ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 301 | ความก้าวหน้าการดำเนินกิจกรรมวันดินโลก และปีดินสากล ปี 2558 | กษ | 03/02/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินกิจกรรมวันดินโลก และปีดินสากล ปี ๒๕๕๘ ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญพระบรมฉายาลักษณ์เพื่อจัดนิทรรศการวันดินโลก ๕ ธันวาคม ณ กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี และองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และดำเนินการจัดทำนิทรรศการเป็นภาษาอังกฤษเพื่อนำไปแสดงในงานวันดินโลกทั้งสองแห่ง ๒. กำหนดปฏิทินการจัดงาน ได้แก่ พิธีเปิดตัวปีดินสากล ปี ๒๕๕๘ ณ กรมพัฒนาที่ดิน ในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ การจัดการอบรมหมอดินอาสาระดับนานาชาติ ณ กรุงเทพมหานคร ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ จัดการประชุมวิชาการระดับชาติเรื่องดิน ณ จังหวัดขอนแก่น ในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ จัดสัปดาห์ดินสากล ณ กรุงเทพมหานคร ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ การประกวดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษหัวข้อ "Healthy Soils for a Healthy Life" ในระดับอุดมศึกษา ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ จัดการประชุมระดับนานาชาติ International Soil Conference-Sustainable Uses of Soil in Harmony with Food Security ณ จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ ๑๗-๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๘ และการบรรยายพิเศษเกี่ยวกับความสำคัญ และการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรดิน และการเปิดให้กลุ่มนักเรียน นักศึกษาเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ดิน ณ กรมพัฒนาที่ดิน เป็นประจำทุกเดือน ๓. การประสานงานเรื่องการกราบบังคมทูลพระกรุณาเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงบรรยายหรือบันทึกเทปพระราชดำรัสเรื่อง Healthy Soils for a Healthy life ในงานวันดินโลก ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งสำนักราชเลขาธิการมีหนังสือแจ้งว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จแทนพระองค์ โดยมีกำหนดการเสด็จระหว่างวันที่ ๓-๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๔. การโอนเงินตั้งต้น (Initial Seed Money) จำนวน ๓.๓ ล้านบาท ให้แก่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมปีดินสากลในระดับสากล ๕. การจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวันดินโลก ๕ ธันวาคม และปีดินสากล ปี ๒๕๕๘ ระหว่างวันที่ ๓-๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่กรมพัฒนาที่ดินร่วมกับองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กระทรวงการต่างประเทศ และสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดกิจกรรมดังกล่าว โดยมีการแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรดิน การประชุมวิชาการ การเสวนา การบรรยายพิเศษ และการประกวดร้องเพลงเทิดพระเกียรติในกลุ่มหมอดินอาสา และการแข่งขันเล่นเกมส์ออนไลน์ LDD IM Farm ซึ่งเป็นเกมส์จำลองการทำการเกษตร นำข้อมูลจริงมาใช้ในการจำลองการปลูกพืช ๕ ชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย และถั่วเหลือง มีผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย จำนวน ๗ แห่ง ผู้แทน เอฟ เอ โอ ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งได้อ่านสารจาก Director General ของ เอฟ เอ โอ ณ กรุงโรม ผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ นักวิชาการ หมอดินอาสา และผู้สนใจทั่วไป จำนวนกว่า ๕,๐๐๐ คน ๖. การจัดนิทรรศการวันดินโลกในงาน “การใช้น้ำอย่างมีคุณค่า ปวงประชาถวายพ่อของแผ่นดิน” ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์ถึงพระวิสัยทัศน์และพระปรีชาสามารถเกี่ยวกับการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน ๗. การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการประชุมนานาชาติเพื่อสนับสนุนกิจกรรมปีดินสากล ซึ่งกำหนดจะจัดการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ จังหวัดเพชรบุรี ๘. การจัดให้มีการเสวนาวิชาการเกี่ยวกับดิน ณ กรมพัฒนาที่ดิน เป็นประจำทุกเดือน โดยที่ผ่านมาได้จัดเสวนาในหัวข้อโครงการพัฒนาพื้นที่ดินเปรี้ยวจัดบ้านยูโย และกว่าจะมาเป็นวันดินโลกและปีดินสากล โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากกรมพัฒนาที่ดินและหน่วยงานภายนอก ๙. การจัดกิจกรรมให้นักเรียน นักศึกษา สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ดิน ณ กรมพัฒนาที่ดิน ตลอดปี ซึ่งที่ผ่านมามีนักเรียนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ดิน จำนวน ๑,๒๒๗ คน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 302 | รายงานผลการดำเนินงานสืบเนื่องจากการลงนามแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม ไทย - เวียดนาม | วธ | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานสืบเนื่องจากการลงนามแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้เข้าพบนาย Huynh Vinh Ai รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวของเวียดนาม เพื่อหารือเรื่องแผนงาน โครงการ กิจกรรมความร่วมมือด้านวัฒนธรรมทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านศิลปะ ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ โบราณคดี พิพิธภัณฑ์ ศาสนา เป็นต้น และการแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการซึ่งจะดำเนินการระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ โดยรัฐมนตรีทั้งสองประเทศคาดหวังว่า แผนปฏิบัติการฉบับนี้จะเป็นกรอบการดำเนินงานในการกระชับความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระดับทวิภาคีไทย-เวียดนาม ส่งผลและเกื้อหนุนความสัมพันธ์ในการเริ่มต้นการเป็นประชาคมอาเซียน ในปี ๒๕๕๘ นอกจากนี้ ไทยและเวียดนามจะครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งจะเป็นวาระสำคัญในการผลักดันให้เกิดการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการดำเนินความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเวียดนามในด้านอื่น ๆ ต่อไป ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้พบหารือกับผู้บริหารแหล่งวัฒนธรรมและแหล่งมรดกโลกในเวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางความร่วมมือทางด้านการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และแหล่งมรดกโลก โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเห็นว่า การบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และแหล่งมรดกโลกถือเป็นเรื่องเร่งด่วนของไทยตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี กล่าวคือ การพัฒนาแหล่งประวัติศาสตร์ แหล่งเรียนรู้ แหล่งมรดกโลก อุทยานประวัติศาสตร์ โบราณสถานขึ้นทะเบียนทั่วประเทศ หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ศูนย์วัฒนธรรม และโรงละคร ให้เกิดการพัฒนาและเปิดพื้นที่เป็นแหล่งเรียนรู้และจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของชาติ นอกจากนี้ จะบูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยจะร่วมกันจัดทำแผนการพัฒนากลุ่มจังหวัดที่มีแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แนวทางจัดทำแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่กำลังจะเสนอเป็นมรดกโลกในอนาคต ทั้งนี้ พร้อมจะร่วมมือกับเวียดนามภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และแหล่งมรดกโลก อาทิ หอสมุดและจดหมายเหตุ และมรดกทางวัฒนธรรม ๒. มอบหมายกระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมฯ และผลการหารือความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในไทยและเวียดนามเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ๔๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 303 | ขอความเห็นชอบเลิกจ้างผู้บริหารองค์การสวนยาง | กษ | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเลิกจ้างผู้บริหารองค์การสวนยางของนายชนะชัย เปล่งศิริวัธน์ ในตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การสวนยาง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 304 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจกรณีต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษา และกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่ว่า ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือนนั้น ในร่างมาตรา ๓ การกำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจยังมีความไม่สอดคล้องกับมาตรา ๓๖ ข. (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดให้การได้รับโทษจำคุกต้องเป็นการกระทำที่เกิดจากความผิดทางอาญา และในร่างมาตรา ๔ การกำหนดลักษณะต้องห้ามของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกำหนดให้พนักงานรัฐวิสาหกิจเมื่อพ้นโทษเกินห้าปีแล้ว สามารถกลับเข้าทำงานได้นั้น ควรกำหนดหลักการของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของข้าราชการพลเรือน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 305 | ขอเสนอคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2557 เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว มาเพื่อนายกรัฐมนตรีทราบ และคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 127/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ มาเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ | สลธ.คสช. | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ลงวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 306 | แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 30/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน แทนชุดเดิมที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งสองปีแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นายพชร อนันตศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ๓. นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ๕. นางวีรวรรณ ลือสุทธิวิบูลย์ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ๖. นางสาววรางคณา อิ่มอุดม ผู้บริหารส่วน ส่วนเศรษฐกิจด้านอุปทาน สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ๗. นายชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายเอกชัย อริยมงคลชัย ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายไพบูลย์ ธิติศักดิ์ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายกัญจน์ ชินธรรมมิตร ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นางสาวจุฑามาศ อรุณานนท์ชัย ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นายณัฐพล อัษฎาธร ผู้แทนโรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 307 | แผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ของกระทรวงคมนาคม และแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน | คค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ของกระทรวงคมนาคม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีเป้าหมายหลักให้บริการประชาชนเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวอย่างมี “ความสุข สะดวก และปลอดภัย” โดยกำหนดช่วงระยะเวลาดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗-๕ มกราคม ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แผนการให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง แผนงานบริหารด้านความปลอดภัย ประกอบด้วย การบริการการขนส่งสาธารณะ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน การจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในท่าเรือ/สถานีขนส่ง/ท่าอากาศยานและอาคารผู้โดยสาร/สถานีรถไฟ และการอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลการจราจร ๑.๒ แผนงานบริหารด้านความปลอดภัย ประกอบด้วย มาตรการด้านการบริหารจัดการผู้ขับขี่/ผู้โดยสารปลอดภัย มาตรการยานพาหนะปลอดภัย มาตรการถนนปลอดภัย มาตรการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการด้านสังคม และมาตรการด้านการประชาสัมพันธ์ ๒. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ตามที่ศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนเสนอ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ โดยใช้ชื่อในการรณรงค์ว่า “มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน” และกำหนดช่วงระยะเวลาดำเนินการระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗-๕ มกราคม ๒๕๕๘ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ประกอบด้วย มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนและการสัญจรอย่างปลอดภัย มาตรการด้านยานพาหนะที่ปลอดภัย มาตรการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย และมาตรการด้านการตอบสนองหลังเกิดอุบัติเหตุ ๒.๒ มาตรการเน้นหนัก ประกอบด้วย มาตรการป้องกัน มาตรการแก้ไขปัญหา และมาตรการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ๓. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรายงานเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ได้แก่ ขอความร่วมมือสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ในการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงของประชาชนจากการขับขี่ยานพาหนะ เตรียมความพร้อมในส่วนของแพทย์และพยาบาลตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อรองรับกรณีมีประชาชนประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ ขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานระดับท้องถิ่นเพื่อตั้งจุดตรวจในชุมชน รวมทั้งกระทรวงการคลังได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงเพื่อปรับปรุงวงเงินค่ารักษาพยาบาลของผู้ประสบภัยจากรถในส่วนของค่าเสียหายเบื้องต้นกรณีความเสียหายต่อร่างกาย โดยเพิ่มจากจำนวนเงินไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาทต่อคน เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาทต่อคน โดยให้ได้รับเงินค่าเสียหายเบื้องต้นรวมกันแล้วต้องไม่เกิน ๖๕,๐๐๐ บาทต่อคน ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ประสบภัยจากรถ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการในการนำข้อมูลสถิติการดำเนินงานช่วงเทศกาลย้อนหลังมาวิเคราะห์สาเหตุ ปัญหาอุปสรรค และแนวทางมาตรการดำเนินงานให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขอจัดสรรงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ในการปฏิบัติงานให้เพียงพอ และซ่อมแซมเครื่องมืออุปกรณ์ที่ชำรุดให้มีความพร้อมในการใช้งาน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับผู้บริหารทุกระดับ ให้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ให้มากขึ้น และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งพิจารณาแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ แล้ว สืบเนื่องจากในรอบ ๕ ปีที่ผ่านมา ตัวเลขของผู้เสียชีวิตไม่ได้ลดลงมากนัก และเมื่อพิจารณาดัชนีความรุนแรง พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จึงควรทบทวนสาเหตุที่เฉพาะเจาะจง พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเฉพาะ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 308 | ข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล 1 จำกัด) | ปช | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอข้อเสนอแนะในการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการท่าเทียบเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กรณีศึกษาท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเทียบเรือ AO โดยบริษัท แอล ซี เอ็ม ที จำกัด และท่าเทียบเรือ B1 โดยบริษัท แอลซีบี คอนเทนเนอร์ เทอร์มินอล ๑ จำกัด) เพื่อป้องกันการทุจริตในเรื่องดังกล่าว ตามนัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๙ (๑๑) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลัก ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมศุลกากร กรมสรรพากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมกันทำการตรวจสอบการให้สัมปทานประกอบกิจการท่าเรือที่อยู่ในการกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งหมด ว่ามีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐ โดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ไม่ว่าผู้ประกอบการของแต่ละท่าที่มีพื้นที่และลักษณะทางกายภาพติดต่อกัน จะเป็นผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นหุ้นชุดเดียวกันหรือไม่ แล้วให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญาอย่างเคร่งครัด รวมทั้งดำเนินคดีเรียกค่าปรับ หรือค่าเสียหายอันเกิดจากการฉ้อฉลและทุจริตดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ หากพิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดในสัญญาข้อใด เป็นผลทำให้รัฐเสียเปรียบและก่อให้เกิดความเสียหาย ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขข้อสัญญานั้นให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป ๑.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พิจารณาถึงความเป็นไปได้อย่างเหมาะสมที่จะยกเลิกเพิกถอนการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการขนถ่ายสินค้าสำหรับเรือเดินทะเลที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเอาเปรียบรัฐ โดยการฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้ง ให้มีการติดตาม ประเมินผล และวิเคราะห์เปรียบเทียบผลดี ผลเสีย ที่ภาครัฐจะได้รับการให้สิทธิประโยชน์โครงการของผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าวด้วย ๑.๓ ให้กรมศุลกากร พิจารณาแก้ไข เพิ่มเติมเกณฑ์อัตราเปรียบเทียบปรับตามประมวลฯ ๑ ๐๖ ๐๓ ๐๑ (๒๒) ของระเบียบกรมศุลกากรที่ ๑๘/๒๕๕๐ ซึ่งใช้ประกอบการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๓๘ โดยเพิ่มโทษปรับให้มีอัตราที่สูงขึ้นและเหมาะสมเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้มีการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อกฎหมาย ๒. รับทราบคำสั่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะทั้ง ๓ ข้อ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากรและกรมสรรพากร) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง (ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้แจ้งกระทรวงคมนาคมแล้ว ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๕/ว(ล) ๒๔๒๘๑ ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๗) เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากรและกรมสรรพากร) สำนักงานคระกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการประกอบกิจการท่าเรือที่อยู่ในกำกับดูแลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยทั้งหมด ว่ามีการดำเนินการในลักษณะเอาเปรียบรัฐ ฉ้อฉลและทุจริตถ่ายโอนรายได้จากการอาศัยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการส่งเสริมการลงทุนจริงหรือไม่ โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในสัญญาอย่างเคร่งครัด และหากพิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดในสัญญาข้อใดเป็นผลทำให้รัฐเสียเปรียบและก่อให้เกิดความเสียหาย ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการแก้ไขข้อสัญญาให้เกิดความเป็นธรรมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 309 | การจัดงานรำลึกครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย | กต | 09/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑ การจัดงานรำลึกครบรอบ ๑๐ ปี เหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ จังหวัดพังงา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตและผู้สูญหาย การสดุดีผู้ให้ความช่วยเหลือ และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเตือนภัยล่วงหน้าของไทย โดยงานรำลึกจะจัดที่บริเวณอนุสรณ์สถานสึนามิ เรือ ต. ๘๑๓ ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซึ่งในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ จะเชิญแขกฝ่ายไทยและฝ่ายต่างประเทศ ได้แก่ ประชาชนในพื้นที่ ญาติผู้เสียชีวิตชาวไทยและชาวต่างประเทศ คณะทูตานุทูตประจำประเทศไทย ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ร่วมหรือมีบทบาทให้ความช่วยเหลือเหตุการณ์สึนามิในไทย ผู้แทนระดับสูงจากบางประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และผู้บริหารองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ จะจัดกิจกรรมให้ผู้แทนระดับสูงจากต่างประเทศและคณะทูตาทูตและองค์การระหว่างประเทศในประเทศไทยที่สนใจเยี่ยมชุมชนต้นแบบด้านการต้านทานภัยพิบัติ และด้านการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในจังหวัดพังงา ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีผู้แทนอยู่ในคณะกรรมการสำหรับการจัดงานครบรอบ ๑๐ ปี เหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ให้การสนับสนุนการเตรียมการและการจัดงานของคณะกรรมการจัดงานฯ และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 310 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ | กค | 02/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งได้ดำเนินการในเรื่องการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย ๑.๑ การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๑.๒ การวางระบบการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ โดยนำระบบบรรษัทภิบาล (Corporate Governance) มาใช้ในการดำเนินการ ๑.๓ การปฏิรูปการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ๑.๔ การสร้างความโปร่งใสในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๑.๕ การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ของรัฐวิสาหกิจ ๑.๖ การพิจารณาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐวิสาหกิจ ๑.๗ แผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ ๑.๘ สิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ๑.๙ เงินบริจาคเพื่อประโยชน์สาธารณะของรัฐวิสาหกิจ ๒. เห็นชอบให้ดำเนินการตาม ๒.๑ ข้อ ๒.๑.๑.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทิศทางของธุรกิจโทรคมนาคมและเสนอแนวทางดำเนินธุรกิจและปรับโครงสร้างองค์กรของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยใช้เงินรายได้ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ๒.๒ ข้อ ๒.๓ ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) โดยให้มีหน้าที่ครอบคลุมถึงออกเกณฑ์กำกับดูแลการตรวจสอบความเหมาะสมของผู้บริหาร ติดตามและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมถึงการสั่งการให้มีการแก้ไขปัญหา ส่วนงานด้านการกำกับนโยบายและการกำกับในฐานะผู้ถือหุ้น/เจ้าของกิจการยังคงเป็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังหารือร่วมเพื่อกำหนดกรอบในการกำกับดูแลในรายละเอียดต่อไป ๒.๓ ข้อ ๒.๔.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพในการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ของโครงการจัดซื้อรถโดยสารก๊าซธรรมชาติขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และสำหรับการจัดหาเอกชนร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ๒.๔ ข้อ ๒.๕ ให้มีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ๒.๕ ข้อ ๒.๘ ให้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ในรูปแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการของรัฐวิสาหกิจและสิทธิประโยชน์พิเศษต่าง ๆ ของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายและวงเงินที่ชัดเจนสำหรับสิทธิประโยชน์อื่น โดยต้องพิจารณาให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น |
|||||||||||||||||||||||||||
| 311 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 25/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลเกี่ยวกับการนำเสนอความเห็นต่อสาธารณะของประชาชน กลุ่มนักศึกษา นักวิชาการต่าง ๆ โดยความเห็นหรือข้อเสนอแนะควรเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศและเสริมสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ ๑.๒ ตามที่รัฐบาลได้เปิดศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อทำหน้าที่พิจารณาออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้วนั้น ในระยะต่อไปให้ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จขยายการดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้ครอบคลุมถึงแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ภายนอกประเทศ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนของไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาคเอกชนของไทยที่มีความประสงค์และมีความพร้อมในการลงทุนในประเทศต่าง ๆ แล้วจัดทำเป็นข้อมูลส่งให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการหารือทวิภาคีร่วมกับประเทศต่าง ๆ ต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒.๔ ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาเกี่ยวกับ Bloom Energy Server (Bloom Box) เพื่อพิจารณานำมาเป็นทางเลือกหนึ่งของการผลิตพลังงานเพื่อใช้ในประเทศไทยต่อไป ๒.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนและสาธารณะเกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในขณะนี้ และเร่งกำหนดมาตรการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลหรือคุ้มครองการดำเนินการทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณากำหนดมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขายโดยตรงต่อผู้บริโภคโดยทั่วไป และซื้อขายโดยผ่านช่องทางในตลาดอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทางการจัดการโรคเอดส์ของไทยที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งให้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๓.๒ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังโรคทั้งในคนและในสัตว์ และแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรค ๓.๔ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์และสร้างการรับรู้กับประชาชนเกี่ยวกับภัยของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ความรู้เกี่ยวกับการแยกประเภทขยะและวิธีการจำกัดขยะประเภทดังกล่าว ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานของรัฐบาลเฉพาะเรื่องที่มีผลสัมฤทธิ์แล้วและเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเฉพาะเท่าที่จำเป็นให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแผนงาน/โครงการที่จะดำเนินการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยนำข้อมูลที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ดำเนินการสำรวจไว้มาใช้ประกอบการพิจารณา แล้วกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการที่ระบุเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ในช่วงเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน และ ๑๒ เดือน รวมทั้งให้ขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน ๓-๖ เดือน และเสนอผลความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ๔.๓ ให้ทุกส่วนราชการควบคุมการก่อสร้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้ศึกษาสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างละเอียดรอบคอบและเหมาะสมกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้าง ๔.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงกำกับให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดประสิทธิภาพต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติพิจารณา โดยเฉพาะในประเด็นการคงอยู่ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวด้วย ๔.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการเร่งรัดเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร หากมีประเด็นปัญหาในข้อกฎหมาย ให้เสนอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา แล้วจัดทำเป็นข้อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๔.๖ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและทุกส่วนราชการเชิญชวนให้พสกนิกรชาวไทยร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๘๗ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ และมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๕ รอบ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ด้วยการตั้งปณิธานที่จะทำความดีอย่างน้อย ๑ อย่างที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยรวมให้ดีขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 312 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศญี่ปุ่น | กห | 18/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ ระหว่างวันที่ ๒๘-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๖-๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เพื่อพบปะหารือกับผู้บริหารระดับสูง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๑ ไทยและจีนจะใช้ความร่วมมือในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลดำเนินโครงการรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐานเส้นทางหนองคาย-โคราช-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด (ประมาณ ๗๓๔ กิโลเมตร) และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ (ประมาณ ๑๓๓ กิโลเมตร) ซึ่งจีนจะรับผิดชอบในการก่อสร้างและหาแหล่งเงินทุนสนับสนุน นอกจากนี้ จีนพร้อมจะลงนามในสัญญาซื้อข้าวใหม่จากไทยเพิ่มขึ้นอีก ๑ ล้านตัน และข้าวเก่าในคลังอีก ๑ ล้านตัน ในปี ๒๕๕๘ และจะเร่งรัดการซื้อข้าวที่เหลืออีก ๗๐๐,๐๐๐ ตัน รวมทั้งตกลงในหลักการที่จะซื้อยางพาราจากไทย จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงให้ทราบถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ทางการเมืองของไทยและการปฏิบัติตาม Road Map ซึ่งจีนมีความเข้าใจและเคารพการปฏิบัติของไทย ๑.๓ ไทยและจีนจะเพิ่มความร่วมมือด้านการฝึกระหว่างกองทัพอากาศของทั้งสองประเทศ โดยฝ่ายไทยได้ให้ความสำคัญต่อการประชุมคณะกรรมการนโยบายดำเนินงานความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ รวมทั้งขอให้จีนสนับสนุนหาคู่เจรจาให้กระทรวงกลาโหมของไทยในการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในด้านการวิจัยและพัฒนา ๒. ผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น ๒.๑ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ซึ่งญี่ปุ่นมีความเข้าใจและเคารพต่อการดำเนินการของไทย และขอให้การปฏิบัติตาม Road Map บรรลุผลสำเร็จ ๒.๒ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เชิญชวนให้นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปและเพิ่มคุณค่าสินค้าเกษตรของไทย รวมทั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน ๕ แห่ง ๒.๓ ไทยได้เชิญชวนให้นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนและโครงการพัฒนาเส้นทาง ซึ่งนักลงทุนชาวญี่ปุ่นให้ความสนใจการพัฒนาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (EAST-WEST Economic Corridor) และแนวเหนือ-ใต้ (NORTH-SOUTH Economic Corridor) แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณจึงให้ความเร่งด่วนต่อแนวตะวันออก-ตะวันตกก่อน ๒.๔ ญี่ปุ่นขอให้ไทยพิจารณาโครงการรถไฟของญี่ปุ่น และพิจารณาการจำกัดการนำเข้าอาหารจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดสึนามิเมื่อหลายปีก่อน รวมทั้งญี่ปุ่นมีความสนใจในโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยขอให้ไทยจัดการหารือระหว่างไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา-ญี่ปุ่น อีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 313 | การระงับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 12/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการระงับการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) คืนเงินส่วนที่เป็นค่าจ้างของบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำนวนทั้งสิ้น ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท ให้แก่บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เนื่องจากบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เห็นว่า ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) ได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความเรียบร้อย ได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี ทำให้บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) สามารถฟื้นฟูกิจการเป็นผลสำเร็จและได้ประกอบกิจการได้เป็นปกติ ทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับแบ่งปันกำไร เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ และพนักงานยังสามารถทำงานอยู่ได้โดยไม่ต้องตกงาน ทั้งกิจการของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ก็กำลังเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ แผนฟื้นฟูกิจการยังมีข้อจำกัดความรับผิดชอบซึ่งทำให้ผู้บริหารแผน (กระทรวงการคลัง) ไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีดังกล่าวอีก บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โดยมติคณะกรรมการบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) จึงไม่ประสงค์จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวต่อกระทรวงการคลัง ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้ระงับการจ่ายเงินและได้มีหนังสือตอบขอบคุณไปยังบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณดำเนินการในขั้นตอนที่เกี่ยวกับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๓๖,๑๘๒,๒๕๓.๐๖ บาท ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 314 | การพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี | นร01 | 04/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ด้านการพัฒนางาน โดยการบูรณาการการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ ได้ร่วมกับส่วนราชการเพื่อให้บริการเบ็ดเสร็จในจุดบริการเดียว (One Stop Service) โดยเชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญเป็นหลักมาร่วมปฏิบัติงาน ณ เรือนรับรองประชาชน ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับเรื่องและให้คำแนะนำ และร่วมกับศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ศูนย์ดำรงธรรมทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น สามารถใช้งานระบบสารสนเทศในชื่อ “ระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์” ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งร่วมกับคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดเพื่อช่วยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และเป็นกลไกการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เกิดความโปร่งใส ๑.๒ ด้านการประสานความร่วมมือ ได้ขอความร่วมมืออาสาสมัคร (เช่น นิสิต นักศึกษา และมูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น) ที่มีความรู้ ความเข้าใจในการรับฟังปัญหา และให้คำแนะนำ เพื่อเป็นภาคสมทบกับเจ้าหน้าที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ณ เรือนรับรองประชาชน ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ๑.๓ ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ ระดับปฏิบัติงาน มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารจัดการการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ โดยมีรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นผู้ควบคุมดูแล และระดับนโยบาย เห็นควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาลเพื่อดำเนินการศึกษาวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์ที่เป็นประเด็นสำคัญ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานกรรมการให้ความเห็นชอบ ๑.๔ ด้านการติดตามผลเรื่องร้องทุกข์ มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการ กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบการติดตามผลการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ในภาพรวม และให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องติดตามผลการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องเป็นการเฉพาะเป็นกรณี ๆ ไป ๑.๕ ด้านงบประมาณ การดำเนินงานใช้งบประมาณของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอย่างประหยัด คุ้มค่า โปร่งใส เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงระบบเครือข่ายและการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวง กรม จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและคล่องตัว รวมทั้งให้เชื่อมโยงข้อมูลกับสถานทูตไทยในประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 315 | รายงานผลการดำเนินงานตามประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ประจำปี พ.ศ. 2555 - 2556 | พม | 04/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยการดำเนินการของประเทศไทย มีพัฒนาการในภาพรวมที่สำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนเมื่อปี ๒๕๕๑ และได้ริเริ่มการจัดการหารือระหว่างผู้นำอาเซียนกับภาคประชาชน เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมต่อกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียน และเป็นสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และข้อเสนอดังกล่าวผ่านการเห็นชอบในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๔ ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และมีการจัดตั้งสมาคมอาเซียนประเทศไทย (ASEAN Association-Thailand) เพื่อช่วยส่งเสริมการดำเนินงานของภาครัฐในการสร้างประชาคมอาเซียน และเป็นเวทีปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน รวมทั้งสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนเกี่ยวกับอาเซียนและความร่วมมือในกรอบต่าง ๆ ของอาเซียน และได้ผลักดันให้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage : UHC) เป็นวาระสำคัญของการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน (ASEAN Health Ministerial Meeting : AHMM) ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ การกำหนดยุทธศาสตร์การศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นประชาคมอาเซียนและความคืบหน้าในการสร้างระบบถ่ายโอนหน่วยกิต ซึ่งดำเนินการโดยเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network : AUN) ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑ ใน ๕ ด้าน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และผลักดันให้มีการประกาศทศวรรษคนพิการอาเซียน (ค.ศ. ๒๐๑๑-๒๐๒๐) เพื่อส่งเสริมความสามารถและศักยภาพของคนพิการ รวมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนพิการในสังคมมากขึ้น ๑.๓ การส่งเสริมบทบาทของภาคประชาสังคม โดยการจัดตั้ง GO-NGO Forum ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนและผลักดันการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และการพัฒนาองค์ความรู้และการจัดการความรู้ทางด้านมรดกวัฒนธรรมและความหลากหลายทางวัฒนธรรมในอาเซียน โดยเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านวัฒธรรม ทั้งในระดับผู้บริหาร ระดับปฏิบัติการ ผู้เชี่ยวชาญ ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ช่างหัตถกรรม นักเรียน นักศึกษา เยาวชน และประชาชน เป็นต้น ๑.๔ การกำหนดให้ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ค.ศ. ๒๐๑๓) เป็นปี ASEAN Sports Industry Year และการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานหลัก ได้จัดโครงการต่าง ๆ อาทิ การแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียน โครงการพัฒนาทีมวิทยากร โดยให้ตัวแทนชุมชนมารับความรู้จาก ส่วนกลางและนำไปขยายผลต่อในชุมชน เป็นต้น ๑.๕ ประเทศไทยได้ผลักดันให้เกิดระบบ Manifest System ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลไกของอาเซียนเพื่อส่งเสริมการเฝ้าระวังและติดตามการลักลอบทิ้งของเสียที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งการทิ้งของเสียจากการเดินเรือทะเล (ASEAN Mechanism to Enhance Surveillance against Illegal Desludging and Disposal of Tanker Sludge at Sea) ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗๑/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗) เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักของประเทศไทยในการประสานการดำเนินงานตามแผนการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน เพื่อจัดทำแผนฉบับใหม่ทดแทนแผนเดิมที่จะสิ้นสุดลงในปี ๒๕๕๘ ตามสาระสำคัญของร่างปฏิญญาว่าด้วยวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนภายหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 316 | การรายงานผลการบริหารราชการแผ่นดินและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรีด้านต่างประเทศ (การประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 2/2557) | กต | 04/11/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการบริหารราชการแผ่นและการผลักดันนโยบายของคณะรัฐมนตรี ด้านการต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ได้มีการหารือถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยจะพัฒนาความร่วมมือทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และการพัฒนา ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เสนอให้จัดทำความตกลงเพื่อยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนและอำนวยความสะดวกในการลงทุนในกัมพูชา รวมถึงเสนอให้กัมพูชาใช้ตลาดทุนของไทยเป็นแหล่งระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยด้วย ๑.๒ ผลการดำเนินงานตามนโยบายในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ ด้านการต่างประเทศ ได้แก่ การเดินทางเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา การเข้าร่วมประชุมผู้นำเอเชียยุโรป ครั้งที่ ๑๐ ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี เยือนกรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ของนายกรัฐมนตรี การเดินทางเยือนประเทศอื่น ๆ ของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒.๒ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ได้จัดโครงการเยาวชนคนดีรู้คุณแผ่นดิน ปี ๒๕๕๗ และจัดการประชุมหารือระดับผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกษตรและอาหารเพื่อสุขภาพจากอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ถึงความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการ ๑.๒.๓ ด้านการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ได้จัดงานประกวดศิลปะปูนปั้นแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๔ ประจำปี ๒๕๕๗ หัวข้อเรื่อง วัฒนธรรมอาเซียน และจัดเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ ๑๒ เพื่อเผยแพร่ภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ไทยให้ผู้ชมรู้จักวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ๑.๒.๔ ด้านการปลูกฝังศีลธรรม ได้ดำเนินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ด้วยการใช้บ้าน วัด และโรงเรียนเป็นกลไกในการขับเคลื่อน จัดโครงการเด็กไทยกับ IT ปี ๒ ค่านิยมไทยสร้างสังคมไทยเป็นสุข โดยใช้อุปกรณ์ IT เพื่อดึงดูดและสร้างความท้าทายในการจัดระดับค่านิยม ๑๒ ประการ ๑.๒.๕ ด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดงานเดิน-วิ่งมินิมาราธอนเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปี และจัดการแสดงวัฒนธรรมร่วมในพิธีเปิดกิจกรรมเดินหน้าประเทศไทยร่วมปฏิรูป ๑.๒.๖ ด้านการพัฒนาสุขภาพร่างกาย ได้เพิ่มชั่วโมงพลศึกษาขึ้น ๑ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมทั้งสนับสนุนให้มีลานกีฬา สวนสาธารณะเพื่อเป็นแหล่งพักผ่อน เล่นกีฬา และออกกำลังกายของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ๑.๓ แผนการดำเนินการในห้วงต่อไป ๑.๓.๑ การทูตเชิงรุก ด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การตอบรับการเยือนประเทศไทยของคณะนักธุรกิจที่เป็นผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ การประชุมผู้นำเอเปค ณ กรุงปักกิ่ง การประชุมผู้นำอาเซียน ณ กรุงเนปิดอว์ การประชุม ADC และกาiจัดงานรำลึกครบรอบ ๑๐ ปี ธรณีพิบัติภัยสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย ณ จังหวัดพังงา ในวันที่ ๒๖-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓.๒ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เช่น จัดมหกรรมลอยกระทงประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ และนาฏยจักรกลแห่งอนาคต ดำเนินโครงการ ๑๒ เมืองต้องห้ามพลาด ๑.๓.๓ การยกระดับด้านการกีฬาไปสู่สากล โดยจะจัดการประชุมสมัชชาใหญ่สมาคมสหพันธ์โอลิมปิกแห่งชาติประจำปี ๒๕๕๗ จัดการแข่งขันกีฬา Asian Beach Games ครั้งที่ ๔ ประจำปี ๒๕๕๗ และการจัดเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพ Harmony World Puppet Carnival in Bangkok Thailand 2014 ๒. ให้ทุกส่วนราชการเร่งจัดส่งข้อมูลในความรับผิดชอบ เช่น แผนและยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน ให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อใช้ประกอบการดำเนินการของศูนย์ความร่วมมือการค้าและการลงทุนของไทยในต่างประเทศตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวและเข้าชมการแข่งขันกีฬา Asian Beach Games ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ จังหวัดภูเก็ต ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทยในราชอาณาจักรบาห์เรนเพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้าไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 317 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรี ๑.๑ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเร่งรัดดำเนินการดูแลผู้ลี้ภัยและปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัยทั้งหมดให้มีสภาพที่เหมาะสมเพียงพอต่อการพำนักในช่วงระหว่างรอการส่งกลับประเทศต้นทาง รวมทั้งการพิจารณาย้ายพื้นที่ควบคุมไปยังศูนย์พักพิงต่าง ๆ ตลอดจนเร่งการดำเนินการเพื่อผลักดันผู้ลี้ภัยดังกล่าวกลับประเทศต่อไปโดยเร็ว และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องต่าง ๆ ของไทย และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเร่งสนับสนุนข้อมูลประกอบการดำเนินการเกี่ยวกับการมีอยู่ของคณะกรรมการตามประกาศหรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ และให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการและผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจในกำกับให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ การดำเนินการสรรหาและแต่งตั้งต้องยึดหลักความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการศึกษาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนและหนี้นอกระบบโดยเร็ว และให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต และรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๑.๕ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการดำเนินการรวบรวมผลการดำเนินงานของกองทุนที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยเร็ว และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการพัฒนาพื้นที่ที่กำหนดเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เป็นชุมชนเมืองใหม่ ประกอบด้วยพื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่การพาณิชย์ โรงแรมและที่พักอาศัย เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต โดยอาจพิจารณาแนวทางการพัฒนาเมืองคู่แฝดทางการค้าซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองคู่ค้าหลักในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ๒.๒ ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการให้ความร่วมมือในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะการเข้าร่วมพัฒนาในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ๒.๓ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินการสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยการร่วมทุนให้เงินกู้หรือสนับสนุนผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในช่วงที่ผ่านมาต่อนายกรัฐมนตรีภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำข้อมูลการลดภาษีศุลกากร (tariff) และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariffs) ที่ประเทศไทยมีภาระผูกพันต้องดำเนินการตามที่ได้ทำความตกลงกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยจัดทำข้อมูลดังกล่าว ณ ปัจจุบันและในปี ๒๕๕๘ รวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒.๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามและศึกษาการปรับโครงสร้างและการจัดการด้านพลังงานของประเทศอินโดนีเซีย ตามนโยบายของประธานาธิบดี วิโดโด เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการในกรณีของประเทศไทย และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับประเด็น/ท่าทีที่สำคัญของไทยในด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง กฎหมาย เพื่อใช้ประกอบการประชุมหรือการเดินทางเยือนนานาประเทศของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในการกำหนดประเด็นและท่าทีของไทยให้ครอบคลุมทั้งในฐานะของประเทศไทยและในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของอาเซียนด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาข้อมูลการจัดระเบียบที่อยู่อาศัยของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งได้มีการสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยเป็นตึกสูง เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและการจัดระเบียบที่อยู่อาศัยของไทยต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศ (Joint Committee) พิจารณากำหนดให้มีการประชุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินการตามภารกิจของแต่ละคณะมีความก้าวหน้าและมีผลสัมฤทธิ์ โดยอาจจะกำหนดให้มีการประชุมทุกเดือน หรือทุกสองเดือน เป็นต้น ๓.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำกับดูแลไม่ให้มีการดำเนินกิจกรรมของชนกลุ่มน้อยจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในพื้นที่ประเทศไทยที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสันติภาพและความเป็นเอกภาพภายในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดมาตรการดูแลพื้นที่สำคัญทั้งในกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัดที่ไม่ควรเกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ราชการที่ให้บริการแก่ประชาชน เช่น โรงพยาบาล ๔.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงคมนาคมกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัยในการเดินทางในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่สภาพภูมิอากาศเริ่มมีหมอกปกคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลต่อความปลอดภัยในการสัญจรของนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ๔.๓ ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินงาน/โครงการซึ่งกำหนดเริ่มดำเนินการในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ตามแผนปฏิบัติการ (Action plan) ระยะ ๑ ปี ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการที่เป็นการเตรียมการรองรับภัยแล้ง เช่น การขุดลอกคูคลอง และขุดบ่อเพื่อสำรองน้ำใช้ในช่วงภัยแล้ง เป็นต้น ๔.๔ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้ง และอาจเชิญบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนเป็นผู้ประสานทำความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างราบรื่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 318 | สรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 21/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้าร่วมประชุมประจำปี STS forum ครั้งที่ ๑๑ [The 11th Annual Meeting of the Science and Technology in Society (STS) forum] การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (The Science and Technology Ministers’ Roundtable Meeting) และการประชุมหารือกับหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๓-๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้าร่วมการประชุมร่วมกับผู้นำระดับสูงและผู้กำหนดนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม นักธุรกิจ และสื่อมวลชนชั้นนำจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ประมาณ ๑,๐๐๐ คน จาก ๑๐๐ ประเทศ โดยได้พบปะหารือกับผู้บริหารระดับสูงและเยี่ยมชมหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศญี่ปุ่น เพื่อขยายความร่วมมือทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทยกับญี่ปุ่น ได้แก่ การพบปะหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ Miraikan National Museum of Emerging Science and Innovation, Honda Research Institute (HRI) การพบปะหารือกับ Minister of Education, Culture, Sports, Science and Technology (MEXT) ของญี่ปุ่น ประธานของ Japan Science and Technology Agency (JST) และผู้บริหารระดับสูงของ Nidec Corporation Japan (NCJ) พร้อมกันนี้ ยังได้พบปะหารือกับนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยในประเทศญี่ปุ่น และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับ Advanced Industrial Science and Technology (AIST) ๒. ประโยชน์ที่ได้รับจากการเดินทางไปราชการ ได้แก่ ได้ขยายความร่วมมือทางด้านนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมกับรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์ และผู้นำองค์กรจากทั่วโลก ได้ขยายความร่วมมือกับผู้นำและองค์กรรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทยให้ขยายฐานการผลิตที่เน้นการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรมระดับสูงเพิ่มขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 319 | การกำหนดหลักการให้รองนายกรัฐมนตรีอนุมัติเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องให้นายกรัฐมนตรี | นร05 | 01/10/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบประเภทเรื่องที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ และเรื่องที่มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ ให้เสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๑.๑ เรื่องที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ ได้แก่ ๑.๑.๑ การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๑.๑.๒ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ๑.๑.๓ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต กงสุลของไทยประจำต่างประเทศ ๑.๑.๔ การแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี ๑.๑.๕ การแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุด รองผู้บริหารสูงสุด และคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ ๑.๑.๖ การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ เรื่องที่มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติ ได้แก่ ๑.๒.๑ เรื่องเพื่อทราบตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี หรือตามที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๒.๒ เรื่องที่ผ่านการพิจารณาของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หรือคณะกรรมการที่แต่งตั้งตามกฎหมาย/ระเบียบ/ข้อบังคับ หรือโดยคณะรัฐมนตรี/นายกรัฐมนตรี เช่น ร่างประกาศต่าง ๆ ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องแล้ว ๑.๒.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ ที่ไม่ใช่เรื่องนโยบาย เช่น ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ต่าง ๆ ๑.๒.๔ เรื่องที่มีกฎหมายหรือระเบียบรองรับอยู่แล้ว เช่น การอนุมัติให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานที่ต่างประเทศ ๑.๒.๕ เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่ใช่เรื่องนโยบาย เช่น การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต กงสุลของต่างประเทศประจำประเทศไทย ๒. เห็นชอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องดังต่อไปนี้เสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อพิจารณากลั่นกรองก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๑ เรื่องที่หน่วยงานอิสระเสนอคณะรัฐมนตรี เช่น ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ๒.๒ การดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครอง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 320 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 26/08/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ทุกฝ่ายสรุปผลการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาและจัดทำแผนการดำเนินการระยะ ๑ ปีเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการของรัฐบาลต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงบประมาณนำข้อมูลจากแผนข้างต้นไปใช้ประกอบในการจัดทำคำแถลงนโยบายรัฐบาลและคำชี้แจงงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ด้วยนั้น ให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าว และส่งข้อมูลไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดทำสรุปผลการดำเนินงานในห้วง ๓ เดือนที่ผ่านมา และแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะเฉพาะหน้า และการวางยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศ เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การกำจัดขยะอย่างเป็นระบบ โดยให้พร้อมส่งมอบรัฐบาลเพื่อความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ ๑.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด นั้น ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาและฝ่ายความมั่นคงเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าวโดยเร็ว โดยในระยะแรกให้พิจารณาดำเนินการในพื้นที่ว่างเปล่าชานเมือง เช่น ที่ราชพัสดุ เพื่อจัดเป็นที่พักอาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อยอย่างเป็นระเบียบ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับการจัดผังเมืองด้วย ๑.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมีความชัดเจน เป็นรูปธรรม จึงให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดสรรโควตาและการทำสัญญาสำหรับตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและครอบคลุมทุกพื้นที่และทุกกลุ่ม รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงสถานที่จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคา ๘๐ บาท ด้วย ๑.๔ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการผลิตภาพยนตร์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ภาพลักษณ์ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ โดยอาจเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดสำหรับภาพยนตร์ นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้เกิดผลเป็นรูปธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรม ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนร่วมประกวดบทภาพยนตร์สั้น โดยให้เน้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกและโบราณสถาน รวมทั้งให้มีการถ่ายทำภาพยนตร์ในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สวยงามของประเทศไทย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีภาพยนตร์ที่จะได้นำไปเผยแพร่สู่สายตาชาวต่างชาติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๕ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการดำเนินการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะจะต้องมีระบบติดตามมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนด และมีระบบตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีความพร้อม ไม่เมาสุรา ไม่เสพยาเสพติด และมีการพักผ่อนที่เพียงพอ และมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) เร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการนำระบบ GPS และระบบการติดตามผู้ขับขี่มาใช้ในรถยนต์โดยสารสาธารณะมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถโดยสารสาธารณะให้แล้วเสร็จและมีผลเป็นรูปธรรม นั้น ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าวให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้พิจารณาหามาตรการลดมลภาวะจากท่อไอเสียของรถโดยสารสาธารณะด้วย ๑.๖ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้ชะลอการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นออกไปก่อน และให้กระทรวงมหาดไทยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว นั้น ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยตรวจสอบและกำกับดูแลการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวให้มีความถูกต้องและโปร่งใส หากตรวจสอบพบความผิดปกติให้มีการดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป ๑.๗ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี นั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ที่ใกล้จะถึง ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยกระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาสังคมต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การแข่งมอเตอร์ไซค์ตามถนน (เด็กแว้น) โดยพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนนอกเหนือจากการจับกุมและบังคับใช้กฎหมาย เช่น การให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีทำกิจกรรมบริการสาธารณะในงานที่ถนัด การควบคุมความประพฤติและฝึกอาชีพเพื่อให้สามารถมีอาชีพเมื่อได้รับการปล่อยตัว ๒.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมพัฒนาการของเยาวชนไทยให้มีความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัย ทั้งด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ และด้านสังคม โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านโภชนาการให้เยาวชนบริโภคอาหารที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคอ้วน ๒.๓ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับโครงสร้างทางการศึกษา วิธีการจัดการศึกษาให้มีมาตรฐานและให้เด็กไทยสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เน้นการศึกษาในห้องเรียน ปรับหลักสูตรให้ครอบคลุมวิชาพื้นฐาน เช่น ประวัติศาสตร์ชาติไทย หน้าที่พลเมือง สิทธิและหน้าที่ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย ทั้งนี้ ให้ปรับปรุงเนื้อหาของหนังสือชุด “พระมหากษัตริย์ไทย ๙ รัชกาล” จาก ๙ เล่มให้เหลือเพียงเล่มเดียวเพื่อให้มีเนื้อหาที่กระชับและน่าสนใจสำหรับใช้เป็นหนังสือพื้นฐานในการศึกษาของเยาวชนด้วย ๓. ด้านเศรษฐกิจ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) พิจารณาทบทวนผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และจัดทำแนวทางการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจในภาพรวม โดยพิจารณาถึงการบริหารรายรับและรายจ่ายเพื่อลดภาระการอุดหนุนงบประมาณจากภาครัฐด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ด้านอื่น ๆ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาความเหมาะสมและความเพียงพอของหมายเลขโทรศัพท์พิเศษ ๔ หลักที่มีในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงการบูรณาการงานร่วมกันของหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงกัน เพื่อให้ประชาชนมีช่องทางในการขอรับบริการได้อย่างสะดวกและเหมาะสมเพียงพอยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
