ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 201 | รายงานการเข้าร่วมประชุมนานาชาติระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงด้านพลศึกษาและกีฬา ครั้งที่ 6 (6th International Conference on Ministers and Senior Officials Responsible for Physical Education and Sport) ณ เมืองคาซาน สหพันธรัฐรัสเซีย | กก | 15/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเข้าร่วมประชุมนานาชาติระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงด้านพลศึกษาและกีฬา ครั้งที่ ๖ (6th International Conference on Ministers and Senior Officials Responsible for Physical Education and Sport) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อวันที่ ๑๔-๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จัดโดยองค์การยูเนสโก ณ เมืองคาซาน สหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมนานาชาติระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงด้านพลศึกษาและกีฬา มีประเด็นสำคัญใน ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การพัฒนากีฬาเพื่อคนทั้งมวลให้เข้าถึงกีฬาอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีการแบ่งแยก หรือกีดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสตรี เยาวชน และคนพิการ (๒) การส่งเสริมให้กีฬามีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ยั่งยืนและนำไปสู่สันติภาพตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในปี ๒๐๓๐ ขององค์การสหประชาชาติ และ (๓) การปกป้องจรรยาบรรณทางการกีฬา ส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดี โปร่งใส มีคุณธรรมและจริยธรรม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แสดงความคิดเห็นสนับสนุนต่อแผนปฏิบัติการคาซาน (Kazan Action Plan) ประเทศไทยจะนำแผนปฏิบัติการดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาพลศึกษาและการกีฬาของประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมใน ๕ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการสนับสนุนพลศึกษาและการกีฬาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม (๒) การให้การช่วยเหลือองค์กรและสมาคมกีฬาให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ (๓) การส่งเสริมกีฬาเพื่อคนทั้งมวล (๔) การผลักดันให้ E-Sport ได้รับการยอมรับเป็นชนิดกีฬา และ (๕) การช่วยเหลือประเทศเล็ก ๆ ให้สามารถก้าวตามข้อกำหนดต่าง ๆ ในการตรวจสารต้องห้ามทางการกีฬาได้ทัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 202 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "ผลกระทบของดอกเบี้ยต่ำต่อการออมของภาคประชาชนและผู้บริหารการลงทุน" ของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 08/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “ผลกระทบของดอกเบี้ยต่ำต่อการออมของภาคประชาชนและผู้บริหารการลงทุน” ซึ่งกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีความตระหนัก ความเข้าใจ และความพร้อมในการออมเงินให้เพียงพอต่อการดำรงชีพในยามชราภาพ รวมทั้งเพื่อให้ผู้บริหารการลงทุนมีการวางแผนเตรียมรับมือต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการและแผนที่จะดำเนินการที่สอดคล้องกับข้อเสนอแนะดังกล่าว สำหรับประเด็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ให้รัฐบาลใช้อำนาจฝ่ายบริหารในการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จนำนาญแห่งชาติ นั้น เห็นควรให้จัดตั้งโดยตราเป็นพระราชบัญญัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 203 | การประกาศเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ตุรกี | พณ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการประกาศเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทย-ตุรกี การหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และการเจรจาจัดทำ FTA ครั้งที่ ๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมลงนามในปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ตุรกี (Joint Declaration on the Launch of Negotiations for the Turkey-Thailand Free Trade Agreement) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจตุรกี เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ สำหรับการเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างไทย-ตุรกี ครั้งที่ ๑ เริ่มต้นหลังจากการประกาศเปิดการเจรจา โดยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและอธิบดีกรมกิจการสหภาพยุโรป กระทรวงเศรษฐกิจตุรกี เป็นประธานร่วม ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้กำหนดระยะเวลา แผนงานการเจรจา และแบ่งกลุ่มคณะทำงานเพื่อเร่งสรุปผลการเจรจาในปลายปี ๒๕๖๑ ตามที่รัฐมนตรีสองฝ่ายได้ตกลงไว้ร่วมกัน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจตุรกี โดยประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน ประกอบด้วย (๑) การใช้จุดแข็งด้านที่ตั้งยุทธศาสตร์เป็นประตูการค้าและการลงทุนระหว่างกัน (๒) เป้าหมายการค้าทวิภาคี (๓) เป้าหมายการเจรจา FTA (เฉพาะการค้าสินค้า) (๔) การรื้อฟื้นกรอบการหารือทวิภาคี (๕) การขยายการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกัน และ (๖) ความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน เช่น อุตสาหกรรมสินค้าและบริการฮาลาล การเรียนรู้ประสบการณ์ด้านการสนับสนุน/ส่งเสริมเกษตรกรตุรกี รวมทั้งได้หารือกับผู้บริหารบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทยเพียงบริษัทเดียวในตุรกีในการทำธุรกิจอาหารสัตว์ เพาะพันธุ์ไก่ แปรรูปเนื้อไก่ ไข่ และอาหารสำเร็จรูปครบวงจรในตุรกี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 204 | แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ [ถูกยกเลิกโดยมติ ครม. เมื่อวันที่ 20/02/67 (ว 90/67)] | กค | 18/07/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบแนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้นำ Skill Matrix มาใช้ในการพิจารณาสรรหาและแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ๑.๒ ในการแต่งตั้งกรรมการอื่นที่มิใช่กรรมการโดยตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจแห่งใด ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาเสนอชื่อจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการอื่นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๓ ห้ามมิให้มีการแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุดหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งแห่งใดเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจอื่น เว้นแต่กรณีที่มีกฎหมายกำหนด หรือกรณีการแต่งตั้งเป็นกรรมการในคณะกรรมการของบริษัทที่รัฐวิสาหกิจนั้นถือหุ้นอยู่ ๑.๔ ไม่แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ข้าราชการการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเพิ่มเติม ๑.๕ ให้มีผู้แทนกระทรวงการคลังที่เป็นข้าราชการประจำในกระทรวงการคลังเป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของทางราชการในฐานะผู้ถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจ ๑.๖ ให้มีผู้แทนกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจที่เป็นข้าราชการประจำในกระทรวงเจ้าสังกัดซึ่งไม่อยู่ในหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น (Regulator) จำนวน ๑ คน เป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงนโยบายจากกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ กรณีมีเหตุจำเป็นอาจแต่งตั้งเพิ่มเติมได้อีกไม่เกิน ๑ คน ๑.๗ ในกรณีที่กฎหมายจัดตั้งของรัฐวิสาหกิจกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งใดในส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นเป็นกรรมการ และผู้ดำรงตำแหน่งนั้นจะมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนในตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นพิจารณามอบหมายผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในหน่วยงานในสังกัดที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีเวลา และเหมาะสมกับความต้องการในการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาของแต่ละรัฐวิสาหกิจนั้น โดยทำเป็นคำสั่งมอบอำนาจเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบชัดเจนและต่อเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ ๑.๘ กรณีกฎหมายจัดตั้งของรัฐวิสาหกิจกำหนดให้มีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ เป็นกรรมการในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ให้หน่วยงานนั้นแต่งตั้งจากบุคคลที่อยู่ในหน่วยงานเท่านั้น ๑.๙ ในกรณีที่ส่วนราชการแต่งตั้งข้าราชการประจำไปเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หากข้าราชการผู้นั้นเกษียณอายุหรือพ้นจากการเป็นข้าราชการประจำ ให้ส่วนราชการนั้นแต่งตั้งข้าราชการคนใหม่ไปแทนเนื่องจากข้าราชการผู้พ้นจากตำแหน่งแล้วไม่อยู่ในข่ายต้องได้รับโทษตามนัยพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดทางวินัยของข้าราชการซึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานที่มิใช่ส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๓๔ และเพื่อให้การกำกับดูแลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามนโยบายของส่วนราชการนั้น เว้นแต่ข้าราชการผู้ที่เกษียณอายุพ้นจากการเป็นข้าราชการประจำและส่วนราชการพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญในกิจการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ส่วนราชการนั้นจะพิจารณาให้บุคคลดังกล่าวยังคงเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่อไปจนครบวาระที่ยังเหลืออยู่ก็ได้ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงบทบัญญัติของกฎหมายรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ที่ให้อำนาจในการแต่งตั้งหรือถอดถอนประกอบด้วย เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการพ้นจากตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจและบทกำกับข้าราชการที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 205 | สรุปผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม-๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยสาระสำคัญของการเยือน ได้แก่ (๑) การลงนามแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม [Illegal, Unreported and Unregulated (IUU) Fishing] ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงแห่งประเทศญี่ปุ่นร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น (๒) การประชุมหารือความร่วมมือด้านการเกษตรกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงญี่ปุ่น ในประเด็นการส่งเสริมความร่วมมือและสนับสนุนการต่อต้านการทำประมง IUU ระหว่างกัน การสนับสนุนและผลักดันการดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการเกษตรของทั้งสองประเทศ และการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้กับรัฐมนตรีจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๗ ในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ (๓) การประชุมหารือความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ และ (๔) การประชุมหารือความร่วมมือด้านสหกรณ์กับผู้บริหารของสหกรณ์การเกษตรฟุเอะฟุกิ ณ จังหวัดยามานาชิ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้เกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการสหกรณ์การเกษตรของญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 206 | แนวทางการเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูงและการประเมินความเหมาะสมของผู้ได้รับการแต่งตั้ง | นร | 27/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางการเสนอแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารรดับสูงและการประเมินความเหมาะสมของผู้ได้รับการแต่งตั้ง ดังนี้
๑. เพื่อให้การพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหารระดับสูงเป็นไปอย่างเหมาะสม รอบคอบ และเป็นการพิจารณาการแต่งตั้งในภาพรวมอันจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายของรัฐบาล จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ดำเนินการรวบรวมรายชื่อข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง (เฉพาะตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง) ของทุกหน่วยงานที่จะเสนอแต่งตั้งต่อคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วนภายใน ๒ สัปดาห์ แล้วให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ในการพิจารณาแต่งตั้ง/โยกย้าย/ปรับเลื่อนระดับข้าราชการของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยคำนึงถึงความมีวิสัยทัศน์ในการปฏิบัติงาน ความสามารถในการเชื่อมโยงภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนแนวทางการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและนโยบายของรัฐบาล โดยให้ถือว่าคุณสมบัติดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความเหมาะสมของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งในระดับผู้บริหารของหน่วยงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการในภาพรวมของแต่ละหน่วยงานได้มีโอกาสเจริญเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ของตนได้ตามสมควรด้วย ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นตามหลักอาวุโสด้วย โดยให้พิจารณาจัดแบ่งข้าราชการทั้งหมดออกเป็น ๓ กลุ่ม และกำหนดสัดส่วนของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งของแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนเหมาะสม กล่าวคือ (๑) กลุ่มผู้อาวุโสมาก (๒) กลุ่มผู้อาวุโสที่สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ความรับผิดชอบได้ผลดี และ (๓) กลุ่มผู้อาวุโสน้อย แต่มีความรู้ความสามารถความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงานได้อย่างสัมฤทธิ์ผลโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 207 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาและยกระดับสมรรถนะมาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาและยกระดับสมรรถนะมาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว ได้แก่ (๑) การดำเนินการด้านการสรรหาผู้บริหารสถานศึกษา ได้กำหนดให้มีการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีการประเมินความรู้ความสามารถทั่วไป สมรรถนะทางการบริหาร และความเหมาะสมกับตำแหน่ง และกำหนดให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดหรือคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแต่งตั้งเป็นผู้ดำเนินการคัดเลือก (๒) การปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะผู้บริหารสถานศึกษา โดยการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ ลักษณะงานที่ปฏิบัติ คุณลักษณะและสมรรถนะที่จำเป็น คุณสมบัติเฉพาะสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งและผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (๓) การดำเนินการด้านการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษาและผู้อำนวยการสถานศึกษา และกำหนดให้มีระยะเวลาการพัฒนาไม่น้อยกว่า ๖๐ ชั่วโมง หากผ่านการพัฒนาจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากำหนด และจะต้องได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานในหน้าที่เป็นระยะเวลาอีก ๑ ปี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 208 | ผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) | นร04 | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ เมษายน ๒๕๖๐ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือแนวทางปฏิบัติของญี่ปุ่นเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินสะอาด การฝึกอบรมและการวิจัยและพัฒนาเพื่อเตรียมบุคลากรรองรับกิจการด้านดาวเทียม ระบบรางและรถไฟความเร็วสูง การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (smart city) และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยได้ประชุมและหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคมและการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JETRO) และประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ในเรื่องการนำเทคโนโลยีของญี่ปุ่นไปใช้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ การสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นในโครงการปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ โครงการพัฒนาดาวเทียมในไทย การสนับสนุนการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์ รวมทั้งศึกษาดูงานและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารของบริษัท/หน่วยงานต่าง ๆ ในญี่ปุ่น เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินนะคะโสะ จังหวัดฟุคุชิมะ บริษัท Mitsubishi Electric และ Tokyo Institute of Technology เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 209 | การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | กค | 30/05/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยไม่มีกลไกการรับประกันผลตอบแทนสำหรับการระดมทุนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาทิ การกำหนดอัตราคิดลดลงให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงไปกว่าการระดมทุนของกองทุนรวมอื่น ๆ และใกล้เคียงกับต้นทุนทางการเงินในการกู้เงินหรือการออกพันธบัตร การปรับลดระยะเวลาของสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ค่าผ่านทาง (RTA) ความคล่องตัวและความเป็นอิสระในการบริหารงานของ กทพ. การศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบในการใช้แหล่งเงินจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาและถ่ายทอดความรู้ด้านการบริหารจัดการการเงินสมัยใหม่ให้แก่บุคลากรของ กทพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่จะดำเนินการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ในระยะต่อไป รวมทั้งความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม กทพ. ร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งจัดทำร่างสัญญาโอนและรับสิทธิโอนในรายได้ (Revenue Transfer Agreement : RTA) รวมทั้งรายละเอียดในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จเพื่อส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๑.๒ ให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการจัดตั้งและกำกับการดำเนินงานของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (กองทุนรวมฯ) พิจารณากำหนดสัดส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมฯ ให้ชัดเจน เหมาะสม โดยให้ประชาชนรายย่อยในประเทศเป็นสัดส่วนหลักของกองทุนรวมฯ และให้ภาครัฐร่วมถือหน่วยลงทุนด้วยในระดับที่เหมาะสมเพื่อให้กองทุนรวมฯ มีความมั่นคงและสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน รวมทั้งให้กำหนดแผนปฏิบัติการและระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ตามขั้นตอนที่เหลืออยู่ให้มีความชัดเจน เหมาะสม เพื่อให้กองทุนรวมฯ สามารถเริ่มระดมทุนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคม และ กทพ. เร่งเตรียมการในส่วนของโครงการที่จะใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนของกองทุนรวมฯ ให้แล้วเสร็จเพื่อให้สอดรับกับแผนการระดมทุนของกองทุนรวมฯ และให้ทั้งสองส่วนสามารถดำเนินการควบคู่กันไปอย่างมีประสิทธิภาพตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งกองทุนรวมฯ เหตุผลความจำเป็น และผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในภาพรวม ตลอดจนผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมฯ ซึ่งเป็นแหล่งออมเงินรูปแบบใหม่ที่มีความมั่นคง เพื่อดึงดูดให้ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในกองทุนรวมฯ ได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ ให้เสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมฯ แก่ประชาชนรายย่อยในประเทศเป็นลำดับแรก ก่อนดำเนินการเสนอขายให้นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนสถาบันต่อไป ๓. ในการสรรหาผู้บริหารกองทุนรวมฯ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับการดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารกองทุนโดยตรง เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปด้วยความมีประสิทธิภาพและเป็นแหล่งเงินทุนใหม่ในการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 210 | การพิจารณาอนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ | ศธ | 25/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพและสื่อการเรียนการสอนแก่โรงเรียน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาและยกระดับคุณภาพมาตรฐานการจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สูงขึ้น และเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจและทัศนคติที่ดีระหว่างผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนชุมชนในพื้นที่โดยรอบโรงเรียนกับหน่วยงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนได้รับจัดสรรงบประมาณ งบเงินอุดหนุนเพื่อดำเนินโครงการฯ จำนวน ๒๘,๒๒๒,๙๐๐ บาท โดยเป็นค่าครุภัณฑ์/สิ่งก่อสร้าง จำนวน ๒๒,๕๒๔,๖๐๐ บาท และเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน ๕,๖๘๙,๓๐๐ บาท จึงเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 211 | สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2560 | คค | 25/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเพื่อทราบ ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (๒) แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (๓) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาจราจรและขนส่ง ระยะเร่งด่วนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (๔) ผลการดำเนินงานของคณะทำงาน ๕ คณะ ภายใต้คณะกรรมการบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา ๖ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการคมนาคมอย่างยั่งยืน ๒.๐ (Sustainable Mobility Project 2.0) : สาทรโมเดล (๒) ผลการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การมอบหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารจัดการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) (๓) การพิจารณาแนวเส้นทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ของ รฟม. ซึ่งเส้นทางซ้อนทับแนวเส้นทางโครงการรถไฟชานเมือง สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-สถานีศิริราช ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (๔) การศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) (๕) การจัดทำแผนหลักการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเมืองภูมิภาค และ (๖) ขอความเห็นชอบยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๗ เรื่อง พื้นที่ที่กำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดิน โครงการระบบขนส่งมวลชนขนาดรองสายสีทอง (สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน-ประชาธิปก)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 212 | โครงการภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 | กษ | 11/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี ๒๕๖๐/๖๑ (ด้านการผลิต) จำนวน ๓ โครงการ ระยะเวลา ๕ ปี (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๕,๘๗๑.๑๔๒ ล้านบาท ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการ โดยการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งใช้จ่ายจากเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการผลิตและขยายพันธุ์พืชก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๐๘๗.๕๐๕ ล้านบาท ซึ่งในส่วนของงบดำเนินงานจะต้องเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมของอัตราค่าใช้จ่ายและในส่วนของงบลงทุนจะต้องเสนอให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินโครงการ ก่อนจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณและรายละเอียดค่าใช้จ่าย แล้วขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ตามขั้นตอนต่อไป ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิคุณภาพดี ภายในวงเงินไม่เกิน ๕๗.๐๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่หลักเกณฑ์ใหม่) ภายในวงเงินไม่เกิน ๔๑๑.๐๒๕ ล้านบาท และ (๓) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ภายในวงเงินไม่เกิน ๖๑๙.๔๘๐ ล้านบาท ๑.๓ สำหรับงบประมาณที่จะขอรับจัดสรรตามแผนการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ นั้น เนื่องจากขณะนี้ล่วงเลยระยะเวลาในการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนปกติแล้ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดเตรียมความพร้อมของแต่ละโครงการแล้วจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณในขั้นตอนการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ (แปรญัตติ) ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการในปี ๒๕๖๐ แล้วนำเสนอสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรีพิจารณา ก่อนดำเนินการในปีต่อไป หากผลการดำเนินโครงการในปีแรกไม่เกิดผลสัมฤทธิ์หรือไม่คุ้มค่า ให้พิจารณายกเลิกโครงการ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีมาตรการในการกำกับ ควบคุม ดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นถึงวิธีในการบริหารจัดการ กำหนดให้มีคณะกรรมการ ผู้บริหารของส่วนราชการ และหัวหน้าโครงการ เพื่อรับผิดชอบดูแลโครงการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งรายงานการติดตามและประเมินผลโครงการฯ โดยเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ ทั้งในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตการลดต้นทุนการผลิต และรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบตามกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ควรติดตามและรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกปี มีการประเมินผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ้นสุดโครงการ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา หากมีการขยายผลการดำเนินการในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 213 | รายงานสรุปการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินเดียของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 04/04/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอินเดีย ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๗-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามแถลงการณ์ร่วมของนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียในโอกาสที่ไปเยือนสาธารณรัฐอินเดียของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๖-๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๙ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้พบและเจรจาความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงของรัฐมหาราษฏระและผู้บริหารหน่วยงานทางด้านวัฒนธรรมของเมืองมุมไบ โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมและการขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันในทุกมิติ การส่งเสริมความร่วมมือด้านพุทธศาสนา การสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนศิลปวัตถุ และการบริหารจัดการด้านพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการบริหารจัดการโบราณสถาน และศาสนศิลปะ/โบราณสถานของอินเดียในประเทศไทย ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Namaste Thailand in Mumbai 2017 ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเป็นธรรมในสังคม อินเดีย และกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ ณ พิพิธภัณฑ์ฉัตรปาตีศิวาจี เมืองมุมไบ ในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ โดยกระทรวงวัฒนธรรมสนับสนุนคณะนักแสดงจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และนิทรรศการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและนิทรรศการความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและอินเดีย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 214 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ 2560 เพิ่มเติม ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่จะครบกำหนดในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ เพิ่มเติม จำนวน ๖,๒๐๖.๖๖๐ ล้านบาท (ปรับโครงสร้างหนี้ โดยการไถ่ถอนพันธบัตรและชำระคืนเงินต้นเงินกู้ที่จะครบกำหนด) และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ขสมก. มีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องและการกู้เงินใหม่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะส่งผลให้ ขสมก. ไม่สามารถชำระคืนต้นเงินกู้ได้ และมีแนวโน้มเป็นภาระของภาครัฐอย่างชัดเจนในอนาคต โดยให้ ขสมก. เร่งพิจารณาหาแนวทางในการบริหารจัดการหนี้สินคงค้างที่มีจำนวนมาก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้ ขสมก. ปรับปรุงแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. โดยให้คำนึงถึงการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ ที่เห็นชอบการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ (เรื่อง นโยบายการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร) จากเดิมที่กำหนดหลักการให้ ขสมก. มีหน้าที่กำกับดูแลและเป็นผู้ให้บริการสาธารณะไปพร้อมกัน เป็นแยกหน้าที่การกำกับดูแล (Regulator) ให้กรมการขนส่งทางบก และให้ ขสมก. ดำเนินการในฐานะผู้ประกอบการ (Operator) ร่วมกับเอกชน และให้เสนอการปรับปรุงแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาตามขั้นตอนต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการประเมินผลการดำเนินงานและการกำกับดูแลการดำเนินงานของ ขสมก. ให้มีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เช่น กำหนดให้ตัวชี้วัดการดำเนินงานของ ขสมก. ที่มีผลต่อการประเมินผลงานของผู้บริหาร การประเมินผลตอบแทน และสภาพการจ้าง รวมทั้งเพิ่มความถี่ในการประเมินผลการดำเนินงานจากเดิมรายปี เป็นรายไตรมาส เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลและติดตามการนำเงินกู้ไปใช้จ่ายให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามมติคณะรัฐมนตรีและการชำระคืนเงินกู้อย่างใกล้ชิด และให้ ขสมก. ชี้แจงรายละเอียดการใช้จ่ายเงินกู้ต่อสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะทุกครั้งที่มีการนำเงินกู้ไปใช้จ่าย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 215 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 14/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักรับร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นต่าง ๆ เช่น ผู้มีอำนาจแต่งตั้งผู้รักษาการแทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ และการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดค่าตอบแทนการทำหน้าที่ของผู้รักษาการแทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมายรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 216 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | สว | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณ สรุปได้ว่า คณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาจะออกประกาศขอบเขตการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามระดับชั้นและหลักสูตรทุกปีการศึกษา โดยพิจารณาจากมาตรฐานค่าเล่าเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ และได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสถานศึกษาที่เข้าร่วมดำเนินงานกับกองทุนฯ และในอนาคตควรมีการรวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาและกองทุนเพื่อการศึกษาที่ไม่ต้องชดใช้เงินคืนกองทุนนี้ไว้ด้วยกัน เพื่อให้การบริหารจัดการเกี่ยวกับการช่วยเหลือนักเรียนหรือนักศึกษาเกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวมของประเทศ สำหรับการมอบอำนาจการพิจารณาอนุมัติให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแก่นักเรียนหรือนักศึกษา คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา โดยกำหนดหลักเกณฑ์และคู่มือการดำเนินงานสำหรับสถานศึกษาอย่างชัดเจน รวมทั้งการมอบอำนาจให้ปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ คณะกรรมการกองทุนฯ จะกำหนดกรอบการดำเนินงานเป็นระเบียบ หรือประกาศ หรือแนวปฏิบัติอย่างชัดเจน นอกจากนี้ กองทุนฯ ยังมีนโยบายสมัครเป็นสมาชิกบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เพื่อใช้เป็นมาตรการหนึ่งในการติดตามการชำระหนี้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 217 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อกำหนดให้ผู้ทำการแทนผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน หรือผู้รักษาการแทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ หรือผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรตามกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจนั้นด้วย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาสร้างความชัดเจนในประเด็นต่าง ๆ ของร่างพระราชบัญญัติฯ เช่น ผู้มีอำนาจแต่งตั้งผู้รักษาการแทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ และการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดค่าตอบแทนการทำหน้าที่ของผู้รักษาการแทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ ก่อนมีผลใช้บังคับตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 218 | การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม | กค | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณากำหนดค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทน ควรพิจารณาค่างานของแต่ละตำแหน่งซึ่งครอบคลุมผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมดที่ลูกจ้างได้รับ และหลักเกณฑ์การพิจารณาสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ควรให้แก่พนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น อีกทั้งควรพิจารณาเฉพาะสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน โดยยกเว้นสิทธิประโยชน์พิเศษเพื่อมิให้เป็นภาระแก่รัฐวิสาหกิจ และเพื่อให้สอดคล้องกับการให้สิทธิประโยชน์ของหน่วยงานรัฐประเภทอื่น ๆ ส่วนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลที่เสนอให้ตัดสิทธิบุคคลในครอบครัว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างตามกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ปฏิบัติงานเป็นจำนวนมาก จึงควรเริ่มใช้สวัสดิการดังกล่าวกับพนักงานใหม่ และการพิจารณาสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานควรอยู่ภายใต้บรรทัดฐานที่เป็นธรรมและเหมาะสม โดยเฉพาะสิทธิ์เดิมของพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยได้รับ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแนวทางการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและสวัสดิการของพนักงานรัฐวิสาหกิจทั้งระบบให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ) และวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การปรับปรุงค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม) และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนหลักการของกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลไกการใช้อำนาจในการกำหนดค่าตอบแทน โบนัส และสวัสดิการของพนักงาน ผู้บริหาร และกรรมการ เพื่อให้มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่เหมาะสม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว เช่น ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๔. ในส่วนของเรื่องขอความเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงสุดของระดับหรือตำแหน่ง และเรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงการจ่ายโบนัสพนักงานการไฟฟ้านครหลวง ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งให้กระทรวงการคลังแล้ว นั้น ให้กระทรวงการคลังส่งเรื่องดังกล่าวคืนหน่วยงานเจ้าของเรื่องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางและหลักเกณฑ์ตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอในครั้งนี้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 219 | รายงานผลการประชุม LNG Producer - Consumer Conference 2016 และการประชุม The 27th Meeting of Energy Charter Conference and Ministerial Meeting | พน | 07/03/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม LNG Producer-Consumer Conference 2016 และการประชุม The 27th Meeting of Energy Charter Conference and Ministerial Meeting ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การสัมมนา LNG Producer-Consumer Conference 2016 โดยผู้บริหารระดับสูงทั้งจากภาครัฐและเอกชนทั่วโลกได้มีการหารือถึงแนวทางการสร้างความสมดุลระหว่างการผลิตและการใช้ ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) เพื่อให้ราคา LNG อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยประเทศไทยได้นำเสนอที่ประชุมเรื่อง นโยบายเพื่อรองรับการเติบโตและการขยายตัวของการใช้เชื้อเพลิง LNG และการนำเข้า LNG ของประเทศว่าภาครัฐได้เตรียมมาตรการรองรับการขยายตัวการนำเข้า LNG อย่างเหมาะสม และประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการซื้อขาย LNG ในภูมิภาคอาเซียนเพื่อสร้างความร่วมมือในการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานร่วมกัน ๒. การประชุม Energy Charter Conference ครั้งที่ ๒๗ เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานของประเทศที่เป็นสมาชิกของ Energy Charter มีแนวคิดหลักของการประชุมคือ ความสำคัญของ International Energy Charter กับความท้าทายของพลังงานโลก โดยเฉพาะการพัฒนาที่ยั่งยืนและการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า Energy Charter Treaty ที่มีอยู่ในปัจจุบันควรมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับการลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งรองรับรูปแบบของความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างและหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้หารือระดับทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น (METI) และประธานสถาบันวิจัยเศรษฐกิจพลังงานญี่ปุ่น (The Institute of Energy Economics of Japan : IEEJ) ซึ่งมีประเด็นหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการทั้งสองประเทศเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองร่วมกันให้ได้ราคาและปริมาณ LNG ที่เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น การสนับสนุนเทคโนโลยีการบริหารจัดการ LNG ที่ทันสมัย ก้าวหน้า และมีประสิทธิภาพ การลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทย และการจัดตั้งหน่วยงาน ศูนย์ข้อมูลพลังงานไทย (The Institute of Energy Economics of Thailand : IEET) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 220 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูง ระดับโลกให้มาทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) | กค | 28/02/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อจูงใจผู้มีความสามารถสูงระดับโลกให้มาทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) มีสาระสำคัญเป็นการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจัยซึ่งทำงานในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการที่อยู่ใน ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร จากอัตราก้าวหน้า (Progressive Rate) เป็นร้อยละของเงินได้สุทธิ (เงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) ตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เหลืออัตราร้อยละ ๑๗ ของเงินได้พึงประเมิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์ที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้มีความสามารถสูงที่ยังไม่มีในประเทศไทย ควรมีการพิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) ต่อสถานการณ์ เงื่อนไข ตลอดจนสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ของประเทศไทย และไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับชาวไทยและชาวต่างชาติที่ปัจจุบันทำงานอยู่ในประเทศไทยด้วย และการกำหนดคุณสมบัติที่ชัดเจนของผู้มีความสามารถสูงระดับโลกทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจะมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้บรรลุผลตามเจตนารมณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
