ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 241 | ผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียในส่วนของภาคเอกชนที่ร่วมเดินทางกับกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 14/06/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการร่วมเดินทางไปเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมกับคณะรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ และนำภาคเอกชนไทยรายใหญ่รวม ๒๗ ราย ร่วมเดินทาง มีผลการเยือนสรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมเจรจาธุรกิจและสร้างเครือข่ายกับหอการค้าและอุตสาหกรรม นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นักธุรกิจสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาพรวมเศรษฐกิจ โอกาสทางการค้า การลงทุน การทำธุรกิจ ระหว่างไทยและรัสเซีย พร้อมทั้งได้มีกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจ Business Networking ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ทราบถึงโอกาสและลู่ทางการลงทุนในรัสเซียและไทย รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักธุรกิจ ๒. การเยี่ยมชมกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยในห้างสรรพสินค้า LENTA โดยห้างฯ สนใจนำเข้าสินค้า ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู ปลาทูน่า และน้ำตาล จากไทย และผู้บริหารห้างฯ กำหนดเดินทางเยือนงานแสดงสินค้า THAIFEX 2016 ที่ประเทศไทย เพื่อคัดสรรสินค้าเพิ่มเติมสำหรับนำไปจำหน่ายระหว่างการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าในห้างฯ กว่า ๑๔๐ สาขาทั่วประเทศ ประมาณระหว่างเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ๓. การเจรจาธุรกิจกับตัวแทนบริษัท Sistema ซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจครอบคลุม ๑๒ สาขา เช่น โทรคมนาคม บริการสุขภาพ ธุรกิจท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเกษตรและการแปรรูปอาหาร การผลิตกระดาษและเยื่อกระดาษ อากาศยาน เป็นต้น โดยบริษัทประสงค์จะเชิญชวนนักธุรกิจไทยร่วมลงทุนกับบริษัทในสาขาเหล่านี้ มีผลสำเร็จของการเจรจา คือ ตัวแทนเอกชนไทยหลายฝ่ายเข้าร่วมหารือกับบริษัท โดยสาขาที่มีโอกาสมาก ได้แก่ สาขาธุรกิจสปา และโรงพยาบาล ๔. การเข้าร่วมกิจกรรม Thai Russia Business Dialogue นักธุรกิจฝ่ายไทยและรัสเซียได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเวที Panel Discussion ทำให้นักธุรกิจสองฝ่ายได้เข้าใจ เรียนรู้ โอกาสด้านการค้า การลงทุน การธนาคาร เกษตรแปรรูป ซอฟท์แวร์ สุขภาพและเภสัชภัณฑ์ ระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนร่วมระหว่างกันต่อไป ๕. การเข้าร่วมกิจกรรม ASEAN-RUSSIA Business Forum ณ เมืองโซชิ มีการนำเสนอแนวทางในการขยายความร่วมมือระหว่างภูมิภาคอาเซียนและรัสเซียไปสู่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งความร่วมมือระหว่างอาเซียน สหภาพเศรษฐกิจยูเรเชีย (EAEU) และองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ซึ่งเป็นแนวทางแห่งความร่วมมือที่รัสเซียคาดหวังให้ไทยและอาเซียนบรรลุข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวให้เป็นเขตการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ ๖. กิจกรรมคณะเอกชนไทยพบนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ณ เมืองโซชิ ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เพื่อรายงานผลการเข้าร่วมเดินทางเยือนสหพันธรัฐรัสเซียกับคณะนายกรัฐมนตรี ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะและการจัดทำ Roadmap ที่จะขยายการค้า การลงทุนสู่สหพันธรัฐรัสเซีย |
||||||||||||||||||||||||
| 242 | รายงานการเข้าร่วมการประชุม 16th World Travel & Tourism Council Global Summit | กก | 31/05/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานการเข้าร่วมการประชุม 16th World Travel & Tourism Council Global Summit ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ณ เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๖-๗ เมษายน ๒๕๕๙ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเข้าร่วมหารือในระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชน (WTTC/UNWTO Ministerial Dialogue with Private Sector CEO’s) ใน ๒ ประเด็นหลัก คือ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้เงื่อนไขทางด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศ และการแลกเปลี่ยน บริหารจัดการข้อมูลในสถานการณ์วิกฤต เพื่อลดผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แลกเปลี่ยนบทเรียนของประเทศไทยในการรับมือเหตุวิกฤตกรณีระเบิดย่านราชประสงค์ โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน รวมไปถึงเครือข่ายภาคเอกชน และอาสาสมัครเป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ และฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับคืนสู่ปกติได้อย่างรวดเร็ว โดยผลสรุปของการหารือในครั้งนี้จะถูกนำไปรายงานในการประชุม UNWTO Executive Council ที่ประเทศสเปน เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อจัดตั้งคณะทำงาน (task force) และจัดทำแผนปฏิบัติการต่อไป ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมฯ และรับฟังการเสวนาในประเด็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมในการกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งเข้าร่วมพิธีปิดการประชุมฯ และรับมอบอย่างเป็นทางการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดงานครั้งต่อไป โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้กล่าวแนะนำประเทศไทยและต้อนรับทุกคนเข้าร่วมการประชุมครั้งต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 243 | รายงานสถานการณ์เหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี : กรณีพบอุปกรณ์บรรจุสารกัมมันตรังสีอิริเดียม - 192 (Ir - 192) | วท | 24/05/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานสถานการณ์เหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี : กรณีพบอุปกรณ์บรรจุสารกัมมันตรังสีอิริเดียม-๑๙๒ (Ir-192) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการตรวจสอบพบอุปกรณ์ถ่ายภาพด้วยรังสีแกมมาในทางอุตสาหกรรม จำนวน ๑ เครื่อง ขนาด ๓๐x๒๐x๑๐ เซนติเมตร พบระดับรังสีมีค่าต่ำใกล้เคียงกับระดับรังสีในธรรมชาติ ไม่พบว่ามีการเปรอะเปื้อนทางรังสี ทั้งที่อุปกรณ์และบริเวณโดยรอบ จึงสามารถยืนยันได้ว่าอุปกรณ์ฯ ไม่มีอันตรายต่อประชาชนใกล้เคียงและสิ่งแวดล้อม ๑.๒ จากฐานข้อมูลการกำกับดูแลวัสดุกัมมันตรังสีของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ พบข้อมูลอุปกรณ์ลักษณะเดียวกันนี้ในสถานประกอบการแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดระยอง ได้ถูกโจรกรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งสถานประกอบการได้แจ้งความต่อสถานีตำรวจในพื้นที่ไว้แล้ว ขณะนี้กำลังตรวจสอบว่าเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวกันหรือไม่ ๑.๓ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและรับมือการตื่นตระหนกของประชาชนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางรังสี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ลงพื้นที่พร้อมรองเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เพื่อให้ข่าวสารที่ถูกต้องแก่สื่อมวลชนเพื่อลดการตื่นตระหนกของประชาชน และมอบหมายให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติจัดทำเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบเป็นระยะ ๑.๔ สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้ดำเนินการจัดการประชุมผู้บริหารเพื่อสรุปและประเมินสถานการณ์ รวมทั้งพิจารณามาตรการในการรับมือเหตุฉุกเฉินทางรังสีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติได้จัดแถลงข่าวแก่สื่อมวลชนเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ๑.๕ มาตรการในการรับมือเหตุฉุกเฉินทางรังสีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่ (๑) กรณีที่เกิดเหตุนอกเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติมีเครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรม พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็น ในการดำเนินการเข้าระงับเหตุฉุกเฉินทางรังสีในเบื้องต้นร่วมกับศูนย์ปรมาณูเพื่อสันติประจำภูมิภาค และสามารถแจ้งเหตุให้ส่วนกลางทราบได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง (๒) เพิ่มการฝึกอบรมและซ้อมแผนฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสีให้กับเครือข่ายและประชาชนที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ (๓) ปรับปรุงคู่มือการปฏิบัติงานรองรับเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี และเผยแพร่แก่สถานประกอบการและประชาชนทั่วไป และ (๔) มีมาตรการใน (ร่าง) พระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. .... ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติมีอำนาจในการกำกับดูแลที่เข้มงวดรัดกุมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนและป้องปรามไม่ให้สถานประกอบการทางนิวเคลียร์และรังสีละเมิดข้อกฎหมาย โดยกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการรับมือเหตุฉุกเฉินทางรังสีและวัตถุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตตามที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกำหนดอย่างเคร่งครัด รวมทั้งกรณีที่อุปกรณ์บรรจุสารเคมีอันตราย อุปกรณ์บรรจุสารกัมมันตรังสีอื่น ๆ หรือวัตถุอันตรายอื่น ๆ สูญหาย ให้ดำเนินการ ๒.๑ ให้ส่วนราชการที่เป็นเจ้าของอุปกรณ์แจ้งความต่อสถานีตำรวจในทันที ติดตามการค้นหาและการดำเนินคดี พร้อมทั้งเผยแพร่ข่าวสารและความคืบหน้าต่อสาธารณชนโดยเร็ว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและมีการกำกับและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของสารเคมีหรือสารกัมมันตรังสีต่าง ๆ ได้ทันการณ์ ๒.๒ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการติดตาม ค้นหา และดำเนินคดีในกรณีมีการแจ้งสูญหายของสารเคมีอันตรายและอุปกรณ์บรรจุสารกัมมันตรังสีดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด และแจ้งความคืบหน้าให้เจ้าของอุปกรณ์และสาธารณชนได้รับทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 244 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ | กห | 03/05/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียอย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๘ เมษายน ๒๕๕๙ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซียได้กล่าวถึงความสำคัญของการประชุมฯ เป็นกิจกรรมสำคัญในการเฉลิมฉลองครบรอบ ๒๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-รัสเซีย ซึ่งเป็นการสนับสนุนประเด็นความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงของการประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองโซชิ สหพันธรัฐรัสเซีย รวมทั้งได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือภายใต้กลไกการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting-Plus : ADMM-Plus) โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนที่กรุงเทพฯ สำหรับประเด็นด้านความมั่นคงที่สหพันธรัฐรัสเซียให้ความสำคัญ ได้แก่ การก่อการร้ายและการเผยแพร่แนวคิดแบบสุดโต่ง ความมั่นคงทางทะเล และการสู้รบในซีเรีย ๒. รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ (๑) การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาโดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (๒) ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียมีความสำคัญต่อเสถียรภาพ ความมั่นคง และสันติภาพของภูมิภาคและการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน (๓) ความร่วมมือระหว่างกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมสหพันธรัฐรัสเซีย ภายใต้กรอบ ADMM-Plus (๔) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียสามารถร่วมมือกันในการลดการแพร่ขยายแนวคิดแบบสุดโต่ง (๕) ภัยพิบัติเป็นความท้าทายที่กองทัพของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาควรมีการเตรียมความพร้อมร่วมกัน และ (๖) อาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียควรมีการพัฒนาค่านิยม กลไก และกฎระเบียบด้านความมั่นคงทางทะเลเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกัน ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวถึงสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียต้องร่วมมือกันสร้างกลไกการดำเนินการสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และแผนงาน ๑๐ ปีของประชาคมอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาภายใต้กลไก ADMM-Plus ให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ๔. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้หารือทวิภาคีกับมิตรประเทศ ประกอบด้วย (๑) สหพันธรัฐรัสเซีย ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านข่าวกรอง การฝึกศึกษา การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดตั้งศูนย์ซ่อมอากาศยานในไทย (๒) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของกำลังพลและครอบครัวในทุกระดับ และการจัดตั้งคณะกรรมการคามร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ (๓) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อขยายความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการและการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดน การฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บริหารในทุกระดับ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำของไทย และการแก้ไขปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายชาวโรฮีนจา (๔) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา และการต่อต้านการก่อการร้าย และ (๕) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดและการค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดน การแลกเปลี่ยนการเยือน การฝึกศึกษาและดูงาน
|
||||||||||||||||||||||||
| 245 | มติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2559 และการดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ | ทก | 05/04/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และการดำเนินการตามมติคณะกรรมการฯ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม ..... ตอนพิเศษ ..... การดำเนินการคืนคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ขนาดความกว้างแถบคลื่นความถี่ 4.8 MHz ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และการขอปรับปรุงการใช้คลื่นความถี่ย่าน 2300 MHz ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รวมทั้งความก้าวหน้ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ๘ ฉบับ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะจากที่ประชุมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และเห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) (Digital Government Development Plan) โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมการพัฒนาศูนย์ข้อมูลในประเทศ (Data Center) เพื่อนำเสนอแนวทางในการบริหารจัดการ และการพัฒนาศูนย์ข้อมูลและบริการกลางภาครัฐในรายละเอียดต่อไป และให้ประสานงานกับสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการในการบูรณาการศูนย์ข้อมูลบริการภาครัฐ รวมทั้งเห็นชอบรายละเอียดการดำเนินการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็น ASEAN Digital Hub ๓. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้จัดให้มีการประชุมการชี้แจงสาระสำคัญและรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป และเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำหรับผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ พร้อมทั้งได้รับความคิดเห็นเพิ่มเติมจากหนังสือราชการ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ www.digitalthailand.in.th ซึ่งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้นำข้อคิดเห็นดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการปรับปรุง (ร่าง) แผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
| 246 | รายงานผลการเดินทางไปลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง และการหารือทวิภาคี ณ ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน | กษ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเดินทางไปลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง และการหารือทวิภาคี ณ ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ มีนาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้
๑. การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง โดยเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๙ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจอร์แดน ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จอร์แดนได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการทำฝนหลวงที่มาจากโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และนำไปใช้แก้ไขและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนชาวจอร์แดนจากปัญหาฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีอายุ ๓ ปี แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ การฝึกอบรม การปฏิบัติการสาธิตโครงการ และจัดหาบริภัณฑ์และเครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่จำเป็นให้แก่ฝ่ายจอร์แดน ๒. การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจอร์แดน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของจอร์แดน มีข้อสรุปร่วมกันใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันดำเนินงานตามข้อตกลงต่าง ๆ ในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการภายใต้โครงการดัดแปรสภาพอากาศโดยเทคโนโลยีฝนหลวง เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ (๒) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเร่งรัดดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรม (๓) ทั้งสองฝ่ายจะให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกการนำเข้าสินค้าเกษตรระหว่างกันเพิ่มขึ้น และ (๔) ไทยยินดีสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาให้จอร์แดนใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเกษตรกรและประชาชนจอร์แดน ๓. การหารือกับหน่วยงานด้านการเกษตรและภาคเอกชน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้หารือกับผู้บริหารของหน่วยงานด้านการเกษตรและภาคเอกชนจอร์แดน ได้แก่ เอกชนที่ทำธุรกิจเกษตรแบบน้ำหยด เอกชนผู้ทำการเพาะเลี้ยงปลาในโรงเรือน และตลาดกลางสินค้าเกษตร โดยได้ศึกษาเทคโนโลยีความก้าวหน้าการทำการเกษตรแบบน้ำหยด และศึกษาระบบการเพาะเลี้ยงปลาในโรงเรือนที่มีการหมุนเวียนการใช้น้ำและบำบัดน้ำเสียอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการตลาดสินค้าเกษตรของไทย พร้อมทั้งเสนอให้จอร์แดนนำเข้าสินค้าผลไม้จากประเทศไทยมาจำหน่ายยังตลาดดังกล่าว รวมทั้งได้หารือถึงโอกาสในการขยายการค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทยและจอร์แดน โดยจอร์แดนสนใจที่จะนำเข้าสินค้าผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วงจากประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
| 247 | รายงานผลการจัดงาน "ตลาดวัฒนธรรม ทุนวัฒนธรรมสร้างชาติ ตลาดวัฒนธรรมสร้างสุข" | วธ | 29/03/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินงาน “ตลาดวัฒนธรรม ทุนวัฒนธรรมสร้างชาติ ตลาดวัฒนธรรมสร้างสุข” ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ระหว่างวันที่ ๑-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม โดยรูปแบบของตลาดได้จัดให้สอดคล้องกับเทศกาลสำคัญ ได้แก่ ตลาดมั่งมีศรีสุข ตลาดสร้างรัก ตลาดสร้างสุข และตลาดสร้างบุญ โดยนำผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ และหน่วยงานในสังกัดมาร่วมจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม จำนวน ๕๑๙ ร้าน มียอดผู้เข้าชมงาน จำนวน ๑๕๒,๗๘๖ คน มียอดรายได้ จำนวน ๒๖,๒๗๘,๑๙๒ บาท และมียอดสั่งซื้อ จำนวน ๑๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๘,๔๗๘,๑๙๒ บาท ซึ่งผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับการจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารมากที่สุด รองลงมา คือ เครื่องดื่ม ผ้า เครื่องประดับ ตามลำดับ และเพื่อขยายผลการจัดงานกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดกิจกรรมเสริม ดังนี้
๑. นำคณะนักศึกษาอาสาสมัครจากประเทศออสเตรเลียกว่า ๔๐ คน ชมการแสดงและเลือกซื้อสินค้า ๒. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมนำคณะทูตานุทูตและผู้แทน ๑๕ ประเทศ เยี่ยมชมสินค้าทางวัฒนธรรมและการแสดงทางวัฒนธรรม ๓. จัดเสวนาทางวิชาการ “เรื่อง แนวทางการจัดตลาดทางวัฒนธรรม” ให้กับวัฒนธรรมจังหวัดและเครือข่ายชุมชนวัฒนธรรม ๔. การต่อยอดและจับคู่ธุรกิจของร้านค้า
|
||||||||||||||||||||||||
| 248 | รายงานผลการประชุมทางเทคนิคเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) และด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) ณ ธนาคารโลก กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา | ยธ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการประชุมทางเทคนิคเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) และด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) เมื่อวันที่ ๑๖-๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ ธนาคารโลก กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา โดยมีเลขาธิการ ก.พ.ร. เป็นหัวหน้าคณะการเข้าร่วมประชุมทางเทคนิค (Technical Meeting) ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจตามกรอบความยาก-ง่าย ในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business: EoDB) โดยเฉพาะเรื่องตัวชี้วัดที่ ๙ ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง (Enforcing Contracts) และตัวชี้วัดที่ ๑๐ ด้านการแก้ปัญหาการล้มละลาย (Resolving Insolvency) ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมฯ กรมบังคับคดีจะดำเนินการจัดประชุมเพื่อชี้แจงที่ประชุมกับธนาคารโลกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ และประสานการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 249 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ | ศธ | 15/03/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จากวงเงินเดิม ๑๘๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๑๙๐,๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ส่วนงบประมาณดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑๖๔,๙๓๗,๕๐๐ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๒๕,๕๖๒,๕๐๐ บาท โดยในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ จำนวน ๑๐๗,๒๕๒,๐๐๐ บาท ส่วนที่ขาดอีก จำนวน ๕๗,๖๘๕,๕๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า กรณีอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมาย นั้น กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวและได้ข้อสรุปแล้วว่าไม่มีมูลตามข้อกล่าวหา และจะเร่งแจ้งผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งเร่งรัดให้ดำเนินการกรณีข้อร้องเรียนของผู้บริหารมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์แจ้งความว่าถูกทำร้ายร่างกายด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 250 | รายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | รง | 23/02/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๖ มกราคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพบและหารือข้อราชการกับ H.E. Mr. Yasuhisa Shiozaki รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือในการดำเนินงานที่ครอบคลุมภารกิจด้านการจ้างงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน การคุ้มครองแรงงาน และการสร้างการรับรู้ให้กับนายจ้างของทั้งสองประเทศ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศ และการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้สูงอายุด้วยการปรับปรุงกลไกการจ้างงานในตลาดแรงงานผ่านความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ และสำนักงานแรงงานในประเทศญี่ปุ่น ๒. การพบหารือกับ Mr. Kyoei Yanakisawa ประธานองค์กร IM Japan และคณะผู้บริหาร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือเรื่องการฝึกปฏิบัติงานเทคนิคของผู้ฝึกงานคนไทยในประเทศญี่ปุ่น และการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานเพื่อรองรับการแก้ไขกฎหมายของรัฐบาลญี่ปุ่น รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ฝึกปฏิบัติงานได้นำความรู้มาใช้ประโยชน์ในการทำงานให้มากขึ้น ๓. การพบหารือกับ Mr. Sadaki Tanaka ประธานบริษัท Bestex Kyoei Co.,Ltd. โดยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านแรงงานเพื่อให้นายจ้างมั่นใจว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการปรับปรุงระเบียบกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศ และพร้อมเดินหน้าเป็นศูนย์กลางด้านแรงงานในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงหรือกลุ่มประเทศ CLMV
|
||||||||||||||||||||||||
| 251 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - รัสเซีย | คค | 16/02/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-รัสเซีย (Memorandum of Understanding) ฉบับลงนาม วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและรัสเซีย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเพิ่มสิทธิความจุความถี่ ปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางบินโดยเปลี่ยนแปลงจุดในไทยและรัสเซีย แก้ไขความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย-รัสเซีย ให้ตรงกับฉบับภาษาอังกฤษ แก้ไขข้อกำหนดการใช้อากาศยานเช่ามาทำการบิน ส่วนประเด็นสิทธิรับขนการจราจรเสรีภาพที่ ๕ และข้อตกลงด้านความร่วมมือทางการตลาด ทั้ง ๒ ฝ่ายเห็นว่ายังมีประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษาและพิจารณา ซึ่งตกลงว่าจะกลับมาหารืออีกครั้งในการเจรจาการบินครั้งต่อไป ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดเสนอมาตรการปฏิรูปบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ต่อนายกรัฐมนตรีตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ) โดยเฉพาะมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร การปรับปรุงระบบการดำเนินงาน รวมทั้งสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารและพนักงานระดับสูงทั้งในอดีตและปัจจุบัน |
||||||||||||||||||||||||
| 252 | การขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาการบินพลเรือน ความคืบหน้า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการดำเนินการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) | นร | 02/02/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ในเรื่องการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาการบินพลเรือน ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการดำเนินการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (Government Access Channel : GovChannel) ของคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาการบินพลเรือน กขร. เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน (ศบปพ.) โดยให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ (Project Manager) โดยให้มีอำนาจตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนโดยเฉพาะและให้ผู้บริหารทุกระดับของกระทรวงคมนาคมกำกับดูแลบุคลากรให้ปฏิบัติตามแผนที่กำหนด และให้ความร่วมมือกับ ศบปพ. อย่างเคร่งครัด รวมถึงการดำเนินการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนทั้ง ๘ ด้าน ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยต้องได้รับความเห็นชอบจาก ศบปพ. ทุกครั้ง ๒. ความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กขร. เห็นว่า โครงการตำบลละ ๕ ล้านบาท ยังมีการเบิกจ่ายที่ต่ำกว่าเป้าหมายมาก (กรอบเงิน ๓๖,๒๗๕ ล้านบาท อนุมัติแล้ว ๓๒,๗๕๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วเพียง ๗.๓ ล้านบาท) จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการและรายงานผลความคืบหน้าให้ทราบต่อไป ๓. การดำเนินการของศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน (GovChannel) กขร. ได้เร่งรัดและขอให้ส่วนราชการให้การสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในการนำข้อมูลและบริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มาเผยแพร่และให้บริการผ่าน GovChannel ในช่องทางต่าง ๆ อาทิ Government e-Service Website Government Mobile Application Portal Government Kiosk & Government Smart Box เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
| 253 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | อื่นๆ | 12/01/2559 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รายงาน ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาประมงไทยผิดกฎหมาย จากการตรวจสอบการกระทำประมงผิดกฎหมายของไทยเมื่อเดือนเมษายนและตุลาคม ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้กำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้แก่ การเสนอร่างกฎหมายและใช้เอกสารสำคัญ การพัฒนาระบบติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การตรวจเรือประมงที่ทำประมงนอกน่านน้ำ การบังคับการใช้กฎหมายในทะเล ความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและต่างประเทศ การช่วยเหลือผู้ประกอบการและชาวประมง รวมทั้งความพร้อมในการเตรียมการรองรับการตรวจติดตามความคืบหน้าของคณะผู้แทนสหภาพยุโรป ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดทำแนวทางการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว กีฬา และวัฒนธรรม ปี ๒๕๕๙-๒๕๗๙ (๒๐ ปี) และการวางรากฐานในห้วงระยะเวลา ๑๐ ปี ในด้านการท่องเที่ยว กีฬา และวัฒนธรรม ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานการดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศจากภายใน ซึ่งได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะดำเนินการเสนอโครงการเพื่อขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในชนบท (๒) โครงการ ๑ ตำบล ๑ SMEs เกษตร (๓) โครงการลงทุนเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระดับท้องถิ่น และ (๔) โครงการตลาดกลางซื้อขายสินค้าเกษตร ๑.๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ วงเงินลงทุน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อยกระดับโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุม ๗๐,๐๐๐ หมู่บ้านทั่วประเทศ (๒) โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (ยกระดับการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ สำหรับการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อระดับภูมิภาค วงเงินลงทุน ๕,๐๐๐ ล้านบาท) และ (๓) แผนงานเร่งด่วนจากงบประมาณ ๓,๗๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะได้นำรายละเอียดแผนงานโครงการตามข้อ (๑) และ (๒) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานการประเมินหน่วยงานและผู้บริหารแบบใหม่ ซึ่งผ่านการประชุมร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับความมุ่งหมายของการประเมิน ผู้ถูกประเมิน ตัวชี้วัด ผู้ประเมิน ระบบประเมิน รวมทั้งหลักเกณฑ์การประเมิน และให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประเมินหน่วยงาน ให้พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ งานตามนโยบายของรัฐบาล และงานบูรณาการ ทั้งนี้ ในการประเมินหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายตามภารกิจพิเศษ ให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่น
|
||||||||||||||||||||||||
| 254 | การจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) | กค | 15/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมทุนของภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอนาคต ช่วยแบ่งเบาภาระการคลังของประเทศในระยะยาว และเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศผ่านกลไกของตลาดทุนได้ และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาคัดเลือกโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า ลักษณะและขนาดของกองทุนฯ ควรให้เป็นไปตามความต้องการ (Demand) ที่จะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างแท้จริง รวมทั้งมีแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจนและมีความพร้อมในการดำเนินการเป็นสำคัญ สำหรับการขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งกองทุนฯ และกลไกการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน นั้น ยังไม่มีรายละเอียดวงเงินและระยะเวลาที่ชัดเจน ประกอบกับเป็นกองทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และไม่มีกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกำหนดให้ใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน จึงเห็นควรที่ผู้บริหารกองทุนจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโดยไม่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ นอกจากนี้ ให้มีการกำหนดโครงสร้างและสัดส่วนของการลงทุนระหว่างการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในหลักทรัพย์อื่นให้ชัดเจน รวมถึงมีการกำหนดกลไกการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำจากการลงทุน และระดับอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกองทุนฯ และการประกันผลตอบแทนขั้นต่ำที่เหมาะสมให้แก่นักลงทุน ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมและสามารถดำเนินการได้ภายในกรอบของข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ไปประกอบการพิจารณาในประเด็นนี้ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
| 255 | การแต่งตั้งรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (จำนวน 3 คน 1. นายพิชัย รุจิโรจน์สุวรรณ ฯลฯ) | ทส | 15/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน ๓ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นายพิชัย รุจิโรจน์สุวรรณ ๑.๒ นายเกษม วัยวุฒิ ๑.๓ นางพรเพ็ญ วรวิลาวัณย์ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาดำเนินการแก้ไขกฎหมายจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เพื่อให้การแต่งตั้งรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเช่นเดียวกับการแต่งตั้งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
| 256 | แผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3 | คค | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ ๓ สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานและเสนอรายละเอียดแผนงาน/โครงการ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ กองทัพบก กองทัพอากาศ กองการบินทหารเรือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการฯ ๑.๓ มอบหมายให้กองทัพเรือ (การท่าอากาศยานอู่ตะเภา) ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยานสนับสนุนและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาต่อไป ๒. สำหรับในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ โดยเฉพาะโครงการที่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานที่มีความพร้อมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ เช่น เงินรายได้ของกองทุนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และ/หรือเงินรายได้ของกองทุนเงินค่าธรรมเนียมผ่านทาง ฯลฯ ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นกรณี ๆ ไป โดยจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง และปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี ตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ของท่าอากาศยานอู่ตะเภาเห็นสมควรแยกอาคารผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศออกจากกันให้ชัดเจน การพัฒนาโครงข่ายเส้นทางเชื่อมโยงจากท่าอากาศยานอู่ตะเภาเข้าสู่เมืองพัทยาหรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก และเส้นทางเข้าสู่กรุงเทพมหานคร รวมถึงเส้นทางไปยังจังหวัดตราดเพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีความสะดวกและปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งทางราง สำหรับกิจกรรมใดภายใต้แผนที่จะเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกท่าอากาศยานอู่ตะเภาเข้าข่ายที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (EHIA) ให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และนำเสนอขออนุมัติงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณากลไกการขับเคลื่อนเพื่อบูรณาการทั้งในด้านการดำเนินงานตามภารกิจและงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำกับดูแลและติดตามประเมินผลความก้าวหน้าการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการแก้ไข การพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานเชิงพาณิชย์แห่งที่ ๓ อย่างต่อเนื่อง และเห็นควรให้กระทรวงคมนาคม บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย กองทัพอากาศ กองทัพบก และกองทัพเรือ ร่วมกันพิจารณาแนวทางการพัฒนาความร่วมมือการพัฒนาห้วงอากาศ PBN Airspace ให้มีการประสานงานอย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อให้การบริหารจัดการห้วงอากาศของประเทศสามารถตอบสนองภารกิจด้านความมั่นคงและการบินพลเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น รับไปดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ ซึ่งครอบคลุมถึงการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าอากาศยานอู่ตะเภาและพื้นที่โดยรอบให้เป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานแห่งภูมิภาคเพื่อใช้เป็นฐานบริการซ่อมบำรุงอากาศยานจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคและลดภาระค่าใช้จ่ายในการส่งอากาศยานไปซ่อมบำรุงในต่างประเทศ โดยพิจารณาถึงรูปแบบการลงทุนที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการเพื่อลดภาระงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 257 | การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (จำนวน 4 คน 1. นายอิทธิพงศ์ คุณากรบดินทร์ ฯลฯ) | อก | 08/12/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้แทนส่วนราชการเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๔ คน แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ เนื่องจากเกษียณอายุราชการและมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ ธันวาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายอิทธิพงศ์ คุณากรบดินทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. นางมนชิดา เจียรไพศาลเจริญ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ๔. นายสุวัชชัย ใจข้อ ผู้บริหารส่วน ส่วนเศรษฐกิจด้านอุปทาน สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน สายนโยบายการเงิน ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
| 258 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) | กษ | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูปสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแล้วเห็นควรให้กรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ยังคงทำหน้าที่ส่งเสริมและกำกับดูแลสหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน โดยมีการพัฒนาระบบการกำกับดูแลสหกรณ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามแนวทางของคณะกรรมการทบทวนอำนาจหน้าที่ และภารกิจในการควบคุม กำกับดูแลสหกรณ์ ไปดำเนินการขับเคลื่อนตามแผน และรายงานผลการดำเนินการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการแต่งตั้งและคัดเลือกกรรมการและผู้บริหารของสหกรณ์ หลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินระหว่างสหกรณ์ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบกิจการสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนขึ้นใหม่ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 259 | การจัดทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มให้แก่ผู้บริหารตั้งแต่ระดับหัวหน้าสำนักงานไปรษณีย์พื้นที่ หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดขึ้นไป ผู้ตรวจสอบภายใน และ ผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกหน่วยงาน | ทก | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจัดทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มให้แก่ผู้บริหารตั้งแต่ระดับสำนักไปรษณีย์พื้นที่ หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดขึ้นไป ผู้ตรวจสอบภายใน และผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติงานนอกหน่วยงาน ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลและเงินทดแทนตามสิทธิที่ได้รับจากสัญญาประกันภัยเป็นลำดับแรก และหากสิทธิตามสัญญาประกันภัยที่จะได้รับต่ำกว่าสิทธิตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง การจ่ายเงินทดแทน ลงวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๓ ก็ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๑๕ ของประกาศข้างต้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการใช้สิทธิดังกล่าว ทั้งนี้ ในการจัดทำประกันอุบัติเหตุกลุ่มฯ จะทำให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณปีละ ๑,๓๐๒,๐๐๐ บาท จึงขอให้ ปณท. บริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ควบคุมได้ เช่น ค่าวัสดุที่ใช้ในสำนักงาน ค่าพาหนะ เป็นต้น รวมทั้งมีแนวทางในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจเสริมเพื่อมาชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว และกำกับดูแลให้การดำเนินงานของพนักงานกลุ่มดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 260 | สรุปผลการประชุมสมัยสามัญองค์การการท่องเที่ยวโลก ครั้งที่ 21 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (21th UNWTO GENERAL ASSEMBLY) | กก | 24/11/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสมัยสามัญองค์การการท่องเที่ยวโลก ครั้งที่ ๒๑ (21st UNWTO GENERAL ASSEMBLY : GA) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ กันยายน ๒๕๕๘ ณ เมืองเมเดยิน สาธารณรัฐโคลอมเบีย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม UNWTO GA ครั้งที่ ๒๑ มีประเด็นสำคัญ อาทิ (๑) มีสมาชิกใหม่จากซามัวและบาร์เบโดส (๒) รับรองผลการเลือกตั้ง Executive Council (2015-2019) (๓) รับรองแผนริเริ่ม UNWTO QUEST และ Destination Management Organization Certification System (๔) รับรองให้ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็น International Year of Sustainable Tourism for Development (๕) รับรองให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานฉลองวันท่องเที่ยวโลกอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๖) รับรองให้กาตาร์เป็นเจ้าภาพจัดงานฉลองวันท่องเที่ยวโลกอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ (๗) รับทราบการนำเสนอร่างอนุสัญญา UNWTO Convention on the Protection of Tourists and Tourism Service Providers (๘) รับทราบรายงานของคณะกรรมการโลกด้านจริยธรรมด้านท่องเที่ยว (World Committee on Tourism Ethics) เกี่ยวกับการดำเนินการส่งเสริม Global Code of Ethics for Tourism (๙) รับทราบการนำเสนอองค์การระหว่างประเทศด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และ (๑๐) รับทราบการลงนามความตกลงจัดตั้งสำนักงานระหว่าง UNWTO กับรัฐบาลสเปน (๑๑) รับทราบช่องทางใหม่ ๆ ในการเข้าถึงข้อมูลด้านการท่องเที่ยวผ่านระบบ digital media และ (๑๒) เร่งรัดขอให้ประเทศที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน Amend Statutes and 1947 Convention on the Privileges and Immunities of the Specialized Agencies ดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เป็นต้น ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวของโคลอมเบีย มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การส่งเสริม พัฒนา และเพิ่มความร่วมมือด้านแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (๒) ส่งเสริมทางการตลาด การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเน้นด้านสปา การวิจัยและการพัฒนา และ (๓) แลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อให้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีผลในทางปฏิบัติ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและท่องเที่ยวของเกาหลีในประเด็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแถลงข่าวร่วมกับเลขาธิการ UNWTO ผู้บริหารระดับสูงจากสมาคมส่งเสริมท่องเที่ยวแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Pacific Asia travel Association : PATA) และผู้บริหารจากสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (World Travel and Tourism Council : WTTC) เพื่อเน้นย้ำความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและการดูแลนักท่องเที่ยวของไทย ๕. การประชุม Executive Council ครั้งที่ ๑๐๒ ที่ประชุมได้เลือกตั้งประธานและรองประธานคนที่ ๑ และ ๒ (ระยะเวลา ๑ ปี) คือ อียิปต์ โครเอเชีย และคองโก ตามลำดับ รวมทั้งเห็นชอบให้ยกเลิกการจัดงานฉลองวันท่องเที่ยวโลกที่บูร์กินาฟาโซ เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงทางการเมือง จึงขอให้แต่ละประเทศเฉลิมฉลองวันท่องเที่ยวโลกในประเทศของตน
|
||||||||||||||||||||||||
.....
