ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 321 | ขอความเห็นชอบการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการขยายผลการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม | ศธ | 22/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายผลการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม และอนุมัติกรอบวงเงินสำหรับการดำเนินโครงการฯ รวม ๑,๓๐๐,๖๒๔,๗๖๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีรายการงบประมาณที่ต้องใช้ในการดำเนินการ ประกอบด้วย ๑.๑ การจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑,๑๙๙,๖๒๒,๐๐๐ บาท ๑.๒ การจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน ๒,๐๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๓ การอบรมผู้บริหารและครูปลายทาง จำนวน ๖๑,๒๔๒,๗๖๐ บาท ๑.๔ การประชาสัมพันธ์ จำนวน ๖,๖๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๕ การกำกับ นิเทศติดตาม และประเมินผล จำนวน ๓๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการฯ โดยยึดหลักความพร้อมและความจำเป็นในการปฏิบัติงานจริง โดยในส่วนของการจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องมีความครบถ้วนให้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอบรมผู้บริหารและครูปลายทาง การประชาสัมพันธ์ และการกำกับนิเทศติดตามและประเมินผล ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้จัดสรรงบประมาณไว้แล้วไปดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมในโอกาสแรกก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของครูโรงเรียนปลายทาง ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการจัดการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกล มีศักยภาพในการปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา การสร้างแรงจูงใจการเรียนรู้ของผู้เรียน การเป็นผู้ช่วยเหลือแนะแนวทางหรืออธิบายเพิ่มเติมประกอบการเรียนทางไกล รวมทั้งการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเองในการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีการศึกษาทางไกล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 322 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 22/07/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินมาตรการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตรที่จะทยอยออกตามฤดูกาล เช่น ลำไย อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ให้ความสำคัญในการดูแลราคาผลิตผลทางการเกษตรทุกชนิดอย่างทั่วถึง มิใช่ดูแลเฉพาะข้าวเท่านั้น ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานระบบประกันสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบสวัสดิการข้าราชการ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และระบบประกันสังคม เพื่อพิจารณาหาแนวทางบูรณาการทั้ง ๓ ระบบให้เกิดประสิทธิภาพและสามารถให้บริการสุขภาพแก่ข้าราชการและประชาชนทุกกลุ่มอย่างเหมาะสม ทั่วถึง และเป็นธรรม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการข้างต้น รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับการบริการสาธารณสุขของรัฐภายใต้นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าว่าประชาชนทุกคนสามารถได้รับบริการตามปกติเช่นเดิม และไม่มีการปรับลดเงินงบประมาณหรือปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การเข้ารับบริการใด ๆ ตามแนวทางของมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยารับไปพิจารณาความเหมาะสม ผลดี ผลเสียในกรณีที่มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการโดยปรับเปลี่ยนสถานภาพจากมหาวิทยาลัยของรัฐไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินการและความเป็นเลิศทางวิชาการ แต่ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาได้เกิดปัญหา เช่น เพิ่มภาระงบประมาณแผ่นดิน ค่าธรรมเนียมทางการศึกษาที่สูงขึ้น เป็นต้น ๓. ด้านแรงงาน ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายให้เปิดศูนย์การบริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จตามจังหวัดต่าง ๆ นั้น พบว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ช่วยบรรเทาผลกระทบทั้งต่อนายจ้างและแรงงานต่างด้าวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานมีขั้นตอนดำเนินการต่าง ๆ ที่ใช้ระยะเวลามาก เช่น การขอหนังสือเดินทางจากประเทศต้นทางเพื่อนำมาขอใบอนุญาตทำงาน จึงให้ฝ่ายความมั่นคงร่วมกับกระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางการผ่อนปรนเพื่อให้ขั้นตอนการออกใบอนุญาตทำงานแก่แรงงานต่างด้าวมีระยะเวลาที่เหมาะสมสามารถตอบสนองความต้องการใช้แรงงานในประเทศได้ ๔. ด้านอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมมาตรการดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนกรณีเกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ซึ่งอาจประสบภัยธรรมชาติที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เช่น ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมมีรายงานว่าจะมีพายุหลายลูกพัดผ่านประเทศไทย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดอุทกภัย และในขณะนี้มีข้อมูลว่าปริมาณน้ำในเขื่อนสำคัญ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ อยู่ในระดับต่ำ อาจนำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและภัยแล้งในระยะต่อไป จึงขอให้ติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถดำเนินมาตรการต่าง ๆ ได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับมาตรการรองรับแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนโดยเร็วด้วย ๔.๒ ให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงพิจารณาปรับปรุงพื้นที่ควบคุมผู้ลี้ภัยให้มีความเหมาะสม และให้สำนักงบประมาณประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เพื่อจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับการดูแลผู้ลี้ภัยในประเทศด้วย ๔.๓ ให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมในการแต่งตั้งคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อดูแลการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเป็นการเฉพาะด้วย ๔.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นแนวทางชั่วคราวที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารงานและให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง ๔.๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงบประมาณเตรียมจัดทำคำชี้แจงงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ต่อรัฐสภา โดยให้เน้นในเรื่องการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละภูมิภาคตามยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณแบบบูรณาการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศด้วย ๔.๖ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำร่างนโยบายรัฐบาล โดยประสานงานคณะกรรมการต่าง ๆ ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง เพื่อนำยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการมาประกอบในร่างนโยบายรัฐบาล โดยให้มีสาระครอบคลุมการดำเนินการในทุกด้าน เช่น เศรษฐกิจ (โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าการลงทุน การปรับปรุงและพัฒนารัฐวิสาหกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) แรงงาน การศึกษา สาธารณสุข พลังงาน โดยให้ครอบคลุมมิติของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นด้วย ๔.๗ ให้ฝ่ายความมั่นคงโดยกระทรวงการต่างประเทศจัดทำสรุปผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามแผนการจัดตั้งประชาคมอาเซียนว่าได้ดำเนินการเรื่องใดไปแล้วทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะต้องดำเนินการในเรื่องใดต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามกรอบเวลาของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 323 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 24/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๑.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจกับต่างประเทศในทุกช่องทางให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะต้องดำเนินการเข้าควบคุมการบริหารประเทศ ๑.๒ ให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการโดยยึดถือผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของชาติในเวทีโลกเป็นหลัก รวมทั้งให้พิจารณาถึงประเด็นทางความมั่นคงด้วย โดยประสานงานกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้มีการตรวจสอบและทบทวนการดำเนินการตามผลการประชุม/การเจรจาในครั้งที่ผ่านมาแล้ว เพื่อนำข้อมูล ปัญหา อุปสรรคมาใช้กำหนดท่าทีในการเจรจาข้อตกลง หรือการประชุมในครั้งต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ในกรอบของประกาศ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานของท้องถิ่น โดยประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำแผนงาน/โครงการให้ชัดเจน สอดคล้องกับนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๗ จะต้องอยู่ในกรอบนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ๓. กฎหมาย ๓.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวม กลั่นกรอง และจัดประเภทกฎหมายที่สมควรดำเนินการในระยะที่ ๑ ระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ ให้ชัดเจน ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการวบรวมกฎหมายสำคัญ ๆ เพื่อนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติพิจารณาในวาระแรก ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กฎหมายที่แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และกฎหมายที่เอื้อต่อการปฏิรูปการเมือง เป็นต้น สำหรับกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ให้ศึกษาในรายละเอียดโดยให้เปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณกำหนดขอบเขตของงานหรือประเภทงานที่เหมาะสมกับการดำเนินการประมูลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้เกิดประสิทธิภาพ รวดเร็ว เสนอต่อฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาก่อนเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๓.๔ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ โดยให้ยึดหลักความถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยให้หัวหน้าฝ่ายทุกฝ่ายดำเนินการตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๔. การประชาสัมพันธ์ ๔.๑ ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังในการสื่อสารและให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนและประชาชนโดยเฉพาะเรื่องต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือยังอยู่ในชั้นการพิจารณาที่ยังไม่เป็นที่ยุติหรือที่ต้องนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติก่อน และให้หัวหน้าส่วนราชการทั้งในระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีทำความเข้าใจในข้อสั่งการ นโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้ชัดเจนก่อนที่จะให้ข้อมูลใด ๆ แก่สาธารณชน ๔.๒ ให้คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ร่วมกันจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อชี้แจงผลการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในรอบ ๑ เดือน ให้ประชาชนและผู้สนใจทราบ ๔.๓ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจความพึงพอใจของประชาชนเกี่ยวกับผลงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในระยะเวลาที่ผ่านมา และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบโดยเร็ว ๔.๔ ให้หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ศูนย์บริการประชาชน) กำหนดแนวทางการรวมศูนย์การรับข้อร้องเรียนของประชาชน โดยรวบรวม กลั่นกรอง เสนอแนะแนวทางการแก้ไข ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม และรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๕. การดำเนินการข้อร้องเรียนและการทุจริต ๕.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงบประมาณตรวจสอบปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ และค่าตอบแทนที่พนักงานของมหาวิทยาลัยพึงจะได้รับตามสิทธิ แล้วรายงานให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๕.๒ ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตรวจสอบการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การออกใบประกอบกิจการโรงงาน (รง. ๔) เป็นต้น ๖. เรื่องอื่น ๆ ๖.๑ ให้ทุกหน่วยงานจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนให้สอดคล้องกับห้วงเวลาในการดำเนินงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ระยะ โดยจัดทำแผนการดำเนินการให้ชัดเจนว่า เรื่องใดต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน เรื่องใดสามารถดำเนินการในระยะที่ ๒ และระยะที่ ๓ ต่อไปได้ และให้จัดทำรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการเป็นประจำทุกวันตามนโยบายเชิงรุกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอต่อหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ เพื่อรวบรวมเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป ๖.๒ ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นองค์ประกอบเพิ่มเติมในการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๖.๓ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมกับฝ่ายมั่นคงและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สถานีวิทยุชุมชน ให้มีการดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเหมาะสมของการจัดตั้งสถานีต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ด้วย ๖.๔ ให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาดำเนินการกรณีข้าราชการที่เป็นสมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) โดยสมัครใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการที่จะเกษียณอายุราชการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และข้าราชการบำนาญที่จะกลับไปเลือกรับบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการฉบับเดิม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติในสัปดาห์ต่อไป ๖.๕ ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงและส่วนงานรักษาความสงบเรียบร้อยหาแนวทางในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ ให้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง อันส่งผลในเชิงลบต่อการดำเนินการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 324 | การดำเนินการของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม | สลธ.คสช. | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๑.๑ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นมี ๒ กรณี คือ กรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง และกรณีแทนตำแหน่งที่ว่าง เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเฉพาะกรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง แต่เนื่องจากประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ กำหนดให้ห้ามมิให้มั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใด ๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป เป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ ดังนั้น ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมร่วมหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งหามาตรการเพื่อสนับสนุนให้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นมีความโปร่งใส ยุติธรรม และไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงด้วย ๑.๒ การปรับปรุงกฎหมาย ได้แบ่งกลุ่มกฎหมายออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๑.๒.๑ กลุ่มกฎหมายองค์กรอิสระ ๑.๒.๒ กลุ่มกฎหมายของกระทรวง กรม ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ ประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กฎหมายที่ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา กฎหมายที่ให้คณะรัฐบาลชุดใหม่พิจารณา และกฎกระทรวง ในชั้นนี้ กฎกระทรวงสามารถดำเนินการต่อไปได้ จึงขอให้ส่วนราชการต่าง ๆ รวบรวมกฎกระทรวงที่อยู่ในความรับผิดชอบ และส่งให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อจัดประเภทกฎกระทรวงที่ควรเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในระยะที่ ๑ ต่อไป ๒. ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไปรวบรวมกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวกับการค้า เศรษฐกิจ ที่ล้าสมัย หรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน และหากไม่สามารถเสนอกฎหมายได้ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้พิจารณาดำเนินการออกเป็นมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคเบื้องต้นด้วย หรือให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ หรือระยะที่ ๓ เมื่อมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมให้ไปดำเนินการในระยะที่ ๒ โดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 325 | การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง กระทรวงยุติธรรม | ยธ | 17/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นว่า
๑. เพื่อให้การพัฒนางานด้านนิติวิทยาศาสตร์และแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกระทรวงยุติธรรมมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ตลอดจนสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการกำหนดนโยบายระดับชาติ รวมทั้งเป็นการปรับย้ายหมุนเวียนบุคลากรภายในของกระทรวงยุติธรรม จึงมีมติ ๑.๑ ให้ พันโท เอนก ยมจินดา ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาปฏิบัติหน้าที่ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม โดยให้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน ๑.๒ ให้ คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมมาปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดยให้รับเงินเดือนทางสังกัดเดิมไปพลางก่อน ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีมติ (๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗) เป็นต้นไป ๒. ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ อนุมัติโอนนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป และอนุมัติแต่งตั้งนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงแล้วนั้น โดยที่การสับเปลี่ยนหน้าที่ ย้าย หรือโอนข้าราชการพลเรือนสามัญ (นักบริหารระดับสูง) ที่ปฏิบัติหน้าที่เดียวกันครบ ๔ ปีแล้ว ให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่นจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันครบกำหนด ซึ่งกรณีของนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ จะครบกำหนดในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของกระทรวงยุติธรรมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีมติ ๒.๑ ให้นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปช่วยราชการในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 326 | การพิจารณาให้ความเห็นชอบการสับเปลี่ยนหน้าที่ ย้ายหรือโอนของนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (กระทรวงยุติธรรม) (แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)) | สลธ.คสช. | 10/06/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติโอนนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้กำหนดชื่อตำแหน่งในสายงานตามตัวบุคคลผู้ได้รับการแต่งตั้ง และยังคงดำรงตำแหน่งในสายงานเดิม รวมทั้งให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์อื่นตามที่ได้รับอยู่เดิม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ทั้งนี้ เป็นไปตามความประสงค์ของนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 327 | การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง (สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ) (ศาสตราจารย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ) | วช | 22/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่อระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของศาสตราจารย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ต่อไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเสนอ และให้มีผลดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๑ (๑) แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 328 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2557 | มท | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๑๗๔ ครั้ง (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ เกิด ๓,๑๖๔ ครั้ง) เพิ่มขึ้น ๑๐ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๐.๓๒ มีผู้เสียชีวิต ๓๖๗ ราย (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ผู้เสียชีวิต ๓๖๖ ราย) เพิ่มขึ้น ๑ ราย คิดเป็นร้อยละ ๐.๒๗ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๔๔ คน (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๒๙ คน) เพิ่มขึ้น ๑๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๐.๔๕ และเกิดอุบัติเหตุใหญ่ ๓๑ ครั้ง (ช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ เกิด ๓๙ ครั้ง) ลดลง ๘ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๕๑ ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ ได้แก่ ด้านบุคลากร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีบุคคลในการปฏิบัติงานไม่เพียงพอ ด้านงบประมาณ หน่วยงานที่รับผิดชอบได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ด้านเครื่องมืออุปกรณ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายมีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานไม่เพียงพอ มีสภาพชำรุดและไม่พร้อมในการใช้งาน และด้านการบริหารจัดการ ผู้บริหารบางหน่วยงานไม่ได้ให้ความสำคัญในการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเท่าที่ควรทำให้การบริหารจัดการขาดประสิทธิภาพ ๑.๓ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การบูรณาการบุคลากรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการดำเนินงาน และกำหนดบทบาทหน้าที่ในการดำเนินงานให้มีความชัดเจน การนำข้อมูลสถิติการดำเนินงานช่วงเทศกาล ๓ ปีย้อนหลังมาวิเคราะห์สาเหตุ ปัญหาอุปสรรค และแนวทางมาตรการดำเนินงานให้มีความชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการขอจัดสรรงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ในการปฏิบัติงานให้เพียงพอ และซ่อมแซมเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ชำรุดให้มีความพร้อมในการใช้งาน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับผู้บริหารทุกระดับ ทั้งระดับส่วนกลาง ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น สร้างความเข้าใจและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและผลกระทบที่เกิดจากปัญหาอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ผู้บริหารได้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มากขึ้น ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้สายด่วน ๑๙๑ เป็นศูนย์กลางในการรับแจ้งอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๗ และให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 329 | การจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | สผ | 11/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เลขานุการคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาเสนอ ดังนี้
๑. หลักการและแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยได้ปรับกรอบเงินรางวัลของผู้บริหารให้ลดลง และปรับกรอบเงินรางวัลของผู้ปฏิบัติให้มากกว่าเดิม เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการประเมินการปฏิบัติราชการของแต่ละคนและให้กับผู้ปฏิบัติที่มีความร่วมมือในการสร้างผลงานให้ส่วนราชการ รวมทั้งผู้ที่มีความทุ่มเทและมีผลงานให้ส่วนราชการ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการจัดสรรเงินรางวัลของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะการกำหนดสัดส่วนน้ำหนักของจ่ายเงินรางวัลสำหรับผู้บริหารให้ลดลงร้อยละ ๑๐ โดยผู้บริหารได้รับการจัดสรรเงินรางวัลร้อยละ ๓๐ (จากเดิมร้อยละ ๔๐) ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ ๗๐ นำไปสมทบให้ผู้ปฏิบัติโดยในส่วนของงบประมาณค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการดังกล่าว ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาใช้เงินเหลือจ่ายที่ส่วนราชการต้นสังกัดรัฐสภาได้ดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่ายอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่มีหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระและมีงบประมาณเพียงพอสำหรับชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาการปรับราคาได้ (ค่า K) ๒. การเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สผ.) และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) ได้รับอนุมัติให้กันเงินงบประมาณเหลือจ่ายเป็นค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการฯ โดย สผ. กันเงินไว้ จำนวน ๑๖,๖๖๒,๙๐๐ บาท และ สว. กันเงินไว้ จำนวน ๙,๓๗๓,๐๒๐ บาท เพื่อเบิกเงินตอบแทนพิเศษ โดยกรมบัญชีกลางได้แจ้งไปยังส่วนราชการอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน สามารถขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 330 | รายงานสรุปผลการหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน | กก | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมคณะ ได้เดินทางไปร่วมงาน China International Travel Mart (CITM 2013) ในวันที่ ๒๓-๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นงานส่งเสริมการขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งได้พบปะหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อส่งเสริมแนวทางด้านการท่องเที่ยวร่วมกัน สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเข้าพบปะหารือกับ Mr. Li Ji Heng ผู้ว่าการมณฑลยูนนาน เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ มณฑลยูนนานมีนโยบายสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศไทย (เส้นทาง เชียงรุ้ง-ลาว-เชียงราย-พม่า) โดยขอให้รัฐบาลไทยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านเส้นทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๔ ณ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่กำหนดเปิดให้บริการเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ รัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ด้านการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ โดยจะจัดการอบรมให้แก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้รับทราบและปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ๑.๓ รัฐบาลไทยมีนโยบายในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เช่น การจัดทำเอกสารคู่มือท่องเที่ยวภาษาจีน การจัดทำป้ายบอกทางภาษาจีน การออกใบขับขี่สากลชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน รวมถึงนโยบายด้านการประกันอุบัติเหตุแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน ๒. ผลการเข้าพบหารือกับ Mr. Shao Qi Wei, Chairman of China National Tourism (CNTA) เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ รัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนเห็นพ้องกันในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-จีน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒.๒ รัฐบาลไทยได้มีการจัดตั้งศาลท่องเที่ยวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่มีคดีความให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีการเปิดศาลท่องเที่ยวแห่งแรกที่เมืองพัทยา และมีกำหนดเปิดในจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต และเกาะสมุยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 331 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู | นร04 | 11/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายโอยันตา อุมาลา ตัสโซ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๔-๖ ตุลาคม ๒๕๕๖ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องสำหรับการลงนามความตกลงการค้าเสรีไทย-เปรู ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กับสถาบันพลังงานนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับฝ่ายเปรู ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐเปรู อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับฝ่ายเปรูเรื่องโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันให้มีการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุนเอกชนแห่งสาธารณรัฐเปรูเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการส่งเสริมการลงทุนในระดับทวิภาคี อย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาแผนการลงทุนของฝ่ายเปรูโดยเฉพาะในสาขาการก่อสร้างและพลังงาน ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามให้มีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตจำนงที่จะมีความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างเอกอัครราชทูตเปรูประจำประเทศไทยกับผู้บริหารระดับสูงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือกับฝ่ายเปรูเรื่องทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทย และการส่งอาจารย์ชาวเปรูมาสอนภาษาสเปนที่มหาวิทยาลัยในประเทศไทย ๖. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดให้มีเที่ยวบินตรงระหว่างไทยกับเปรู ๗. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงสุขภาพ ๘. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการความร่วมมือด้านสวัสดิการสังคมกับฝ่ายเปรูโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ๙. ให้กระทรวงการต่างประเทศผลักดันให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเปรูว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาคดีอาญา อย่างเป็นรูปธรรม |
|||||||||||||||||||||||||||
| 332 | รายงานผลการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิ์ข้างเคียงระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี | พณ | 21/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี [Memorandum of Understanding on the co-operation in the field of Copyright and Neighboring Rights between The Department of Intellectual Property (Ministry of Commerce Thailand) and The Korea Copyright Office Ministry of Culture Sports and Tourism of Republic of Korea] กับอธิบดีสำนักงานลิขสิทธิ์เกาหลี เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา โดยลงนามร่วมกันในต้นฉบับภาษาอังกฤษ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันลงนาม และทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนเอกสารการลงนามครบถ้วนแล้วในวันเดียวกัน ๒. บันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการคุ้มครองลิขสิทธิ์และป้องปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ ตลอดจนส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศผ่านการหารือแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมความร่วมมือด้านต่าง ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล การจัดการประชุมหารือระดับอธิบดีหรือระดับผู้บริหารชั้นสูงและระดับเจ้าหน้าที่ การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานด้านลิขสิทธิ์ เป็นต้น มีผลเป็นระยะเวลา ๓ ปี นับจากวันที่ลงนาม และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติ เว้นแต่จะมีผู้เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกความร่วมมือฉบับนี้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย ๖ เดือน ก่อนบันทึกความเข้าใจฯ จะมีกำหนดสิ้นสุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 333 | รายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 12/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง รายงานผลการให้บริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) เกี่ยวกับการปรับปรุงการให้บริการรถโดยสารประจำทางรายสายขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2008 มาใช้ในทุกสายการเดินรถ ปัจจุบัน ขสมก. ได้รับใบรับรองคุณภาพ ISO 9001 : 2008 จากสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) ทุกสายเดินรถ ๒. การดำเนินการตามโครงการขันน็อตของกระทรวงคมนาคม ๒.๑ โครงการซ้ายตลอดจอดทุกป้าย สร้างวินัยจราจร วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ลดจำนวนเรื่องร้องเรียน และการกระทำผิดกฎหมายจราจรของพนักงานขับรถโดยสาร ๒.๒ โครงการบริการดีมีน้ำใจ สร้างความพึงพอใจให้ประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการบริการของพนักงานเก็บค่าโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพ กล่าวคำ “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๓ โครงการสายตรวจลดอุบัติเหตุ เป็นมิตรกับประชาชน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร โดยการใช้วาจาสุภาพกล่าวคำว่า “สวัสดี” “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” ตามโอกาสขณะปฏิบัติหน้าที่ ๒.๔ โครงการรักษ์ท่า รักษ์สะอาด รักษ์ความปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงท่าปล่อยรถทุกสายให้อยู่ในสภาพดี สะอาด เป็นระเบียบ ปลอดภัย จำนวน ๑๓๖ ท่า และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดและปลอดภัยตามคู่มือระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2008 ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน ๒.๕ โครงการสร้างวินัยจราจร สร้างความปลอดภัยที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง วัตถุประสงค์เพื่อกำหนดป้ายรถโดยสารประจำทางที่มีผู้ใช้บริการมากในแต่ละถนน โดย ขสมก. ได้จัดผู้บริหาร พนักงานตรวจการ นายตรวจ และเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานให้บริการประชาสัมพันธ์ตามป้ายที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ตามถนนสายหลัก สายรอง และป้ายรถโดยสารประจำทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะขึ้น-ลง และรอรถโดยสารประจำทาง ๒.๖ โครงการบริการดี ขับขี่ปลอดภัยไปกับรถเมล์ฟรี วัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจในการใช้บริการรถเมล์ฟรี เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์การ และหันมาใช้บริการรถโดยสารประจำทางเพิ่มขึ้น ๒.๗ โครงการนายท่า IT วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับนายท่าจัดทำข้อมูลในการบริหารการเดินรถ ระบบปล่อยรถ รวมทั้งลดขั้นตอนและเวลาการทำงานของพนักงานในกลุ่มของนายท่าและพนักงานจัดทำสารสนเทศด้านการเดินรถ ๓. การปรับปรุงการปล่อยรถโดยสารประจำทางทุกช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขสมก. ได้จัดทำแผนการปล่อยรถโดยสารประจำทางรายสายจำแนกตามเขตการเดินรถที่ ๑-๘ และได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ให้ ขสมก. นำรถออกวิ่งในช่วงเวลา ๑๖.๐๐-๒๐.๐๐ น. ให้ครบร้อยละ ๑๐๐ ของทุกสายการเดินรถ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนในช่วงเย็น ๔. การกำกับดูแลบริษัทเหมาซ่อมรถโดยสารดำเนินการซ่อมบำรุงรถโดยสารประจำทางให้มีสภาพมั่นคงแข็งแรงและสามารถออกวิ่งให้บริการมากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 334 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจ อิระวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ 1 | กก | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๑ จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ ๑ จัดคู่ขนานกับงานแสดงนิทรรศการท่องเที่ยว ITE HCMC 2013 ภายใต้หัวข้อ “๕ ประเทศ ๑ จุดหมายปลายทาง” (5 Countries one destination) เป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS Summit) ครั้งที่ ๕ โดยมีรัฐมนตรีท่องเที่ยวจากประเทศสมาชิกทั้ง ๕ ประกอบด้วย ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าร่วมการประชุม ๒. รัฐมนตรีท่องเที่ยวทั้ง ๕ ประเทศพึงพอใจต่อจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เดินทางท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคในปี ๒๕๕๕ และตั้งเป้าหมายให้จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวในอัตรา ๑ เท่าตัวทุก ๆ ปี โดยที่ประชุมให้ความสำคัญต่อการใช้ ACMECS Single visa ว่า จะเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง และได้แสดงความยินดีต่อราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาในการนำ ACMECS Single visa มาใช้และขอทราบผลการดำเนินงาน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการส่งเสริมการเชื่อมโยงสินค้าท่องเที่ยวที่มีอยู่ ทั้งเส้นทางบก (รวมทั้งทางรถไฟ) ทางอากาศ และทางน้ำ และให้พัฒนาการท่องเที่ยวเส้นทางใหม่ คือ พุกาม-เชียงใหม่-หลวงพระบาง-เวียงจันทน์-เสียมราฐ-เว้ ให้มีการส่งเสริมการตลาดร่วมกัน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกัน และส่งเสริมให้มีมาตรฐานความปลอดภัยนักท่องเที่ยว รวมทั้งสนับสนุนให้มีการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน ๔. ที่ประชุมรับรองแผนปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวกรอบ ACMECS 2013-2015 ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง การเชื่อมโยงสินค้าท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และมาตรฐานการบริการ และการจัดตั้งกลไกดำเนินการเพื่อให้ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวบังเกิดผลเป็นรูปธรรม ๕. ที่ประชุมมีมติให้จัดการประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ทุก ๒ ปี โดยประเทศที่เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยว และจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสจัดคู่ขนานกับการประชุมรัฐมนตรี สำหรับการประชุมคณะทำงานด้านการท่องเที่ยวจัดเป็นประจำทุกปี โดยจัดคู่ขนานกับการประชุม GMS หรือ ASEAN ทั้งนี้ การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ ๒ จะจัดขึ้นในปี ๒๕๕๘ โดยสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เป็นเจ้าภาพ ๖. ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือระดับทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กีฬา และท่องเที่ยว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Mr. Hoang Tuan Anh) ในเรื่องการแลกเปลี่ยนกิจกรรมทางวัฒนธรรมระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย และการจัดทำความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและด้านกีฬา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 335 | มาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2557 - 2561) | นร | 15/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่ คปร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย มาตรการบริหารจัดการอัตรากำลังปกติ มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ และแนวทางการนำมาตรการดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ ให้ คปร. สำนักงาน ก.พ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ร่วมกับส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการนำมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ๒. ให้ คปร. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรอัตรากำลังคืนให้กับส่วนราชการที่มีภารกิจตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ประเทศ และมีภารกิจเพิ่มขึ้น การจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการคืนทั้งหมดเพื่อรองรับกับภารกิจของหน่วยงานในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น การพัฒนาข้าราชการร้อยละ ๑๐๐ ให้มีความรู้ความสามารถทักษะและสมรรถนะตามแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนควรมีการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับการพัฒนา และในการดำเนินมาตรการบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐฯ ควรครอบคลุมพนักงานมหาวิทยาลัยในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เช่นเดียวกับข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างประจำ การทำความเข้าใจกับผู้บริหารและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนราชการในราชการบริหารฝ่ายพลเรือนให้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการดำเนินการ การพัฒนาเครื่องมือ กลไก หรือคู่มือการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม การให้ความสำคัญกับการวางกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณาเพิ่มอัตราตั้งใหม่ให้เหมาะสมกับฐานะการคลังของประเทศในระยะยาวเพื่อให้มีความยั่งยืนและคุ้มค่าด้านบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ การวางระบบหรือกลไกที่สามารถบริหารและพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น การขยายขอบเขตการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมกำลังคนภาครัฐทุกประเภท (ทั้งในฝ่ายพลเรือนและทหาร) รวมทั้งการจัดทำแนวทางในการส่งเสริมและ/หรือมาตรการสร้างแรงจูงใจอย่างชัดเจน เพื่อให้การถ่ายโอนบุคลากรไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ คปร. และสำนักงาน ก.พ. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.๑ เนื่องจากแนวทางการบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐทั้งระบบทั้งที่สังกัดหน่วยงานภายใต้ฝ่ายบริหารและสังกัดองค์กรต่าง ๆ ที่มิได้อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหารยังมีความเหลื่อมล้ำ และไม่ได้มีการบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการบูรณาการในเรื่องดังกล่าวอย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม ควรให้ คปร. รับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริหารและการพัฒนากำลังคนภาครัฐเพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๓.๒ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการ ควรคำนึงถึงการเสริมสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถได้มีโอกาสแสดงศักยภาพและได้รับการยอมรับ รวมทั้งควรมีการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้มีศักยภาพที่หลากหลายมากขึ้น (Multi Skill) ทั้งนี้ ในกระบวนการสรรหาและพัฒนากำลังคนในภาคราชการควรมีการพิจารณาปรับปรุง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา เพื่อให้ได้กำลังคนที่มีทักษะ สมรรถนะ และทัศนคติที่เหมาะสมและมีใจรักในงานบริการ เพื่อให้สอดคล้องและรองรับการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแนวใหม่ ควรให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การสรรหากำลังคนเข้าสู่ระบบราชการให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||
| 336 | ขออนุมัติหลักการเพื่อปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่นๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงานให้เทียบเท่าการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ | ศธ | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการเพื่อปรับอัตราค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงาน ให้เทียบเท่าการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อรองรับการปรับดำเนินการดังกล่าวแล้ว จำนวน ๓,๓๐๐.๘๒๐๘ ล้านบาท ๑.๒ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีเจ้าหน้าที่/ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างรายวัน/รายเดือน ในลักษณะจ้างเหมา ประเมินถึงความเหมาะสมและความจำเป็นของจำนวนลูกจ้างให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และเสนอให้คณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด พิจารณาความเหมาะสมในภาพรวม โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน และภาระงบประมาณในระยะยาว ๒. ให้ปรับเพิ่มค่าจ้างสำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการภารโรง และบุคลากรอื่น ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จ้างด้วยงบดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ซึ่งสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้แล้ว จำนวน ๓,๓๐๐.๘๒๐๘ ล้านบาท เพื่อรองรับการปรับเพิ่มค่าจ้างดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดมาตรการในการกระจายครูให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่และจำนวนนักเรียนอย่างจริงจัง สำหรับกลุ่มลูกจ้างรายเดือนที่ปฏิบัติงานตามโครงการหรืองานที่มีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแน่นอน เช่น โครงการคืนครูให้นักเรียน โครงการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา เป็นต้น ควรปรับแผนการจ้างลูกจ้าง/บุคลากรให้สอดคล้องกับงบดำเนินงานตามที่ได้รับจัดสรรจนสิ้นสุดโครงการ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 337 | รายงานผลการจัดงานเสวนา "กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน - หนุนการสร้างงาน" พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการจัดงานเสวนา “กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน-หนุนการสร้างงาน” ของพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ ณ โรงแรม ซี เอส จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และนอกพื้นที่ (จังหวัดสงขลาและสตูล) ประมาณ ๕๐๐ คน รวมทั้งกงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ด้วย สรุปผลการจัดงานเสวนาฯ ดังนี้
๑. ผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกันให้ข้อมูลประเภทอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักลงทุน นำเสนอสิทธิประโยชน์พิเศษ และโครงการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในพื้นที่ให้ได้รับทราบและเข้าใจ ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานีและสตูล หอการค้าจังหวัดปัตตานี ตลอดจนผู้ประกอบการจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนและการประกอบการอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับ ๔ จังหวัดภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนในจังหวัดสตูลและ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลาแทนที่จะลงทุนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ๒.๒ ขอรับการสนับสนุนจากรัฐให้สร้างโรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นโรงงานต้นแบบ (เนื่องจากไม่มีเอกชนลงทุน) เช่น โรงหีบน้ำมันปาล์มในจังหวัดนราธิวาส ๒.๓ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเมื่อครบกำหนดการยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว ขอให้สามารถนำเงินภาษีที่ต้องชำระ (เช่น ปีที่ ๙ หลังจากครบกำหนด ๘ ปี) มาลงทุนเพิ่มได้ ๒.๔ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเดิมซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมีโครงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแล้วหลายโครงการ เช่น สนับสนุนการพัฒนาการแปรรูปอาหาร-บรรจุภัณฑ์/ออกแบบแฟชั่นมุสลิม/อุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ในการเปลี่ยนเครื่องจักร/ผู้ประกอบการสามารถรวมกลุ่มขอรับเงินอุดหนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๓. ประเด็นที่ผู้ประกอบการร้องขอ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่แบบครบวงจร (One stop service) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างยากลำบาก โครงการในพื้นที่มักไม่ได้รับการอนุมัติ การขออนุญาตตั้งโรงงานในกรณีขัดผังเมืองรวม การสนับสนุนการตลาด การแสดงสินค้า โดยเฉพาะตลาดเพื่อส่งออกต่างประเทศและการค้าชายแดน รวมทั้งการขอปะการังเทียมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงานแปรรูปอาหาร ๔. กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เสนอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้และความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียเผยแพร่ให้นักธุรกิจมาเลเซียได้รับทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 338 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัย ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ และอุทัยธานี | นร | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามสถานการณ์อุทกภัย ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์ และอุทัยธานี เมื่อวันที่ ๒๘-๒๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เดินทางไปกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ณ ตำบลบ้านโพ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่และมอบนโยบาย เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๖ โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอบางปะอิน และนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโพ สรุปได้ว่า พื้นที่ตำบลบ้านโพเป็นพื้นที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ได้เกิดฝนตกหนักทำให้น้ำล้นตลิ่ง ส่งผลให้ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบน้ำล้นตลิ่งทั้งหมด ๗๙๔ ครัวเรือน โดยองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านโพได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อาทิ การสร้างคันกั้นน้ำใต้สะพานดำ สนับสนุนเรือซึ่งจัดซื้อโดยโครงการ SML สนับสนุนไม้เพื่อก่อสร้างสะพาน และหนุนเก็บของ สนับสนุนสุขาลอยน้ำ สนับสนุนหินคลุกเพื่อให้ประชาชนได้สัญจรได้อย่างสะดวก และสนับสนุนเต็นท์พักพิง เป็นต้น ในการนี้ ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเกิดสถานการณ์อุทกภัย ๒. จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ประสบภัย ๑๒ อำเภอ ๔๓ ตำบล ๓๐๓ หมู่บ้าน ๒ เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ ๑๗,๖๖๕ ครัวเรือน ๕๘,๒๖๙ คน พื้นที่ทางการเกษตร ๗๔,๗๕๘ ไร่ บ่อปลา/กบ ๑๗ บ่อ ท่อระบายน้ำ ๓๑ แห่ง คอสะพาน ๕ แห่ง ฝาย ๓ แห่ง คันคลอง/คันเมือง ๒๗ จุด ปัจจุบันสถานการณ์ได้ยุติลงแล้ว ๗ อำเภอ ยังคงมีสถานการณ์ (พื้นที่ถูกน้ำท่วมขังอยู่) ๕ อำเภอ ๑๒ ตำบล ๘๔ หมู่บ้าน ราษฎร ๒,๐๖๑ ครัวเรือน ๖,๓๔๙ คน ๓. จังหวัดอุทัยธานี ปัจจุบันพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีประสบปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ทำให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน และพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย เนื่องจากมีฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ซึ่งจังหวัดได้ประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉินแล้ว จำนวน ๘ อำเภอ ๖๔ ตำบล ๔๓๕ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขังบ้านเรือน ๒,๕๖๓ หลังคาเรือน ๗,๖๘๙ คน ถนนเสียหาย ๒๐๕ สาย คอสะพาน ๕ แห่ง ฝาย ๓ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๓๕ แห่ง คันคลอง ๑๒ แห่ง คันเหมือง ๑๖ แห่ง และพื้นที่ทางการเกษตรประสบภัยทั้งสิ้น ๕๘,๖๙๔ ไร่ คาดว่าจะเสียหาย ๓๗,๘๗๑ ไร่ แบ่งเป็น นาข้าว ๓๒,๕๒๔ ไร่ พืชไร่ ๕,๓๐๓ ไร่ พืชสวนและอื่น ๆ ๔๔ ไร่
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 339 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา (การจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา) | นร12 | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑,๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ส่วนกรณีการให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีเงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันไว้เบิกเหลื่อมปี สามารถโอนเปลี่ยนแปลงรายการเงินงบประมาณเหลือจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปตั้งจ่ายในงบบุคลากร รายการเงินรางวัลสำหรับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานที่มีผลการปฏิบัติงานดี เพื่อเบิกจ่ายเป็นเงินรางวัลสำหรับผลการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 340 | โครงการลงทุนจัดตั้งสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 24/09/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการลงทุนจัดตั้งสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ วงเงิน ๑,๘๐๐ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคม บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างความแตกต่างระหว่างสายการบินไทยและสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ในรูปแบบและคุณภาพบริการให้โดดเด่น ชัดเจน ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ทางการตลาด และการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และพิจารณานำระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในการให้บริการบนเครื่องบิน เพื่อให้ผู้ใช้บริการเห็นภาพลักษณ์ความแตกต่างในเรื่องคุณภาพการให้บริการและราคาที่คุ้มค่าของสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ที่เป็นสายการบินภูมิภาค กับสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Carriers) และสายการบินราคาประหยัด (Low Cost Carriers) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้จัดตั้งบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด โดยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ ๑๐๐ เป็นหุ้นสามัญ จำนวน ๑๘๐ ล้านหุ้น (หุ้นละ ๑๐ บาท) และใช้เงินลงทุนจากแหล่งเงินที่มาจากเงินรายได้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๑.๓ ให้บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำหลักเกณฑ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรี ในหลักการเดียวกันกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม [บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)] รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าโครงสร้างคณะกรรมการบริหารบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ควรมีผู้แทนจากคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะกรรมการบริหารทั้งหมด และให้บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำหลักเกณฑ์ คำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีมาปฏิบัติในหลักการเดียวกันกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยยังคงต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๑ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปเป็นเงื่อนไขประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.๑ การกำหนดตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ต้องมีความชัดเจน เหมาะสม ไม่ขัดแย้งกับบริการของสายการบินไทยและมีอัตราค่าบริการที่สามารถแข่งขันกับสายการบินคู่แข่งในตลาด ๓.๒ การบริหารจัดการทรัพยากรและบุคลากรของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ต้องยึดหลักประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของการดำเนินการโดยต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า กิจกรรม/ภารกิจใดที่สมควรใช้ร่วมกันหรือแยกต่างหากจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือใช้วิธีการจัดจ้างจากภายนอก (Outsource) ทั้งนี้ กิจกรรม/ภารกิจใดที่มีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วและมีอัตราค่าบริการที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดอยู่แล้ว ก็ควรพิจารณาใช้บริการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ๓.๓ การกำหนดเส้นทางบินของบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ควรเน้นการให้บริการผู้โดยสารที่เดินทางแบบจุดต่อจุด (Point to Point) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเมืองหลักทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ทั้งนี้ ควรบูรณาการเส้นทางบินกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนและแย่งผู้โดยสารกันเองด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
