ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 15 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 281 - 300 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 281 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 13 ระหว่างวันที่ 12 - 19 เมษายน 2558 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ | ยธ | 19/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ ๑๓ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๙ เมษายน ๒๕๕๘ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ซึ่งมีพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงเป็นองค์ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมกว่า ๑๔๐ ประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นหลักของการประชุมในครั้งนี้คือ การบูรณาการการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาในวาระของสหประชาชาติเพื่อรับมือกับสิ่งท้าทายด้านเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งส่งเสริมหลักยุติธรรมในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของสาธารณะ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาทรงผลักดันประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับมาตรฐานและบรรทัดฐานของสหประชาชาติด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาที่มีกลุ่มเป้าหมายคือ ประชากรกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะการส่งเสริมการอนุวัติ “ข้อกำหนดกรุงเทพฯ” (Bangkok Rules) ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและยุทธศาสตร์ต้นแบบและมาตรการในเชิงปฏิบัติของสหประชาชาติในการขจัดความรุนแรงต่อเด็ก (UN Model Strategies and Practical Measures on the Elimination of Violence against Children in the Field of Crime Prevention and Criminal Justice) ในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมโดยแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การต่อต้านการทุจริต ปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ ส่วนอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ไทยได้ให้ความสำคัญในประเด็นหลักคือ อาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม และอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศจากเด็กผ่านสื่อออนไลน์ ๒. ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมที่สำคัญคือ ร่างปฏิญญาโดฮา (Doha Declaration) ซึ่งครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น ความเชื่อมโยงระหว่างระบบยุติธรรมที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพกับหลักนิติธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน การปกป้องสิทธิมนุษยชนในบริบทของการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านความรุนแรงต่อเด็กและสตรี และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนด้านการป้องกันอาชญากรรม ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและปลัดกระทรวงยุติธรรมได้เข้าร่วมการหารือทวิภาคีกับผู้นำประเทศและผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดี หาลู่ทางส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในพัฒนาการต่าง ๆ ของประเทศไทย ๔. ผลจากการประชุมครั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมเห็นควรมุ่งเน้นการดำเนินการเชิงนโยบายในบริบทของการติดตามผลการประชุมใน ๓ ด้านหลัก ได้แก่ ส่งเสริมประเด็นด้านสตรีในกระบวนการยุติธรรม ส่งเสริมการเผยแพร่และการอนุวัติยุทธศาสตร์ต้นแบบและมาตรการเชิงปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยการขจัดความรุนแรงต่อเด็กในกระบวนการยุติธรรม และริเริ่มการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การป้องกันอาชญากรรมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลัก เพื่อผลักดันให้เกิดการบูรณาการและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมโดยเน้นมิติ “เชิงป้องกัน” เป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 282 | วีดีทัศน์สรุปความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู้ประชาคมอาเซียน รายงานผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนางจูลี บิชอป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าเครือรัฐออสเตรเลีย และรายงานผลการจัดกิจกรรม ASEAN Festival ที่สยามพารากอน | กต | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานเกี่ยวกับความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนางจูลี บิชอป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าเครือรัฐออสเตรเลีย และรายงานผลการจัดกิจกรรม ASEAN Festival ที่สยามพารากอน สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ณ ตึกสันติไมตรีหลังในทำเนียบรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรีและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมและรับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการทั้ง ๓ เสาหลัก ได้แก่ เสาการเมืองและความมั่นคง เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งการประชาสัมพันธ์และด้านกฎหมาย โดยมีความก้าวหน้าทั้งการดำเนินงานและการจัดทำแผนงานรองรับ ๕ ปี ยุทธศาสตร์ ๑๐ ปี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบแนวทางและเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการวางแผนอย่างมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน รวมทั้งประสงค์ให้ประเทศสมาชิกอาเซียนมีการดำเนินงานที่สอดคล้อง เท่าเทียมกัน โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนในการรับทราบประโยชน์ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนางจูลี บิชอป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้าเครือรัฐออสเตรเลีย โดยเข้าเยี่ยมคำนับนายกรัฐมนตรีและหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความมุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของไทย พร้อมกันนี้ได้หารือกับ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และตอบรับเข้าร่วมประชุมระดับภูมิภาคสมัยพิเศษว่าด้วยเรื่องการแก้ปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมือง ซึ่งจะจัดขึ้นในประเทศไทยปลายเดือนพฤษภาคมนี้ รวมทั้งจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิรูปการเมือง นอกจากนั้นยังได้ร่วมกันเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการโคลัมโบฉบับใหม่ โดยมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนออสเตรเลีย เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชีย ๓. การจัดกิจกรรม ASEAN Festival พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เปิดงาน ASEAN Festival ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ สยามพารากอน ร่วมกับคณะทูตอาเซียนประจำประเทศไทย เพื่อช่วยกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความสนใจ ตื่นตัวและมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาเซียน และประชาคมอาเซียน โดยในงานประกอบด้วยนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับอาเซียน การเสวนาในหัวข้อต่าง ๆ กิจกรรมบันเทิง และการแสดงศิลปะและวัฒนธรรม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 283 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการ) | กค | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๘๕ โดยแก้ไขเพิ่มเติมให้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง ในกรณีที่มีกรรมการในคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ รวมทั้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ในการตรวจพิจารณาด้วย เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๒. ให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแก้ไขให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน และคณะกรรมการระบบการชำระเงิน ตามจำนวนที่ระบุไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จะทำให้องค์ประกอบของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีจำนวนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะกรรมการที่เหลืออยู่หรือมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนคณะกรรมการโดยตำแหน่งซึ่งเป็นผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีผลให้ขาดการถ่วงดุลอำนาจของผู้แทนในคณะกรรมการที่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทย และในกรณีที่กรรมการคณะใดคณะหนึ่งไม่ครบองค์ประชุม คณะกรรมการที่เหลืออยู่ควรมีองค์ประกอบของผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก จึงจะสามารถประชุมต่อไปได้ รวมทั้งควรมีการบัญญัติให้มีการเปิดเผยบัญชีทรัพย๋สินของคณะกรรมการดังกล่าวก่อนเข้ารับการดำรงตำแหน่งและหลังการออกจากตำแหน่ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 284 | การป้องกันและระงับอัคคีภัยอันเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน | อก | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าของการป้องกันและระงับอัคคีภัยอันเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน ของกระทรวงอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการป้องกันการเกิดอัคคีภัย ๑.๑.๑ ด้านกฎหมาย ได้มีการทบทวนประกาศหลักเกณฑ์ เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยเพื่อให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานได้มีส่วนร่วมเสนอความเห็นและเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง และได้เพิ่มมาตรการป้องกันอัคคีภัยโดยให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานทำการตรวจประเมินตนเอง รวมทั้งจัดทำรายงานผลการตรวจประเมินความปลอดภัยให้กระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทุก ๕ ปี เพื่อประกอบการพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว สำหรับโรงงานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอัคคีภัยและมีอายุประกอบกิจการมากกว่า ๑๐ ปี จะเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับ ดูแล โดยให้มีการจัดส่งรายงานผลการประเมินและรายงานความปลอดภัยตามกฎหมายต่างๆ ทุก ๒ ปี ๑.๑.๒ ด้านการส่งเสริมความปลอดภัยจากการเกิดอัคคีภัย จัดทำและเผยแพร่คู่มือแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัยภายในสถานประกอบกิจการโรงงาน จัดอบรมให้ความรู้ด้านการป้องกันและระงับอัคคีภัยภายในโรงงานแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ประกอบกิจการโรงงาน ๑.๑.๓ ด้านความร่วมมือกับภาคเอกชน ประสานงานกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดทำโครงการความร่วมมือ “พี่ช่วยน้องป้องกันอัคคีภัยในโรงงาน” เพื่อให้โรงงานที่มีความพร้อมมากกว่าช่วยเหลือโรงงานที่มีความพร้อมน้อยกว่า ๑.๑.๔ ด้านการบริหารจัดการ สนับสนุนให้มีโครงการบริหารจัดการเพื่อป้องกันและลดอัคคีภัยในโรงงานอย่างเป็นระบบ โดยใช้ Third Party ที่มีขีดความสามารถ เพื่อประเมินความเสี่ยง การจัดการระบบ การตรวจประเมิน รวมถึงการทดสอบระบบเป็นครั้งคราวเพื่อลดความเสี่ยงหรือความเสียหายจากการเกิดอัคคีภัย ๑.๑.๕ ด้านอื่น ๆ ปรับปรุงฐานข้อมูลสารเคมีในสถานประกอบกิจการโรงงาน เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ควบคุม และลดความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบในการระงับอัคคีภัยในกรณีเกิดเหตุ ประสานหน่วยงานที่มีภารกิจในการกำกับดูแลตามกฎหมายการป้องกันและระงับอัคคีภัยอันเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความปลอดภัยในการประกอบกิจการโรงงานสูงสุด ๑.๒ มาตรการระงับภัยในระหว่างเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ๑.๒.๑ ระหว่างเกิดเหตุอัคคีภัย เจ้าหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมจะเข้าตรวจสอบในพื้นที่เกิดเหตุและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันดำเนินการให้เหตุการณ์สงบโดยเร็ว พร้อมรายงานข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ให้ผู้บริหารทราบเป็นระยะ ๆ และจะมีการรายงานเข้าระบบ PMOC ของศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรีโดยทันที ๑.๒.๒ เมื่อเหตุการณ์ยุติ พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจโรงงานและเครื่องจักรเพื่อตรวจสอบความเสียหายและพิจารณาดำเนินการสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไข หรือหยุดประกอบกิจการชั่วคราว โดยแล้วแต่กรณี พร้อมทั้งให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประกอบกิจการได้ตามปกติโดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานงานกับคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามแนวทางของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 285 | การปรับแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง | กค | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ อนุมัติในหลักการในการปรับแผนการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินงานของโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๑๕,๙๕๒.๙๖ ล้านบาท ตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว โดยมีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๑.๑ เนื่องจากแผนการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยของพนักงานมีวงเงินการดำเนินการที่เปลี่ยนแปลงไปจากวงเงินที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมค่อนข้างสูง แม้จะเป็นการเพิ่มสวัสดิการให้กับพนักงานแต่ควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม ไม่เป็นภาระต่อค่าใช้จ่ายของโรงงานยาสูบฯ ในระยะยาว โดยอาจดำเนินการจัดสวัสดิการรถรับส่งพนักงานตามจุดแวะรับเส้นทางหลัก และอาจมีสวัสดิการจ่ายค่าเช่าบ้าน หรือสวัสดิการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับพนักงานเพื่อซื้อบ้านบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้ ควรมีมาตรการในการกำกับดูแลการเข้าพักอาศัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดสวัสดิการและเกิดประโยชน์กับพนักงานที่มีความจำเป็น ๑.๑.๒ จากการทบทวนกระบวนการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตบุหรี่ โดยการนำเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมมาซ่อมแซมหรือปรับปรุงใหม่มาใช้มากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายการจัดหาเครื่องจักรใหม่ลง ทำให้ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมในอนาคต โรงงานยาสูบฯ ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวด้วย ๑.๑.๓ การนำเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมมาใช้มากขึ้นและการจัดหาเครื่องจักรใหม่ทำให้ต้องมีระยะเวลาในการขนย้าย จัดหา และติดตั้งเครื่องจักร โรงงานยาสูบฯ ควรพิจารณาดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยมีค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดเพื่อมิให้กระทบต่อการผลิตบุหรี่และแผนงานการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ ๑.๒ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีนโยบายให้นำหลักการโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เรื่อง “ข้อตกลงคุณธรรม” มาจัดทำเพื่อสกัดกั้นการทุจริตคอร์รัปชันโครงการของรัฐ จึงเห็นสมควรนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ในการจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตบุหรี่ของโรงงานยาสูบฯ ในส่วนที่เหมาะสมและสามารถดำเนินการได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาเห็นสมควร ๒. ในกรณีที่จะลงทุนก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยให้แก่พนักงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการย้ายสถานที่ทำการเป็นกรณีเร่งด่วน ให้กระทรวงการคลัง (โรงงานยาสูบ) พิจารณาทบทวนการก่อสร้างในลักษณะที่พอเพียง ประหยัด และคุ้มค่าในระยะยาว ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการเพิ่มสวัสดิการที่พักอาศัยให้พนักงาน รวมถึงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้บริหาร หัวหน้างาน และพนักงานที่ไปปฏิบัติงานไม่ประจำด้วย ควรดำเนินการเท่าที่จำเป็นและคำนึงถึงความประหยัดและคุ้มค่าที่โรงงานยาสูบจะได้รับ ตลอดจนมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการเพื่อให้การจัดการสวัสดิการในภาพรวมมีความเป็นธรรมและยั่งยืนอย่างแท้จริง และเห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่และการคืนพื้นที่ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้สามารถส่งคืนพื้นที่โรงงานในปัจจุบัน เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่สีเขียวตามแนวนโยบายรัฐบาลต่อไป รวมทั้งเร่งรัดและกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกำหนดระยะเวลา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 286 | ขอความเห็นชอบการปรับเพิ่มอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงพนักงานประจำรถ และปรับเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้แก่พนักงานประจำรถโดยสารไม่ประจำทางของบริษัท ขนส่ง จำกัด | คค | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้บริษัท ขนส่ง จำกัด ปรับเพิ่มอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงพนักงานประจำรถเพิ่มขึ้นอีก ๕ สตางค์ต่อกิโลเมตร และปรับเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้แก่พนักงานประจำรถโดยสารไม่ประจำทางเพิ่มขึ้นอีก ๒๕ บาทต่อวัน โดยให้มีผลตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาแนวทางหรือมาตรการในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้การปรับเพิ่มอัตราเบี้ยเลี้ยงพนักงานประจำรถและพนักงานประจำรถโดยสารไม่ประจำทางไม่เป็นภาระกับองค์กรและภาครัฐต่อไปในระยะยาว และเร่งจัดทำแผนกลยุทธ์ในการจัดหารายได้ให้เพียงพอกับการดำเนินกิจการ และปรับปรุงมาตรฐานการบริการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งดำเนินการตามแนวทางในการควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ที่ไม่กระทบต่อคุณภาพการให้บริการและการบริหารจัดการมาปฏิบัติใช้ให้เป็นรูปธรรม และให้ผู้บริหารบริษัท ขนส่ง จำกัด กำกับดูแลการดำเนินงานและติดตามประเมินผลให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้บริษัท ขนส่ง จำกัด กำหนดวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานเพื่อใช้ในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน โดยให้วัดผลจากประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและความพึงพอใจของผู้โดยสาร เพื่อเป็นการส่งเสริมพนักงานที่มีประสิทธิภาพและมีจิตใฝ่บริการให้อยู่ในองค์กร |
|||||||||||||||||||||||||||
| 287 | การปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานของผู้บริหารด้านการเสริมสร้างบทบาทหญิงชาย (Chief Gender Equality Officer - CGEO) | พม | 31/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานของผู้บริหารด้านการเสริมสร้างบทบาทหญิงชาย (Chief Gender Equality Officer - CGEO) ตามมติคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบออกแบบกลไกในการติดตามผลการดำเนินงานของ CGEO และเห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐรายงานผลการดำเนินงานประจำปีมายังสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ๑.๒ ให้แต่งตั้ง CGEO ระดับกระทรวง เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงาน โดยกำหนดให้ปลัดกระทรวง เป็น CGEO กระทรวง เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการเรื่องนี้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน เช่น โอกาสของหญิงชายในการดำรงตำแหน่ง การแต่งตั้ง โยกย้าย การสับเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างเหมาะสม และความก้าวหน้าในการประกอบวิชาชีพตามศักยภาพที่มีอยู่ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||
| 288 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติเพื่อรับรองวาระการพัฒนาภายในหลังปี ๒๐๑๕ และจัดทำข้อมูลสำหรับนายกรัฐมนตรี ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) ในพื้นที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางไปติดต่อได้สะดวก เช่น ห้างสรรพสินค้า (ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๗ เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวเกษตรกรสวนยางและผู้ประกอบการยางพารา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เริ่มดำเนินโครงการไปแล้ว นั้น ๒.๒.๑ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ กระทรวงกลาโหม (หน่วยทหารในพื้นที่) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความก้าวหน้า ความถูกต้อง และความโปร่งใสของการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการรับซื้อยางพาราว่าได้รับซื้อจากเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มสหกรณ์ชุมชนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ๒.๒.๒ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการรับซื้อน้ำยางสดจากเกษตรกรที่มีหัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานรายงานผลการตรวจสอบให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ๒.๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์กำหนดแนวทางการระบายยางพาราที่รับซื้อจากเกษตรกรรายย่อยและกลุ่มสหกรณ์ชุมชน และจัดหาผู้ประกอบการมาดำเนินการในการขนส่ง/ขนย้ายยางพาราดังกล่าว ๒.๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทบทวนองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมกำหนดมาตรการเพื่อเตรียมการรองรับผลผลิตทางการเกษตรที่จะออกมาในฤดูการผลิตใหม่ โดยให้ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดรายละเอียดกลุ่มเป้าหมาย ตลาดรับซื้อ การขนส่ง และการระบายผลผลิต ๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงอุตสาหกรรมให้การสนับสนุนนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขวางขึ้น เช่น การแปรรูปข้าวให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ การนำผ้าไหมไปผลิตเป็นกระเป๋าแฟชั่น ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสนับสนุนการพัฒนาและเร่งรัดการผลิตเครื่องสีข้าวขนาดเล็ก และส่งเสริมให้มีการนำไปใช้ในชุมชนขนาดเล็กและสหกรณ์การเกษตรต่าง ๆ ๒.๖ ให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมขนส่งทางรางต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ เพื่อใช้ประกอบในการเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีความสนใจที่จะร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมกับรัฐบาลไทย ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของชนชาติไทยให้แก่ประชาชนมีความภาคภูมิใจและให้นานาชาติได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์ของชาติไทย ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรระดับอุดมศึกษา โดยจำแนกให้ชัดเจนว่า สถาบันการศึกษาแต่ละประเภทจะมีหลักสูตรอย่างไรบ้าง ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ มหาวิทยาลัยทั่วไปมุ่งเน้นการศึกษาระดับปริญญาตรีตามแบบแผน (เช่น แพทย์ วิศวะ บัญชี รัฐศาสตร์) กลุ่มที่ ๒ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลมุ่งเน้นการพัฒนาสายเทคนิคและช่างอาชีวะ และกลุ่มที่ ๓ มหาวิทยาลัยราชภัฏมุ่งเน้นการพัฒนาครูและบุคลากรในภาคบริการ (เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม) และให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ส่งเสริมแนวทางการจัดการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาอาชีวะภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนในการเตรียมกำลังคนด้านอาชีวะให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจผ่านการเปิดโอกาสให้นักศึกษาอาชีวะได้ฝึกงานกับบริษัทต่าง ๆ ๓.๓ ให้กระทรวงศึกษาธิการและทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการกำหนดให้ผู้รับทุนการศึกษาต้องกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเพื่อชดใช้ทุนตามวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้จบการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ๓.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการศึกษาข้อเสนอแนะของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และระบบการจัดการศึกษาของประเทศต่าง ๆ และเสนอผลการศึกษาและแนวทางการจัดระบบการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องที่สามารถดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในปี ๒๕๕๘ เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินมาตรการดูแลความปลอดภัย มาตรการลงโทษผู้กระทำผิด รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบอุบัติเหตุ เช่น การประกันภัย อย่างต่อเนื่องด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักในการหาพื้นที่ควบคุมผู้อพยพแห่งใหม่ โดยร่วมกับกระทรวงกลาโหม (กองบัญชาการกองทัพไทย) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) และให้เสนอผลความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๔.๓ ให้กระทรวงแรงงานตรวจสอบและจัดทำบัญชีสำนักงานจัดหางานหรือบริษัทจัดหางานทุกแห่งทั้งที่ได้รับใบอนุญาตแต่ดำเนินการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้หางานทราบ และหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการหลอกลวงแรงงาน รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมให้แรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนในท้องที่ใดให้ทำงานในท้องที่นั้น ๔.๔ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะแรก ให้ใช้สาธารณูปโภคที่มีอยู่เดิมก่อน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น ๓ ส่วน คือ (๑) พื้นที่ที่รัฐบริหารโดยจัดโครงสร้างพื้นฐานให้ (๒) พื้นที่เช่าสำหรับภาคเอกชน และ (๓) พื้นที่เพื่อสนับสนุน SMEs ๔.๕ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงการกระจายอำนาจทางการบริหารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเร็ว และหากมีความจำเป็นต้องทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องด้วย ๔.๖ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (นายณรงค์ สหเมธาพัฒน์) มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยชี้แจงให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกระทรวงสาธารณสุขมิใช่การสอบวินัยปลัดกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด และแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กำหนดแนวทางการปรับปรุงระบบบริการรักษาพยาบาลและการประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ๔.๗ ให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หน่วยงานเจ้าของโครงการ และกระทรวงการต่างประเทศสร้างการรับรู้ในเรื่องดังต่อไปนี้ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การดำเนินการเกี่ยวกับการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การปรับปรุงมาตรฐานการบินพลเรือนของไทยตามแนวทางขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ และการดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ๔.๘ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐพิจารณาให้ภาคประชาชน เช่น ผู้นำชุมชน หรือผู้บริหารในระดับท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐบาลมากขึ้น เช่น โครงการศึกษาดูงานเพื่อการพัฒนาประเทศทั้งในและต่างประเทศเพื่อเป็นการเปิดรับความรู้ มุมมอง และแนวคิดใหม่ ๆ และนำมาร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป ๔.๙ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) พิจารณาจัดระเบียบการเดินเรือ เช่น มาตรการควบคุมความเร็วในการเดินเรือ กำหนดจุดจอดเรือหรือปล่อยทุ่น เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาเรือท่องเที่ยวสัญจรและจอดบริเวณแนวปะการังตามอ่าวหรือหมู่เกาะต่าง ๆ และทำให้แนวปะการังได้รับความเสียหาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 289 | สรุปผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 25 - 28 กุมภาพันธ์ 2558 | ยธ | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการเยือนประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตามโครงการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะเยือนหน่วยงานด้านพัฒนาพฤตินิสัยและแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด ณ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะได้เยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ณ กระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น และเข้าศึกษาดูงาน ณ สำนักงานคุมประพฤติโตเกียว ศูนย์สนับสนุนอาสาสมัครคุมประพฤติ เขตเซตากายะ บ้านกึ่งวิถีโคชินไค สถาบัน UNAFEI และเรือนจำฟูชู โดยได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถตอบสนองในด้านการควบคุมป้องกัน ปราบปรามอาชญากรรม และการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดให้กลับสู่สังคม และอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข โดยไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการตระหนักถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญด้วยการเน้นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนทั้งหลายแบบเสมอภาคและสะดวกรวดเร็ว ๒. กระทรวงยุติธรรมจะผลักดันนโยบายเชิงรุกในการปรับโครงสร้างงานด้านการพัฒนาพฤตินิสัยทั้งระบบ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของกรอบแนวคิดเชิงปรัชญาใหม่ที่มุ่งเน้นการใช้มาตรการทางเลือกแทนการจำคุก การคุมประพฤติและฟื้นฟูผู้กระทำผิดเพื่อสามารถปรับตัวกลับคืนสู่สังคม และการลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ ซึ่งจะมีแนวทางในการดำเนินงาน ประกอบด้วย ๒.๑ ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องของกรมราชทัณฑ์ (เริ่มดำเนินการแล้ว) กรมคุมประพฤติ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนที่เน้นรูปแบบการฟื้นฟูและการคุมประพฤติเพื่อติดตามให้ความช่วยเหลือผู้กระทำผิดภายหลังการพ้นโทษ ๒.๒ ผลักดันการบูรณาการเชิงรุกระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในกระบวนการคุมประพฤติและฟื้นฟูผู้กระทำผิด ๒.๓ พัฒนากรอบการหารือระหว่างกระทรวงยุติธรรมกับส่วนราชการฝ่ายตุลาการเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการทบทวน “นโยบายกำหนดโทษ” สำหรับผู้กระทำผิด (โดยเฉพาะคดียาเสพติด) และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒.๔ มอบหมายกรมราชทัณฑ์จัดทำหลักสูตรผู้บริหารด้านการฟื้นฟูผู้กระทำผิด (Executive Course on Rehabilitation) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในระดับบริหารให้มุ่งเน้นแนวคิดในการใช้มาตรการทางเลือกแทนการจำคุก การคุมประพฤติ และฟื้นฟูผู้กระทำผิด และการลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ ๒.๕ รณรงค์ผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความตระหนักของสังคมในอันที่จะปรับทัศนคติและให้โอกาสกับผู้พ้นโทษ/ผู้กระทำผิดให้กลับเข้าสู่สังคมได้อย่างปกติสุข และสนับสนุนนโยบายคุมประพฤติ รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม และภาคเอกชนในบริบทนี้ บนหลักการ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (corporate social responsibility : CSR)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 290 | แผนการเข้าร่วมประชุมและการนำมิติทางวัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สร้างภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของไทยในเวทีโลกของกระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 17/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนการเข้าร่วมประชุมและการนำมิติทางวัฒนธรรมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สร้างภาพลักษณ์ และเกียรติภูมิของไทยในเวทีโลกของกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงกันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยมีแผนงาน โครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในระดับพหุภาคีและระดับทวิภาคี ตามลำดับ ดังนี้
๑. วันที่ ๓-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี UNWTO/UNESCO World Conference on Tourism and Culture : Building a New Partnership ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ๒. วันที่ ๑๔-๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ นำคณะทูตานุทูตและคู่สมรส ๒๗ ประเทศ ผู้บริหารองค์การระหว่างประเทศและสื่อมวลชน เยี่ยมชมแหล่งมรดกโลก จังหวัดอุดรธานี และเดินทางไปชมแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญในกรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๓. วันที่ ๑๑-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๘ นำพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ นมัสการสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล ณ สาธารณรัฐอินเดียและราชอาณาจักรเนปาล จำนวน ๒๗๐ รูป/คน ๔. วันที่ ๑๗-๓๐ มีนาคม ๒๕๕๘ จัดแสดงคอนเสิร์ตเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงสุนทราภรณ์ ณ ราชอาณาจักรเบลเยียม สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสมาพันธรัฐสวิส เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ๕. วันที่ ๒-๙ เมษายน ๒๕๕๘ จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ๖. วันที่ ๕-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ นำผลงานของศิลปินไทยเข้าร่วมจัดแสดงในมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ เวนิสเบียนนาเล่ ครั้งที่ ๕๖ ณ เมืองเวนิส สาธารณรัฐอิตาลี ๗. วันที่ ๑๖-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ส่งภาพยนตร์ไทยเข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ ๖๘ ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส และรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี โดยเทศกาลภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นการบูรณาการระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๘. วันที่ ๑๘-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เข้าร่วมประชุม World Forum on Intercultural Dialogue ครั้งที่ ๓ หัวข้อ “Culture and Sustainable Development in the Post-Development Agenda 2015” ณ เมืองบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ๙. จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ ๑๖๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-สหราชอาณาจักร และเนื่องในโอกาสครบ ๑๓๐ ปี การเดินทางของศิลปินไทยไปถวายการบรรเลงดนตรีหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย ๑๐. เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ จัดกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ ๔๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ๑๑. วันที่ ๑๐-๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เข้าร่วมประชุมหัวข้อ “นโยบายวัฒนธรรม บทบาทของวัฒนธรรมในการพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Cultural Policy, Policy for Culture : the Role of Culture in Sustainable Development) ภายใต้กรอบการฉลองครบรอบ ๗๐ ปี องค์การยูเนสโก ณ เมืองเยเรวาน สาธารณรัฐอาร์เมเนีย ๑๒. เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ จัดการแสดงเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย ภายใต้โครงการนำความเป็นไทยสู่สากล (Thainess to the World) ณ สาธารณรัฐเปรู และสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อฉลองครบรอบ ๕๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทยกับเปรู และลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านพิพิธภัณฑ์ของกระทรวงวัฒนธรรมไทย-เปรู ๑๓. เดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ส่งคณะนักแสดงร่วมงาน EXPO Milano 2015 ณ เมืองมิลาโน สาธารณรัฐอิตาลี ๑๔. เดือนกันยายน ๒๕๕๘ เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมอาเซียน-เกาหลี เนื่องในโอกาสเปิดศูนย์วัฒนธรรมเอเชีย ณ เมืองกวางจู สาธารณรัฐเกาหลี
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 291 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... | สว | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... เกี่ยวกับกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับแล้วจะมีผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการหอพักซึ่งเป็นการโอนภารกิจจากส่วนราชการเดิม คือ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีโครงสร้างอัตรากำลัง บุคลากร และงบประมาณที่จะปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเพียงพอ ๑.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจ ตลอดจนบรรดาทะเบียน ข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการหอพักทั้งของหอพักที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตที่อยู่ในความครอบครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ การจัดทำคู่มือการปฏิบัติราชการที่รวบรวมบรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง แนวปฏิบัติ แนวคำวินิฉัย แบบพิมพ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการในการกำกับดูแลกิจการหอพัก การเตรียมความพร้อมและจัดฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การเป็นพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ให้คำปรึกษา แนะนำและช่วยแก้ปัญหาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งดำเนินการอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ตามแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ ๑.๑ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามข้อ ๑.๒ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 292 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม 5 ฉบับ (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนกิจการโรงเรียนเอกชนและปรับปรุงการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา) | กค | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๕ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิหรือผลตอบแทนจากกิจการของโรงเรียนเอกชน หรือกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน) ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่มูลนิธิหรือสมาคม สำหรับเงินได้หรือผลตอบแทนจากกิจการของโรงเรียนเอกชน) ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์บางกรณี) ๑.๔ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้จากผลตอบแทนที่ผู้รับใบอนุญาตได้รับจัดสรรจากโรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงเงินได้ที่ได้รับจากกิจการโรงเรียนเอกชนประเภทกวดวิชา) ๑.๕ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้อำนวยการ ผู้บริหาร ครู หรือบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนเอกชน สำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ได้รับจากกองทุนสงเคราะห์) ๒. มอบให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการทบทวนและแก้ไขประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเกี่ยวกับโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยให้มีการจำแนกประเภทที่ชัดเจนเพื่อเป็นฐานข้อมูลของกระทรวงการคลังในการจัดเก็บภาษี ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ [เรื่อง (ร่าง) แผนการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อเสนอแนะในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนสอนกวดวิชาที่มีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจ) |
|||||||||||||||||||||||||||
| 293 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ 1/2558 | นร11 | 10/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปประเด็นได้ ดังนี้
๑. คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อเร่งดำเนินการภารกิจที่สำคัญให้นำไปหารือในการพิจารณาแนวทางการทำงานของคณะกรรมการ กพข. ต่อไป ๒. สถานภาพความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ปี ๒๕๕๗ ๓. ดัชนีและแนวทางการจัดการจุดอ่อนของประเทศจากการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดย World Economic Forum : WEF, International Institute for Management Development : IMD และ World Bank ๔. รายงานและข้อเสนอแนะจากผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ : เรื่อง Thailand Competitiveness 2013-2014 ๕. สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การพัฒนาคลัสเตอร์ : ทศวรรษที่ผ่านมาและก้าวใหม่สู่ทศวรรษต่อไป” ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อนการพัฒนาคลัสเตอร์ให้ดำเนินการภายใต้คณะอนุกรรมการคลัสเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการ ๖ ชุด ที่จะจัดตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ กพข. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ ๖. แนวทางการทำงานของคณะกรรมการ กพข. และข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ความสำเร็จ โดยให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ ๖ ชุด และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯ แต่ละชุดจัดทำแผนปฏิบัติการ กำหนดเป้าหมายของแต่ละกิจกรรม (Milestone) ตลอดจนกำกับติดตามการดำเนินงาน พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) ภายใน ๑ เดือน และรายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีทุก ๓ และ ๖ เดือน โดยเรื่องเร่งด่วนที่คณะอนุกรรมการฯ ต้องดำเนินการ ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การพัฒนาคลัสเตอร์ (Cluster) (๒) การจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ศึกษาแบบสอบถามของ IMD และ WEF เพื่อเป็นข้อมูลในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ (Perception) ที่ถูกต้องของผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามเพื่อให้การประเมินผลสถานภาพขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสะท้อนความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาครัฐมากยิ่งขึ้น และ (๓) พัฒนากระบวนการทางศุลกากร (Customs Procedures)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 294 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมผู้รักษาการตามกฎหมายโดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่าการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้มีความสอดคล้องกับแนวทางและหลักการการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 295 | การเดินทางไปศึกษาดูงาน ประชุม สัมมนา อบรม ณ ต่างประเทศ | นร | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเดินทางไปศึกษาดูงาน การจัดประชุม อบรม สัมมนาในต่างประเทศ ดังนี้
๑. ให้หัวหน้าส่วนราชการ (กระทรวง/กรม) หรือเทียบเท่า ผู้บริหารของส่วนราชการทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น กรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ นิติบุคคลที่รัฐถือหุ้น งดเว้นการเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ยกเว้นกรณีเข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนาตามพันธกรณี ข้อตกลงระหว่างประเทศหรือหลักสูตรการศึกษาที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยหากมีความจำเป็นให้ขออนุมัติต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นรายกรณี และให้รวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายเดือน ทั้งนี้ ขอความร่วมมือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติปฏิบัติในแนวทางเดียวกันด้วย ๒. หากหน่วยงานเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาดูงาน อบรม หรือสัมมนา ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการศึกษาดูงานภายในประเทศแทน โดยเฉพาะการศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และโครงการตามแนวพระราชดำริต่าง ๆ หรือให้พิจารณาเชิญวิทยากร ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาบรรยาย ซึ่งจะได้ประโยชน์และเป็นการประหยัดงบประมาณยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดให้ข้าราชการเดินทางด้วยเครื่องบินในชั้นโดยสาร ดังนี้ ๓.๑ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (อธิบดีหรือเทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการ เอกอัครราชทูต รองปลัดกระทรวง) ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ ให้เดินทางภายในประเทศในชั้นประหยัดและเดินทางต่างประเทศในชั้นธุรกิจ ๓.๒ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ประเภทอำนวยการ ระดับสูง ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ให้เดินทางทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในชั้นประหยัด ทั้งนี้ ในระหว่างที่กระทรวงการคลังดำเนินการปรับปรุงระเบียบฯ ให้ข้าราชการถือปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 296 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาล (คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ได้มีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO-Car) นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle-EV Car) ต่อไปด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร ๑.๓ ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศกัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม (CLMV) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่ประชาคมอาเซียนด้วยกันนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดทำ Website เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญและการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลในเรื่องนี้ รวมทั้งเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน โดยอาจเชื่อมโยง Website ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกลุ่มประเทศ CLMV และให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกับประเทศในกลุ่ม CLMV ตรวจสอบว่ามีความร่วมมือใด ๆ ตามแผนที่จะต้องจัดทำเป็นบันทึกความเข้าใจหรือไม่ แล้วให้ดำเนินการจัดทำเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดเป้าหมายการพัฒนานักเรียน โดยนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จะต้องอ่านออกเขียนได้ และนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจะต้องมีวิชาเลือกเป็นวิชาชีพเสริม เพื่อเป็นทางเลือกให้นักเรียนมีโอกาสได้รับรู้ถึงความถนัดของตนเอง โดยให้เริ่มดำเนินการได้ภายใน ๖ เดือน รวมทั้งในการกำหนดหลักสูตรการสอนทุกระดับจะต้องมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศและการพัฒนาในพื้นที่ เช่น การกำหนดหลักสูตรอาชีวะด้านเทคโนโลยีการขนส่ง เพื่อรองรับการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดบริเวณเส้นทางที่เป็นจุดตัดทางรถไฟ ด้วยการติดตั้งเครื่องกั้น ป้ายหยุด ป้ายเตือน เนินชะลอความเร็ว ไฟสัญญาณเตือนต่าง ๆ เป็นต้น ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ หากมีงบประมาณไม่เพียงพอให้ประสานสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามความเร่งด่วนและจำเป็นต่อไปด้วย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการก่อสร้างอุโมงค์รถไฟลอดผ่านถนนตามแยกต่าง ๆ ที่มีการจราจรคับคั่ง เช่น บริเวณสี่แยกยมราช เป็นต้น ๒.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์หรือจากการใช้แรงงานประมงโดยผิดกฎหมาย รวมทั้งให้มุ่งเน้นการดูแลและเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์ด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความเหมาะสมของสถานที่ใช้ควบคุมผู้ต้องขังสตรี สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชน สตรี โดยจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ และควรสอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติได้มีมติว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส มีการปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติต้องทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ จึงให้หน่วยงานตระหนักและให้ความสำคัญกับแนวทางข้างต้น หากพบว่ามีการละเว้นการปฏิบัติ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายจนถึงที่สุด ๔.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) สอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้การสนับสนุนการดำเนินการข้างต้นด้วย ๔.๓ ในการแต่งตั้งประธานกรรมการบริหาร รวมถึงผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ และตามที่บัญญัติในกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งพิจารณาระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ซึ่งควรมีระยะเวลามากกว่า ๑ ปี เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ๔.๔ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operation) โดยจัดทำข้อมูลในภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่แสดงให้เห็นถึงผลการดำเนินการที่เป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประชาชน หรือทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และแผนการดำเนินการในระยะต่อไป และส่งให้กรมประชาสัมพันธ์และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สำนักโฆษก) ใช้ในการสื่อสารกับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) และกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการเร่งสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชน เช่น การเปรียบเทียบค่าจ้างแรงงานในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนแรงงานที่แตกต่างกัน สาเหตุของการส่งออกที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการพัฒนาคนโดยมุ่งสร้างเยาวชนที่รักการอ่านและสามารถวิเคราะห์ได้ การส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แนวทางการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ๔.๕ ให้ทุกหน่วยงานส่งเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลดำเนินการ เช่น โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การส่งเสริมการใช้จักรยานในการสัญจร การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย การพัฒนาคูคลอง การแก้ไขปัญหาการจราจรในกรุงเทพมหานคร ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาเพื่อบูรณาการแนวทางการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครเสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา เช่น การขยายเส้นทางจักรยานริมน้ำ การขยายเส้นทางสัญจรทางน้ำ โดยให้เชื่อมกับเส้นทางบนบก เช่น การสัญจรโดยเรือเล็ก เรือพาย ระหว่างสองฝั่งของเมืองหรือระหว่างเส้นทางที่มีปัญหาการจราจรติดขัดมาก และให้ดำเนินการจัดระเบียบการค้าขายริมทางเท้า โดยอาจจะจัดการค้าขายทางน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งการดูแลความสะอาดของพื้นที่ทางบกและทางน้ำด้วย ๔.๖ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการสร้างที่อยู่อาศัยรุกล้ำแนวลำคลองและทางระบายน้ำ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่ใหม่ให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว ให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๔.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ร่วมกันพิจารณาประเมินผลการกระจายอำนาจทางการบริหารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมาว่าทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของประเทศมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างไร มีกรณีใดที่ประสบปัญหาและควรปรับปรุงแก้ไข และเสนอแนวทางการปรับปรุงต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 297 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ | ทก | 03/03/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้พิจารณายุทธศาสตร์ เป้าหมาย แผนงาน และกิจกรรมภายใต้แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ ดาวเทียมสื่อสาร ที่ประชุมได้พิจารณากรณีการประสานงานความถี่ข่ายสื่อสารดาวเทียมในระดับหน่วยงานอำนวยการ (Administration) และเห็นชอบในหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในฐานะผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอำนวยการของไทยให้ความเห็นชอบต่อรายงานการประชุมประสานงานความถี่ฯ ซึ่งเป็นการประชุมหารือเชิงเทคนิคและเป็นไปตามกฎข้อบังคับวิทยุคมนาคมแห่งสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ๑.๒ ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนาและดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (เดิมคือ โครงการระบบสำรวจโลกด้วยดาวเทียมของประเทศ ระยะที่ ๒) ใน ๒ ทางเลือกคือ (๑) ลักษณะกิจการร่วมค้า (Joint Venture หรือ PPP) โดยรัฐร่วมลงทุนกับบริษัทเอกชนของต่างประเทศ และ (๒) ลักษณะรัฐลงทุนเอง ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกทางเลือกที่ ๒ คือ รัฐลงทุนเอง และมอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปศึกษาแนวทางการดำเนินงานและแผนปฏิบัติการที่จะพัฒนาดาวเทียมของไทยเอง โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ความคุ้มค่าที่จะได้รับ รวมทั้งความเหมาะสมเปรียบเทียบกับหลายประเทศเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ดาวเทียมเพื่อความมั่นคง ที่ประชุมให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีอวกาศมาประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงเพื่อรองรับภัยคุกคามและสงครามในรูปแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาไปสู่พื้นที่ปฏิบัติการ ๕ มิติ ประกอบด้วย มิติทางบก มิติทางทะเล มิติทางอากาศ มิติด้านไซเบอร์ และมิติด้านอวกาศ และนำเสนอต่อที่ประชุมในโอกาสต่อไป ๒. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทย โดยมีประเด็นสำคัญ คือ แนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยดังกล่าวมีลักษณะค่อนข้างกว้าง เห็นควรให้มีการทบทวนปรับปรุงเพิ่มเติม และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่ปรับปรุงแนวทางการพัฒนากิจการอวกาศของประเทศไทยให้ทันสมัย รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการลดความยากจนและเหลื่อมล้ำทางภูมิเศรษฐกิจโดยการรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (THEOS-2) ในคราวเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 298 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ | กค | 24/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ และเดือนมกราคม ๒๕๕๘ และเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทราบภายใน ๑ เดือน ในเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รฟท. ๑.๑.๑ สร้างความชัดเจนของนโยบายและทิศทางระบบขนส่งทางราง โดยให้มีการกำกับดูแลการขนส่งทางรางที่ชัดเจนและมีความเชื่อมโยงของระบบขนส่งรูปแบบอื่น ๑.๑.๒ สร้างความชัดเจนระหว่างบทบาทของกรมรางและ รฟท. ในการก่อสร้างและบำรุงรักษาทางรถไฟ รวมถึงให้จัดทำแนวทางการให้เอกชนมาร่วมในการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link) ๑.๑.๓ กำกับติดตามการดำเนินการของโครงการสำคัญให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสำเร็จของโครงการก่อสร้างทางคู่ ๖ เส้นทางที่มีกำหนดแล้วเสร็จทั้งหมดในปี ๒๕๖๓ และการเสริมสร้างความมั่นคงของระบบขนส่งทางราง โดยการเปลี่ยนหมอนรองจากหมอนไม้เป็นหมอนคอนกรีตราง ๑๐๐ ปอนด์ ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๙ ๑.๒ ขสมก. ๑.๒.๑ กำหนดให้ ขสมก. ดำเนินการในฐานะผู้ประกอบการเท่านั้น และให้กรมการขนส่งทางบกทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะแทน และสำหรับการให้ใบอนุญาตเดินรถ หากสัญญาในเส้นทางใดสิ้นสุดลง ให้กรมการขนส่งทางบกจัดให้มีการประมูลใบอนุญาตในแต่ละเส้นทางต่อไป นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกจะต้องจัดให้มีกลไกในการกำกับดูแลผู้ให้บริการ (Operator) ทั้ง ขสมก. และรถร่วมบริการเอกชนให้ดำเนินการเดินรถให้มีคุณภาพได้ตามมาตรฐาน ๑.๒.๒ สร้างความชัดเจนของการปรับปรุงเส้นทางการเดินรถและการจัดสรรเส้นทางระหว่าง ขสมก. และเอกชนร่วมบริการ รวมทั้งการจัดซื้อรถโดยสาร NGV ให้สอดคล้องกับเส้นทางที่ได้รับจัดสรรและมีสถานี NGV ที่เพียงพอต่อไป ๑.๒.๓ เรื่องการจัดการภาระหนี้สินของ รฟท. และ ขสมก. โดยหารือร่วมกับกระทรวงการคลังในการโอนสิทธิในการใช้ที่ดินของ รฟท. เพื่อให้กระทรวงการคลังรับภาระหนี้สิน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารที่ดินดังกล่าวต่อไป และกระทรวงการคลังจะพิจารณาการรับภาระหนี้สินของ ขสมก. ก็ต่อเมื่อกระทรวงคมนาคมมีความชัดเจนในนโยบายด้านการเดินรถโดยสารสาธารณะตามข้อ ๑.๒.๒ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องกรอบระยะเวลา และการติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้กำหนดไว้ นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่เหลืออีก ๕ แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจโดยเร็ว เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจใช้เป็นข้อมูลประกอบในการกำหนดโครงสร้างการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 299 | การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามข้อผูกพันองค์การการค้าโลก (WTO) | กษ | 18/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเปิดตลาดนำเข้าหอมหัวใหญ่และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ สำหรับปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยหอมหัวใหญ่ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้บริหารการนำเข้า และสำหรับเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้าแต่เพียงผู้เดียว โดยการดำเนินการทั้งสองสินค้าให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด รับซื้อผลผลิตหอมหัวใหญ่ทั้งหมดจากเกษตรกรในราคาตลาด และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมและพัฒนาปรับปรุงเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ให้ตรงกับความต้องการใช้ในประเทศเพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าหอมหัวใหญ่ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อเป็นการนำเข้าหอมหัวใหญ่ในอนาคต รวมทั้งให้กำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าหอมหัวใหญ่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศด้วย ๑.๒ เห็นชอบการเปิดตลาดหัวพันธุ์มันฝรั่งและหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป สำหรับปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ โดยจัดสรรให้นิติบุคคลภายใต้เงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง กำหนด โดยผู้นำเข้าต้องทำสัญญารับซื้อผลผลิตมันฝรั่งสดทั้งหมดจากเกษตรกรในราคาตลาด โดยขั้นต่ำราคาในฤดูแล้งกิโลกรัมละ ๑๐.๔๐ บาท และฤดูฝนกิโลกรัมละ ๑๔ บาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้งดเว้นการนำเข้าในช่วงที่ผลผลิตของเกษตรกรออกสู่ตลาด และก่อนสิ้นสุดการนำเข้าในปีแรก ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินผลการดำเนินงาน ราคานำเข้า ราคาตลาด เพื่อกำหนดราคาในปีต่อไปที่เป็นธรรมต่อผู้ผลิต รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการเปิดตลาดในปีต่อไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งพันธุ์โรงงานในประเทศโดยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้ตรงกับความต้องการใช้ในประเทศที่เพิ่มมากขึ้น สามารถแข่งขันกับสินค้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อเป็นการลดการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปในอนาคต ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับเรื่องร้องเรียนของสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ฝาง จำกัด ไปพิจารณาดำเนินการรวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ร้องเรียนให้ชัดเจนก่อนที่จะอนุมัติโควตา ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรต้องเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องตามหลัก ๓ ประการคือ (๑) การป้องกันการขาดแคลนสินค้าในประเทศ (๒) การส่งเสริมการเพาะปลูกในประเทศให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในประเทศ และ (๓) การป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาขยายปริมาณโควตาการนำเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ควรพิจารณาผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งพันธุ์โรงงานและการปลูกพืชอื่นที่ไม่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบทั้งต่อเกษตรกรและโรงงานแปรรูป และหากสินค้าที่ไทยไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ แต่มีความต้องการในประเทศ อาจพิจารณายกเลิกการจำกัดโควตา เช่น สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ เพื่อให้มีการนำเข้าได้อย่างเสรีด้วยอัตราภาษีที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร นอกจากนี้ ควรมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์ และควรเร่งรัดการวิจัยและพัฒนาพันธุ์และเพิ่มการผลิตเมล็ดพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 300 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจดทะเบียนและการกำหนดคุณสมบัติผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ พ.ศ. .... | ยธ | 18/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจดทะเบียนและการกำหนดคุณสมบัติผู้ทำแผนและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อให้เกิดความครบถ้วนชัดเจนในการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำแผนหรือผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
