ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 341 | กรอบแนวทางและผลการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล | ศธ | 24/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยการปฏิรูประบบความรู้ของสังคมไทย จากการสำรวจพบว่า การจัดการเรียนการสอนช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของบทเรียน สามารถเชื่อมโยงเนื้อหาสาระของความรู้เพื่อการนำไปปฏิบัติได้ สามารถสรุปหรือจดบันทึกเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้ อยู่ในระดับมาก ผู้เรียนมีคุณลักษณะต่าง ๆ อยู่ในระดับมาก คือ มีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน สามารถค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ เช่น อินเทอร์เน็ต สื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ และมีการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม และสังคมประชาธิปไตย ตระหนักในสิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ยังอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนความสามารถที่ยังต้องปรับปรุงคือ ความสามารถในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับการศึกษา สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอน ผู้เรียนสายสามัญและสายอาชีพเห็นว่าสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและประชาคมอาเซียน แต่การนำหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐานไปใช้ยังมีความยุ่งยากสำหรับครู อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในทุกภาคส่วนใหญ่ดำเนินการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาโดยจัดทำโครงการติวนักเรียนเพื่อเตรียมสอบ O-Net ส่วนการจัดทำโครงการห้องเรียนพิเศษเพื่อพัฒนาเด็กที่มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ มีการดำเนินงานน้อยที่สุด ส่วนความพร้อมในการรองรับการกระจายอำนาจ สถานศึกษามีความพร้อมทุกด้าน ๑.๒ การสร้างและกระจายโอกาสทางการศึกษา จากการสำรวจพบว่า นักเรียน/นักศึกษาพอใจกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน โดยปัญหาที่พบของกองทุนฯ คือ การจัดสรรเงินกู้ยืมไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้เรียนและไม่สอดคล้องกับสาขาวิชา การขาดความเอาใจใส่ในการติดตามข่าวของผู้กู้ยืม และความล่าช้าของเงินที่ได้รับ ระบบการสอบคัดเลือกกลางเห็นว่าเป็นระบบที่สามารถคัดเลือกผู้เรียนได้ตรงตามความต้องการ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถเพิ่มโอกาสทางการศึกษาในการเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา การเทียบโอนพบปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากตัวผู้เรียนที่ไม่ให้ความสนใจ การประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึงและขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณและวิชาการ แหล่งเรียนรู้ในชุมชนมีเพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพิ่มเติม โดยแหล่งเรียนรู้ที่ผู้เรียนใช้มากที่สุดคือ ห้องสมุดโรงเรียน พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ ห้องสมุดประชาชน ๑.๓ การปฏิรูปครู ยกฐานะครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง จากการสำรวจพบว่า ครูได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะอย่างเพียงพอ ส่วนการขาดแคลนครู ส่วนใหญ่จะขาดแคลนทั้งครูสามัญและครูช่าง สาขาที่ขาดแคลนมากที่สุดคือ สาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ และครูช่างในระดับอาชีวศึกษา ซึ่งสถานศึกษาแก้ปัญหาด้วยการจ้างจากเงินงบประมาณของสถานศึกษา และมีการใช้สื่อเทคโนโลยีช่วยสอน สำหรับครู กศน. ส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาโดยเนื้อหาสาระที่มีการพัฒนามากที่สุดคือ การจัดการเรียนการสอน การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ด้วยวิธีการอบรมมากที่สุด ๑.๔ การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน จากการสำรวจพบว่า โครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) มีความพร้อมในทุกด้านในระดับปานกลาง การพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการนำไปใช้ประโยชน์ ครูและผู้บริหารเห็นว่าอยู่ในระดับมาก แต่ผู้เรียนเห็นว่ายังอยู่ในระดับปานกลางและมีผลทำให้ภาพลักษณ์ของผู้เรียนอาชีวศึกษาดีขึ้น โดยการดำเนินงานดังกล่าวส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เพิ่มภาระและไม่ส่งผลกระทบ และการบริหารของศูนย์ฯ ส่วนใหญ่สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชน นอกจากนี้ ผู้เรียน ครู และผู้บริหารได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ อาทิ การได้รับความรู้เพิ่มขึ้น การได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง สามารถสร้างรายได้ระหว่างเรียน โดยสถานศึกษาใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนหลายรูปแบบ อาทิ Project Based Learning, Problem Based Learning หลักสูตรทวิภาคี สหกิจศึกษา การฝึกปฏิบัติงานในสถานประกอบการ การจัดทำโครงการ/โครงการหลังจากเรียนภาคทฤษฎี เป็นต้น ๑.๕ การพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ จากการสำรวจพบว่า การจัดเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้เด็กชั้น ป.๑ นักเรียน ผู้ปกครอง และครู มีความพึงพอใจในการได้รับการจัดสรรเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) และการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาในการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะเรียน สนใจเรียนและมีการช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเพื่อนระหว่างการเรียนมากขึ้น แต่ผู้เรียนยังมีความพร้อมในการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในระดับปานกลาง และครูมีความรู้และทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์พกพาอยู่ในระดับพอใช้งานได้ รวมทั้งยังมีโรงเรียนที่ไม่มีความพร้อมเรื่องระบบไฟฟ้า การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วเพียงพอ และมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการใช้และบำรุงรักษา การซ่อมแซมการจัดเจ้าหน้าที่ประจำโรงเรียน ส่วนการใช้สื่อเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน ครูส่วนใหญ่ใช้เพื่อจัดทำแผนการสอน เตรียมการสอน ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ค้นคว้าข้อมูลเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน และใช้จัดเก็บข้อมูลด้านการเรียนของนักเรียน และครูมีการใช้ “โทรทัศน์เพื่อการศึกษา” ในการสอนและเพิ่มพูนความรู้ด้านเทคนิคการสอน ๑.๖ การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างทุนปัญญาของชาติ จากการสำรวจพบว่า สถาบันอาชีวศึกษาและสถาบันอุดมศึกษาส่งเสริมสนับสนุนงบประมาณด้านวิจัยอยู่ในระดับมาก และสนับสนุนให้ครู คณาจารย์ ทำวิจัยและพัฒนาควบคู่กับการสอน โดยผลการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ในระดับมาก ส่วนสถานศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษามีการสนับสนุนทุนวิจัยค่อนข้างน้อย ๑.๗ การเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน จากการสำรวจพบว่า ความสามารถในการสื่อสารด้านภาษาอังกฤษของผู้เรียนทุกระดับการศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ผู้เรียน ครู และผู้บริหาร เห็นว่าควรกำหนดให้มีหลักสูตรที่บูรณาการอาเซียนในทุกกลุ่มสาระและทุกระดับการศึกษา และเพิ่มความเข้มข้นในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และจัดรายวิชาเลือกวิชาภาษาเพื่อนบ้าน ภาษาคู่ค้า ภาษาจีน เพิ่มขึ้น สำหรับ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรสอนภาษามลายู ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณาปรับปรุงกรอบแนวทางการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๘ ให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 342 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นางสาววรางคณา อิ่มอุดม) | อก | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาววรางคณา อิ่มอุดม ผู้บริหารส่วน ส่วนเศรษฐกิจด้านอุปทาน สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน เป็นกรรมการผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนนางสาวจีรพรรณ โอฬารธนาเศรษฐ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กันยายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 343 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
||||||||||||||||||
| 344 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ" | สสป | 03/09/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางศึกษา สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ โดย ๑.๑ กำหนดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ครูยุคใหม่ เพื่อเป็นเป้าหมายของการปฏิรูปครูผู้เป็นแม่พิมพ์ของชาติ ได้แก่ เป็นครูมืออาชีพ ไม่เพียงมีอาชีพเป็นครู รักในอาชีพครูและมีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถในการถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ผู้เป็นศิษย์ ในการอบรมสั่งสอนผู้เป็นศิษย์ให้เป็นคนดี ยึดมั่นในหลักธรรมของศาสนา บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นผู้อยู่ในศีลธรรม ๑.๒ ควรกำหนดคุณสมบัติของครูที่ดีเพื่อใช้ในการคัดเลือกและกลั่นกรองผู้ที่จะเข้ามาเป็นครู ๑.๓ ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูประพฤติปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่กำหนดไว้ ควรได้รับการยกย่องได้รับขวัญและกำลังใจ ๑.๔ ให้ความสำคัญและความสนใจในการปฏิรูปครูเป็นพิเศษ เพราะครูที่ดีผู้มีจิตวิญญาณของครูจะสร้างคนดีให้แก่สังคมและประเทศชาติ ๑.๕ ดำเนินการปฏิรูปครูตามแผนงานและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้อย่างจริงจัง จริงใจ และต่อเนื่อง โดยยึดหลักธรรมาภิบาล รัฐบาลต้องไม่นำการเมืองมาแทรกแซงการศึกษาและการปฏิบัติหน้าที่ของครู ไม่ใช้การศึกษาและครูเป็นเครื่องมือทางการเมือง ๑.๖ ให้ครูได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม รัฐบาลควรกำหนดอัตราเงินเดือนของข้าราชการครูเป็นพิเศษเหมือนกับการกำหนดอัตราเงินเดือนข้าราชการตุลาการ พิจารณาการเลื่อนเงินเดือนและวิทยฐานะตามผลการสอนของครู ผลการเรียนของนักเรียน การปฏิบัติตามจรรยาบรรณของครู ควรมีการจัดทำดัชนีชี้วัดตามความสำเร็จในการปฏิบัติงานของครู ๑.๗ ยกเลิกการประเมินผลของครูเพื่อประกอบการเลื่อนวิทยฐานะ โดยให้ครูต้องรายงานแบบวิทยานิพนธ์ซึ่งต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย การประเมินผลควรพิจารณาผลงานรวมของครูจากความรู้และความประพฤติของนักเรียนที่เป็นศิษย์ สำหรับครูที่มีจิตวิญญาณของครูผู้อุทิศชีวิต จิตใจและเวลา ในการให้ความรู้ ในการอบรมสั่งสอนเยาวชนผู้เป็นศิษย์ด้วยความรัก ความเมตตา ความเอาใจใส่ ควรจะได้รับการพิจารณาความดีความชอบเป็นพิเศษ ๑.๘ ตระหนักถึงเรื่องการพัฒนาคุณภาพครูเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เปิดโอกาสให้ครูได้มีโอกาสในการพัฒนาตนเอง ทั้งในด้านความรู้ และในด้านศีลธรรมและจิตใจ ๑.๙ ปรับปรุงการผลิตครูให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล สถาบันผลิตครูควรปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะสมทั้งในด้านวิชาการ ประสบการณ์ โดยเฉพาะด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม สามารถเป็นตัวอย่างและแบบฉบับได้ ๑.๑๐ ต้องมีความรอบคอบในการสอบคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นครู อย่าให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ ๑.๑๑ ในการปฏิรูปครู ครูควรปฏิรูปตนเองก่อน โดยการน้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นครูที่แท้ ๒. ด้านการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ รัฐบาลควรปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เกี่ยวกับ ๒.๑ น้อมนำปรัชญาการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มาประกอบการปฏิรูปการศึกษาและนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการศึกษา ๒.๒ นำพุทธปรัชญาการศึกษามาประกอบการปฏิรูปการศึกษา ๒.๓ ปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ เพื่อให้การศึกษามีคุณภาพ ๒.๔ ให้ผู้รับการศึกษาได้รับทั้งความรู้และปัญญาควบคู่กัน ๒.๕ ปรับปรุงกระบวนการสอนของครูและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนให้เหมาะสม ควรจะสอนให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ ๒.๖ ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ ให้เหมาะสม รัฐบาลควรนำวิชาศีลธรรมและหน้าที่พลเมืองกลับคืนมาปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนมีความสุข มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ๒.๗ ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา นำหลักธรรมของศาสนามาอบรมนักเรียนนักศึกษา เพื่อให้นักเรียนนักศึกษามีทั้งความเก่งและความดี มีทั้งความรู้และคุณธรรม โดยมีคุณธรรมนำความรู้ ๒.๘ ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประพฤติปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิต ๒.๙ ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาต่าง ๆ มีครูแนะแนวเพื่อให้ความช่วยเหลือและคำปรึกษาแก่นักเรียนที่มีปัญหาในการศึกษาเล่าเรียน ปัญหาครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ เพื่อให้นักเรียนมีสุขภาพจิตที่ดี มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ๒.๑๐ รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักว่า "การศึกษาเพื่อปวงชน ปวงชนเพื่อการศึกษา" การศึกษาไม่ใช่เป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการของครูอาจารย์เท่านั้น ทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการศึกษา การศึกษาไม่ได้มีเฉพาะการศึกษาในระบบ ยังมีการศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาตลอดชีวิต การศึกษาไม่ได้สิ้นสุดที่สถานศึกษา จะต้องศึกษาตลอดชีวิต
|
||||||||||||||||||
| 345 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 27/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างถูกต้อง และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงให้ความสำคัญและกำชับหน่วยงานภายใต้สังกัดให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ กลุ่มรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทย พิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นนักวิชาการเงินและบัญชีให้แก่จังหวัดและกลุ่มจังหวัด ในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ หากยังไม่เพียงพอให้นำเสนอคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อพิจารณาต่อไป และเพื่อให้การบริหารทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐเกิดประโยชน์สูงสุด เห็นควรให้ผู้บริหารให้ความสำคัญในการบริหารทรัพย์สินให้เกิดประสิทธิภาพ โดยใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและจัดซื้อจัดหาทรัพย์สินให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานอย่างเหมาะสม หรืออาจพิจารณาการใช้ทรัพย์สินร่วมกัน ๑.๒.๒ กลุ่มกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน การจัดสรรเงินงบประมาณอุดหนุนแก่กองทุนและเงินทุนหมุนเวียนควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยพิจารณาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของหน่วยงาน เพื่อประโยชน์ในการบริหารงบประมาณของแผ่นดินในภาพรวม ๑.๒.๓ กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กรมบัญชีกลางเพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารเงินสดและเงินฝากธนาคารของ อปท. ในภาพรวมให้เกิดประสิทธิภาพและเหมาะสม เห็นควรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงาน ตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. ให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือและสวัสดิการขั้นพื้นฐานจากรัฐอย่างทั่วถึง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปประสานงานเพื่อเร่งรัดให้กรุงเทพมหานครจัดทำรายงานการเงินส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภายใน ๖๐ วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงิน การนำส่งเงิน และการตรวจเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ หมวด ๑๑ ข้อ ๘๙ และส่งสำเนารายงานการเงินให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||
| 346 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การจัดตั้งกรมประมงทะเล | สว | 20/08/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การจัดตั้งกรมประมงทะเล พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของคณะกรรมาธิการฯ ได้สรุปผลการศึกษาและมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. สรุปผลการศึกษา การแก้วิกฤตประมงทะเลให้สำเร็จได้ต้องปรับเปลี่ยนกลไกของการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะต้องมีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานที่รับผิดชอบใหม่ การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เฉพาะทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การแต่งตั้งผู้บริหารที่มีความรู้ ประสบการณ์ และความเข้าใจเกี่ยวกับการประมงทะเลอย่างลึกซึ้ง มีการจัดสรรงบประมาณและเครื่องมือเครื่องใช้อื่น ๆ (ที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหา) อย่างพอเพียง ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือ การรวมและยกระดับสำนักวิจัยและพัฒนาประมงทะเลและสำนักบริหารจัดการด้านการประมงในปัจจุบันให้เป็นกรมใหม่ ภายใต้ชื่อ "กรมประมงทะเล" และสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. ข้อเสนอแนะ ได้แก่ ฟื้นฟูระบบนิเวศและพัฒนาแหล่งประมงทะเล การนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ในการบริหารจัดการประมงทะเล พัฒนาและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรประมงทะเลอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน ส่งเสริมและพัฒนาการประมงนอกน่านน้ำไทย ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการประมงทะเลให้มีประสิทธิภาพ และปรับปรุงโครงสร้างและศักยภาพองค์กรภาคประมงทะเล
|
||||||||||||||||||
| 347 | ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ | สม | 30/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึงยิ่งขึ้น ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑.๑.๑ กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนแนวคิดและวิธีจัดบริการและระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ บนฐานหลักความเสมอภาค โดยให้ประเภทและมาตรฐานของบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นบริการฯ ขั้นพื้นฐานและที่จำเป็นที่ทุกคนไม่ว่าอยู่ภายใต้ระบบบริหารสาธารณสุขใดพึงได้รับโดยไม่เสียค่าบริการ ผู้รับบริการหรือผู้มีสิทธิที่มีกองทุนหรือระบบบริการสาธารณสุขอื่นดูแลโดยเฉพาะ สามารถได้รับบริการสุขภาพหรือสาธารณสุขอื่นเพิ่มเติมได้ ๑.๑.๒ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทบทวนแนวคิดและวิธีการจัดบริการสาธารณสุข โดยแยกบทบาทระหว่างผู้ให้บริการและผู้ซื้อบริการ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบกำหนดนโยบายและหลักเกณฑ์การบริการสาธารณสุข และกระจายอำนาจการบริหารจัดการหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลไปยังเขตพื้นที่ ส่วนหน่วยงานที่รับผิดชอบกองทุน/ระบบบริการสาธารณสุข ได้แก่ สปสช. สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลางหรืออื่นใดซึ่งเป็นผู้ซื้อบริการ ให้หารือกระทรวงสาธารณสุข/เขตพื้นที่ ในการกำหนดนโยบายการจัดบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบบริการฯ นั้น ๆ ๑.๑.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. องค์กรกลางบริหารงานบุคคลทุกแห่งหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนนโยบายและแนวคิดว่าด้วยสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด รวมถึงสวัสดิการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับแนวทางตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ข้อ ๑๒ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๘๐ (๒) โดยจัดให้มีกลไกรับผิดชอบดูแลสวัสดิการ และสวัสดิการด้านสุขภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด เพื่อประกันว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดจะได้รับการดูแลสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงด้านสุขภาพ สาธารณสุข อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถรองรับการบริการฯ ในโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาลรัฐได้ รวมถึงดูแลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงานหรือสถานประกอบการ และศึกษาเกี่ยวกับการนำระบบ Medisave มาใช้ในระบบสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนการจ่ายเงินให้แก่หน่วยบริการหรือเครือข่ายหน่วยบริการเพื่อจัดบริการสาธารณสุข ซึ่งกำหนดให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร โดยให้แยกค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวออกมาต่างหาก ๑.๑.๕ กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนและผลักดันให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการ เมื่อได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ภายใต้ระบบบริการสาธารณสุขใด ๑.๑.๖ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกันเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ รวมทั้งสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่น เช่น จัดตั้งเป็นกองทุนการรักษาพยาบาล ตลอดจนการหาแนวทางเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามารถใช้ระบบการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลได้เช่นเดียวกับข้าราชการอื่น ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนนโยบายการปฏิรูประบบสาธารณสุขแก่ผู้บริหารองค์กรด้านสุขภาพ เช่น การตั้งคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติขึ้นมาดูแลระบบสาธารณสุขทั้งหมด ควรตระหนักและให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรสุขภาพหรือคณะกรรมการด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว และให้องค์กรหรือคณะกรรมการดังกล่าว ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้ส่วนเสียสำคัญอื่นใดเกี่ยวกับตน เช่น ค่าตอบแทน วิธีการประเมินผลงาน จำนวนบุคลากรในหน่วยปฏิบัติ และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเรื่อง ๑.๒ ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ๑.๒.๑ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. เร่งรัดการจัดทำและประกาศใช้พระราชกฤษฎีกามาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือ ๑.๒.๒ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ จากที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิรับบริการสาธารณสุขตามกฎหมายอื่นต้องไปใช้สิทธิตามกฎหมายนั้น เป็น ให้ผู้รับบริการต้องใช้สิทธิจากระบบบริการอื่นที่ตนเองมีสิทธิอยู่ก่อน หากสิทธินั้นด้อยกว่าหรือไม่ครอบคลุมเท่ากับสิทธิที่จะได้รับตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ได้รับสิทธิเท่ากับที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด โดยให้ สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีสิทธิเป็นหลัก ๑.๒.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง ปรับปรุงหรือแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้มีคณะกรรมการบริหารจัดระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการหรือกลไกอื่นใด รับผิดชอบบริหารจัดการและควบคุมการเบิกจ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาล หารือกับผู้ให้บริการ ได้แก่ สาธารณสุขเขตพื้นที่ในการกำหนดประเภทและมาตรฐานบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยไม่ต้องต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐาน สามารถรับบริการฯ จากโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ ฯลฯ ๑.๒.๔ สปสช. แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง บุคคลที่ไม่ต้องจ่ายร่วมค่าบริการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มสาระสำคัญของบุคคลที่ไม่ต้องร่วมค่าบริการอีก ๑ ข้อ คือ บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร คนเร่ร่อน คนไร้ที่พักพิง และคนไร้รากเหง้า ๑.๒.๕ สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ ว่าด้วยการจ่ายเงินให้หน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการ โดยให้เปลี่ยนจาก (๒) ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร เป็น (๒) คำนึงถึงค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ (basal utilization) ของโรงพยาบาล และให้แยกบัญชีเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ๑.๒.๖ กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ซึ่งให้ผู้เสียหายได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยจากกองทุน โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เว้นแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติธรรมดาของโรคนั้น หรือซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้เกิดจากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ หรือเมื่อสิ้นสุดกระบวนการให้บริการสาธารณสุขแล้วไม่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติ ๑.๒.๗ สำนักงานประกันสังคม ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ประกันตนด้านการป้องกันโรค การให้ผู้ประกันตนซึ่งจงใจหรือยินยอมก่อให้เกิดอันตรายหรือเจ็บป่วย เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ การให้ผู้จ่ายเงินสมทบตามกฎหมายประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และคลอดบุตรทันที การให้แรงงานนอกระบบ (งานบ้าน) เป็นผู้ประกันตน รวมทั้งการให้ผู้ประกันตนได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ หากประเด็นใดได้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็ให้เร่งรัดดำเนินการ ส่วนประเด็นใดยังมิได้ดำเนินการ ก็ให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่มีความอ่อนไหว/จำเป็นต้องศึกษาถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน เช่น การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และการเสนอให้จ่ายเงินสถานบริการโดยแยกเงินเดือนและค่าตอบแทน เป็นต้น รวมทั้งประเด็นที่มีผลกระทบสูง/อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเงินการคลัง เช่น การกำหนดให้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบริการพื้นฐาน โดยให้ผู้มีสิทธิที่มีกองทุนอื่นดูแลเฉพาะสามารถได้รับบริการเพิ่มเติมขึ้นได้ และการกำหนดให้บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ต้องร่วมจ่าย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย และหากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายเรื่องใด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันศึกษารายละเอียดและแนวทางการดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 348 | น้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเล จังหวัดระยอง | ทส | 30/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบโอมาน (OMAN) ขนาด ๑๖ นิ้ว รั่วขณะขนถ่ายน้ำมันจากเรือขนส่งน้ำมันไปยังโรงกลั่นน้ำมันบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมัน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเหตุให้มีน้ำมันดิบโอมานรั่วไหลลงสู่ทะเลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ประมาณ ๕๐ ตัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ประชุมร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาธารณรัฐสิงคโปร์มาให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาและร่วมกันวางแผนการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันดังกล่าว ซึ่งต่อมากรมควบคุมมลพิษได้รับแจ้งจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และไม่พบคราบน้ำมันบนผิวน้ำ ซึ่งจากการดำเนินงานเป็นเวลา ๒ วัน ได้ใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ ลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้สั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันว่าไม่พบคราบน้ำมันแล้ว และให้ดำเนินการวางทุ่น ๒ ชั้น ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะเสม็ดเพื่อป้องกันคราบน้ำมันที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่เข้าสู่ชายฝั่ง ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ออกสำรวจสภาพพื้นที่ปัญหาคราบน้ำมันเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พบว่า บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด มีการปนเปื้อนของน้ำมันบริเวณหาดและหินตลอดแนวชายหาด ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดระยอง รวมทั้งกองทัพเรือได้สนับสนุนกำลังคนประมาณ ๓๕๐ คน เพื่อร่วมดำเนินการทำความสะอาดชายฝั่งและตักทรายที่ปนเปื้อนน้ำมันบรรจุลงถุง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำมันเพื่อนำไปกำจัด คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณสองสัปดาห์จึงจะแล้วเสร็จ สำหรับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จะนำน้ำมันและทรายปนเปื้อนน้ำมันไปกำจัดโดยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และกรมควบคุมมลพิษจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีข้อสั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพิ่มความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และจัดทำมาตรการในการแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบมากขึ้น และหากพบว่ามีสัตว์น้ำตาย ขอให้ดำเนินการจัดส่งให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนำไปตรวจพิสูจน์ว่าสาเหตุการตายของสัตว์น้ำมาจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในครั้งนี้หรือไม่ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้ประกาศให้บริเวณอ่าวพร้าวเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางทะเล ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลที่จังหวัดระยอง และระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร่งด่วน และให้มีการเตรียมแผนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล แผนการเยียวยาและชดเชยความเสียหาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว ชาวประมง และผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด รวมทั้งให้จัดทำแผนการควบคุมและป้องกันปัญหาน้ำมันรั่วไหลจากการขนส่งน้ำมันในระยะยาว เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานประสานการดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานกรรมการ และให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแลให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินการแก้ไขปัญหาและรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||
| 349 | ขอความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรม "งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำความดีถวายในหลวง" ในช่วงเข้าพรรษา | สธ | 09/07/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการสนับสนุนกิจกรรม “งดดื่มสุราแห่งชาติ ทำความดีถวายในหลวง” ในช่วงเข้าพรรษา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดคำขวัญ “วันงดดื่มสุราแห่งชาติ” ในทุก ๆ ปี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มจาก ปี ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยกระทรวงสาธารณสุขกำหนดคำขวัญวันงดดื่มสุราแห่งชาติประจำปี และเสนอผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาและประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบ จัดให้มีกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา และกิจกรรมอื่นตามที่เห็นสมควร ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานผู้บริหารสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่ง จัดให้มีกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ เป็นประจำทุกปี โดยจัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา พร้อมประชาสัมพันธ์ให้เห็นความสำคัญของวันเข้าพรรษา วันงดดื่มสุราแห่งชาติ รวมถึงโทษ พิษ ภัย และผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกิจกรรมอื่นตามที่เห็นสมควร ๔. ให้กระทรวงแรงงานประสานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ จัดให้มีการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ให้กับลูกจ้าง พนักงาน เจ้าหน้าที่ ๕. ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานกรมการศาสนาในการขอความร่วมมือผู้นำศาสนาต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าร่วมปฏิญาณตนงดดื่มสุรา ทำความดีถวายในหลวง ๖. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานขอความร่วมมือสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมกำหนดแนวทางให้พระสงฆ์ถือปฏิบัติในการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชน ลด ละ เลิก การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ขอความร่วมมือให้วัดเป็นศูนย์กลางการลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ๗. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประสานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ขอความร่วมมืออาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมลงนามปฏิญาณตนงดดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา ๘. ให้ทุกกระทรวงจัดกิจกรรมวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาของทุกปี ตามบริบทของตนเอง
|
||||||||||||||||||
| 350 | ผลการตรวจสอบราคากลางและวงเงินอุดหนุนระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร | อก | 25/06/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการตรวจสอบราคากลางการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๓๔๙,๓๑๐,๐๙๑.๖๗ บาท ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งรัดให้บริษัท สหรัตนนคร จำกัด ในฐานะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท สหรัตนนคร จำกัด ดำเนินการจัดส่งแบบก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร พร้อมทั้งข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้าง เพื่อพิจารณาตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย ซึ่งต่อมาบริษัทฯ ได้จัดส่งแบบก่อสร้าง ข้อมูลรายละเอียดประกอบแบบก่อสร้างและเอกสารที่เกี่ยวข้องของระบบป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครให้กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตรวจสอบราคาในรายละเอียดก่อนการอนุมัติเบิกจ่าย โดยพิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมทางด้านราคาของแบบการก่อสร้างระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยในขั้นรายละเอียด พร้อมทั้งพิจารณาวงเงินอุดหนุนของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร โดยมอบหมายให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังคำนวณและตรวจสอบราคาแบบก่อสร้างทั้งหมดของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนครตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างประเภทงานชลประทานของกระทรวงการคลัง ๑.๒ วงเงินอุดหนุนการดำเนินโครงการปรับปรุงระบบเขื่อนป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร เป็นเงิน ๒๒๖,๐๓๐,๐๐๐.๐๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามวงเงินอุดหนุนเดิม โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการซึ่งน่าเชื่อถือและยอมรับได้ และได้พิจารณากำหนดเงินอุดหนุนของแต่ละนิคม โดยคำนวณจาก ๒ ใน ๓ ส่วนของราคากลาง ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ [ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕] ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเป็นการพิจารณาค่างานและวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างเพื่อขอรับการสนับสนุนให้กับนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร และไม่อยู่ในข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการดำเนินการในขั้นตอนการคำนวณราคากลางหลังจากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณและดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ต้องการนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้ ไปคำนวณขอตั้งราคาค่าก่อสร้างเพื่อกรณีดังกล่าว ก็สามารถนำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างนี้มาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องถือปฏิบัติตามนัยหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๓/ว ๓๑ ลงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๕ และด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๖/ว ๑๒๖ ลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๘ โดยจะเบิกเงินจากคลังได้ เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ หรือใกล้จะถึงกำหนดชำระ และตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินกู้ภายในวงเงินกู้ที่สำนักงบประมาณจัดสรรให้ เพื่อจ่ายให้แก่ภาคเอกชนในการดำเนินการตามโครงการดังกล่าว และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 351 | การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 18/06/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ (๒) ที่ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการเองได้เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว ในเรื่องการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. ลูกจ้างซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่คลอดบุตร และให้มีสิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน นายจ้างอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้ ๒. ลูกจ้างซึ่งลาไปช่วยเหลือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน แต่ถ้าเป็นการลาเมื่อพ้น ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรไม่ให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลา เว้นแต่ผู้บริหารสูงสุดเห็นสมควรจะให้จ่ายค่าจ้างระหว่างลานั้นก็ได้ แต่ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน |
||||||||||||||||||
| 352 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด | นร12 | 18/06/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๐๗/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน โดยให้ดำเนินการครอบคลุมส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายตุลาการ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||
| 353 | เร่งรัดการควบคุมและป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออก ปี 2556 | สธ | 18/06/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเร่งรัดการควบคุมและป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออก ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำทุกท้องถิ่นผู้นำชุมชนรับผิดชอบระดมสรรพกำลัง ในการทำให้ประชาชนทุกคนลุกขึ้นมากำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำทุกบ้านอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนสิงหาคม ในพื้นที่รับผิดชอบ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการกำชับให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่งกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารทุกสัปดาห์และเฝ้าระวังเด็กป่วยหากสงสัยไข้เลือดออกให้ประสานผู้เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมโรคให้ทันเวลา ๓. ให้กระทรวงคมนาคมขอความร่วมมือไปยังทุกสถานประกอบการให้มีการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคาร และที่พักทุกสัปดาห์ ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอความร่วมมือเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทเอาใจใส่ให้มีการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารและบริเวณโดยรอบของโรงแรม ๕. ให้กรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกช่องทางในการให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลบ้านเรือนและอาคารค้าขายไม่ให้มีลูกน้ำในภาชนะต่าง ๆ ๖. ให้ทุกกระทรวงรับผิดชอบการดำเนินงานตามบริบทของตนเอง
|
||||||||||||||||||
| 354 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยการจัดตั้งโครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการไทย - อินเดีย | กต | 28/05/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยการจัดตั้งโครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการไทย-อินเดีย (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of India on the Establishment of the Thailand-India Exchange Programme) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดียในระดับประชาชน ในด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การศึกษา วิชาการ และวัฒนธรรม ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการแลกเปลี่ยนทางวิชาการฯ จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณรายปี จำนวน ๑๗,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากไทยและอินเดียในสัดส่วนที่เท่ากัน ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตของแต่ละฝ่ายจะเป็นผู้บริหารงบประมาณและจัดกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศ รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจเร่งด่วนตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านการต่างประเทศ และค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
| 355 | การประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 | นร | 14/05/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ประเทศไทยได้เตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยการประชุม 2nd APWS ประกอบด้วย การประชุมระดับผู้นำ (Leader’s Forum) เป็นการหารือของผู้นำรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้นำองค์การระหว่างประเทศในหัวข้อภาวะผู้นำด้านน้ำ “Water Security and Water-Related Disaster Challenges : Leadership and Commitment” การประชุมผู้เชี่ยวชาญ (Focus Area Sessions) และกิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างความตระหนักด้านน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาค เสริมสร้างการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยได้เชิญผู้นำจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ๔๙ ประเทศ รวมทั้งรัฐมนตรี ผู้บริหารองค์การระหว่างประเทศ และผู้บริหารภาคเอกชนเข้าร่วมประชุมในเวทีที่เกี่ยวข้อง ๒. ในช่วงเวลาเดียวกับการประชุม 2nd APWS จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จึงขอให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเพิ่มเติมในคณะผู้แทนฝ่ายไทย และให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดเข้าร่วมพิธีการต้อนรับผู้นำจากประเทศต่าง ๆ การประชุม และงานเลี้ยงอาหารค่ำผู้เข้าร่วมการประชุม 2nd APWS รวมทั้งงานแสดงแสงสีเสียงเวียงกุมกาม และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดทำรายละเอียดกำหนดการและการมอบหมายรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศและรัฐมนตรีประจำผู้นำในการประชุมดังกล่าวส่งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนา ฟื้นฟู และอนุรักษ์โบราณสถานเวียงกุมกามให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่บริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
| 356 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... | นร09 | 30/04/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับย้อนหลัง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการนำร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ใช้บังคับร่างพระราชกฤษฎีกานี้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่ปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ๑.๓ กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ๑.๕ กำหนดสีประจำสาขาวิชา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. ....) อย่างเคร่งครัด โดยกำชับให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใด เมื่ออนุมัติหลักสูตรสาขาวิชาใดแล้วจะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
|
||||||||||||||||||
| 357 | ร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 23/04/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้กรรมการรัฐวิสาหกิจต้องไม่เป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้บริหารโดยการมอบหมายของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๒ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาการมีประโยชน์ได้เสียของกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ ๑.๓ แก้ไขเพิ่มเติมลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกของผู้บริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๔ กำหนดให้ผู้บริหารต้องไม่เป็นหรือภายในระยะเวลาสามปีก่อนวันได้รับแต่งตั้ง ไม่เคยเป็นกรรมการ หรือผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทาน ผู้ร่วมทุนหรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ หรือกรรมการในนิติบุคคลดังกล่าวโดยการมอบหมายของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้น ๑.๕ กำหนดให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจอาจใช้ดุลพินิจในการรับผู้มีลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับการต้องโทษจำคุกตามมาตรา ๙ (๕) เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจได้ ๑.๖ กำหนดยกเว้นการดำเนินกระบวนการสรรหาผู้บริหาร และแต่งตั้งกรรมการที่มาจากบุคคลในบัญชีรายชื่อ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีเหตุผลจำเป็นพิเศษที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดโดยให้การได้มาและการจ้างผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด ๑.๗ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรารักษาการ โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ ๒. ให้กระทรวงการคลังเสนอหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินกระบวนการสรรหาผู้บริหารและการจ้างผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่มีเหตุผลจำเป็นพิเศษที่ได้รับการยกเว้นตามร่างมาตรา ๑๐ ที่มีความชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังศึกษาและจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองที่จำเป็นเพื่อรองรับการประกาศใช้ควบคู่กับร่างพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ในระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้สามารถแต่งตั้งคณะทำงานต่าง ๆ หรือว่าจ้างที่ปรึกษาขึ้นเพื่อดำเนินการดังกล่าว |
||||||||||||||||||
| 358 | การประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 47 | ศธ | 23/04/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๗ (47th SEAMEO Council Conference : SEAMEC) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สรุปได้ ดังนี้
๑. Mr. Truong Tan Sang ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้กล่าวเปิดการประชุม โดยย้ำความสำคัญด้านภูมิศาสตร์และการเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตในการพัฒนาทวีปเอเชียและโลก โดยการศึกษาและการฝึกอบรมนับเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือที่สำคัญของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ ได้มีพิธีเชิญธงประจำชาติของสหราชอาณาจักรเข้าเป็นสมาชิกสมทบของซีมีโอ พิธีลงนามเอกสารข้อกฎหมายของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิตของซีมีโอ พิธีมอบโล่เกียรติยศด้านการศึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสมาชิกและผู้ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษา พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการ SEAMEO College ๒. H.E. Prof. Dr. Pham Vu Luan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและฝึกอบรมแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมคและประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๗ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาซีเมค และรองประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๗ ๓. การประชุมวาระเฉพาะ (In-Camera Sessions) รัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงของซีมีโอได้รับทราบการติดตามผลการดำเนินงานตามข้อมติสภาซีเมค ๒๕๕๕ การเสนองบประมาณดำเนินการของซีมีโอ ระยะ ๓ ปี การสมัครเข้าเป็นสมาชิกสมทบขององค์การซีมีโอของสหราชอาณาจักร ข้อเสนอแผนงานความร่วมมือระหว่างองค์การซีมีโอและอาเซียน แถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของซีมีโอ และการอนุมัติของสภาซีเมคเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ของซีมีโอเพื่อให้บรรลุภาพลักษณ์องค์กร “Golden SEAMEO” ๔. การประชุมเต็มคณะ (Plenary Sessions) ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าและการนำเสนอโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ การดำเนินความร่วมมือระหว่างซีมีโอกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับกลุ่มด้อยโอกาสในภูมิภาค ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการลงนามประกาศรับสหราชอาณาจักรเข้าเป็นประเทศสมาชิกสมทบของซีมีโอ และได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความร่วมมือของซีมีโอต่อการพัฒนาในระดับภูมิภาคกับประเทศสมาชิกซีมีโอ ทั้ง ๑๑ ประเทศ ๕. การประชุม Policy Forum หัวข้อ “Lifelong Learning : Policy and Vision” ได้มีการนำเสนอเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตในภูมิภาค โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรเดนมาร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งนี้ ศ.ดร. สุมาลี สังข์ศรี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชได้ร่วมเป็นวิทยากรนำเสนอเกี่ยวกับพัฒนาการของการเรียนรู้ตลอดชีวิต นโยบาย และข้อเสนอยุทธศาสตร์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในประเทศไทย ๖. การประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีศึกษา (Ministerial Round-table Meeting) ที่ประชุมได้เห็นพ้องร่วมกันในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษและประเด็นด้านการศึกษาภายหลังปี ๒๕๕๘ การเพิ่มกิจกรรมที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอจะดำเนินการ การจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานการดำเนินงานในการสำรวจสื่อการเรียนการสอนด้าน ICT และการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสื่อการเรียนการสอน การจัดให้มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและการจัดทำมาตรฐานศึกษาระหว่างประเทศสมาชิก และการจัดเวทีสำหรับผู้นำในประเทศ ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ได้มีการหารือทวิภาคีร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่า การจัดทำความตกลงในเรื่องการแลกเปลี่ยนครูของสองประเทศนั้น เป็นโอกาสที่ดีที่ครูจะได้รับประสบการณ์ในการทำงานในต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างกัน และคาดว่าจะสามารถจัดให้มีการลงนามภายใน ๑-๒ เดือนนี้ สำหรับเรื่องการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ฝ่ายไทยมีนโยบายส่งเสริมเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน รวมทั้งการปรับเปลี่ยนการเปิด-ปิดภาคเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายของนักเรียน/นักศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นว่าควรมีการพิจารณากำหนดประเภทวีซ่าสำหรับนักเรียนให้สอดคล้องในแต่ละหลักสูตรของการศึกษาด้วย ๘. ในปี ๒๕๕๘ ประเทศไทยได้รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘ แทนสาธารณรัฐสิงคโปร์ เนื่องจากรัฐบาลสิงคโปร์มีกำหนดจัดงานเฉลิมฉลองเอกราชครบ ๕๐ ปี ในปีเดียวกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยจะดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมค ระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ และทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๘
|
||||||||||||||||||
| 359 | การประชุมเจรจาความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารกับราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ | อก | 09/04/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเจรจาความร่วมมือการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารกับราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๗-๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้หารือกับ H.E. Mr.Henk Kamp, Ministry of Economic Affairs รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเศรษฐกิจของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ในประเด็นความร่วมมือด้านวิชาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารตามแนวทาง Food Valley ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และความร่วมมือในการจัดประชุมเชิงวิชาการสนับสนุนการวิจัยในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งมีกำหนดการจัดประชุมที่ประเทศไทยในราวเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ผลการหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเศรษฐกิจของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ยินดีสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร โดยให้ความร่วมมือสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจาก Food Valley ในการให้คำแนะนำแนวทางการบริหารจัดการ รวมทั้งการกำหนดรูปแบบและสนับสนุนการนำผลงานวิจัยเพื่อบริการภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารของไทย ๒. การหารือกับผู้บริหารมูลนิธิ Food Valley ในประเด็นความร่วมมือทางวิชาการ และความร่วมมือการจัดประชุมเชิงวิชาการสนับสนุนการวิจัยในอุตสาหกรรมอาหาร ในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ณ ประเทศไทย ผลการหารือ ผู้บริหาร Food Valley ได้ตอบรับให้ความร่วมมือในการส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาแนะนำในการพัฒนาและจัดตั้งระบบการบริหารจัดการ Thailand Food Valley ซึ่งจะช่วยให้เกิดการประสานงานความร่วมมือในลักษณะ Triple Helix ประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันวิจัย โดยจะจัดส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเริ่มให้คำแนะนำในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
| 360 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2555 (1 ตุลาคม 2554 - 30 กันยายน 2555) | สธ | 31/03/2556 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๔-๓๐ กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความครอบคลุมการมีหลักประกันสุขภาพ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ประชากรผู้มีสิทธิประกันสุขภาพทั้งประเทศ จำนวน ๖๔.๕๙ ล้านคน มีผู้มาลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๔.๕๓ ล้านคน โดยมีประชากรที่ยังไม่ลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๕,๑๑๓ คน ประชากรสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔๘.๖๒ ล้านคน ลงทะเบียนกับหน่วยบริการของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ ๙๐.๑๗ มีหน่วยบริการคู่สัญญา ๘๕๕ แห่ง รัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ ๕.๐๘ แห่ง หน่วยบริการคู่สัญญา ๘๓ แห่ง และเอกชน ร้อยละ ๔.๗๕ หน่วยบริการคู่สัญญา ๒๒๗ แห่ง ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่น ร้อยละ ๘๑.๓๐ ๒. การเข้าถึงบริการ โดยการใช้บริการทางการแพทย์เฉพาะผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกอบด้วย การใช้บริการผู้ป่วยนอก จำนวน ๑๖๓.๘๒ ล้านครั้ง อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๓.๓๗ ครั้ง/คน/ปี การใช้บริการผู้ป่วยใน จำนวน ๕.๖๐ ล้านครั้ง/๒๓.๐๙ ล้านวัน อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๐.๑๑๕ ครั้ง/คน/ปี ผู้รับบริการอุบัติเหตุฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายสูง จำนวน ๒,๒๑๕,๐๗๙ ราย และ ๓๘๘,๔๙๓ ราย การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ มีคนพิการในระบบหลักประกันฯ จดทะเบียน ๑,๐๗๔,๖๐๗ คน ได้รับบริการฟื้นฟูฯ ๔๑๐,๗๗๓ คน/๑,๔๔๙,๗๖๗ ครั้ง และได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ฯ ๔๕,๕๓๑ คน/๔๗,๘๓๙ ชิ้น การเข้าถึงยา มีผู้ป่วยเข้าถึงยาบัญชี จ (๒) เป็นรายการยาจำเป็นที่มีราคาสูงมาก จำนวน ๘,๓๗๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๕๔.๗๘ (เป้าหมาย ๕,๙๘๘ คน) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖๕.๕๓ จากปีที่ผ่านมา เป็นต้น ๓. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข หน่วยบริการที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) จำนวน ๑,๐๓๘ แห่ง ได้รับการรับรองคุณภาพ HA ร้อยละ ๓๘.๑๕ รับรองคุณภาพชั้น ๒ ร้อยละ ๔๕.๕๗ ๔. การคุ้มครองสิทธิ การให้บริการประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้มีสิทธิและผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพฯ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสอบถามข้อมูล ร้อยละ ๙๘.๒๗ เรื่องร้องเรียนได้รับการตอบสนองภายใน ๓๐ วันทำการ ร้อยละ ๙๗.๐๔ และเรื่องร้องทุกข์ดำเนินการแล้วเสร็จ ร้อยละ ๙๖.๙๕ ประสานหาเตียงผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ๔,๕๓๘ ราย จ่ายชดเชยกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการใช้บริการฯ (ตามมาตรา ๔๑) จำนวน ๘๓๔ ราย เป็นเงิน ๙๘.๕๘ ล้านบาท ด้านผู้ให้บริการได้รับชดเชย จำนวน ๕๑๑ ราย เป็นเงิน ๔.๕๐ ล้านบาท ๕. การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคี ด้านเครือข่ายองค์กรประชาชน มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ๔๓ แห่ง รับเรื่องร้องเรียน ๔๖๓ เรื่อง/เครือข่ายองค์กรคนพิการ ด้านการสนับสนุนการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีพื้นที่ดำเนินการ ๗,๗๑๘ แห่ง (ร้อยละ ๙๙.๒๕) ครอบคลุมประชากร ๕๖.๖๖ ล้านคน ด้านองค์กรวิชาชีพร่วมมือกับชมรมผู้บริหารการพยาบาล มีหน่วยบริการเข้าร่วมกิจกรรมมิตรภาพบำบัดมากกว่า ๓๕๐ แห่ง และร่วมมือกับสมาคมพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอกพัฒนาหน่วยบริการตติยภูมิ ๕๕ แห่ง ๖. การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีการเบิกจ่ายงบกองทุนฯ รวม ๑๐๗,๘๑๔,๑๑๒,๖๖๙ บาท (ร้อยละ ๙๙.๙๙ จากงบประมาณที่ได้รับ ๑๐๗,๘๑๔,๑๑๕,๔๐๐ บาท) ๗. โครงการริเริ่มหรือพัฒนาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าและปัญหาอุปสรรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนาโครงการที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในการเข้าถึงบริการได้ทั่วถึงเท่าเทียมมากขึ้น เช่น เพิ่มคุณภาพของระบบ “๓๐ บาทรักษาทุกโรค” การบูรณาการระบบบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน การปรับแก้หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ่ายเงินชดเชยเบื้องต้นตามมาตรา ๔๑ เป็นต้น |
||||||||||||||||||
.....
