ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 381 | การปรับระบบบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎ ก.พ.อ. ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาอาจได้รับเงินประจำตำแหน่งตามบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาท้ายกฎ ก.พ.อ. นี้ ๑.๒ กำหนดให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินประจำตำแหน่งตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการการจ่ายเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาใช้บังคับกับการจ่ายเงินประจำตำแหน่งตามกฎ ก.พ.อ. นี้โดยอนุโลม ๑.๓ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งวิชาการตามที่กำหนด และตำแหน่งอื่นตามที่ ก.พ.อ. กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้รับเงินประจำตำแหน่ง และจะได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราใดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. ประกาศกำหนด ๑.๔ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งประเภทผู้บริหารตามที่กำหนด และตำแหน่งอื่นตามที่ ก.พ.อ. กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้รับเงินประจำตำแหน่ง การได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราใดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. ประกาศกำหนด ๑.๕ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ (วช.) ตามที่กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่งตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. ประกาศกำหนด แต่ให้ได้รับไม่ก่อนวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ ๑.๖ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะ (ชช.) ตามที่กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่ง แต่ให้ได้รับไม่ก่อนวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓ ๑.๗ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามข้อ ๑.๓ ข้อ ๑.๔ ข้อ ๑.๕ และข้อ ๑.๖ ตำแหน่งใด ระดับใด และปฏิบัติหน้าที่หลักของตำแหน่งดังกล่าวให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราสำหรับตำแหน่งนั้น ๑.๘ กำหนดให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้รักษาราชการแทนหรือรักษาการในตำแหน่งประเภทผู้บริหารที่มีวาระการดำรงตำแหน่งตามที่กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราที่กำหนดไว้ในตำแหน่งนั้นนับแต่วันที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ จนถึงวันที่พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ แต่ต้องไม่เกินหกเดือน ๑.๙ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอาจารย์ ๓ ตำแหน่งครู หรือตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามที่กำหนด ให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตราตามตำแหน่งที่กำหนด นับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๒ เกี่ยวกับการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งประเภทผู้บริหารในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขต ผู้อำนวยการกองหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองตามมาตรา ๑๘ (ข) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยเทียบเคียงกับตำแหน่งประเภทอำนวยการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาได้รับเงินประจำตำแหน่งตามกฎ ก.พ.อ. ฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 382 | ผลการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 25 | ทก | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๕ ระหว่างวันที่ ๒๔ กันยายน ถึง ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเลือกตั้งตำแหน่งผู้บริหารของสำนักงานระหว่างประเทศ สหภาพสากลไปรษณีย์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ เลขาธิการ (Director General) ได้แก่ Mr. Bishar A Hussain จากสาธารณรัฐเคนยา และรองเลขาธิการ (Deputy Director General) ได้แก่ Mr. Pascal-Thierry Clivaz จากสมาพันธรัฐสวิส ๒. ผลการเลือกประเทศเจ้าภาพจัดการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๖ ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกี โดยกำหนดจะจัดให้มีการประชุมฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ณ เมืองอิสตันบูล สาธารณัฐตุรกี ๓. ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาบริหาร (Council of Administration : CA) สภาบริหาร มี ๔๑ ที่นั่ง ประกอบด้วยสมาชิกจากภูมิภาคต่าง ๆ ๕ ภูมิภาค จำนวน ๔๐ ที่นั่ง และประธานอีก ๑ ที่นั่ง ซึ่ง Mr. Abdul Rahman bin Ali Al-Aqaily ผู้แทนรัฐกาตาร์ได้รับเลือกเป็นประธานสภาบริหาร ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ โดยในการประชุมใหญ่ครั้งนี้มีประเทศที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหาร จำนวน ๔๖ ประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาบริหารในภูมิภาคที่ ๔ Southern Asia and Oceania ด้วยคะแนนเสียง ๑๔๒ คะแนน จัดอยู่ลำดับที่ ๒ ของจำนวน ๑๐ ที่นั่งในภูมิภาคนี้ และอยู่ในลำดับที่ ๖ ของจำนวนทั้งหมด ๔๐ ที่นั่ง ๔. ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ (Postal Operations Council : POC) สภาปฏิบัติการไปรษณีย์ มี ๔๐ ที่นั่ง ประกอบด้วยสมาชิกจากประเทศพัฒนาแล้ว (Industrialized Country : IC) จำนวน ๑๖ ที่นั่ง และประเทศกำลังพัฒนา (Developing Countries : DC) จำนวน ๒๔ ที่นั่ง โดยมีประเทศที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ จำนวนทั้งสิ้น ๖๐ ประเทศ ประกอบด้วยประเทศพัฒนาแล้ว จำนวน ๑๗ ประเทศ และประเทศกำลังพัฒนา จำนวน ๔๓ ประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ด้วยคะแนนเสียง ๑๑๗ คะแนน จัดอยู่ในลำดับที่ ๕ ของจำนวน ๑๑ ประเทศในภูมิภาคนี้ และอยู่ในลำดับที่ ๑๐ ของจำนวนทั้งหมด ๔๐ ที่นั่ง โดยที่ประชุมสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ได้มีมติเลือก Mr. Masahiko Metoki จากประเทศญี่ปุ่น เป็นประธานสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ๕. ที่ประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๕ ได้พิจารณาข้อเสนอของประเทศสมาชิกซึ่งได้มีการแก้ไข/เพิ่มเติมรายละเอียดในเอกสารสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ ธรรมนูญของสหภาพสากลไปรษณีย์ ข้อบังคับทั่วไป กฎข้อบังคับการประชุมใหญ่ อนุสัญญาสากลไปรษณีย์ และข้อตกลงว่าด้วยบริการชำระเงินทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ประเทศสมาชิกของสหภาพฯ ทุกประเทศต้องถือปฏิบัติร่วมกัน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
| 383 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี | นร | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การนำเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร และการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยเหมาะสม จึงขอกำหนดแนวทางปฏิบัติในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี และให้หน่วยงานของรัฐ รวมทั้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป ดังนี้
๑. การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ให้รัฐมนตรีเจ้าของเรื่องแจ้งข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นการภายในล่วงหน้าโดยด่วนก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีและให้เสนอเรื่องอย่างเป็นทางการโดยส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในเวลา ๐๙.๐๐ น. ของวันจันทร์ (กรณีการประชุมคณะรัฐมนตรีตามปกติในวันอังคาร) หากล่วงเลยกำหนดวันเวลาดังกล่าว มิให้เสนอเรื่องเป็นวาระจร ทั้งนี้ ยกเว้นเรื่องเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ผู้บริหาร ประธานกรรมการ กรรมการในหน่วยงานของรัฐ และเรื่องที่มีผลกระทบหรือมีความอ่อนไหว (sensitive) ที่ไม่อาจเปิดเผยล่วงหน้าได้ หรือเรื่องที่เป็นความลับของทางราชการ ๒. การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างเคร่งครัด ๒.๑ กรณีเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งขอความเห็นหรือข้อเสนอแนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานหลัก เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๗ วันทำการ (ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือแจ้ง) เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๒.๒ กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และยังไม่มีความเห็นหรือข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประกอบการเสนอเรื่องมาด้วย ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กรณีมิได้เป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่อง) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๕ วันทำการ (ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะมีหนังสือแจ้งไป) เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๒.๓ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามกรณีในข้อ ๒.๑ หรือข้อ ๒.๒ แล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังมิได้เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเร่งรัดทวงถามความเห็นหรือข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดังกล่าว และหากครบกำหนด ๑๔ วันนับแต่วันที่ได้แจ้งให้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะครั้งแรก ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมเรื่อง และรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องที่ยังไม่ได้เสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. การติดตามและรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๓.๑ กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดระยะเวลาให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจน ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีตามกำหนดเวลาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี แต่มิได้กำหนดระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีทุกสามเดือน เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ มติคณะรัฐมนตรีตามข้อ ๓.๑ และข้อ ๓.๒ กรณีมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ให้ระบุหน่วยงานเจ้าภาพหลักที่จะต้องรายงานผลการดำเนินการให้ชัดเจน และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมรายชื่อเรื่องที่ค้างการดำเนินการซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมิได้จัดทำรายงานให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดและนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบและพิจารณาสั่งการหรือนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามแต่กรณีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 384 | ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 48 (1) แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551) | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดห้ามมิให้สถาบันการเงินไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้สินเชื่อทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายการให้ สินเชื่อ หรือประกันหนี้แก่กรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือผู้ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าที่เรียกชื่ออย่างอื่น ผู้มีอำนาจในการจัดการของสถาบันการเงิน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว เว้นแต่เป็นการให้สินเชื่อในรูปของบัตรเครดิตตามอัตราขั้นสูงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด หรือการให้สินเชื่อเพื่อเป็นสวัสดิการแก่บุคคลดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด เมื่อเห็นว่าการให้สินเชื่อนั้นไม่ได้เป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกจากสถาบันการเงินโดยมิชอบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในประเด็นการขัดกันของผลประโยชน์ระหว่างกรรมการหรือผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินกับสถาบันการเงิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาในรายละเอียดสาระสำคัญของกฎหมาย และหลักเกณฑ์ที่ ธปท. จะประกาศกำหนด รวมทั้งระเบียบปฏิบัติอื่นที่ใช้บังคับกับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่จะได้รับผลกระทบภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ โดยรักษามาตรฐานการกำกับดูแลให้อยู่ในระดับสากล โดยเฉพาะการกำกับดูแลธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างสถาบันการเงินประเภทต่าง ๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทประกันภัย เป็นต้น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงินและระบบการเงินโดยรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 385 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เขตบริหารปกครองพิเศษมาเก๊า เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เขตบริหารปกครองพิเศษมาเก๊า เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายชุมพล ศิลปอาชา) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพบปะและเจรจาข้อราชการกับ Mr. Chui Sai On Chief Executive of Special Administrative Region ผู้บริหารระดับสูงของเขตปกครองพิเศษมาเก๊า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอว่าภูเก็ตมีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกับมาเก๊ามาก โดยเฉพาะ Chino Protuguese อาคารบ้านเรือนแบบโปรตุเกสสมัยโบราณ และได้เสนอว่ามาเก๊าและจังหวัดภูเก็ตน่าจะจัดให้มีการประชุมร่วมกันหรือลงนามเป็นเมืองพี่เมืองน้องด้วยกัน คนมาเก๊านิยมเดินทางไปท่องเที่ยวภูเก็ตแต่ในขณะนี้ยังไม่มีสายการบินตรง หากได้รับการสนับสนุนจากท่าน Chief Executive SAR ก็จะทำให้มีสายการบินต้นทุนต่ำบินจากมาเก๊าไปภูเก็ตได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งในประเด็นนี้ Chief Executive SAR รับยินดีให้การสนับสนุนให้มีสายการบินตรงระหว่างมาเก๊ากับภูเก็ต โดยขอให้สถานกงสุลใหญ่ไทย ณ เมืองมาเก๊าเป็นผู้ประสานงานต่อไป ๒. การพบปะหารือแลกเปลี่ยนข้อราชการกับนายหลี่ เค่อเฉียง รองนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑ ของจีน โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศซื้อเกาะเตียวหยู ทำให้ประชาชนชาวจีนไม่พอใจเป็นอย่างมาก การกระทำของญี่ปุ่นในครั้งนี้เป็นการปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ปฏิเสธระเบียบต่าง ๆ ที่ได้วางรากฐานกันมาหลังจากสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ประเทศจีนมีความตั้งใจในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของจีนไว้ ซึ่งเรื่องนี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายินดีสนับสนุนจีนช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ แต่ไม่สนับสนุนการใช้กำลังและอาวุธ และแจ้งว่ายินดีสนับสนุนจีนในการแก้ปัญหาเรื่องหมู่เกาะเตียวหยูและให้กำลังใจแก่จีน และหลังจากที่ได้มีการหารือกับนายหลี่ เค่อเฉียง รองนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑ ของจีนแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เข้าร่วมพิธีเปิดงาน 2012 China (Ningxia) International Investment and Trade Fair & The third China-Arab States Economic และ Trade Forum โดยมีผู้นำระดับสูงจากประเทศอาหรับและแอฟริกาใต้ จำนวน ๖ ประเทศ เข้าร่วมประชุม การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมด้านการค้า การลงทุน และส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ซึ่งประเทศจีนต้องการทำความร่วมมือกับประเทศในการสร้างต้นแบบการส่งเสริมอาหารฮาลาล และมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในงานด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศให้เดินทางไปลงทุนที่ Ningxia ๓. การพบหารือและแลกเปลี่ยนข้อราชการกับ Mr. Wang Zheng Wei ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษ Ningxia โดยผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษ Ningxia กล่าวว่าจากการที่ได้เคยเดินทางไปประเทศไทยทราบว่า ประเทศไทยมีประชากรมุสลิม จำนวน ๙ ล้านคน มีการเกษตรที่ดี มีทรัพยากรอย่างดี นักท่องเที่ยวไปเที่ยวก็มีความประทับใจ และเนื่องจากขณะนี้เมือง Ningxia กำลังพัฒนาเรื่องอาหารฮาลาล เคยมีกลุ่มคณะดูงานจากประเทศไทยมาหารือร่วมประชุมที่ Ningxia เรื่องการส่งเสริมอาหารฮาลาลร่วมกัน การที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มาร่วมงาน 2012 China (Ningxia) International Investment and Trade Fair & China Arab States Economic and Trade Forum ครั้งที่ ๓ ในครั้งนี้จะทำให้มีความร่วมมือกันมากขึ้น และในปัจจุบันนี้ Ningxia และประเทศอาหรับอีก ๖ ประเทศได้ร่วมมือกันส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล หากมีโอกาสร่วมมือกัน Ningxia ต้องการร่วมมือกับไทยในการรับรองอาหารฮาลาลแบบอย่างของไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มากมาย หากได้มีความร่วมมือกันนอกจากจะมีนักท่องเที่ยวแล้วจะมีการลงทุนระหว่างไทยกับ Ningxia เพิ่มมากขึ้นต่อไปในอนาคต ๔. การพบหารือกับ Mr. Cai Wu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของจีน ทั้งสองฝ่ายได้หารือในเรื่องการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีนอย่างกว้างขวาง โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและจีนมีมาช้านานและเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น การเสด็จเยือนประเทศจีนของราชวงศ์ก็สนับสนุนให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีเพิ่มขึ้น คนไทยทั้งหมดมีความรู้สึกที่ดีต่อประเทศจีน พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของจีนที่ได้ให้การสนับสนุนจัดการแสดงจากประเทศจีนไปแสดงในงานเทศกาลตรุษจีนที่ประเทศไทยทุกปี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
| 386 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี 2554 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2555 | กค | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี ๒๕๕๕ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของ กบข. ซึ่งประกอบด้วย งบดุล ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ งบรายได้ ค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิและงบกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของปี ๒๕๕๔ โดยมีความเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ และกระแสเงินสดของ กบข. โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ทั้งนี้ กบข. มีฐานะการเงินสรุปได้ว่า มีสินทรัพย์รวม ๕๒๖,๕๑๕,๔๙๙,๓๔๙ บาท หนี้สินรวม ๓,๔๖๐,๑๒๐,๘๙๕ บาท และสินทรัพย์สุทธิ ๕๒๓,๐๕๕,๓๗๘,๔๕๔ บาท ๒. เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กบข. ได้จัดให้มีการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกประจำปี ๒๕๕๕ ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกฯ ได้พิจารณารายงานผลการดำเนินงานฐานะการเงิน และการรับจ่ายเงินของกองทุนและได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ สอบถามเกี่ยวกับการนำเงินไปลงทุนและรายการรายจ่ายเกี่ยวกับการบริหารงาน ซึ่งคณะกรรมการและผู้บริหารได้ตอบคำถามให้สมาชิกทราบ และจะได้นำคำถามและคำตอบเผยแพร่ให้สมาชิกได้ทราบผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ของ กบข. ต่อไป และติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขสูตรการคำนวณบำนาญสำหรับสมาชิก กบข. อยากให้ดำเนินการให้เร็วและให้ กบข. ช่วยผลักดัน รวมทั้งเสนอแนะเรื่องการจัดการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก โดยขอให้ทบทวนระยะเวลาในการประชุม การกำหนดคุณสมบัติและบทบาทของผู้แทนสมาชิก และเสนอให้มีการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
| 387 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ | กต | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs of the People’s Republic of China on Intensifying Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของสองฝ่าย และส่งเสริมการประสานงาน การหารือ และความร่วมมือระหว่างกัน อาทิ การจัดตั้งสายด่วนระหว่างผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย การแลกเปลี่ยนการเยือน ความร่วมมือด้านการฝึกอบรมและด้านการศึกษาวิจัย รวมทั้งการสื่อสารในระดับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของคู่ภาคี เป็นต้น ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
| 388 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดยโสธร ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านสะแนน หมู่ ๘ ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร และบ้านกระจาย หมู่ ๑๓ ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒. จังหวัดอำนาจเจริญ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านโปโล หมู่ ๔ ตำบลไก่คำ อำเภอเมือง โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดมุกดาหาร ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองแวงน้อย หมู่ ๓ ตำบลโชคชัย อำเภอนิคมคำสร้อย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๔. จังหวัดนครพนม ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านโพนสาวเอ้ หมู่ ๑๑ ตำบลเรณูนคร อำเภอเรณูนคร และหมู่ ๑ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๖. จังหวัดเลย ตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง แบบบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนำเครื่องสูบน้ำระยะไกลสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร และเกษตรกรนำเครื่องยนต์เอนกประสงค์ที่ใช้กับรถไถนาเดินตามมาสูบน้ำจากบ่อน้ำบาดาลเข้าพื้นที่การเกษตร ณ บ้านเมี่ยง หมู่ ๘ ตำบลหนองผือ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านศรีสองรัก หมู่ ๑๑ ตำบลศรีสองรัก อำเภอเมือง จังหวัดเลย และตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนบ้านหนองใหญ่ หมู่ ๑ ตำบลผาอินแปลง อำเภอเอราวัณ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๗. จังหวัดหนองบัวลำภู ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และมอบถุงยังชีพให้ประชาชนผู้ประสบภัย ณ บ้านกุดกระสู้ใต้ หมู่ ๑๓ ตำบลเก่ากลอย อำเภอนากลาง และบ้านทรายงาม หมู่ ๔ ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
|
|||||||||||||||||||||
| 389 | แผนบริหารจัดการและแผนธุรกิจโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในช่วงเวลาการขายบัตรสมาชิกใหม่ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงานเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ผลผลิต การส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านตลาด รายการค่าใช้จ่ายในการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เนื่องจากหากยังไม่มีการยกเลิกโครงการฯ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายชำระค่าหุ้นดังกล่าว ทั้งนี้ เห็นสมควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอทำความตกลงเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้การดำเนินโครงการฯ ประสบปัญหา ไม่สร้างภาระด้านงบประมาณ และอำนวยประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างแท้จริง และในการดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการสมาชิกเดิม อาทิ การเปลี่ยนแปลง การซื้อคืน หรือการยกเลิกสิทธิ์ ควรเป็นไปอย่างรอบคอบและรัดกุมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย และความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยในระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญในการสร้างรายได้และสร้างกระแสเงินสดหมุนเวียนให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ และพิจารณาแนวทางการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ โดยเพิ่มสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากขึ้น มีกระบวนการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเชิงธุรกิจเข้ามาบริหารงานเพิ่มเติม และมีการคัดกรองสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ การให้สิทธิพิเศษบางประการกับสมาชิกบัตร จำเป็นต้องพิจารณาในรายละเอียดที่ชัดเจนและรอบคอบ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของหลายหน่วยงาน ซึ่งในทางปฏิบัติต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานเหล่านี้ก่อน เช่น การให้บริการตรวจลงตราชนิดพิเศษทุก ๕ ปี โดยให้มีสิทธิพำนักชั่วคราวจากเดิม ๓ เดือน เป็น ๑๒ เดือน การถือครองอสังหาริมทรัพย์ การเข้าถึงผู้บริหารระดับสูงของไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 390 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดลพบุรีและสระบุรี ตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนท่าวุ้งวิทยาคาร ตำบลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี และตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง พร้อมปล่อยขบวนคาราวานรถเจาะน้ำบาดาล ส่งมอบบ่อน้ำบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำภาคสนาม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกใหญ่-หรเทพ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ๒. จังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองคอนเตรียม หมู่ ๓, ๙ ตำบลหลักเหลี่ยม อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดอุดรธานี ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านเชียงกรม หมู่ ๑๔ ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และบ้านหนองไผ่น้อย หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการสูบน้ำระยะไกลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองไผ่ หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งตรวจการสูบน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ และบ้านหนองบุ่งหวาย หมู่ ๑๓ บ้านจอมตาลใต้ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำ ๔. จังหวัดสกลนคร ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านใต้ อำเภอสว่างแดนดิน และตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านดอนดู่ หมู่ ๓ ตำบลนาตงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และนำรถผลิตน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน ณ บ้านโพนแคใหญ่ หมู่ ๒ ตำบลนาดงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๕. จังหวัดบึงกาฬ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ วัดสอนเจริญราษฎร์ หมู่ ๑ ตำบลนาสิงห์ อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๖. จังหวัดหนองคาย ตรวจการแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยจัดทำจุดจ่ายน้ำ และสาธิตการสูบน้ำระยะไกล ณ บ้านดงคำพี้ หมู่ ๗ ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย และจัดทำจุดจ่ายน้ำ และแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชน ณ บ้านเบิด หมู่ ๖ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านน้ำสวย หมู่ ๑๑ ตำบลสระไคร อำเภอสระไคร จังหวัดหนองคาย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
|||||||||||||||||||||
| 391 | รายงานประจำปี 2554 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) [The International Institute for Trade and Development (Public Organization) : ITD] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อำนาจหน้าที่ของ ITD คือ การจัดการศึกษาอบรม และให้การสนับสนุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยแก่บุคลากรของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การเงิน การคลัง การลงทุน การพัฒนา และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์และแนวทางการยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าต่าง ๆ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในเรื่องการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เหมาะสมร่วมกันและมาตรการทางกฎหมายต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ซึ่ง ITD จะเป็นศูนย์กลางในการจัดฝึกอบรมและสร้างกิจกรรมเสริมศักยภาพต่าง ๆ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ผลการดำเนินงานของ ITD ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๒.๑ งานฝึกอบรม ได้ดำเนินการจัดฝึกอบรม ประชุม และสัมมนา โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น ๔๑ กิจกรรม อาทิ ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชียและสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จัดฝึกอบรมเรื่อง Trade Facilitation and Logistics Development in the GMS ร่วมกับองค์การการค้าโลก สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดฝึกอบรมเรื่อง World Trading System at Risk : Impacts and Implications on National Policies, Firms and Industries และการสัมมนาเรื่อง World Trading System at Risk! Why? What''s next! เป็นต้น ๒.๒ งานวิจัย ได้ดำเนินงานด้านบริการวิชาการรวม ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดทำ FTA Guidebook I (Trade in Goods) โครงการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาศักยภาพเส้นทาง R3A/E และผลกระทบต่อประเทศไทย โครงการศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบและโอกาสจากมาตรการทางการค้าของสหภาพยุโรปที่ส่งผลต่อการพัฒนาสินค้าและเทคโนโลยีของไทย : กรณีศึกษามาตรการตรวจสอบย้อนกลับอาหารและฉลากร่องรอยคาร์บอนในผลิตภัณฑ์อาหาร โครงการศึกษาวิจัยเรื่องเก็บภาษีคาร์บอน : เครื่องมือลดโลกร้อน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องกลไกความช่วยเหลือผู้รับผลกระทบการเปิดเสรีทางการค้า และโครงการแปลและสรุปงานวิชาการเด่นด้านการค้าและการพัฒนาในอาเซียน ๒.๓ งานสารสนเทศและเผยแพร่วิชาการ ดำเนินการเผยแพร่งานและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ ITD จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาหน้าเว็บไซต์ มีการประชาสัมพันธ์และสื่อสารข้อมูลองค์กร โดยผู้บริหารและนักวิชาการของ ITD ทั้งกิจกรรมที่ ITD จัดขึ้นและตามที่ได้รับเชิญจากหน่วยงานภายนอก รวมทั้งผ่านสื่อสาธารณะทั่วไป เช่น สื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ๓. การตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของ ITD โดยคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผล และผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ดังนี้ ๓.๑ คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลได้ดำเนินการสอบทานงบการเงินรายไตรมาสและงบการเงินประจำปี สอบทานแนวทางการบริหารความเสี่ยง สอบทานและทบทวนระเบียบสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการตรวจสอบภายใน พ.ศ. ๒๕๕๑ และประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบภายในและกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน แล้วเห็นว่า ITD ถือนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นสำคัญ มีการบริหารความเสี่ยง มีระบบการควบคุมภายในที่เพียงพอ รายงานทางการเงินแสดงข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นสาระสำคัญครบถ้วนถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายที่คณะกรรมการ ITD กำหนด รวมทั้งไม่พบว่ามีประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ๓.๒ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ ITD แล้วเห็นว่า มีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
|
|||||||||||||||||||||
| 392 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กรอ. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดและความเหมาะสมในการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร รวมทั้งมาตรการและสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชปาล์มน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้พิจารณาในรายละเอียดโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามระเบียบและขั้นตอน ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายป่าไม้ยุโรป (EU FLEGT) และเร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย รับข้อเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ไปศึกษารายละเอียดด้านการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารโครงการและการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในโครงการ เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนและลดมลภาวะของเสียในโรงงานให้ครอบคลุมมาตรการที่ภาคเอกชนเสนอ ๒. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการบำรุงรักษาทางและกิจกรรมฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นลำดับแรกให้สอดคล้องเหมาะสมกับวงเงินงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการปรับปรุงถนนเพื่อขยายเป็น ๔ ช่องจราจร ให้กรมทางหลวงจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามเกณฑ์การขยายเพิ่มช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางสายรองเลียบชายฝั่งอ่าวไทยเป็น ๔ ช่องจราจร ควรให้ความสำคัญในการใช้เป็นเส้นทางเพื่อการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการปรับปรุงเส้นทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งและการท่องเที่ยวของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน โดยเร่งรัดการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของท่าเรือน้ำลึกเขาประจำเหียง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และท่าเรือที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการแม่น้ำตรัง-ลุ่มน้ำตาปี-แม่น้ำชุมพร ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเสนอต่อ กบอ. ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดี/น้ำดิบของเกาะสมุย และแจ้งผลการดำเนินงานให้ภาคเอกชนทราบ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนนครขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๔. ข้อเสนอของ กกร./สทท. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มท่องเที่ยวมหัศจรรย์สองสมุทรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติพิจารณาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขต ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ระเบิดหินเก่าที่รกร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางการแพทย์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแห่งที่ ๒ โครงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และโครงการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ชั้นสูง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ตอนบน เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม กรอ.ภูมิภาค ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๖. รับทราบเรื่องอื่น ๆ ที่ กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอเพิ่มเติม ๖.๑ การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๖.๒ การผลักดันและสนับสนุนให้ บริษัท ปตท. จำกัด เข้ามาลงทุนสร้างสถานีบริการ NGV ที่สอดคล้องกับการขยายท่อก๊าซช่วงขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๖.๓ การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๖.๔ การพิจารณาทบทวนการขยายสิทธิให้นักลงทุนนอกภาคีอาเซียน (Non Party) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services) ๖.๕ การเร่งรัดการเจรจา Thai-EU FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรักษาตลาดและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหภาพยุโรป ๖.๖ การดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||
| 393 | ร่างกฎกระทรวงซึ่งออกตามความพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการรวมสถานที่ศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้รวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาจัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร ดังนี้ ๑.๑ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือ ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภาคเหนือ รวม ๙ แห่ง ๑.๒ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๑๐ แห่ง ๑.๓ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภาคกลาง รวม ๑๐ แห่ง ๑.๔ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ประกอบด้วยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมงในภาคใต้ รวม ๑๒ แห่ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรโดยการรวมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในภูมิภาคเดียวกันขึ้นเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร ควรคำนึงถึงความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานที่มีลักษณะเดียวกัน และเมื่อมีการจัดตั้งเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรแล้ว ให้ดำเนินการเปิดรับนักศึกษาและจัดการเรียนการสอนเฉพาะด้านการเกษตร เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสถาบัน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์หรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและมีกรอบเวลาที่ชัดเจนทั้งในเรื่องการสรรหาคณะกรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์ประจำซึ่งสอนชั้นปริญญาในสถาบัน และมาตรฐานหลักสูตรที่เป็นฐานสมรรถนะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 394 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2556 [คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนไปประชุม ครั้งที่ 41/2555 วันที่ 9 ตุลาคม 2555 และให้นำเอกสารงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2556 จำนวน 4 เล่ม ซึ่งเป็นเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 39/2555 (เพิ่มเติม ครั้งที่ 2) เรื่องที่ 14 มาใช้ในการประชุมฯ ครั้งนี้] | นร11 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๙,๗๘๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ร้อยละ ๑๓.๕ โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๔๙ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๒๒,๓๒๒ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๔,๑๐๗ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๐๕,๔๒๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๖๘,๔๗๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๐๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๗,๑๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ การลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๕๗,๑๑๑ ล้านบาท ๑.๒.๒ การลงทุนที่ขอเพิ่มเติมระหว่างปี (การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ) วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี โดยให้ สศช. ปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีได้ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ และมอบคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีดังกล่าว สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ ให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนตามเป้าหมายร้อยละ ๙๕ ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นรายงานเดียวที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้ง สศช. และกระทรวงการคลัง การกำหนดให้การเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ การให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำกรอบนโยบายและแผนงานโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐวิสาหกิจระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ทุกรัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนไปยัง สศช. ทุกเดือนภายในวันที่ สศช. กำหนด และให้ สศช. ประมวลข้อมูลของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมทั้งหมดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน ๓. ในกรณีของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวนมาก โดยมีโครงการจัดหาเครื่องบินปี ๒๕๕๔-๒๕๖๕ จำนวน ๗๕ ลำ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕๗,๑๒๗ ล้านบาท (ประกอบด้วยโครงการจัดหาเครื่องบินระยะแรก ปี ๒๕๕๔-๒๕๖๐ จำนวน ๓๗ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๑๖,๐๗๕ ล้านบาท และโครงการจัดหาเครื่องบินระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๔๑,๐๕๒ ล้านบาท) นั้น โดยที่สภาวะเศรษฐกิจและสภาพการแข่งขันในธุรกิจการบิน รวมทั้งสถานะทางการเงินของ บกท. ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและมีผลกระทบต่อแผนการลงทุนของ บกท. อย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคม โดย บกท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง โครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] อย่างเคร่งครัด โดยนำโครงการจัดหาเครื่องบิน ระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
| 395 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินรวมภาครัฐ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้ผู้บริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานทุกกลุ่มพิจารณาให้ความสำคัญการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ หากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจประสบอุทกภัย ให้กำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินที่อาจล่าช้าให้เป็นปัจจุบันโดยเร็ว ๑.๒ การพิจารณาตั้งหน่วยงานรับงบประมาณระดับกรมเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการบริหาร งาน เงิน และบุคลากรให้เหมาะสม โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัดที่ต้องปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของหน่วยงานตนเองของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัดในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนราชการระดับกรมให้สอดคล้องกับภารกิจและงบประมาณที่ได้รับ ๑.๓ ให้ผู้บริหารหน่วยพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม และพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้ผลการดำเนินงานของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. และควรมีนโยบายให้ อปท. ใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสมทบกับรัฐบาลกลางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณของแผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ เพื่อให้การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกลุ่มต่าง ๆ ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน รวมทั้งการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับกรณีรายงานการเงินรวมของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากร ควรนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่บุคลากรที่แทรกอยู่ในค่าใช้จ่ายอื่น มาเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด และมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกรณีเสนอแนะให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัด เห็นควรให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นตำแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชีหรือเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีเพื่อปฏิบัติงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาแนวทางส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ต่าง ๆ จัดหาและพัฒนาบุคลากรของ อปท. แต่ละแห่งให้มีความรู้ความสามารถด้านการเงินและบัญชีมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องของ อปท. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้รายงานการเงินรวมภาครัฐมีความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 396 | การรับประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 โดยกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติและการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕) ที่เห็นชอบและอนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ยกเว้นหลักการให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อ นั้น เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีเจตนารมณ์ที่ต้องการให้กองทุนฯ เป็นผู้รับประกันภัย แต่ยังมีข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อปรากฏอยู่ในข้อ ๔ ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๘/๑๐๘๘๙ ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วด้วย จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อออกทั้งหมด ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบรูปแบบการประกันภัยตามโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ที่เหมาะสม โดยให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้ามามีส่วนในการรับประกันภัยในโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ ซึ่งรูปแบบการรับประกันภัยร่วม (co-insurance) จะช่วยให้การจัดการข้อมูลการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรากฐานกลไกการประกันภัยพืชผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว และลดความเสี่ยงกับการขัดกับกฎระเบียบขององค์การการค้าโลกในประเด็นการอุดหนุนสินค้าเกษตร ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้จัดทำประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดภัยพิบัติอื่นตามพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้คำจำกัดความคำว่า “ภัยพิบัติ” ครอบคลุมถึงภัยพิบัติต่อพืชผลทางการเกษตร ๑.๒.๒ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้ประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาพื้นฐานข้อเท็จจริงอัตราเบี้ยประกันภัยและอัตราความเสียหาย โดยเห็นว่า การลดความเสี่ยงการรับประกันภัยของกองทุนฯ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการกระจายความเสี่ยงของพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในฐานะที่เป็นผู้บริหารโครงการจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี นอกจากกำหนดเป้าหมายรวมทั้งประเทศตามที่ ธ.ก.ส. คาดว่ามีความเป็นไปได้ประมาณ ๔ ล้านไร่แล้ว ยังต้องมีการกระจายพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความหลากหลาย ทั้งในส่วนที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกข้าวสูงที่สุดถึงร้อยละ ๕๗.๘ ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการจัดการความเสี่ยงดีที่สุดจะทำให้กองทุนฯ ไม่เกิดความเสียหายจากการรับประกันภัย ส่วนในกรณีเลวร้ายที่สุด กล่าวคือ พื้นที่เพาะปลูก จำนวน ๔ ล้านไร่ ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงทั้งหมด กองทุนฯ อาจมีภาระการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จำนวน ๔,๔๔๔ ล้านบาท ๑.๓ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศและมีการบริหารจัดการที่ดีให้มีการกระจายความเสี่ยง โดยทุกภาคยกเว้นภาคใต้เริ่มต้นการขายตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และภาคใต้จะเริ่มต้นการขายในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๔ พิจารณาแต่งตั้งนายมานพ นาคทัต ประธานคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ แทนนายเสรี จินตนเสรี ที่ได้ลาออกไป ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้าร่วมโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ และกองทุนฯ รับประกันสัดส่วนร้อยละ ๙๙.๗๕ ซึ่งกองทุนฯ จะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาเก็บเบี้ยประกันได้ ๑๓๐ ล้านบาท แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินไหม จำนวน ๗๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ปลูกข้าวมากที่สุด เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการบริหารจัดการกองทุนฯ และกระจายความเสี่ยงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ รวมทั้งกระทรวงการคลังร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้เกษตรกรรับทราบรายละเอียดและให้เห็นถึงประโยชน์ของการประกันภัย เพื่อรองรับภัยพิบัติที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น และตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 397 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกินี | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกินี ในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ติดตามความคืบหน้าในประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธานาธิบดีกินีทั้งแบบ four eyes และแบบเต็มคณะ โดยมีประเด็นการหารือ ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขายข้าวให้แก่กินีในราคามิตรภาพ สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕- ๒๕๕๖ การให้ความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ อาทิ การเกษตร การประมง การตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาโอกาสในการลงทุนด้านเหมืองแร่และพลังงานของนักลงทุนไทยในกินี การสนับสนุนการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗ รวมทั้งการพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตที่เมืองหลวงของอีกฝ่าย การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศในโอกาสต่อไป และการเยือนของผู้แทนระดับรัฐมนตรี ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกินีและชาวกินีในต่างประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐกินีว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและชาวกินีในต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกินี โดยมีนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีกินีเป็นสักขีพยาน ๓. ในการประชุม Business Forum ประธานาธิบดีกินีได้กล่าวเชิญชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในกินีในด้านการเกษตร ประมง เหมืองแร่ พลังงาน ก่อสร้าง และสาธารณสุข รวมทั้งได้หารือแบบตัวต่อตัวกับผู้บริหารของบริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย สำรวจ ผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทอิตัลไทย และบริษัท แอตแลนติคฟาร์มาซูติคอล จำกัด เกี่ยวกับการลงทุนในกินี ๔. ประธานาธิบดีกินีได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงาน การส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปฝึกอบรมให้แก่กินี รวมทั้งเยี่ยมชมโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ นครราชสีมา ของบริษัท ซีพีเอฟ จำกัด (มหาชน) โดยได้เชิญชวนให้บริษัทฯ ไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและอื่น ๆ ในกินี
|
|||||||||||||||||||||
| 398 | รายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป โดยรายงานการเงินแผ่นดินฯ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่าย และหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งจัดทำขึ้นตามหลักเกณฑ์คงค้างแบบผสม (Modified Accrual Basis) โดยใช้ข้อมูลบัญชีจากชุดรัฐบาลที่แสดงการรับจ่ายเงินคงคลังของรัฐบาลเป็นหลัก และรวบรวมข้อมูลที่มีสาระสำคัญในส่วนสินทรัพย์และหนี้สินของรัฐบาลจากส่วนราชการที่ทำหน้าที่บริหารจัดการแทนรัฐบาล มาปรับปรุงในบัญชีชุดรัฐบาล สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งบรายได้และค่าใช้จ่าย ประกอบด้วย รายได้สุทธิ รวม ๑,๕๑๓,๒๒๕.๑๓ ล้านบาท และค่าใช้จ่าย รวม ๑,๔๘๖,๓๘๒.๗๑ ล้านบาท ๑.๒ งบแสดงฐานะการเงิน ประกอบด้วย สินทรัพย์ รวม ๔,๑๐๖,๘๓๒.๘๒ ล้านบาท หนี้สิน รวม ๒,๑๙๒,๓๓๓.๙๔ ล้านบาท และสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ๑,๙๑๔,๔๙๘.๘๘ ล้านบาท ๒. เห็นชอบข้อเสนอแนะ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และกรมธนารักษ์ กำชับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและจัดส่งข้อมูลภายในระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนด ๒.๒ ให้ผู้บริหารของกรมธนารักษ์กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบบันทึกที่ดินราชพัสดุให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ข้อมูลที่ดินราชพัสดุแสดงมูลค่าที่ถูกต้อง ๒.๓ ให้ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกข้อมูลในระบบ GFMIS ให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อมูลเงินนอกงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
| 399 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 04/09/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับสูงขึ้น และให้มีความเท่าเทียมกับบุคลากรภาครัฐอื่น ๆ โดยให้ยึดถือแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (ปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าแรง ๓๐๐ บาท) ให้กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามที่ได้จ่ายจริงของ อปท. แต่ละแห่ง หาก อปท. แห่งใดมีรายได้เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. นั้น ๆ สำหรับ อปท. ใดที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ให้ กกถ. พิจารณาทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน ๑.๒ กรณี อปท. มีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทนอื่นเกินกว่าร้อยละ ๔๐ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ กกถ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน ที่จัดสรรให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยละ ๑๐๐ โดยลดสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อบจ. ลง เพื่อนำมาจัดสรรเพิ่มให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๓ ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๙๐ กรณีที่งบประมาณรายจ่ายประกาศใช้บังคับแล้ว หรือ อปท. มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจ่ายในกรณี รับโอน เลื่อนระดับ เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานส่วนท้องถิ่น การเบิกเงินให้พนักงานส่วนท้องถิ่นตามสิทธิ ตลอดจนลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอื่นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างปีงบประมาณ หรือไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนั้นไว้ ให้ อปท. จ่ายขาดเงินสะสมได้ โดยได้รับอนุมัติจากผู้บริหารท้องถิ่นและให้ถือเป็นรายจ่ายในปีนั้น ๒. ให้ กกถ. เร่งรัดการดำเนินการทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอนของ อปท. ที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามข้อ ๑.๑ ต่อไป ๓. ในระยะยาวให้ กกถ. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. โดยให้คำนึงถึงจำนวนประชากรและรายได้ของ อปท. แต่ละแห่งเพื่อให้ อปท. ที่มีรายได้น้อยมีงบประมาณเพียงพอสำหรับจัดทำบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น การให้บริการด้านสาธารณสุข การดูแลเด็กและผู้สูงวัย เป็นต้น และให้เสนอหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
|||||||||||||||||||||
| 400 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 | สว | 28/08/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ พร้อมข้อเสนอแนะ กับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ความยากลำบากในการดำเนินคดี ควรหามาตรการ แนวทางในการพิจารณาช่วยเหลือ หรือกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งแนะนำแนวทางในการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ๒. ขาดงบประมาณด้านการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๗ การเรียกร้องสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายต้องผ่านขั้นตอนการได้รับแจ้งจากปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงไม่คล่องตัว และควรผลักดันกฎกระทรวงให้มาตรา ๓๗ ดำเนินการปฏิบัติได้ ๔. ภาษาและการสื่อสารกับผู้เสียหายที่คลาดเคลื่อน ควรมีระบบการสนับสนุนล่ามให้พอเพียงกับความต้องการของหน่วยงานในด้านการบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ๕. การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ควรเร่งรัดดำเนินการฝึกอบรมและแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๖. ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจในขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาอบรม สัมมนาให้กับผู้ปฏิบัติทุกพื้นที่ รวมทั้งอบรมพนักงานสอบสวนโดยตรง ๗. ความไม่ชัดเจนในเรื่องการคัดแยกผู้เสียหาย ควรจัดทำเอกสารแนวทางการพิจารณาองค์ประกอบของความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแจกจ่าย รณรงค์ และให้ความรู้ ๘. ความล่าช้าในการดำเนินคดี ควรเร่งรัดการดำเนินคดีให้รวดเร็วขึ้นโดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาหาแนวทางมาตรการ และควรส่งเสริมให้ผู้เสียหายมีนันทนาการ และมีรายได้ ๙. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในพื้นที่ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จังหวัดควรดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติดังกล่าวให้เครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป หรือผลิตคู่มืออธิบายพระราชบัญญัติฯ ๑๐. การสร้างกลไกและทีมสหวิชาชีพ ควรทบทวนการดำเนินงานเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากทีมสหวิชาชีพ การช่วยเหลือผู้เสียหายหรือผู้อาจตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงระดับพื้นที่หรือระดับภาค ๑๑. ระดับนโยบาย ควรจัดตั้งคณะติดตามและประเมินผลการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งให้คำแนะนำ ปรึกษาแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมายต่าง ๆ ๑๒. การศึกษาในอนาคต ควรทำการศึกษาใน ๒ ประเด็น คือการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้เสียหายในพื้นที่ที่มีการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย และศึกษาระบบการคุ้มครองพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ |
|||||||||||||||||||||
.....
