ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | รายงานประจำปี 2567 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) | ศธ. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๗
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินการของ สสวท. ปี ๒๕๖๗ เช่น (๑)
พัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
และกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ - ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๖ (๒) ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ของแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี และ (๓)
มอบทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อผลิตนักวิทยาศาสตร์/นักวิจัยที่เป็นกำลังคนที่มีศักยภาพสูง ๒. แผนการดำเนินงานของ สสวท. ปี ๒๕๖๘ เช่น (๑)
พัฒนาหลักสูตร สื่อ ต้นแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้และเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละช่วงวัย
(๒) พัฒนาผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์ ครูวิทยากรแกนนำ และครูเครือข่าย
ให้สามารถขับเคลื่อนการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ (๓)
ให้ทุนสนับสนุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษา และครู
และการจัดส่งผู้แทนไทยเข้าร่วมการแข่งขันระหว่างประเทศ ๓. รายงานผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ของ สสวท. ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2 | การทบทวนแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ | นร.10 | 22/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบการทบทวนกรอบแนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ กันยายน ๒๕๖๔ (เรื่อง แนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ) ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของการประเมินในมิติด้านผลสัมฤทธิ์ ข.
การดำเนินการในวาระเร่งด่วนหรือภารกิจที่ถูกมอบหมายเป็นพิเศษ (Urgency/assigned Tasks) ให้สำนักงาน ก.พ.
นำความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กรุงเทพมหานคร และข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาทบทวนร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ
เพื่อปรับปรุงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ”
และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและได้ข้อยุติ โดยให้เป็นไปตามแนวทาง ดังนี้ ๑.๑ รอบที่
๑ การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บริหารระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ถึง ๓๑ มีนาคม
ให้นำตัวชี้วัด “การก่อหนี้ผูกพันงบประมาณ” มาใช้ในการพิจารณา ๑.๒
รอบที่ ๒ การประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บริหารระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ถึง ๓๐
กันยายน ให้นำตัวชี้วัด “การเบิกจ่ายงบประมาณ” มาใช้ในการพิจารณา แล้วให้สำนักงาน ก.พ. นำข้อยุติดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยเร็วก่อนสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3 | ขออนุมัติโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒
(ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.๑
ประเด็นอภิปราย ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงว่า
โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน
เพื่อทดแทนรถโดยสารเดิมขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่มีอายุการใช้งานมากกว่า ๒๐ -
๓๐ ปี และมีปัญหาด้านการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง
ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) โดยวิธีการเช่าเป็นระยะเวลา ๗ ปี นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
ยังสามารถถ่ายโอนความเสี่ยงด้านการจัดหารถและบำรุงรักษาต่าง ๆ ให้แก่เอกชนได้
รวมทั้งช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมในเมืองดีขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV)
ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดซื้อมาแล้ว จำนวน ๔๘๙ คัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ [เรื่อง โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน
เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ]
ยังมีสภาพดีและสามารถนำมาใช้งานต่อไปได้
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจึงจะยังไม่มีการปลดระวางรถดังกล่าวแต่อย่างใด ๑.๒
คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๒.๑
โดยที่ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ดังนั้น
การเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
และการกำหนดให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม
จะช่วยกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยต่อไป ๑.๒.๒
กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) ควรพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง
ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย
เพื่อลดภาระให้ผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะไม่ต้องพกบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ๑.๓ มติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อนุมัติการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ เมษายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓
คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ในวงเงินรวม ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ระยะเวลา ๗ ปี
ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการในขณะนี้ ในกรอบวงเงินลงทุนโครงการ ๑๕,๓๕๕.๖๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเป็นผู้บริหารโครงการ
โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๙๕๔
ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘) และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๓๖๐ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่า
ควรเป็นรถโดยสารที่ผลิตในประเทศ และใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ เช่น แบตเตอรี่
และตัวถังรถยนต์โดยสาร
เพื่อส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนภายในประเทศ รวมทั้ง
สนับสนุนการจ้างงาน และการพัฒนาแรงงานฝีมือ เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของภูมิภาค ๑.๔
ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ)
พิจารณาดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) โดยคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๔.๑
ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นธรรม ๑.๔.๒
กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม ๑.๔.๓
กำหนดเงื่อนไขให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น
บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร
รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4 | รายงานผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร) | นร.13 | 27/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร)
ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น ๑) เข้าร่วมงานสัมมนา “Thailand - Japan Investment Forum 2025” ๒)
พบหารือรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น
๓) พบหารือกับผู้บริหารขององค์กรส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ๔) พบหารือกับผู้แทนจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่น นอกจากนี้
ยังได้พบหารือกับผู้บริหารของบริษัทเอกชนชั้นนำของญี่ปุ่นหลายแห่ง เช่น บริษัท Toshiba
Electronic Devices & Storage และบริษัท Mitsubishi
Corporation บริษัท Mitsubishi Motor และบริษัท
Isuzu Motors ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 5 | ผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี สมัยที่ 69 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา | พม. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการว่าด้วยสถานภาพสตรี
สมัยที่ ๖๙ (Commission on the Status
of Women - CSW 69) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกา โดยผลการเข้าร่วมประชุมฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑)
การรับรองเอกสารผลลัพธ์ปฏิญญาทางการเมืองเนื่องในโอกาสครบรอบ
๓๐ ปี ของการประชุมระดับโลกว่าด้วยเรื่องสตรี ครั้งที่ ๔ [คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ (๓ มีนาคม ๒๕๖๘)
ให้ความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว] โดยฉันทามติและไม่มีการลงนาม เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยปฏิญญาที่ได้รับการรับรองดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงจากร่างปฏิญญาฯ
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ซึ่งเป็นการตัดถ้อยคำที่ซ้ำซ้อนและมีการจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการ
โดยเน้นย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมและความเป็นผู้นำของสตรี ๒)
การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีโดยร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยนประเด็นมาตรการและกลไกทางสถาบันระดับชาติด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ
รวมทั้งแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิของสตรีและเด็กหญิงที่เผชิญกับการเลือกปฏิบัติในหลายมิติ
๓) การกล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย ถึงการครบรอบ ๓๐ ปี ของปฏิญญาปักกิ่งและการตระหนักถึงการดำเนินการตามปฏิญญาฯ
โดยไทยได้ขับเคลื่อนนโยบายภายใต้ปฏิญญาฯ เช่น การจ้างงาน การส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของสตรี
เด็กหญิง การออกกฎหมาย สมรสเท่าเทียม การจัดการกับความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ
และ ๔) การหารือทวิภาคีกับผู้แทนระดับสูงและองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่
ผู้บริหารโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและหัวหน้าคณะสาธารณรัฐสิงคโปร์ในประเด็นการให้ความสำคัญกับการลงทุนทางสังคม
โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ปัญหาวิกฤตประชากร
อัตราการเกิดต่ำและการร่วมมือเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 6 | ผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ. .... | สผ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๔/๒๕๕๙ เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ลงวันที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
(ศอ.บต.) ได้พิจารณาข้อสังเกตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยสรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑) การสนับสนุนให้ ศอ.บต. จัดโครงสร้างองค์กร
มอบหมายผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้และเข้าใจกระบวนการทำงานของประชาชน
และจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็น ๒)
การพิจารณาเสนอชื่อสมาชิกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓) การเร่งรัดจัดทำระเบียบที่จำเป็นและสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
๔) การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.
๒๕๕๓ และ ๕)
การสนับสนุนให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดให้มีผู้แทนจากสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบของคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกระดับ
ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 7 | รายงานผลการเข้าร่วมพิธีพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน | นร. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายชูศักดิ์ ศิรินิล) รายงานว่า
ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชามอบหมายกระผมเป็นผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทยเข้าร่วมพิธีพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส
ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘ ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน
นั้น ขอรายงานผลการร่วมพิธีพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิสดังกล่าว โดยสรุป
ดังนี้ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน
๒๕๖๘ กระผมในฐานะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทย พร้อมด้วยนายธเนศ กิตติธเนศวร เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และนางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ (ว่าที่) เอกอัครราชทูตประจำนครรัฐวาติกัน
ได้เข้าร่วมพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันชิส ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์
นครรัฐวาติกัน โดยมีนายธัชสิทธิ์ ประสิทธิรัตน์ อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูต
ประจำนครรัฐวาติกันและคณะ เข้าร่วมพิธีในส่วนของคณะทูตานุทูตด้วย พิธีพระศพจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ
โดยเริ่มขึ้นในเวลา ๑๐.๐๐ น. ด้วยการเคลื่อนย้ายโลงพระศพ จากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ออกมายังหน้ามหาวิหาร
ตามด้วยการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายพระศพไปฝังที่มหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเร
(Santa Maria Maggiore Basilica) ณ กรุงโรม
และเสร็จสิ้นเมื่อเวลา ๑๒.๑๐ น. โดยมีพระคาร์ดินัลโจวานนี บัตตีสตา เร (Cardinal
Giovanni Battista Re) ประธานคณะคาร์ดินัลทั่วโลก (Dean of
the College of Cardinals) เป็นประธานในพิธีพระศพ
และมีผู้แทนระดับสูงจากนานาประเทศเข้าร่วมกว่า ๑๕๐ ประเทศ/องค์การระหว่างประเทศ
รวมถึงเชื้อพระวงศ์ ประมุขของรัฐ และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ
จำนวนมาก รวมทั้งยังมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมงาน และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลประเทศต่าง
ๆ จำนวนมาก รวมทั้งยังมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมงานอีกกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน ในโอกาสนี้
กระผมและคณะได้เข้าพบพระคาร์ดินัลปิเอโตร ปาโรลิน (Pietro
Parolin) เลขาธิการสันตะสำนักในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส
และพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ที่นครรัฐวาติกันด้วย ประเทศไทยและนครรัฐวาติกันได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่
๒๘ เมษายน ๒๕๑๒ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนครรัฐวาติกันเป็นไปอย่างราบรื่น
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิสได้เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๐ - ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมทั้งได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกด้วย การที่ประเทศไทยมีผู้แทนพิเศษระดับรัฐบาลเข้าร่วมพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส
เป็นการแสดงมิตรไมตรีและความเคารพอย่างสูงต่อคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก
และแสดงให้เห็นว่าถึงแม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
แต่ก็ยังให้คุณค่าและความเคารพต่อศาสนาอื่น ๆ และพิธีกรรมทางศาสนา
โดยการเข้าร่วมพิธีพระศพในครั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวระหว่างศาสนาต่าง
ๆ บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน
ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนครรัฐวาติกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8 | การแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | สตง. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการตรวจสอบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
และผลการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและการจัดการทรัพย์สินประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖
สรุปได้ ดังนี้ ๑) การประเมินผลการใช้จ่ายเงิน เช่น ผลการดำเนินงานตัวชี้วัดของเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมาย ๒ ตัวชี้วัด (จาก ๘ ตัวชี้วัด)
เนื่องจากปัญหาจากการสำรวจข้อมูล โดย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ให้ข้อเสนอแนะ
เช่น
ควรควบคุมดูแลให้มีการกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาวัดความสำเร็จของการดำเนินงานตามตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานได้จริง
๒) การประเมินผลการจัดการทรัพย์สิน เช่น การสำรวจความต้องการพัสดุของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลความต้องการใช้พัสดุไม่ครอบคลุมทุกหน่วยงาน และทุกประเภทรายการพัสดุ
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น ผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ควรควบคุม ดูแลให้มีการสำรวจความต้องการใช้งานพัสดุทุกประเภท
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปี และ ๓)
การประเมินผลการบริหารโครงการ เช่น การดำเนินโครงการล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดเนื่องจากเป็นโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความซับซ้อนทำให้การเขียนขอบเขตของงานล่าช้า
โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น การจัดทำโครงการที่มีความซับซ้อนควรจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญร่วมกำหนดขอบเขตของงาน
หรือส่งเสริม พัฒนาให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบมีทักษะ ความรู้
ความเข้าใจเพิ่มขึ้นและเร่งรัดการบริหารสัญญาให้เป็นไปตามแผน
ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 9 | มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร.04 | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
เป็นเจ้าภาพรับเรื่องการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าไปหารือร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดติดตามการดำเนินมาตรการต่าง
ๆ ให้เหมาะสม ชัดเจน รวมตลอดถึงการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอันเนื่องมาจากบุหรี่ไฟฟ้าให้มีบทลงโทษที่ชัดเจนและรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าปัจจุบันด้วย
แล้วให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน นั้น
ได้ร่วมประชุมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และได้กำชับให้เร่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่แพร่ระบาดอยู่อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชน
นักเรียน และนักศึกษา โดยเน้นย้ำให้ดำเนินการจับกุมและลงโทษผู้ผลิต ผู้นำเข้า
และผู้ขายอย่างเด็ดขาดจริงจัง รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจน
แก่นักเรียนนักศึกษาเกี่ยวกับโทษและผลเสียที่เกิดกับผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าซึ่งอาจจะขยายไปสู่การใช้สารเสพติดประเภทอื่นที่ร้ายแรงกว่าได้
ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา มีสถิติการจับกุมการกระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าที่ดีขึ้น
โดยมีการดำเนินคดี ๑,๐๗๘ คดี
จับกุมผู้ต้องหาได้ ๑,๑๐๔ คน จำนวนของกลาง ๙๐๐,๔๔๔ ชิ้น คิดเป็นมูลค่าของกลางจำนวน ๑๑๘,๙๕๓,๙๑๕ บาท นอกจากนี้
กระทรวงศึกษาธิการได้ออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าและกำชับให้ผู้บริหาร
ครู และบุคลากรทางการศึกษาตระหนักว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
และหากตรวจพบว่าบุคลากรในสังกัดปล่อยปละละเลยในเรื่องนี้หรือเป็นผู้นำบุหรี่ไฟฟ้ามาใช้จะดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้าง
จึงขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำมาตรการดังกล่าวข้างต้นไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกันต่อไป
โดยให้พิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสมและเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และระยะเวลาการร้องทุกข์การออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
การดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และการดำเนินการในชั้นศาล
รวมทั้งกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ที่จะถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวและป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เช่น สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นควรกำหนดคำนิยาม
คำว่า “ผู้บริหารท้องถิ่น” “พนักงานเจ้าหน้าที่” และ “พนักงานสอบสวน” ให้ชัดเจน และครอบคลุมถึงกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตีความในทางปฏิบัติ สำนักงานอัยการสูงสุด เห็นควรกำหนดนิยามลักษณะความผิดคุกคามทางเพศไว้ชัดเจนต่างหาก
หรือหากมีการระบุบัญญัติการคุกคามทางเพศไว้แล้วในกฎหมายอื่น
ร่างกฎหมายนี้ก็ควรบัญญัติอ้างอิงไว้ด้วย
และนิยามดังกล่าวควรให้มีขอบข่ายไปถึงการกระทำที่อาจถึงแก่ชีวิตด้วย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๓.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในหลายประเด็น
เนื่องจากปัจจุบัน (ตุลาคม ๒๕๖๗)
ได้มีกฎหมายหลายฉบับซึ่งมีลักษณะพิเศษไม่ได้เป็นกฎหมายสบัญญัติ หรือ วิธีสบัญญัติ
อย่างชัดเจน กฎหมายที่มีโทษทางอาญามีลักษณะประนีประนอมและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เสียหาย
และไม่ได้ลงโทษทางอาญากับผู้ต้องหาเฉกเช่น กฎหมายที่มีโทษทางอาญาเดิม
มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ต้องหา
และวางแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์มากกว่า ดังนั้น ในการพิจารณาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายก็ไม่สามารถนำเอากฎหมายฉบับเดียวมาเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติทางอาญาได้
จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในทุกด้าน เป็นต้น สำนักงานอัยการสูงสุด เห็นว่าในนิยามความรุนแรงในครอบครัว
ควรให้มีขอบข่ายไปถึงการกระทำที่อาจถึงแก่ชีวิตด้วย และในร่างมาตรา ๓ (๔)
บุคคลที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครอบครัวเดียวกันถูกกระทำความรุนแรงนั้นอาจเป็นความรุนแรงที่กระทำต่อการดำรงชีวิตหรือเศรษฐกิจ
เช่น การงดจ่ายเงินสำหรับค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 11 | ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดคุณสมบัติและตำแหน่งของผู้บริหารงานและผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัว) | ศย. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกำหนดให้มีอธิบดีผู้พิพากษาคดีเยาวชนและครอบครัวภาคและรองอธิบดีผู้พิพากษาคดีเยาวชนและครอบครัวภาค
ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านคดีเยาวชนและครอบครัวทำหน้าที่บริหารงานศาลเยาวชนและครอบครัวในเขตอำนาจของตนเป็นการเฉพาะ
รวมทั้งกำหนดคุณสมบัติของผู้บริหารงานและผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวไว้เป็นพิเศษ
โดยมีคณะกรรมการนโยบายการปฏิบัติราชการของศาลเยาวชนและครอบครัวช่วยกำกับดูแลการบริหารราชการของศาลเยาวชนและครอบครัว
เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมในคดีเยาวชนและครอบครัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายการปฏิบัติราชการของศาลเยาวชนและครอบครัว
อาจเป็นการซ้ำซ้อนกับหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมและคณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรม
ควรพิจารณาถึงความจำเป็นในการมีคณะกรรมการดังกล่าวด้วย ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้อาจส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายบุคลากร
ค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการ และด้านการลงทุน ควรพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน
ผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับ ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังแก่รัฐเพื่อมิให้เกิดภาระงบประมาณเกินความจำเป็น สำนักงาน ก.พ.
เห็นว่าการกำหนดให้มีตำแหน่งผู้บริหารงานศาลเยาวชนและครอบครัวเพิ่มขึ้นอาจต้องคำนึงว่าจะต้องไม่กระทบต่องบประมาณค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐและต้องคำนึงถึงการบริหารงานบุคคลประกอบด้วย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ๓.
ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว
อาจจะส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายบุคลากร ค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการ และด้านการลงทุน
ดังนั้น สำนักงานศาลยุติธรรมควรพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน
ประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับ ความเหมาะสมกับสถานการณ์และสถานะทางการเงินการคลังของประเทศในปัจจุบันเพื่อมิให้เกิดภาระงบประมาณเกินความจำเป็นตามนัยมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เห็นว่าควรเตรียมความพร้อมและบริหารจัดการทั้งด้านบุคลากร
งบประมาณ อาคารสถานที่ และด้านอื่น ๆ ให้เหมาะสม เพื่อรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรในตำแหน่งต่าง
ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 12 | รายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑)
การสร้างเครือข่ายพันธมิตรและความร่วมมือด้านการค้า
โดยการประชุมร่วมกับผู้นำเข้ารายสำคัญในตลาดสหรัฐฯ จำนวน ๓ ราย การเยี่ยมชมโรงงานและหารือกับผู้บริหาร บริษัท Overhill Farms และการเยี่ยมชม Port of Long Beach ๒) การส่งเสริม Soft Power ของไทยผ่านอาหารไทยและร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์
Thai SELECT โดยการเข้าร่วมกิจกรรมผลักดันสินค้าและบริการสู่สากล
ผ่านผู้มีอิทธิพลทางความคิดและสื่อบันเทิงระดับโลก และการเข้าร่วมกิจกรรม Sa
Wad Dee Thai SELECT Festival ๓)
การส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้างสรรพสินค้า H Mart ซึ่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย
และ ๔) การประชุมติดตามสถานการณ์การค้าและการส่งออกสินค้าไทยในภูมิภาคอเมริกาและลาตินอเมริกา
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนวทางการดำเนินการต่อยอดการส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทย
โดยใช้อาหารไทยเป็น Soft Power และส่งเสริมสินค้าอุตสาหกรรมอาหารไทยในฐานะครัวโลก
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 13 | รายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้
สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูง กระทรวงพาณิชย์
ระหว่างวันที่ ๔ - ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น ๑)
เข้าร่วมพิธีเปิดและเยี่ยมชมงาน China International Import Expo (CIIE) ครั้งที่
๗ หรือ CIIE 2024 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้นำผู้ประกอบการสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเข้าร่วมแสดงสินค้าโดยจัดเป็นคูหา
Thai Food and Agricultural Products Pavilion มีมูลค่าสั่งซื้อทันทีและมูลค่าคาดการณ์ภายใน ๑ ปี รวม ๖๔.๙๗ ล้านบาท
และคูหา Thailand Pavilion เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้า/บริการของไทย
๒) หารือกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด โดยบริษัท หัวเว่ยฯ
ได้เสนอแนวทางความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ เช่น
การรวมแพลตฟอร์มคลาวด์ของกระทรวงพาณิชย์เป็นแพลตฟอร์มเดียว การจัดตั้งศูนย์พัฒนาทักษะดิจิทัล
SMEs เป็นต้น และ(๓)
หารือแลกเปลี่ยนความเห็นกับหอการค้าไทยในจีนและกลุ่มนักธุรกิจไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 14 | แนวทางปฏิบัติในการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง) | นร.09 | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการพิจารณาข้อหารือ เรื่อง การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์
:
กรณีคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
ของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (เรื่องเสร็จที่ ๓๗๘/๒๕๖๗)
และผลการพิจารณาข้อหารือ เรื่อง การเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา
ให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นประเภทตำแหน่งผู้บริหาร :
กรณีคำสั่งแต่งตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ของคณะกรรมการกฤษฎีกา
(คณะพิเศษ) (เรื่องเสร็จที่ ๑๒๘๗/๒๕๖๗) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามข้อสังเกตของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ)
รวมถึงข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15 | แนวทางปฏิบัติในการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา [คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ)] | นร.09 | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการพิจารณาข้อหารือ เรื่อง การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์
:
กรณีคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
ของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (เรื่องเสร็จที่ ๓๗๘/๒๕๖๗)
และผลการพิจารณาข้อหารือ เรื่อง การเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา
ให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นประเภทตำแหน่งผู้บริหาร :
กรณีคำสั่งแต่งตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ของคณะกรรมการกฤษฎีกา
(คณะพิเศษ) (เรื่องเสร็จที่ ๑๒๘๗/๒๕๖๗) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามข้อสังเกตของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
และคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ)
รวมถึงข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16 | ร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔
โดยปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย
เพิ่มเติมวัตถุประสงค์และอำนาจการดำเนินกิจการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)
ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจของคณะกรรมการ กทท. ให้มีความเหมาะสม
ปรับปรุงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของประธานกรรมการ กรรมการ และผู้ว่าการ กทท.
ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับกิจการที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
และเปลี่ยนแปลงชื่อตำแหน่งผู้บริหารองค์กรจากผู้อำนวยการเป็นผู้ว่าการ กทท. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยให้ส่งความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ MUAYTHAI SOFT POWER ปี 2567 | กก. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๗๕,๖๔๖,๘๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ MUAYTHAI SOFT POWER ปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรติดตามและประเมินผลลัพธ์ระหว่างการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การเริ่มดำเนินโครงการและสิ้นสุดโครงการ
จัดทำรายงานสรุปการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจและสังคม
ให้ครอบคลุมทุกมิติอย่างละเอียดและรอบคอบในรายกิจกรรมภายใต้โครงการนี้
เพื่อวัดผลความคุ้มค่าจากการลงทุนที่เกิดขึ้น เร่งประสานหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ
เพื่อให้การดำเนินงานสามารถเป็นไปตามเป้าหมายภายใต้ระยะเวลาจำกัด
และเกิดการมีส่วนร่วมอย่างบูรณาการร่วมกัน และวางแผนการส่งเสริมกีฬาพื้นบ้านไทยอื่น
ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรรมของประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กีฬาชนิดอื่น ๆ
เป็น Soft Power สู่สายตานานาชาติต่อไป ๒.
โดยที่มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่มีมาแต่โบราณและปัจจุบันถือเป็น
Soft Power สำคัญของไทยที่เป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
ดังนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งกฎ กติกา มารยาท แม่ไม้มวยไทย ตลอดจนองค์ประกอบอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการชกมวยไทยให้ถูกต้อง ครบถ้วน และคงอยู่สืบไป โดยไม่ถูกบิดเบือน
ลอกเลียน หรือสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนสับสนกับการชกมวยประเกทอื่น ๆ สมควรที่จะดำเนินการให้มีองค์กรมวยไทยระดับนานาชาติขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยประเทศไทย และมีที่ตั้งขององค์กรอยู่ที่ประเทศไทย รวมทั้งมีผู้บริหารองค์กรเป็นคนไทยที่มีองค์ความรู้
ความสามารถและประสบการณ์ เกี่ยวกับมวยไทยอย่างแท้จริง
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
การกีฬาแห่งประเทศไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้มีองค์กรมวยไทยระหว่างประเทศในลักษณะเดียวกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
(FIFA) ที่กำกับดูแลกีฬาฟุตบอล
แล้วให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 18 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสของรองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูง กระทรวงพาณิชย์
ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า
ตลอดจนการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในตลาดฝรั่งเศส ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น ๑)
การส่งเสริมภาพลักษณ์ธุรกิจบันเทิงไทยและสร้างเครือข่ายในงาน Cannes Film Festival 2024 โดยการจัดกิจกรรม
Thai Night มีบุคลากรในกลุ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์เข้าร่วมกว่า
๒๕๐ ราย และ ๒) การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า Marche du Film 2024
และพบหารือผู้ประกอบการธุรกิจภาพยนตร์และธุรกิจบันเทิงไทย คาดการณ์มูลค่าการเจรจาการค้าทั้งสิ้น
๑,๔๖๙.๑๘ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 19 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายนภินทร ศรีสรรพางค์) ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๘ เมษายน ๒๕๖๗
เพื่อสำรวจเส้นทางขนส่งสินค้าผลไม้ เตรียมความพร้อมในการรองรับฤดูผลไม้
และป้องกันปัญหาการขนส่งผลไม้ที่ติดขัดบริเวณชายแดนเวียดนามตอนเหนือกับจีนตอนใต้
อีกทั้งยังเป็นการกระชับความร่วมมือและความสัมพันธ์กับหน่วยงานภาคเอกชน ผู้นำเข้า
ผู้ประกอบการ ผู้กระจายสินค้ารายสำคัญ เพื่อผลักดันการส่งออกให้ได้ตามเป้าหมาย
ขยายส่วนแบ่งสินค้าเกษตรของไทยในตลาดต่างประเทศ และประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยได้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น ๑) สำรวจด่านรถไฟด่งดัง ด่านสากลหูหงิ
และหารือกับประธานคณะกรรมการประชาชนและผู้บริหาร จังหวัดลางเซิน เวียดนาม ๒) สำรวจด่านโหย่วอี้กวน
ด่านรถไฟผิงเสียง และหารือกับรองนายกเทศมนตรีเมืองฉงจั่ว
เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ๓) หารือกับผู้บริหารบริษัทเอกชน ได้แก่
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทตลาดเจียงหนาน และรองประธานกรรมการบริหารบริษัท Pagoda รวมทั้งได้เยี่ยมชมซูเปอร์มาร์เก็ต
Freshippo ซึ่งมีประเด็นการหารือที่สำคัญเกี่ยวกับการขยายตลาดการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ไทยไปยังจีน ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยในตลาดจีน เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 20 | รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗
เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลไทย ณ กรุงโตเกียว ครั้งที่ ๒๔ (Thai Festival Tokyo 2024) และเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย
ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น ๑) เป็นประธานเปิดงานเทศกาลไทย ครั้งที่ ๒๔ เพื่อส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ไทย
ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ประกอบด้วยคูหากว่า ๘๐ คูหา เช่น คูหาผ้าไทยใส่ให้สนุก คูหาซีรีส์วาย
เป็นต้น ๒) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ
Rakuten ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของญี่ปุ่น
เพื่อเปิดร้าน TOPTHAI และส่งเสริมการขายสินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น
และ ๓) หารือกับผู้บริหารบริษัท KALDI โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้แนะนำสินค้าไทยที่มีศักยภาพไปจัดจำหน่ายในร้าน KALDI เพิ่มขึ้น
อาทิ กาแฟ ผลไม้ และสินค้าไทย และยังแนะนำให้บริษัทฯ
นำเข้าผลไม้คุณภาพที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวญี่ปุ่น เช่น กล้วยหอมทอง ทุเรียน
และมังคุด เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
