ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 361 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศและกองทุนอียิปต์เพื่อความร่วมมือทางวิชาการกับแอฟริกา | กต | 31/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศและกองทุนอียิปต์เพื่อความร่วมมือทางวิชาการกับแอฟริกา [Memorandum of Understanding between Thailand International Development Cooperation Agency (TICA) and the Egyptian Fund for Technical Cooperation with Africa (EFTCA)] มีสาระสำคัญเพื่อเป็นกรอบแนวทางการดำเนินความร่วมมือทางวิชาการระหว่างไทยกับอียิปต์ในลักษณะการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศในแอฟริกา และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายจะเห็นชอบร่วมกัน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นระยะเวลา ๓ ปี และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติเป็นเวลาอีก ๓ ปี จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าเป็นเวลา ๖ เดือน ๑.๒ อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับผู้บริหารกองทุนอียิปต์เพื่อความร่วมมือทางวิชาการกับแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศอียิปต์ ทั้งนี้ โดยให้ลงนามในเอกสารย่อยที่จะเป็นกิจกรรมร่วมกันภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศ รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 362 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม" | สสป | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขานุการวุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นควรให้รัฐบาลดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยี ได้แก่ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรมให้มากขึ้น โดยการจัดตั้ง "ศูนย์ข้อมูลกลาง" ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านโปรแกรมประยุกต์ (Application) มาใช้ในการแปลสัญญาณภาพ กำหนดมาตราส่วนของแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม ให้เป็นมาตรฐานกลาง มีศูนย์การฝึกอบรมความรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และจัดส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงใหม่ของประเทศไทยในระบบ Passive sensor แทนดาวเทียมไทยโชต ซึ่งจะหมดอายุทางเทคโนโลยี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ กำหนดให้ทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตรใช้ข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเทคโนโลยีจาก "ศูนย์ข้อมูลกลาง" เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม นำแผนที่ภาษี (แผนที่สำหรับใช้ประเมินภาษีที่ดิน) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีมาตรฐานมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านเกษตรกรรม ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ สร้างแรงจูงใจ และให้ผลตอบแทนแก่เกษตรกรในการนำข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการเกษตรกรรม เป็นต้น ๓. ด้านบุคลากร ได้แก่ พัฒนาผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านการเกษตร ให้มีความรู้ความเข้าใจและให้ความสำคัญในการใช้ข้อมูลทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จัดหาบุคลากรเพิ่มเติมทั้งบุคลากรใหม่และบุคลากรที่เกษียณอายุราชการที่มีความรู้ความสามารถพิเศษด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตรให้เพียงพอและเหมาะสม ส่งเสริมให้มีหลักสูตรเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในระดับมหาวิทยาลัย และจัดตั้งสถาบันเฉพาะด้าน เพื่อผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศให้ตรงกับสิ่งที่ขาดแคลน ๔. ด้านงบประมาณ ได้แก่ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านเกษตรกรรม เพื่อการส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Passive sensor ดวงที่ ๒ ของประเทศทดแทนดาวเทียวไทยโชต เพื่อการจัดซื้อข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Active sensor และโปรแกรมสำเร็จรูปซอฟต์แวร์ (Application) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และเพิ่มค่าตอบแทนหรือสร้างแรงจูงใจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ในสาขาอาชีพที่ขาดแคลนด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เป็นต้น ๕. ด้านกฎหมาย ได้แก่ กำหนดมาตรการป้องกันหรือลงโทษผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และส่งเสริมการจดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านการเกษตรกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 363 | รายงานความคืบหน้าของการส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าที่ไทยบริจาคให้แก่เมียนมาร์ | พน | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าของการส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าที่ไทยบริจาคให้แก่เมียนมาร์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงพลังงานได้ส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซเครื่องแรก (จากโรงไฟฟ้าหนองจอก) ให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เรียบร้อยแล้ว ในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ณ ท่าเรือกรุงย่างกุ้ง โดยมีผู้ว่าการการไฟฟ้า กระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ เป็นผู้ลงนามการรับมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมของภาคย่างกุ้ง พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการขนถ่ายอุปกรณ์ และการรับมอบระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายเมียนมาร์ ณ ท่าเรือกรุงย่างกุ้ง ในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒. กระทรวงพลังงานได้ประสานงานกับกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์เป็นการเบื้องต้นเกี่ยวกับกำหนดส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าหน่วยที่สอง (โรงไฟฟ้าลานกระบือ) ให้แก่เมียนมาร์ โดยคาดว่าจะส่งมอบอุปกรณ์เครื่องผลิตไฟฟ้าฯ ณ ท่าเรือกรุงย่างกุ้ง ได้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๓. ในการดำเนินการตามข้อ ๑ และ ๒ กระทรวงพลังงานได้ประสานงานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ (สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง) อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 364 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น [สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดเชียงใหม่ ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)] | นร04 | 26/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ดำเนินการปรับปรุงศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการจัดประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และเตรียมการสำหรับรองรับการประชุมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในกรอบวงเงิน ๑๙๔,๐๐๒,๕๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการเบิกจ่ายงบประมาณ ได้แก่ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๒๑,๒๖๒,๑๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เฉพาะภารกิจที่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ ททท. ที่จะสนับสนุนการจัดประชุมฯ ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในรายการค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการภาพรวมศูนย์ประชุมฯ จำนวน ๗๒,๗๔๐,๔๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการในลักษณะการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกัน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการศูนย์ประชุมฯ โดยเฉพาะการจัดทำแผนธุรกิจและคัดสรรผู้บริหารที่มีความสามารถเข้าดำเนินงานบริหารศูนย์ประชุมฯ โดยเร็ว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและไม่เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 365 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน | นร12 | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นรองประธาน คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม เพื่อให้อัตราค่าตอบแทนมีความเสมอภาค เป็นธรรมและเหมาะสม ไม่เหลื่อมล้ำ เทียบเท่ามาตรฐานการครองชีพ และให้สอดคล้องกับระบบการบริหารงานภาครัฐสมัยใหม่ จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมที่เป็นมาตรฐานกลางหรือบัญชีกลางต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะทุกสิ้นปีงบประมาณหรือระยะเวลาอื่นตามที่เห็นสมควร โดยให้เพิ่มเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นกรรมการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 366 | รายงานผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2556 ไตรมาส 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2555) | นร11 | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาส ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ของรัฐวิสาหกิจ จำนวน ๓๖ แห่ง (ใช้รอบปีบัญชีงบประมาณ) ปรากฏว่า รัฐวิสาหกิจในภาพรวมสามารถเบิกจ่ายลงทุนสะสมถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ได้จำนวน ๑๓,๗๑๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๒ ของเป้าหมาย (จำนวน ๒๕,๗๗๒ ล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เบิกจ่ายลงทุนได้ร้อยละ ๖๙.๐ สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากปัญหาอุทกภัยปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ต้องเลื่อนแผนการดำเนินงานและเบิกจ่ายลงทุนออกไป การปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน การชะลอการลงทุนบางส่วนเพื่อรอความชัดเจนด้านนโยบาย รวมทั้งปัญหาความล่าช้าในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภายใน และความล่าช้าจากขั้นตอนการกู้เงินโดยเฉพาะงานด้านเอกสาร โดยรัฐวิสาหกิจที่มีผลการเบิกจ่ายลงทุนในไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน ๑๙ แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การประปานครหลวง การท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค องค์การเภสัชกรรม องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท ขนส่ง จำกัด โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ๒. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ๒.๑ ให้รัฐวิสาหกิจจัดทำแผนหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม โดยผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงเจ้าสังกัด และจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อประกอบการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนต่อคณะรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๖) ๒.๒ ให้หน่วยงานในระดับกระทรวง คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดรัฐวิสาหกิจ กำหนดให้มีมาตรการในการกำกับ ดูแลให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 367 | รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต เพื่อเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน | พน | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระหว่างวันที่ ๓๑ มกราคม-๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เพื่อเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ โดยผู้เข้าร่วมในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะผู้บริหารจากกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) บริษัท พีทีที อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PTTI) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (PTTGC) และสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ อาทิ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของคู่ภาคี และกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ประสานงานและดำเนินการตามกิจกรรม แผนงาน และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นแต่ละฝ่ายจะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยกระทรวงพลังงานจะได้เรียนเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าหารือเพื่อดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานต่อไป ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลง ๒ ฉบับ คือ ข้อตกลงความร่วมมือ [Joint Cooperation Agreement (JCA)] และข้อตกลงการค้าร่วม [Joint Trading Agreement (JTA)] ระหว่างกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ TIMOR GAP E.P. ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต เพื่อร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโรงแยกคอนเดนเสทในเมืองเบทาโน จากแหล่ง Bayu-Undan รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรของ TIMOR GAP และการซื้อ-ขายคอนเดนเสทระหว่างกัน ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพร้อมคณะได้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี และผู้ประสานงานกิจการสังคม สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นด้านพลังงานต่าง ๆ เช่น ปริมาณการบริโภคพลังงานของประเทศติมอร์-เลสเต ซึ่งประเทศติมอร์-เลสเตยังต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านก๊าซธรรมชาติและน้ำมันอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน และการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน จะก่อให้เกิดความร่วมมือในการลงทุน ศึกษาวิจัย และพัฒนาด้านพลังงานอันจะนำไปสู่การเพิ่มพูนความมั่นคงทางพลังงานของทั้งสองประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 368 | การควบคุมและป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออก ปี 2556 | สธ | 12/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำทุกท้องถิ่น ผู้นำชุมชนรับผิดชอบระดมสรรพกำลังในการทำให้ประชาชนทุกคนลุกขึ้นมากำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำทุกบ้านอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนมิถุนายน ในพื้นที่รับผิดชอบ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการกำชับให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่งกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคาร ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือไปยังทุกสถานประกอบการให้มีการจัดเวรยามกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารและที่พัก ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอความร่วมมือเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทเอาใจใส่ให้มีการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารและบริเวณโดยรอบของโรงแรม ๕. ให้กรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกช่องทางในการให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลบ้านเรือนและอาคารค้าขายมิให้มีลูกน้ำในภาชนะต่าง ๆ ๖. ให้ทุกกระทรวงรับผิดชอบการดำเนินงานตามบริบทของตนเอง |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 369 | ขอเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงและชมนิทรรศการ "THAILAND 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก" | นร | 05/03/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดนิทรรศการ “THAILAND 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก” ในวันที่ ๘-๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น ๒ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ และเรียนเชิญรัฐมนตรีทุกท่าน หัวหน้าส่วนราชการทั้งในระดับกระทรวงและกรม รวมทั้งผู้บริหารรัฐวิสาหกิจทุกแห่งเข้าร่วมงานเลี้ยงเปิดนิทรรศการดังกล่าว ซี่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธาน ในวันศุกร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๘.๐๐ น.
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 370 | ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | นร04 | 27/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีรายงานเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเข้าร่วมในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย (Park Geun-Hye) ซึ่งเป็นผู้นำสตรีคนแรกของเกาหลีใต้ และเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงตามคำเชิญของผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลี ๑.๑ การหารือกับประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย เกี่ยวกับพัฒนาความสัมพันธ์ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้ริเริ่มไว้ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี อี มยอง-บัก (Lee Myung-bak) โดยมุ่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งจะขยายความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาธารณสุข และการศึกษา ๑.๒ การหารือเกี่ยวกับการพัฒนาบทบาทสตรีในภูมิภาคและให้ความสำคัญกับเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ โดยให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมทั้งผลักดันให้สตรีได้มีโอกาสและบทบาทในการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น ๑.๓ นายกรัฐมนตรีได้เรียนเชิญประธานาธิบดี ปัก กึน-ฮเย มาเยือนประเทศไทยและเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. ผลการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ๒.๑ การหารือกับนายเหลียง จุ้นอิง (Leung Chun-ying) ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน รวมทั้งการส่งเสริมให้ด้านการค้า การลงทุน โดยเฉพาะการค้าพืชเกษตร เช่น ข้าว ผลไม้ ตลอดจนการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาพ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดของความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ๒.๒ การศึกษาดูงานที่ Hong Kong Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมในด้านต่าง ๆ สำหรับผู้มาใช้บริการ และเป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ เช่น รถไฟและรถโดยสาร รวมทั้งเป็นเส้นทางด่วนไปยังสนามบินซึ่งมีเคาน์เตอร์ของสายการบินต่าง ๆ สำหรับผู้ที่จะเดินทางโดยเครื่องบินสามารถ check in ได้ล่วงหน้า โดยให้กระทรวงคมนาคมนำรูปแบบการบริหารจัดการของ Hong Kong Station ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการสถานีขนส่งมวลชนของไทย เช่น กรณี airport rail link ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป ๒.๓ การหารือกับกลุ่มสมาคมท่องเที่ยวเกี่ยวกับการที่นักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยขอให้แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ ๆ รวมทั้งหากประเทศไทยมีการจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ขอให้แจ้งไปยังบริษัทท่องเที่ยวของฮ่องกงล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมรายการท่องเที่ยวให้เหมาะสม โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณากำหนดทิศทางรองรับการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกง สำหรับการดำเนินโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ (มูลค่า ๒.๒ ล้านล้านบาท) ให้มีการพัฒนาเส้นทางที่รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 371 | การจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | สผ | 27/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบหลักการและแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาเสนอ สรุปได้ว่า ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาใช้เงินเหลือจ่ายที่ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาได้ดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่ายอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่มีหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระและมีงบประมาณเพียงพอสำหรับชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ซึ่งส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประกอบด้วย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้รับอนุมัติให้กันเงินงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภากันเงินไว้ จำนวน ๑๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกันเงินไว้ จำนวน ๙,๓๗๓,๐๒๐ บาท เพื่อเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ โดยให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และต่อมากระทรวงการคลังได้มีหนังสือแจ้งไปยังส่วนราชการอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี กรณีไม่มีหนี้ผูกพันสามารถขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ได้ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการกำหนดสัดส่วนในการจ่ายเงินรางวัลสำหรับผู้ปฏิบัติงานมากกว่าผู้บริหาร รวมทั้งแนวทางการดำเนินงานในปีต่อ ๆ ไป ให้ดำเนินการในหลักการเดียวกับส่วนราชการในสังกัดฝ่ายบริหารต่อไป ให้คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 372 | ขออนุมัติลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจเครือรัฐออสเตรเลีย ว่าด้วยการส่งเสริมเครือข่ายประสานงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ประจำประเทศไทย | ตช | 12/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจเครือรัฐออสเตรเลีย ว่าด้วยการส่งเสริมเครือข่ายประสานงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ประจำประเทศไทย (Exchange of the Letters between Royal Thai Police and the Australian Federal Police on the Consolidation of the Thailand Transnational Crime Network) มีสาระสำคัญในการกำหนดข้อตกลงระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานตำรวจเครือรัฐออสเตรเลียในการที่สำนักงานตำรวจเครือรัฐออสเตรเลียได้ให้การสนับสนุนเครือข่ายการประสานงานระหว่างหน่วยงานตำรวจของทั้งสองประเทศทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง และกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดประชุมคณะกรรมการบริหารประจำปีระหว่างผู้บริหารของทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ทางเครือข่ายประสานงานอาชญากรรมข้ามชาติดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์และความคาดหวังของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ๒. อนุมัติให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 373 | โครงการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง | ทก | 05/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการโครงการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (รอส.) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรมีหลักสูตรภาคปฏิบัติในการพัฒนาทักษะพื้นฐานการใช้คอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริหาร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ในด้านเนื้อหาหลักสูตรการอบรม ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงแก้ไขให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายใน ๒ ระดับ คือ ระดับปฏิบัติการ และระดับบริหาร เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานได้โดยตรง รวมทั้งนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการนำไปใช้ในการกำกับติดตาม ตรวจสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบด้วย ๒. เห็นชอบให้หัวหน้าส่วนราชการที่เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูงมีสิทธิเบิกจ่ายค่าลงทะเบียนได้จากหน่วยงานต้นสังกัดตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการประชุมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ และเข้าร่วมอบรมโดยไม่ถือเป็นวันลา ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (Chief Information Officer : CIO) ด้วย ไปพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 374 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา | นร | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ กรมการบินพลเรือน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. ทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมาณการจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีต้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ หลายประการไม่ได้กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ซึ่งหากยังยึดแผนแม่บทฯ เดิมอยู่จะทำให้การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยานโดยแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และอีกประการหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการประมาณการระยะเวลาสำหรับการก่อสร้างส่วนต่อขยาย เช่น ปัญหาทางวิ่งที่ ๓ ที่ประสบปัญหามีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนรอบข้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงแล้ว การเพิ่มและพัฒนาศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะล่าช้าและน่าเป็นห่วง ๒. พิจารณานำนโยบายการใช้ท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport มาใช้ทดแทนระบบ Single Airport โดยการพัฒนาท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport ให้นำท่าอากาศยานที่มีอยู่ในปัจจุบันมาทำให้การบริการการบินภายในประเทศและระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพ และคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงพิจารณาแนวทางการใช้ท่าอากาศยานอื่น ๆ ภายในประเทศมาบูรณาการเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดอย่างเต็มศักยภาพ ๓. ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นท่าอากาศยานที่จะมีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างสูง แต่จากข้อมูลที่ดำเนินการศึกษาพบว่าท่าอากาศยานอู่ตะเภาปัจจุบันอยู่ในพื้นที่และอำนาจการบริหารของกองทัพเรือ และไม่ได้รับความสนใจจากสายการบินต่าง ๆ เท่าที่ควร ดังนั้น รัฐบาลควรเป็นผู้ประสานกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และกองทัพเรือ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันโดยอาจจะมีรูปแบบให้ ทอท. เป็นผู้บริหารท่าอากาศยานอู่ตะเภา และแบ่งผลประโยชน์ให้กองทัพเรือ หรือนำรูปแบบการบริหารท่าอากาศยานดอนเมืองมาปรับใช้ เพราะท่าอากาศยานดอนเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่ของกองทัพอากาศซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน หรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นรูปธรรมขึ้น อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การดำเนินการใด ๆ จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และความสามัคคีปรองดองกล่าวคือการคำนึงถึงประโยชน์ของกองทัพเรือด้วย ๔. รัฐควรกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และนโยบายให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกับการปรับปรุงแผนแม่บทแห่งชาติเกี่ยวกับท่าอากาศยานทั้งประเทศ โดยการจัดตั้งองค์กรอิสระที่มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ภาคราชการและรัฐวิสาหกิจ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจและเอกชน ๕. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รัฐควรเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่าง ๆ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เหมาะสมกับการเป็นสนามบินหลัก (Main Airport) ในเรื่องการพิจารณาถึงความสำคัญเรื่องการเพิ่มทางวิ่งของเครื่องบิน สาย ๓ (Runway 3) โดยเร่งรัดระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๖-๑๒ เดือน เพิ่มอาคารเทียบเครื่องบินและอาคารผู้โดยสาร (Terminal) ต้องสร้าง Shuttle Train เพื่อขนส่งผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินซึ่งมีระยะห่างกันมาก ให้เหมือนกับท่าอากาศยานสากลที่ใช้กันอยู่ การเชื่อมต่อท่าอากาศยานระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานดอนเมืองควรจัดให้เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคู่ไปกับการเปิดใช้ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งควรกำหนดให้เสร็จในระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน โดยจัดให้มี Nonstop express bus lane เพื่อรับส่งผู้โดยสารระหว่างท่าอากาศยาน หรืออาจเป็น Airport shuttle bus วิ่งตรงระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางและมีทางวิ่งโดยเฉพาะและมีรั้วตาข่ายกั้นตลอดเส้นทาง รวมทั้งจัดให้มี Nonstop express shuttle train รถไฟสายนี้ต่อเชื่อมระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง โดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางใช้เวลาเดินทางไม่ควรเกิน ๒๐-๓๐ นาที ๖. ท่าอากาศยานดอนเมือง รัฐควรจัดให้มีการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นสนามบินรอง (Secondary Airport) โดยดำเนินการให้กลับมามีความพร้อมใช้งานได้ดังเดิมเหมือนก่อนการปิดใช้งานท่าอากาศยาน และควรเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่อผู้โดยสาร เช่น ติดตั้งทางเลื่อน (walkway conveyor) บนพื้นทางเดินเพิ่มขึ้น และปรับปรุงพัฒนาพื้นที่บางส่วนของอาคารผู้โดยสารให้เป็นพื้นที่ใช้บริการต้อนรับผู้โดยสาร VIP ระดับ Elite Service และพัฒนาพื้นที่โดยรอบของท่าอากาศยานดอนเมืองให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 375 | ขออนุมัติเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน เป็นการถาวรในการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) (เดิม) ในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่จังหวัดตราด) ที่เห็นชอบในหลักการและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณีฯ เพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน ๑ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสนอ่อน-ป่าคลองใหญ่-ป่าคลองมะขาม เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด เป็นการถาวร ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ทั้งในระหว่างการก่อสร้างและเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและหน่วยงานผู้บริหารท่าเรือถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ด้วย ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรร/อนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนให้กับหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการหรือหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ดำเนินการปลูกป่าตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด โดยถือเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของโครงการนั้น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 376 | รายงานการดำเนินการจัดทำโครงการความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียระหว่างชายแดนไทย - เมียนมาร์ ภายใต้โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย | สธ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการจัดทำโครงการความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียระหว่างชายแดนไทย-เมียนมาร์ ภายใต้โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความร่วมมือในการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคมาลาเรียชายแดนไทย-เมียนมาร์ ภายใต้โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ๒. วิธีดำเนินงาน ได้แก่ การอบรมวิธีการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคมาลาเรียให้แก่มาลาเรียคลินิกชุมชนชายแดน และบุคลากรเมียนมาร์ การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ เช่น RDT, ACT, มุ้ง สารเคมี มุ้งชุบสารเคมี ยาทากันยุง กล้องจุลทรรศน์ ฯลฯ การรักษาและส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมารักษาที่โรงพยาบาล รวมทั้งการนิเทศ ติดตามประเมินผล และสรุปบทเรียน ๓. งบประมาณ จำนวน ๙,๒๕๐,๐๐๐ บาท ของกรมควบคุมโรค ๔. สถานที่ดำเนินโครงการ/ระยะเวลา พื้นที่จัดอบรมในประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ๕. กลุ่มเป้าหมาย ๕.๑ ผู้ร่วมดำเนินการ ได้แก่ คณะทำงานจากสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง และกรมควบคุมโรค และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๔ ราชบุรี ๕.๒ ผู้ใช้ประโยชน์ ได้แก่ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค นักวิชาการสาธารณสุขจากสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง และกรมควบคุมโรคและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมทั้งนักวิชาการจากโครงการควบคุมโรคประเทศเพื่อนบ้าน ๖. บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาลาเรียนานาชาติ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค นักวิชาการจากโครงการควบคุมโรคประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 377 | องค์กรร่วมไทย - มาเลเซียขอความเห็นชอบในร่างข้อตกลงว่าด้วยการร่วมกันผลิตปิโตรเลียม (Unitisation Agreement, UA) ระหว่างองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (MTJA) และบริษัท Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS) สำหรับการร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา (Suriya) ในแปลง A-18 ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย กับแหล่งสุริยา เซลาตัน (Suriya Selatan) ในแปลง PM 2 ของประเทศมาเลเซีย | พน | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงว่าด้วยการร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา-สุริยา เซลาตัน (Suriya-Suriya Selatan) ระหว่างองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Authority : MTJA) และบริษัท Petroliam Nasional Berhad (PETRONAS) สำหรับการร่วมกันผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา (Suriya) ในแปลง A-18 ของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และแหล่งสุริยา เซลาตัน (Suriya Selatan) ในแปลง PM 2 ของประเทศมาเลเซีย และแจ้งให้ MTJA ลงนามได้เมื่อได้รับการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว โดยสาระสำคัญของร่างข้อตกลงฯ เป็นการกำหนดสิทธิและพันธะระหว่าง MTJA และ PETRONAS รวมถึงการดำเนินงานและการจัดการในการร่วมกันพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมแหล่งสุริยา-สุริยา เซลาตัน ในพื้นที่ร่วมผลิต (Unit Area) มีขนาด ๑๗๓.๒๒๖ ตารางกิโลเมตร (อยู่ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วม ๑๔๒.๐๑๗ ตารางกิโลเมตร และพื้นที่ของประเทศมาเลเซีย ๓๑.๒๐๙ ตารางกิโลเมตร) โดยกำหนดสัดส่วนแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียมเบื้องต้น (Initial Tract Participation) คือ แปลง A-18 ได้รับร้อยละ ๘๕ และแปลง PM 2 ได้รับร้อยละ ๑๕ และสามารถทำการประเมินสัดส่วนการแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมใหม่ (Re-determination) ทุก ๕ ปี ในกรณีที่ผลการประเมินมีความแตกต่างกันโดยรวมเกินกว่าร้อยละ ๓ ให้มีการปรับสัดส่วนแบ่งปันผลผลิตและแบ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามสัดส่วนผลผลิตดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ใช้แผนการพัฒนาของแปลง A-18 และขายก๊าซในราคาตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซแปลง A-18 และให้มีคณะกรรมการ Unit Management Committee ฝ่ายละ ๔ คนเท่าๆ กัน ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการและกำกับดูแลการดำเนินงาน ๒. เห็นชอบให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่กำหนดให้การทำสัญญาไม่ควรระบุในสัญญาให้มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 378 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน | พน | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน (Memorandum of Understanding between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Petroleum and Mineral Resources of Democratic Republic of Timor-Leste on Joint Cooperation in Energy Development) ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป คือ ๑.๑ ขอบเขตของความร่วมมือด้านพลังงานลักษณะกว้าง ๆ ได้แก่ ๑.๑.๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเลียม และการดำเนินการของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๒ การร่วมกันจัดเตรียมการศึกษาร่วมและโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๓ การฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารในด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๔ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของคู่ภาคี ๑.๑.๕ การเข้าร่วมสัมมนา จัดการประชุมและการจัดนิทรรศการร่วมกัน ๑.๑.๖ การให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและนำนโยบาย การประชุม และการจัดนิทรรศการร่วมกัน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและประยุกต์นำนโยบาย กฎหมายและกฎระเบียบไปใช้ในกิจกรรมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของแต่ละฝ่าย ๑.๒ การกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อทำหน้าที่ประสานงาน และดำเนินการตามกิจกรรม แผนงาน และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นแต่ละฝ่ายจะเป็นผู้รับผิดชอบ ๑.๓ บันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่มีการลงนาม และจะขยายเวลาออกไปโดยอัตโนมัติในแต่ละครั้งอีก ๓ ปี หากไม่มีการบอกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 379 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 500,000 บาท | กค | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้) ๑.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่จัดทำแนวทางรูปแบบและหลักสูตรการอบรมฟื้นฟูและการจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ที่เหมาะสมตามประเภทลูกหนี้เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจนำไปปฏิบัติ และจัดทำเกณฑ์การคิดค่าใช้จ่ายและหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพในการประกอบอาชีพของลูกหนี้เพื่อประกอบการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งออกแบบวิธีการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพลูกหนี้ เพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้งในระหว่างดำเนินโครงการและภายหลังสิ้นสุดโครงการได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ กระทรวงการคลังได้จัดการประชุมคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ ผลการดำเนินงานโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีการอบรมฟื้นฟูให้ลูกหนี้ ณ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ กรอบการอบรมฟื้นฟูฯ หลักสูตรการอบรมฟื้นฟูฯ และแผนการทำงาน แนวทางการประเมินผลการทำงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในเชิงปริมาณและคุณภาพด้านการอบรมฟื้นฟูศักยภาพของลูกหนี้ รวมทั้งเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณในการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพด้านการประกอบอาชีพของลูกหนี้ ๒. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หนี้สถานะปกติ) ๒.๑ กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการด้านการแนะนำและติดตามการใช้จ่ายเงินที่ประหยัดได้ของลูกหนี้โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยมีรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์) เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ติดตามการใช้จ่ายเงินของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ในภาพรวมทั้งประเทศ แนะนำแนวทางในการนำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้จ่ายให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต การประกอบอาชีพ หรือดำเนินการที่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้แก่ผู้บริหารการคลังประจำจังหวัด หรือคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) เพื่อไปดำเนินการ รวมทั้งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อดำเนินการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ๒.๒ คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมไปแล้ว ๓ ครั้ง และได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านฐานข้อมูล โดยมีหน้าที่จัดทำฐานข้อมูลโครงการพักหนี้ฯ ทั้งหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ และหนี้สถานะปกติ คณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำฐานข้อมูลหนี้สถานะปกติในเบื้องต้นแล้ว ส่วนหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้จะจัดทำฐานข้อมูลต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 380 | รายงานผลการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) และคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินทางเยือนประเทศบาห์เรน คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | พณ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน รัฐคูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือทางการค้า ตลอดจนสร้างความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ของราชอาณาจักรบาห์เรน (H.E. Dr. Hassan A.Fakhro) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันในการขยายและเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น โดยแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมระหว่างกัน เช่น In-store Promotion การจับคู่ธุรกิจ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และการจัด Thailand Trade Exhibition ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) โดยมีนักธุรกิจราชอาณาจักรบาห์เรนและประเทศใกล้เคียงให้ความสนใจเข้าร่วมงานเจรจาจับคู่ทางธุรกิจกับนักธุรกิจไทยประมาณ ๙๐ ราย และภายในงานได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ Thai Select ซึ่งเป็นที่สนใจแก่ผู้เข้าร่วมงาน สำหรับสินค้าที่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าราชอาณาจักรบาห์เรน ได้แก่ อาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็ง ซอส เครื่องปรุงรส และไก่สดแปรรูปแช่เย็นแช่แข็ง โดยมียอดสั่งซื้อทันที ๔๓๗,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๔ ล้านบาท) และยอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปี มูลค่า ๑.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๕๐ ล้านบาท) ๒. การเดินทางเยือนรัฐคูเวต ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมคณะของนายกรัฐมนตรีในการเข้าร่วมประชุมสุดยอดความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) และการหารือทวิภาคี โดยไทยได้ใช้เวทีนี้ในการผลักดันการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการ ACD และการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีและระดับการประชุมสุดยอด ACD ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมถึงการผลักดันการสร้างความเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนกับตะวันออกกลาง เอเชียกลาง ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ และการผลักดันความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน รวมถึงด้านคมนาคม โลจิสติกส์ และการสื่อสาร ๒.๒ กิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ในรัฐคูเวต กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าต่างประเทศได้บูรณาการกับกระทรวงการต่างประเทศในการนำคณะนักธุรกิจไทยเดินทางไปร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ หอการค้าและอุตสาหกรรมของรัฐคูเวต นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำนักธุรกิจสินค้าอาหารเข้าเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจรัฐคูเวต ซึ่งได้รับความสนใจจากนักธุรกิจรายใหญ่ของรัฐคูเวต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและการรักษาพยาบาล คาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปีที่มูลค่า ๑๒๐ ล้านบาท ๒.๓ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์อาหารไทย โดยจัดให้มีการแสดงอาหาร เครื่องปรุงรส และการชิมอาหารไทย รวมถึง Thai Select Exhibition Corner ผู้เข้าชมนิทรรศการและร่วมงานสนใจเข้าร่วมชิมอาหารเป็นจำนวนมาก ๓. การเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๓.๑ กิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) นักธุรกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจไทยอย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมงาน จำนวน ๑๐๐ ราย ในด้านของผู้ประกอบการไทยได้เข้าพบและหารือกับอธิบดี เช่น บริษัท Al Maysaa ซึ่งเป็นร้านให้บริการนวดแผนไทยและสปาไทย รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าสปา ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมพิเศษ Free Zone ในรัฐอัจมาน ซึ่งถือเป็นทำเลที่ดีเข้าถึงง่าย ไม่ต้องมีหุ้นส่วนเป็นชาวยูเออี และสามารถขอใบอนุญาตทำงานได้เป็นเวลา ๓ ปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยได้พบปะเจรจากับผู้นำเข้าซุปเปอร์มาเกตท้องถิ่น ธุรกิจร้านอาหารที่เกี่ยวข้อง และมียอดสั่งซื้อทันที ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๖ ล้านบาท) และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปี มูลค่า ๔,๖๘๗,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท) โดยสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เป็นต้น ๓.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือประธานบริษัท Mahallati Jewellery Group (Mr. Abdul Karim Mahallati) ซึ่งเป็นบริษัทชาวอิหร่านผลิตและค้าอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่ในดูไบ และมีชื่อในการผลิตเพชรและเครื่องประดับอัญมณี โดย Mr. Karim แจ้งว่าสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านมีความต้องการนำเข้าข้าวเป็นจำนวนมาก ไทยอาจขายข้าวผ่านดูไบ ซึ่งมีชาวอิหร่านเป็น Trader จัดตั้งบริษัทในดูไบเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังได้พบนายกสมาคมนักธุรกิจไทย-ดูไบ (คุณอัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด) เพื่อหารือเรื่องการจัดตั้ง Thailand Trade Mart เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมสินค้าและการบริการของไทยในตะวันออกกลาง โดยภาครัฐผลักดันและสนับสนุนให้ภาคเอกชนสนใจร่วมกันลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
