท ให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) จัดทำรายละเอียดแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป และเนื่องจากค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารดังกล่าวมีระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีตามที่กรอบได้อนุมัติไว้ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) จะต้องเสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๗ (๒) ๒. เมื่อสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ให้เสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของราคาอีกครั้งหนึ่งก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขอให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๓๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2928 | นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | ดศ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) (แผนฯ ๒๐ ปี) สำหรับการประกาศใช้เป็นนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๙ หรือจนกว่าจะมีการแก้ไขปรับปรุงนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๑.๒ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) (แผนฯ ๕ ปี) โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑.๓ มอบหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประกาศใช้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แผนฯ ๒๐ ปี) โดยทำเป็นประกาศพระบรมราชโองการและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑.๔ มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรอิสระ และหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมทั้งคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกิจการใด ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลทุกหน่วยดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แผนฯ ๒๐ ปี) รวมทั้งนำแผนฯ ๕ ปี ไปเป็นแนวทางในการจัดทำแผนงาน โครงการรองรับ และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐให้สอดคล้องเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑ ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำแผนฯ ๒๐ ปี และแผนฯ ๕ ปี ไปเป็นกรอบในการกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ และกรอบการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการในแต่ละปีงบประมาณ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดตัวชี้วัดของหน่วยงานของรัฐให้สอดคล้อง พร้อมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการในการวางแผนการสร้างและพัฒนากำลังคนดิจิทัลของรัฐให้สอดคล้องกับความต้องการตามบริบทการพัฒนาของประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนดรายละเอียดกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานรองรับ ๑.๖ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ เฉพาะในส่วนที่ให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัล ระยะ ๓ ปี ของหน่วยงาน และมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดในแผนฯ ๒๐ ปี และแผนฯ ๕ ปี จัดทำหรือปรับปรุงแผนปฏิบัติการ หรือแผนงานของหน่วยงานที่มีอยู่ให้สอดคล้อง โดยมุ่งเน้นการทำงานในลักษณะบูรณาการร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำหรับนำเสนอคณะกรรมการเฉพาะด้านตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เช่น การกำหนดมาตรการและแนวทางการส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการอินเทอร์เน็ตประชารัฐให้มากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูล แนวทางในการพัฒนาตัวชี้วัดให้ครอบคลุมเป้าหมายและยุทธศาสตร์ในแผนทั้งสองฉบับ และการกำหนดให้มีรายละเอียดการดำเนินงานในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้สามารถนำนโยบายไปถ่ายทอดสู่การปฏิบัติของหน่วยงานระดับต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับปรุงระยะเวลาของแผนฯ ๒๐ ปี จากเดิม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ เป็น พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงเนื้อหาของแผนฯ ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติตามความจำเป็นเหมาะสมด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2929 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2561 | กค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ (๒) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ และ (๓) การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๖ แห่ง ได้แก่ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2930 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ | วท | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) สำหรับการประชุมว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ มีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) การตระหนักถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน (๒) การตระหนักถึงบทบาทของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ที่จะช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติและการสร้างความร่วมมือระหว่าง IAEA และรัฐสมาชิกเพื่อผลักดันการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง (๓) การส่งเสริมบทบาทสตรีในด้านวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ และการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมระหว่างสตรีและบุรุษในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ (๔) การตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการวิจัยและพัฒนา และการส่งเสริมการศึกษาด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ และ (๕) การสนับสนุนความร่วมมือระหว่างรัฐสมาชิกและภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อผลักดันการดำเนินการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ให้ก้าวหน้าต่อไป ๑.๒ ให้อุปทูตรักษาราชการ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา หรือผู้แทน ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ ในช่วงระหว่างการประชุม Ministerial Conference on Nuclear Science and Technology ตั้งแต่วันที่ ๒๘-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย ๑.๓ ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สามารถดำเนินการได้ โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2931 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพิ่มเติม | นร07 | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมการปกครองก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพิ่มเติม จำนวน ๑ รายการ ในแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน โครงการสนับสนุนการบูรณาการงานในพื้นที่เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการ งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง รายการค่าก่อสร้างอาคารที่พักผู้เดินทางและอเนกประสงค์ ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑ แห่ง วงเงิน ๑๔๓.๖ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ประกอบด้วย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๒๘.๗ ล้านบาท ผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๑๑๔.๙ ล้านบาท เงินสำรองจ่ายเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๗.๒ ล้านบาท รวมวงเงินภาระผูกพัน ๑๕๐.๘ ล้านบาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รัยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2932 | การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย กับสภาวิจัยแห่งชาติ แคนาดา | วท | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย กับสภาวิจัยแห่งชาติ แคนาดา (National Research Council Canada : NRC) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การใช้งานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ การพัฒนากิจการร่วมค้าหรือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของทั้งสองประเทศ และความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก เทคโนโลยีและการวิจัยเชิงอุตสาหกรรมด้านระบบราง และการบำบัดโรคในมนุษย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ประมาณวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2933 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร | กษ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างและสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ความร่วมมือทางด้านวิชาการและทางวิทยาศาสตร์ในสาขาเกษตรระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติต่อความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ ซึ่งอาจมีการพิจารณาในอนาคต โดยได้กำหนดสาขาความร่วมมืออย่างกว้าง ๆ ที่คู่ภาคีกำหนดไว้ เช่น การพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาสหกรณ์การเกษตรและสถาบันเกษตรกร การพัฒนาความร่วมมือในด้านความมั่นคงทางอาหารและความปลอดภัยอาหาร และการเสริมสร้างความร่วมมือและการประสานงานกับองค์กรระหว่างประเทศในภูมิภาค และนานาชาติ เป็นต้น โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณกรณีหากมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ เห็นควรพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2934 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (สำหรับชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560) | ยธ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๑๐๓,๙๗๙,๕๐๐ บาท เพื่อชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างจ่ายตามที่ได้จ่ายจริง รวมทั้งให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วนราชการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเมินผลการดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ ในการลดจำนวนผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ และนำแนวทางที่พบว่ามีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพไปขยายผลในการปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้นต่อไป รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการการลงโทษในรูปแบบอื่นนอกจากโทษจำคุก หรือปรับปรุงมาตรการเดิมเพื่อให้สามารถลดจำนวนผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ได้มากยิ่งขึ้นและมีความยั่งยืน ทั้งนี้ ในการประเมินผลและการพิจารณากำหนดหรือปรับมาตรการการลงโทษดังกล่าวควรมีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วนด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการผลิตพลังงานทดแทนเพิ่มเติมจากแนวทางเดิมที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยอาจนำข้อมูลที่กระทรวงพลังงานได้มีการสำรวจไว้แล้วมาศึกษาขยายผล เช่น การติดตั้งแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) บนหลังคาเรือนจำหรือทัณฑสถาน การใช้พลังงานชีวมวล เป็นต้น เพื่อช่วยลดภาระงบประมาณสำหรับค่าสาธารณูปโภคของกรมราชทัณฑ์ในปีต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2935 | การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการได้อย่างบรรลุผล เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ต้องการให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศยิ่งขึ้น จึงมีมติให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดว่า ในขั้นการริเริ่มแผนงาน/โครงการ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเจ้าของแผนงาน/โครงการพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า ตลอดจนตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน เช่น ความพร้อมทางกายภาพของที่ตั้งโครงการ สภาพภูมิศาสตร์ กรรมสิทธิ์ครอบครอง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แบบรูปรายการที่เหมาะสม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงความพร้อมและความถูกต้อง ในกรณีที่ต้องมีการขอใช้ประโยชน์ในที่ดิน/พื้นที่ป่า รวมทั้งในกรณีที่ต้องมีการจัดหาพัสดุก็ให้มีการตรวจสอบ และพิจารณากำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ให้ชัดเจนล่วงหน้า เพื่อให้พร้อมสำหรับการดำเนินการตามกระบวนการจัดหาพัสดุดังกล่าวได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว และไม่เป็นอุปสรรค ทำให้แผนงาน/โครงการดังกล่าวเกิดความชะงักล่าช้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2936 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2561 | นร11 | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งได้มีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญ เช่น การสรรหาและผลการคัดเลือกผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี และนครพนม การปรับอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคายและมุกดาหาร และแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส และรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เช่น การดำเนินงานด้านสิทธิประโยชน์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร การวางและจัดทำผังเมืองรวมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2937 | ขออนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณคลองบางนาง แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ 1-2) โดยอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับป่าชายเลน | พน | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ (เรื่อง การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ป่าชายเลนประเทศไทย) วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (เรื่อง รายงานการศึกษาสถานภาพปัจจุบันของป่าไม้ชายเลนและปะการังของประเทศ) และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อให้ กฟผ. ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนในการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) เนื้อที่ประมาณ ๒,๓๐๕ ตารางเมตร ทั้งนี้ ให้ กฟผ. เร่งรัดดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าบางปะกง (ทดแทนเครื่องที่ ๑-๒) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๒ ตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงพลังงานกำชับให้ กฟผ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในการขุดลอกดินเพื่อคลองชักน้ำและก่อสร้างทำนบกั้นชั่วคราวระหว่างก่อสร้างบ่อพักน้ำ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ กฟผ. ใช้เงินรายได้ของ กฟผ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลน เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2938 | ขอยกเว้นมาตรการด้านบุคลากรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 เพื่อขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสามารถรับพนักงานได้ในกรอบอัตรากำลัง 19,241 อัตรา (พนักงาน 16,660 อัตรา และลูกจ้าง 2,581 อัตรา) | คค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบอัตรากำลังและแผนการสรรหาในระยะ ๑๐ ปี ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง จากเดิม ปี ๒๕๖๑-๒๖๗๐ เป็น ปี ๒๕๖๒-๒๕๗๑ ๒. เห็นชอบให้ รฟท. ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๔๑ (เรื่อง ขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน ๒,๑๐๐ ล้านบาท และเรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพิ่มเติมของการรถไฟแห่งประเทศไทย) โดยให้สามารถรับพนักงานเพิ่มได้เฉพาะในปีแรกของกรอบอัตรากำลังฯ (ปี ๒๕๖๒) จำนวนไม่เกิน ๑,๙๐๔ อัตรา แล้วให้ รฟท. นำกรอบอัตรากำลังฯ แผนฟื้นฟูกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งแนวทางการดำเนินการของ รฟท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมของกรอบอัตรากำลังในภาพรวมให้ชัดเจน ก่อนดำเนินการสรรหาพนักงานเพิ่มในปีแรกต่อไป ทั้งนี้ ให้ รฟท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางในการบริหารทรัพยากรบุคคลให้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างองค์กรตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงการนำเทคโนโลยีชั้นสูงและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การกำหนดมาตรการและแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยการเพิ่มรายได้ ประหยัดรายจ่ายในด้านอื่น ๆ รวมถึงควบคุมการทำงานล่วงเวลา การทำงานในวันหยุดและการทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ให้เป็นไปเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การบริการประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการพิจารณาบรรจุอัตรากำลังตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาและบริหารจัดการพนักงานให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งเร่งรัดติดตามการลงทุนให้เป็นไปตามแผน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2939 | โครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม | มท | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยายเพื่อรองรับพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ (เร่งด่วน) การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครพนม (ฉบับปรับปรุง) จากเดิมก่อสร้างในที่ดินบริเวณโคกภูกระแต เป็นก่อสร้างในที่ดินของ กปภ. สาขานครพนม วงเงินเต็มโครงการ ๗๖.๙๘๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และไม่ขัดต่อมาตรการที่ใช้ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ แต่ต้องคำนึงถึงการกัดเซาะพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งหากมีการนำน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินการผลิตน้ำประปา เพราะในระยะยาวการปล่อยให้พื้นที่ริมตลิ่งถูกกัดเซาะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของกระแสน้ำ ส่งผลให้เกิดการทรุดตัวของดินและการสูญเสียแผ่นดินในบริเวณริมตลิ่งเพิ่มมากขึ้น และเห็นควรให้ กปภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เช่น ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต การบริหารจัดการ และลดอัตราน้ำสูญเสียให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนด้านการจราจรในช่วงระหว่างก่อสร้างโครงการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับให้ กปภ. ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) สำหรับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ กปภ. ในคราวต่อ ๆ ไป อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2940 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 เรื่อง ขอความเห็นชอบส่งคืนพื้นที่สวนป่าสมเด็จ เนื้อที่ 900 ไร่ ให้กรมป่าไม้ เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล | ทส | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ส่งคืนพื้นที่สวนป่าสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ แปลงปลูกปี ๒๕๒๒ และแปลงปลูกปี ๒๕๒๖ ตามที่สำรวจรังวัดได้จริง จำนวน ๗๕๖-๐-๙๖ ไร่ ให้กรมป่าไม้เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า เมื่อส่งมอบพื้นที่สวนป่าสมเด็จให้กรมป่าไม้เพื่อนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนแล้ว เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ รวมถึงการคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีที่ดินทำกิน เพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดินตามหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเห็นชอบอย่างเคร่งครัด สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นภายหลังที่กรมป่าไม้ได้รับมอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับแปลงปลูกปี ๒๕๒๒ และแปลงปลูกปี ๒๕๒๖ เนื้อที่รวม ๑๓๔-๓-๐๔ ไร่ ที่จะนำมาสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินเพิ่มเติม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบความพร้อมในด้านต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ เช่น สภาพพื้นที่ การพิสูจน์สิทธิ์ร่องรอยและการเข้าทำประโยชน์ การตรวจสอบคุณสมบัติของราษฎรตามหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีราษฎรเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ได้ข้อยุติก่อน และเมื่อมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ แล้ว จึงให้นำพื้นที่ดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
.....