ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 14 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 261 - 280 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 261 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบ 1 ปี (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2557 - 12 กันยายน 2558) | นร | 10/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาลครบรอบ ๑ ปี (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๑๒ กันยายน ๒๕๕๘) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ ๑ ปี (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๑๒ กันยายน ๒๕๕๘) อีกครั้งหนึ่ง และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการภายในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ ๑ ปี (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๗-๑๒ กันยายน ๒๕๕๘) เพื่อเผยแพร่และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๔. ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปผู้บริหารทั้งฉบับภาษาไทยและฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดทำรูปแบบการนำเสนอที่ง่ายต่อการสื่อสารและสร้างความเข้าใจเพื่อประกอบการแถลงผลงาน ๕. ให้ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรีจัดทำจดหมายข่าวเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ ๑ ปี (ฉบับประชาชน)
|
|||||||||||||||||||||
| 262 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ) | กค | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูประบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ๔ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ คณะอนุกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบกำกับดูแลและระบบบรรษัทภิบาลของรัฐวิสาหกิจ และคณะอนุกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Multi-Stakeholder Group) สำหรับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ๒. แนวทางการปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจในประเด็นการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจเท่ากับที่ดูแลธนาคารพาณิชย์ นั้น กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ ธปท. กำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจใน ๔ ด้าน คือ การออกเกณฑ์กำกับดูแล การตรวจสอบความเหมาะสมของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้บริหาร การติดตามและตรวจสอบ และการสั่งการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจแก้ไขปัญหา ๓. กรณีของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอให้เร่งออกกฎหมายทางการเงินต่าง ๆ ตามหลักซะรีอะฮ์ เพื่อขจัดอุปสรรคในการดำเนินกิจการตามหลักศาสนา นั้น ธอท. ได้เสนอขอปรับปรุงพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ ต่อกระทรวงการคลังซึ่งมีประเด็นปัญหาและอุปสรรคด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม กระทรวงการคลังจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาภาษีอากรและค่าธรรมเนียมจากการให้บริการทางการเงินตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าวแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
| 263 | สรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 16 - 17 กันยายน 2558 | ยธ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ กันยายน ๒๕๕๘ เพื่อหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของ สปป.ลาว ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรมระหว่างสองประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยผลการเยือนดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว เสนอให้กระทรวงยุติธรรมของทั้งสองฝ่ายจัดตั้งคณะทำงาน พร้อมแต่งตั้งผู้ประสานงานตรง โดยแนวทางการจัดตั้งคณะทำงาน อาจแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ (๑) ระดับรัฐมนตรี (๒) ระดับอธิบดี และ (๓) ระดับท้องถิ่น เพื่อเป็นเวทีสำหรับการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้ายุติธรรมจังหวัดของฝ่ายไทยและฝ่ายลาวที่มีพื้นที่ติดต่อกัน โดยแบ่งเขตพื้นที่ออกเป็น ๓ เขต ได้แก่ ลาวตอนเหนือ เชียงราย-เชียงแสน ลาวตอนกลาง หนองคาย-เวียงจันทน์ และลาวตอนใต้ อุบลราชธานี-จำปาศักดิ์ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว เสนอให้มีการยกร่างความตกลงทวิภาคีไทย-ลาว โดยสาระของความตกลงฯ ให้ครอบคลุมในประเด็นต่างๆ ได้แก่ (๑) การประชุมร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ ระดับ (๒) การแลกเปลี่ยนการฝึกอบรม (๓) การจัดตั้งคณะทำงานไทย-ลาว (๔) การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับรัฐมนตรี หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ และฝ่ายกระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว แจ้งว่าจะเป็นผู้ยกร่างความตกลงฯ เพื่อเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาต่อไป ๓. กระทรวงยุติธรรม สปป.ลาว สนใจที่จะเดินทางมาเยือนกระทรวงยุติธรรมของไทยเพื่อศึกษาดูงานด้านบังคับคดี และหน่วยงานฝึกอบรมข้าราชการในกระบวนการยุติธรรมของไทย ตลอดจนขอความอนุเคราะห์ให้ฝ่ายไทยจัดโครงการฝึกอบรมเรื่อง Rule of Law หรือ State of Law ให้แก่บุคลากรในหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมของ สปป.ลาว และขอความร่วมมือให้ฝ่ายไทยพิจารณารับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับวิทยากรและค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางของคณะฝ่ายไทยเองทั้งหมด เนื่องจากฝ่ายลาวมีงบประมาณจำกัด ๔. ฝ่ายไทยขอความร่วมมือ สปป.ลาว ในการจัดส่งเจ้าหน้าที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปปฏิบัติการสกัดกั้นในพื้นที่ของ สปป.ลาว ด้านที่อยู่ตรงข้ามกับท่าเรือสบหลวย เพื่อกดดันไม่ให้กลุ่มนักค้ายาเสพติดใช้เส้นทางลำเลียงด้านนี้ได้สะดวก รวมทั้งตรวจค้นและกดดันอย่างเข้มงวดบริเวณสะพานมิตรภาพเมียนมา-สปป.ลาว แห่งที่ ๑ เนื่องจากปริมาณกลุ่มนักค้าเสพติดใช้เส้นทางนี้เพิ่มมากขึ้น ๕. ฝ่ายไทยขอความร่วมมือ สปป.ลาวดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย และขอความร่วมมือในการสกัดกั้นและร่วมสืบสวนสอบสวนเครือข่ายชาวแอฟริกันที่ลำเลียงยาเสพติดผ่านทาง สปป.ลาว อย่างเข้มงวดเหมือนที่ผ่านมา โดยฝ่ายไทยยินดีสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นในการสืบสวนสอบสวน รวมทั้งสนับสนุนข้อมูลข่าวสารให้แก่ สปป.ลาว และขอความร่วมมือ สปป.ลาว ในการสืบสวนปราบปรามเครือข่ายนักค้ายาเสพติดที่ใช้เส้นทางลำเลียงผ่าน สปป.ลาว
|
|||||||||||||||||||||
| 264 | รายงานผลการจัดประชุมระดับชาติและนานาชาติ เรื่อง การประกันคุณภาพการศึกษา ประจำปี พ.ศ. 2558 | อื่นๆ | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ได้จัดการประชุมระดับชาติและนานาชาติ เรื่อง การประกันคุณภาพการศึกษา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร โดยมีกรอบแนวคิดหลักคือ การก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อมุ่งสู่สหัสวรรษแห่งการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศและเพื่อพัฒนาศักยภาพและสมรรถนะของประชากรให้พร้อมต่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมทั้งประชาคมนานาชาติต่อไป ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูง นักวิชาการ ครู คณาจารย์ ผู้ประเมินภายนอก ผู้ประเมินอภิมาน ศูนย์เครือข่าย สมศ. และบุคลากรทางการศึกษาจากสถานศึกษาทุกระดับการศึกษา หน่วยงานทางการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. เทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การประกันคุณภาพการศึกษาไทย” และศาสตราจารย์ ดร. ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการ สมศ. เป็นวิทยากรนำในการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ก้าวข้ามขีดจำกัด สู่สหัสวรรษแห่งคุณภาพ” ในส่วนของการประชุมวิชาการระดับชาติ มีจำนวน ๕๕ เรื่อง มีวิทยากรและผู้ดำเนินรายการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒๐๖ คน สำหรับการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ (ICQA 2015) มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ จำนวน ๓ หน่วยงาน ได้แก่ TWAEA ABEST21 และ NTS-Pakistan มีผู้ทรงคุณวุฒิในระดับนานาชาติร่วมเป็นวิทยากรบรรยาย จำนวน ๖ เรื่อง และมีการนำเสนอผลงานวิจัยด้านการประกันคุณภาพการศึกษา จำนวน ๘ เรื่อง โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม จำนวน ๑๒๐ คน จาก ๑๖ ประเทศ ทั้งในภูมิภาคเอเชีย สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ในภาพรวมของการจัดงานมีผู้เข้าร่วมการประชุมทั้งสิ้นกว่า ๑๓,๓๔๖ คน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา นักการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย นิสิต-นักศึกษา และครู-อาจารย์ทั่วประเทศ ๒. ให้ สมศ. พิจารณาทบทวนแนวทางประเมินผลคุณภาพการศึกษาโดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ครู นักเรียน ผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษาร่วมดำเนินการให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย ทั้งนี้ ให้เน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่เกิดกับนักเรียนเป็นหลักและมีความสอดคล้องตามมาตรฐานสากลด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 265 | การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ | นร04 | 03/11/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเสนอมาตรการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจทั้งในส่วนของการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการปรับปรุงระบบการดำเนินงาน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รวมทั้งสิทธิประโยชน์ของผู้บริหาร พนักงาน และครอบครัวทั้งในอดีตและปัจจุบัน นั้น การให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สมควรให้พิจารณากำหนดเฉพาะสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานเท่าที่จำเป็น เช่น ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งควรได้รับสิทธิเมื่อมีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่หรือพนักงานเท่านั้น และให้พิจารณายกเลิกสิทธิประโยชน์พิเศษอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโดยสารเครื่องบิน หรือการใช้บริการของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ เป็นต้น ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอมาตรการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 266 | สรุปผลการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ 9 - 10 กันยายน 2558 | ยธ | 27/10/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ เพื่อหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูง ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และความร่วมมือในกระบวนการยุติธรรมระหว่างสองประเทศ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ด้านกระบวนการยุติธรรม พัฒนาความร่วมมือในเรื่องการโอนตัวนักโทษและประสานความร่วมมือในการพัฒนาระบบกฎหมายของทั้งสองประเทศ โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎหมายและประสบการณ์การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ๒. ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พัฒนาความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงบริเวณชายแดนเพื่อสกัดกั้นยาเสพติด โดยการจัดตั้งหมู่บ้านสีขาว และให้มีการเปิดด่านชายแดนให้มากขึ้น ซึ่งกัมพูชาขอให้ไทยจัดอบรมเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานชายแดนให้กับกัมพูชา ส่วนไทยได้เชิญให้กัมพูชาเข้าร่วมในโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย เนื่องจากไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นทางผ่านและได้รับผลกระทบจากยาเสพติดซึ่งมาจากแหล่งผลิตนอกประเทศ จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันปราบปรามเพื่อสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้ออกจากแหล่งผลิต และสกัดกั้นเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นที่จะผ่านเข้าไปยังแหล่งผลิตในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งกัมพูชาได้ตอบรับเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้ว และจะมีการทำแผนปฏิบัติการในระยะต่อไป โดยเป็นโครงการระยะยาว ๓ ปี และกำหนดที่จะประชุมทำแผนปฏิบัติการในช่วงกลางเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 267 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (จำนวน 3 ราย 1. นายอรรถฤทธิ์ ศฤงคไพบูลย์ ฯลฯ) | กก | 27/10/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อเป็นกรรมการในคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘) เป็นต้น ทั้งนี้ บุคคลลำดับที่ ๒ เป็นผู้ที่มีรายชื่อตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง บัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. นายอรรถฤทธิ์ ศฤงคไพบูลย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชศาสตร์การกีฬา รองผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทย ๒. นายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ๓. พลเอก อดุลยเดช อินทะพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกีฬา อดีตผู้บริหารสโมสรกีฬาของกองทัพบกและผู้ฝึกสอนกีฬาของกองทัพบก
|
|||||||||||||||||||||
| 268 | การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ | คค | 27/10/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเสนอมาตรการปฏิรูปบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งในส่วนของมาตรการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการปรับปรุงระบบการดำเนินงาน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร รวมทั้งสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารและพนักงานระดับสูง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดทุนสะสมของบริษัทฯ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัทฯ ต่อไป โดยให้กระทรวงคมนาคมเสนอมาตรการดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้และมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ให้เสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามอำนาจต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้แนวปฏิบัติตามข้อ ๑ เพื่อดำเนินการเสนอมาตรการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 269 | การปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบและแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ภาครัฐ | ทก | 13/10/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบและแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ ดังนี้
๑. ปรับปรุงเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการฯ ๑.๑ ปรับปรุงประธานกรรมการ จาก “ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” แก้ไขเป็น “ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงที่ปลัดกระทรวงมอบหมาย” ๑.๒ เพิ่มเติมกรรมการ จำนวน ๑ คน คือ พลเอก ดร. วิชิต สาทรานนท์ โดยให้รายชื่อกรรมการและองค์ประกอบอื่นคงเดิม ๒. ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ จาก ๑. “พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสม เสนอแนะแนวทางการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของส่วนราชการที่ใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมูลค่าเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะการบูรณาการงบประมาณ เทคโนโลยี และการใช้ข้อมูลร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ รวมทั้งให้มีการใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” แก้ไขเป็น ๑. “พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสม เสนอแนะแนวทางการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของส่วนราชการ องค์การมหาชน ที่ใช้งบประมาณแผ่นดิน รวมถึงแหล่งเงินอื่นที่นอกเหนือจากงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นภาระที่รัฐจะต้องตั้งงบประมาณชดใช้ในการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีมูลค่าเกินกว่า ๑๐๐ ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะการบูรณาการงบประมาณ เทคโนโลยี และการใช้ข้อมูลร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ รวมทั้งให้มีการใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” โดยให้อำนาจหน้าที่ข้ออื่นคงเดิม
|
|||||||||||||||||||||
| 270 | รายงานผลการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ปี 2558 | นร11 | 22/09/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ MDG 1 ขจัดความยากจนและหิวโหย ประเทศไทยสามารถบรรลุผลในการลดความยากจนให้เหลือกึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ แต่ยังไม่บรรลุผลในการลดสัดส่วนประชากรยากจนให้ต่ำกว่าร้อยละ ๔ (MDG+) ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดสัดส่วนประชากรหิวโหยลงครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี ๒๕๔๓ และมีโอกาสประสบความสำเร็จในการดำเนินงานตามเป้าหมายให้กำลังแรงงานทั้งหมดได้ทำงานที่มีคุณค่า ๑.๒ MDG 2 ให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา ประเทศไทยยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นภายในปี ๒๕๔๙ และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจนถึงปี ๒๕๕๗ และมีแนวโน้มต่ำที่จะบรรลุได้ภายในปี ๒๕๕๘ (MDG+) ๑.๓ MDG 3 ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศและส่งเสริมบทบาทสตรี ประเทศไทยบรรลุผลตามเป้าหมายขจัดความไม่เท่าเทียมทางเพศในการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาภายในปี ๒๕๔๘ และถือได้ว่าบรรลุตามเป้าหมายขจัดความไม่เท่าเทียมทางเพศในการศึกษาทุกระดับ (ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา) ในขณะที่ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนผู้หญิงในรัฐสภา องค์การบริหารส่วนตำบล และตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของราชการเป็นสองเท่าในช่วงปี ๒๕๔๕-๒๕๔๙ (MDG+) ๑.๔ MDG 4 ลดอัตราการตายของเด็ก ประเทศไทยมีโอกาสบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษในการลดอัตราการตายเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีลงสองในสาม ภายในช่วงปี ๒๕๓๓-๒๕๕๘ และสามารถบรรลุเป้าหมายลดอัตราการตายของทารกให้เหลือ ๑๕ ต่อการเกิดมีชีพพันคนภายในปี ๒๕๔๙ (MDG+) แต่มีโอกาสต่ำในการบรรลุเป้าหมายลดอัตราการตายของเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีในเขตพื้นที่สูงในบางจังหวัดในภาคเหนือและในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ลงครึ่งหนึ่งในช่วงปี ๒๕๔๘-๒๕๕๘ ๑.๕ MDG 5 การพัฒนาสุขภาพสตรีมีครรภ์ ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดอัตราส่วนการตายของมารดาลงสามในสี่ในช่วงปี ๒๕๓๓-๒๕๕๘ หรือลดลงประมาณ ๓๑.๕ ต่อการเกิดมีชีพแสนคน และไม่บรรลุเป้าหมายการลดอัตราส่วนการตายของมารดาให้เหลือ ๑๘ ต่อการเกิดมีชีพแสนคน (MDG+) ในขณะที่ประเทศไทยมีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายการเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ในบางด้าน ๑.๖ MDG 6 การต่อสู้โรคเอดส์ มาเลเรีย และโรคสำคัญอื่น ๆ ประเทศไทยมีโอกาสจะบรรลุเป้าหมายที่จะชะลอและลดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ภายในปี ๒๕๕๘ และมีโอกาสสูงที่จะบรรลุเป้าหมายให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ได้รับการดูแลรักษาอย่างทั่วถึงภายในปี ๒๕๕๘ ๑.๗ MDG 7 รักษาและจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ประเทศไทยกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาประเทศที่มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายในการลดอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและลดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดสัดส่วนประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดและส้วมที่ถูกสุขลักษณะครึ่งหนึ่งภายในปี ๒๕๕๘ และมีโอกาสที่จะบรรลุการยกระดับคุณภาพชีวิตประชากรในชุมชนแออัด ๑๐๐ ล้านคนทั่วโลกภายในปี ๒๕๖๓ แต่ไม่สามารถลดอัตราการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี ๒๕๕๓ ในขณะที่ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุตามเป้าหมายในด้านสัดส่วนแม่น้ำสายหลักที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ตั้งแต่ระดับพอใช้ขึ้นไป และการเพิ่มสัดส่วนการนำขยะมูลฝอยมาใช้ประโยชน์ (MDG+) ๑.๘ MDG 8 ส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาในประชาคมโลก ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาระบบการค้าและการเงินให้เป็นระบบเสรี ตั้งอยู่บนกฎระเบียบ คาดการณ์ได้ และไม่แบ่งแยก และสามารถบรรลุเป้าหมายสัดส่วนความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศที่มีการพัฒนาน้อยที่สุดต่อมูลค่าความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistance : ODA) ทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถบรรลุเป้าหมายสัดส่วนความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศที่ไม่มีทางออกทะเลและรัฐกำลังพัฒนาขนาดเล็กที่เป็นเกาะต่อมูลค่า ODA ทั้งหมด และสามารถบรรลุเป้าหมายการแก้ปัญหาหนี้ในประเทศกำลังพัฒนาผ่านนโยบายระดับประเทศและระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว แต่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการร่วมมือกับบรรษัทยาดำเนินการให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงยาที่จำเป็นได้ ๒. ให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาแนวทางสานต่อภารกิจที่ยังไม่บรรลุผลตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) และดำเนินการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งจะเป็นวาระการพัฒนาใหม่ของโลกภายหลังปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||
| 271 | รายงานผลการเดินทางไปราชการเพื่อลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษาและการออกแบบนิทรรศการระหว่าง กระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐเปรู | วธ | 25/08/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ สาธารณรัฐเปรู ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเปรูได้ลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษาและการออกแบบนิทรรศการระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐเปรู เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยความตกลงฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษา การแลกเปลี่ยนการจัดนิทรรศการซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจ รวมทั้งวิชาการสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐเปรูได้หารือทวิภาคีเกี่ยวกับการขยายและเพิ่มพูนความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น และแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมไทย-เปรู ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสถาบันด้านพิพิธภัณฑ์ศึกษาและการออกแบบนิทรรศการระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสาธารณรัฐเปรู โดยเฉพาะการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านพิพิธภัณฑ์ และการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ ความรู้ และข้อแนะนำ รวมถึงการเสริมสร้างสมรรถนะและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมกันพิจารณาร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเปรูว่าด้วยความร่วมมือในด้านการคุ้มครอง การอนุรักษ์ การติดตามคืนและการส่งคืนซึ่งทรัพย์สิน ทางวัฒนธรรม โบราณคดี ศิลปะ และประวัติศาสตร์ที่ถูกปล้น โจรกรรม ส่งออก หรือถ่ายโอนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และดำเนินการตามกระบวนการให้แล้วเสร็จเพื่อให้สามารถลงนามได้ในโอกาสแรก ๓. กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศได้จัดการแสดงทางวัฒนธรรม ประกอบด้วยการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีไทย ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ณ โรงละครแห่งชาติ กรุงลิมา โดยได้จัดการแสดงโขนซึ่งเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง รวมทั้งการแสดงที่หลากหลายและการสาธิตหัตถกรรม และร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เปรู ด้วย ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้พบหารือกับผู้บริหารแหล่งมรดกโลกและวัฒนธรรมในเปรู ได้แก่ นาย J. Fernando Astete Victoria ผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมเมืองกุสโก และผู้อำนวยการแหล่งมรดกโลกมาชูปิกชู (Machu Picchu) โดยได้หารือแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางความร่วมมือทางด้านการอนุรักษ์และบริหารจัดการแหล่งมรดกโลก นอกจากนี้ ยังได้พบหารือและเยี่ยมชมแหล่งโบราณคดีและแหล่งมรดกโลกในเมืองกุสโกซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางยุคโบราณสมัยอาณาจักรอินคา รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านการจัดแสดงและบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์กับผู้บริหารของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเปรูในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 272 | รายงานสถานการณ์น้ำและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด | กษ | 18/08/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสถานการณ์น้ำและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๒๒ จังหวัด โดยสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ ณ วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๘ มีปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๔ อ่างฯ รวม ๗,๔๒๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๐ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๗๓๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔) ปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ สัปดาห์ที่ผ่านมา (๒๗ กรกฎาคม-๒ สิงหาคม ๒๕๕๘) ๓๓๐.๔๗ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายสัปดาห์ที่ผ่านมา (๒๗ กรกฎาคม-๒ สิงหาคม ๒๕๕๘) ๑๓๓.๑๗ ล้านลูกบาศก์เมตร สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๒๒ จังหวัด ลงพื้นที่ในรูปแบบชุดปฏิบัติการช่วยเหลือและเยี่ยมเยียนเกษตรกรทุกตำบล รวมทั้งได้มีการเตรียมแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๕๙ และการเตรียมการช่วยเหลือระยะต่อไป โดยเสนอขออนุมัติในหลักการขอใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๕๙ กรอบวงเงินรวม ๑,๓๔๐.๕๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับโครงสร้างการผลิตในพื้นที่เขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา และพัฒนาแหล่งอาหารของชุมชน สร้างรายได้ และพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทางการเกษตรจากความแห้งแล้ง
|
|||||||||||||||||||||
| 273 | แนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) | คค | 28/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบทั้ง ๓ ข้อ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าในการพิจารณาแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) โดย (๑) ศึกษาเพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ Yacht เพิ่มเติม พร้อมทั้งรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่และทดสอบตลาด (๒) ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ และ (๓) จัดมหกรรมเรือ Yacht ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๘-มกราคม ๒๕๕๙ และแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) โดยระยะแรก (ปี ๒๕๕๘) พัฒนาท่าเรือเดิมให้มีศักยภาพ (ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต) และระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๕) พัฒนาท่าเทียบเรือ Cruise แห่งใหม่ ที่จังหวัดกระบี่ และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Home Port ของเรือ Cruise ในภูมิภาค ๑.๒ เห็นชอบแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) โดยแผนเริ่มจากปี ๒๕๕๘ สิ้นสุดในปี ๒๕๖๑ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมธนารักษ์ ผู้บริหารท่าเรือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัด ท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ มอบหมายกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์เร่งพิจารณาหาผู้ประกอบการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตเพื่อให้สามารถปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตให้มีความพร้อมในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ได้โดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทบทวนความเหมาะสมในการเลือกพื้นที่พัฒนาท่าเรือดังกล่าว กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่าควรให้ความสำคัญกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจัดทำแผนการการบริหารจัดการเกี่ยวกับการจำกัดและบำบัดของเสียจากเรือ และเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าท่าในการกำกับดูแลเพื่อรองรับจำนวนท่าเรือและเรือสำราญที่จะเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ควรศึกษาทางเลือกและรูปแบบการลงทุนให้ชัดเจน โดยอาจพิจารณามาตรการส่งเสริมให้เอกชน และ/หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพเป็นผู้พัฒนาและดำเนินงานท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) ตลอดจนการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนและดำเนินการท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) และเห็นควรมอบหมายกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ พิจารณาความเหมาะสมบทบาทของท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) รวมทั้งเร่งพิจารณาหาผู้ประกอบการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต โดยปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ให้กระทรวงคมนาคมสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ รวมทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ (Yacht) และเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ให้เชื่อมโยงกับแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 274 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการนิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามข้อสังเกต โดยขอให้จังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดเตรียมการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้จัดเตรียมโครงสร้าง อัตรากำลัง บุคลากร และงบประมาณที่จะปฏิบัติภารกิจหอพักอย่างเพียงพอแล้ว ๒. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินกาาตามข้อสังเกต โดย ๒.๑ จัดทำข้อมูลถ่ายโอนภารกิจ ตลอดจนบรรดาทะเบียน ข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการหอพักที่ต่อใบอนุญาตและไม่ได้ต่อใบอนุญาต โดยได้จำแนกตามเขตพื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานครไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อถ่ายโอนภารกิจหอพักให้กรุงเทพมหานคร ๒.๒ ประสานให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดดำเนินการจัดส่งฐานข้อมูลการจดทะเบียนหอพักตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๐๗ มาให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เบื้องต้นแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากจังหวัดต่าง ๆ แล้ว จำนวน ๕๖ จังหวัด ๒.๓ จัดทำคู่มือการจดทะเบียน ขั้นตอนวิธีการและรวบรวมบรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง แนวปฏิบัติ แนวคำวินิจฉัย ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และแบบพิมพ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ การกำกับดูแลกิจการหอพัก ซึ่งสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจทีไดรับการถ่ายโอนภารกิจหอพักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ กำหนดแผนการปฏิบัติงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานและจัดฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับจังหวัด (ครู ก.) เพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ และวิธีการในการปฏิบัติงานราชการกำกับดูแลกิจการหอพัก และสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง นำไปขยายผลให้แก่พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ต่อไป โดยมีกรมกิจการเด็กและเยาวชน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เป็นพี่เลี้ยง ๒.๕ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒.๖ การดำเนินงานอื่น ๆ จะปฏิบัติตามขั้นตอนการกระจายอำนาจ ตาแมผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||
| 275 | ข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล 1 จำกัด) | คค | 07/07/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเรื่อง ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล ๑ จำกัด) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม การท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากรและกรมสรรพากร) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีดังนี้ ๑.๑ การตรวจสอบการให้สัมปทานประกอบกิจการท่าเรือที่อยู่ในการกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งหมดว่ามีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐ โดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าผู้ประกอบการของแต่ละท่ามีพื้นที่และลักษณะทางกายภาพติดต่อกัน จะเป็นผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นชุดเดียวกันหรือไม่ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญาอย่างเคร่งครัด รวมทั้งดำเนินคดีเรียกค่าปรับ หรือค่าเสียหายอันเกิดจากการฉ้อฉลและทุจริตดังกล่าวด้วย และหากพิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดในสัญญาข้อใด เป็นผลทำให้รัฐเสียเปรียบและก่อให้เกิดความเสียหาย ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขข้อสัญญานั้นให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป ๑.๒ กรณีให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาถึงความเป็นไปได้อย่างเหมาะสมที่จะยกเลิกเพิกถอนการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเรือเดินทะเลที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐโดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลและวิเคราะห์เปรียบเทียบผลดี ผลเสียที่ภาครัฐจะได้รับจากการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวด้วย ๑.๓ กรณีการให้กรมศุลกากรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์อัตราเปรียบเทียบปรับตามประมวลฯ ๑ ๐๖ ๐๓ ๐๑ (๒๒) ของระเบียบกรมศุลกากรที่ ๑๘/๒๕๕๐ ซึ่งใช้ประกอบการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๓๘ โดยเพิ่มโทษให้มีอัตราที่สูงขึ้นและเหมาะสมเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้มีการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อกฎหมาย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไปหารือร่วมกันเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลการตรวจสอบการถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของท่าเทียบเรือ AO (โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด) และท่าเทียบเรือ B1 (โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล ๑ จำกัด) ของการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าเหตุใดจึงไม่สอดคล้องกับการรายงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีภายใน ๒๐ วันนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||
| 276 | ขอเสนอคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 18/2558 เรื่อง การให้กรรมการหรือคณะกรรมการตามกฎหมายบางฉบับปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ | สลธ.คสช. | 23/06/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๘/๒๕๕๘ เรื่อง การให้กรรมการหรือคณะกรรมการตามกฎหมายบางฉบับปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้งดการบังคับใช้บรรดาบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ห้ามมิให้ผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้บริหารนั้น มีอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารในฐานะกรรมการ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ทำการแทน ผู้รักษาการแทน และผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับกรรมการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐนั้นทุกประการ ๒. ให้สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ ประกอบด้วยกรรมการสภามหาวิทยาลัยเท่าที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ในการประชุมของสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ต้องมีกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการสภามหาวิทยาลัยทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จึงจะเป็นองค์ประชุม ในกรณีที่สภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเห็นสมควรจะต้องมีการแต่งตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยแทนตำแหน่งที่ว่างลงหรือแต่งตั้งเพื่อให้ครบองค์ประกอบตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไปได้ และเมื่อมีองค์ประกอบครบถ้วนตามมาตรา ๑๗ แล้ว ให้ยกเลิกความในข้อนี้
|
|||||||||||||||||||||
| 277 | ร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน | พม | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน และให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติ ๑.๑ หน่วยงานต้องมีการจัดทำแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศในการทำงานที่ครอบคลุมบุคลากรทุกคนที่ทำงานในหน่วยงาน รวมทั้งผู้ที่มีการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน เช่น นักศึกษาฝึกงาน ผู้รับจ้าง ฯลฯ โดยให้บุคลากรในหน่วยงานได้มีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และยอมรับ รวมทั้งต้องประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความตระหนักแก่บุคลากรทุกคนในหน่วยงานได้รับทราบและถือปฏิบัติ ๑.๒ หน่วยงานต้องแสดงเจตนารมณ์อย่างจริงจังในการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างบุคคล เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีเน้นการป้องกันปัญหาเป็นพื้นฐานควบคู่กับการปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ ๑.๓ หน่วยงานต้องเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ และแนวทางในการแก้ไขในกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น รวมทั้งกำหนดให้เป็นประเด็นหนึ่งในหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรทุกระดับ การจัดสถานที่ทำงานเพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ เช่น จัดห้องทำงานที่เปิดเผย โล่ง มองเห็นกันได้ชัดเจน เป็นต้น ๑.๔ การแก้ไขและจัดการปัญหาอาจใช้กระบวนการอย่างไม่เป็นทางการ เช่น การพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร การประนอมข้อพิพาท ฯลฯ เพื่อยุติปัญหา หากกระบวนการไม่เป็นทางการไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จึงจะเข้าสู่กระบวนการทางวินัยตามกฎหมายที่หน่วยงานนั้นถือปฏิบัติอยู่ ๑.๕ การแก้ไขและจัดการปัญหาต้องดำเนินการอย่างจริงจังโดยทันที และเป็นไปตามเวลาที่กำหนดในแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศในการทำงาน และต้องเป็นความลับ เว้นแต่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยินดีให้เปิดเผย รวมทั้งให้ความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกัน กรณีที่ขยายเวลาออกไปต้องมีเหตุผลที่ดีพอ ๑.๖ กรณีที่มีการร้องเรียนหรือการรายงานเรื่องนี้ ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริง ประกอบด้วย ประธานคณะทำงานที่มีตำแหน่งสูงกว่าคู่กรณี บุคคลจากหน่วยงานต้นสังกัดของคู่กรณี โดยมีตำแหน่งไม่ต่ำกว่าคู่กรณี บุคคลที่มีผลงานด้านการแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศจนเป็นที่ประจักษ์ โดยอาจมีบุคคลที่มีเพศเดียวกับผู้เสียหายไม่น้อยกว่าหนึ่งคน และให้มีบุคคลที่ผู้เสียหายไว้วางใจเข้าร่วมรับฟังในการสอบข้อเท็จจริงได้ หากต้องมีการดำเนินการทางวินัย ขอให้คณะทำงานนำข้อมูลเสนอผู้บริหารประกอบการดำเนินการทางวินัย ๑.๗ หน่วยงานต้องติดตามผลการดำเนินงานตามแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศในการทำงานอย่างต่อเนื่อง และรายงานต่อคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ๒. มอบหมายให้กระทรวงแรงงานขอความร่วมมือหน่วยงานภาคเอกชนรับร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงานไปดำเนินการตามความเหมาะสม |
|||||||||||||||||||||
| 278 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารร่วมความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย - จีน ครั้งที่ 4 ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารร่วมความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๔ ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความเห็นต่อผลการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ และให้การประเมินเชิงบวกเกี่ยวกับความก้าวหน้าของงานที่แต่ละฝ่ายรับผิดชอบ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ การประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากร แผนการเดินรถ และซ่อมบำรุง การอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตรา และรูปแบบทางการเงิน โดยองค์การรถไฟแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ซีอาร์ซี) ได้เสนอร่างข้อเสนอแนะเกี่ยวกับองค์ประกอบของโครงการ การกำหนดความเร็วการเดินรถ การกำหนดที่ตั้งสถานี การกำหนดแนวเส้นทางเบื้องต้น ระบบการเดินรถและซ่อมบำรุง และได้เสนอหลักสูตรการฝึกอบรมบุคลากรด้านการก่อสร้างและการเดินรถสำหรับเส้นทางรถไฟ กรุงเทพฯ-แก่งคอย-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด สำหรับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เทคนิค นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับแผนการเดินรถและซ่อมบำรุงเส้นทางรถไฟ กรุงเทพฯ-แก่งคอย-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด รวมทั้งพิจารณารูปแบบการใช้งานและการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด รวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายโครงการกับการขยายทางคู่เส้นทางแก่งคอย-ฉะเชิงเทรา และรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง และได้เห็นชอบในหลักการให้จัดการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ ๕ ณ จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ ๓๐ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้ตามเป้าหมายที่คณะกรรมการบริหารร่วมความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีนกำหนดไว้ และเร่งพิจารณากำหนดหน่วยงานเจ้าของโครงการ (ฝ่ายไทย) ในการบริหารกิจการรถไฟขนาดทางมาตรฐานเพื่อให้สามารถคัดเลือกและสรรหาบุคลากรที่จะปฏิบัติงานจริงเข้ารับการอบรม รวมทั้งควรประสานกับสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรระบบรางเพื่อให้สามารถกำหนดหลักสูตรในลักษณะที่ต่อยอดจากหลักสูตรที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณารายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการฝึกอบรมแต่ละหลักสูตรของทั้งสองฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายไทยเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาความคุ้มค่าตามขั้นตอน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 279 | สรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สมาพันธรัฐสวิส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สมาพันธรัฐสวิส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้าร่วมประชุมประจำปีคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ ๑๘ (The 18th Annual Session of the United Nations Commission on Science and Technology for Development) ระหว่างวันที่ ๔-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับเชิญให้กล่าวบรรยายพิเศษต่อที่ประชุมฯ ถึงความสำเร็จและความท้าทายในการขับเคลื่อนนโยบายและการปฏิรูปประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) รวมทั้งให้ข้อคิดเห็นต่อรายงานการศึกษาวิเคราะห์นโยบาย วทน. ของประเทศไทย ซึ่งการศึกษาดังกล่าวเป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่างองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development : UNCTAD) และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบนวัตกรรมไทยใน ๓ ด้านหลัก ได้แก่ (๑) การปฏิรูประบบบริหารจัดการและกำกับดูแลระบบ วทน. (๒) การกระตุ้นและพัฒนามาตรฐานจูงใจให้ภาคส่วนต่าง ๆ ลงทุนวิจัยและพัฒนา วทน. เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และ (๓) การปรับปรุงระบบการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชื่อมโยงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และรองรับความต้องการบุคลากรฐานความรู้ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้าร่วมประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Roundtable Meeting) โดยได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมถึงความสำเร็จของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) และความท้าทายในการสร้างความยั่งยืนของการพัฒนาให้สังคมมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ และกล่าวถึงบทบาทสำคัญของ วทน. ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การประยุกต์ใช้ วทน. เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ (๒) การพัฒนาทุนมนุษย์ด้าน วทน. โดยการยกระดับการศึกษาและพัฒนากำลังคนสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ หรือ STEM Education and STEM Workforce และ (๓) การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งได้ริเริ่มดำเนินการไว้ ๒ เรื่อง คือ การทูตวิทยาศาสตร์ หรือ Science Diplomacy และการคาดการณ์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงานอย่างสมดุลของอาเซียน ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้าพบและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเลขาธิการ UNCTAD โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ให้การยืนยันถึงบทบาทของประเทศไทยในเวทีสากลและยินดีร่วมกับสหประชาชาติในการขยายผลการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในเบื้องต้นทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันจัดเวทีให้ผู้บริหารระดับสูงด้าน วทน. ของอาเซียนได้มาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||
| 280 | ผลการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 19/05/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อร่วมงาน Arabian Travel Market 2015 (ATM 2015) ระหว่างวันที่ ๖-๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ รัฐดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เข้าร่วมงาน ATM 2015 เพื่อร่วมพบปะกับผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว รวมทั้งเป็นเกียรติในการจัดงาน Discover Thainess 2015 Networking Lunch เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โดยเชิญสื่อมวลชน ผู้บริหารบริษัทนำเที่ยว และตัวแทนสายการบิน เข้าร่วมงานประมาณ ๑๕๐ คน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ย้ำความเชื่อมั่นในการเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยประชาสัมพันธ์ปีท่องเที่ยววิถีไทย (Discover Thainess) อย่างเป็นทางการในตลาดตะวันออกกลาง และการเป็น Muslim Friendly Destination ของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้พบปะกลุ่ม Young Designer และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (University of Sharjah และ American University in Emirates) ที่ได้เข้าร่วมโครงการ Thailand Academy III ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๓ เมษายน ๒๕๕๘ ณ ชุมชนคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้นัดหมายหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสายการบิน Etihad Airways และ Emirates Airline สายการบินยักษ์ใหญ่ของตลาดตะวันออกกลาง เพื่อหารือแนวทางขยายความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลาง โดยเน้นเจาะกลุ่มตลาดความสนใจพิเศษ (Niche Market) เช่น ตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่ม Golf, Honeymoon, Youth Tourism (Thailand Academy project) รวมทั้งการทำ Joint Promotion และสอบถามความเป็นไปได้ในการเพิ่มเที่ยวบินหรือเปิดเส้นทางบินตรงใหม่ ๆ เข้าประเทศไทย เช่น อาบูดาบี-เชียงใหม่ หรือ ดูไบ-เชียงใหม่ เป็นต้น ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้พบปะกับผู้บริหารของ Reed Travel Exhibitions ซึ่งเป็นผู้จัดงานส่งเสริมการขายการท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยหารือถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน รวมถึงโอกาสที่จะจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ขึ้นในประเทศไทยในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||
.....
