ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 181 | แนวทางการตรวจลงตราสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ (SMART Visa) | นร | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (สบ.นร.) เสนอ ๑.๑ เห็นชอบหลักเกณฑ์คุณสมบัติและสิทธิประโยชน์ภายใต้การตรวจลงตราประเภท SMART Visa และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ออกประกาศกำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิขอ SMART Visa ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติขั้นพื้นฐานตามกฎหมายเกี่ยวกับคนเข้าเมืองตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดกำหนดช่องทางอำนวยความสะดวก (Fast Track) ในการยื่นขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ให้แก่บุตรของผู้ถือ SMART Visa ประเภทนักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ต่อไปด้วย ๑.๒ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับรองผู้ประกอบการและกิจการต่าง ๆ ตามเงื่อนไขของ SMART Visa และในอนาคต หากมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่จะต้องดำเนินการให้มีการรับรองผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และกิจการต่าง ๆ เพิ่มเติม ให้ สกท. สามารถพิจารณามอบหมายได้ตามความเหมาะสม ๑.๓ เห็นชอบร่างกฎหมาย จำนวน ๓ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๓.๑ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. ๒๕๔๐ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้ศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงานมีอำนาจครอบคลุมการดำเนินการเกี่ยวกับ SMART Visa ๑.๓.๒ (ร่าง) ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักรชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ... พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๓.๓ (ร่าง) ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (SMART Visa) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ... พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๔ เห็นชอบให้เริ่มกระบวนการยื่นคำขอ SMART Visa ในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ๑.๕ เห็นชอบกรอบงบประมาณสำหรับการดำเนินการ SMART Visa ของ สกท. ในปี ๒๕๖๑ ในวงเงิน ๓๘ ล้านบาท โดยให้ สกท. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๖ เห็นชอบในหลักการการเพิ่มอัตรากำลังคนของ สกท. เพื่อปฏิบัติงานในศูนย์วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ๑.๗ รับทราบขั้นตอนการดำเนินการรับรองคุณสมบัติและการตรวจลงตราประเภท SMART Visa และแผนปฏิบัติงานด้านการประชาสัมพันธ์การให้บริการของ SMART Visa ๒. ให้ สกท. เร่งรัดสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้ติดตามของผู้ถือ SMART Visa (คู่สมรสและบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย) ให้ถูกต้องและชัดเจนว่า คู่สมรสของผู้ถือ SMART Visa ทุกประเภท และเฉพาะบุตรที่มีอายุ ๑๘ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปของผู้ถือ SMART Visa ประเภทผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ที่สามารถทำงานในประเทศไทยได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตทำงาน แต่ต้องไม่เป็นการทำงานในอาชีพและวิชาชีพต้องห้ามตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๓. ให้ สกท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ. ที่ควรมีการติดตามและประเมินผล และปรับปรุงการดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงรายงานผลการดำเนินงานและผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินแนวทางดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีในโอกาสแรกด้วย สำหรับการจัดหาบุคลากรเพื่อปฏิบัติงานในศูนย์วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ควรจ้างบุคลากรจากภาคเอกชนในระยะแรกไปพลางก่อน หากจำเป็นต้องใช้บุคลากรภาครัฐในระยะต่อไปให้ดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้ สบ.นร. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 182 | ผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 29 | กต | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๙ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการประชุมฯ และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ และผลการหารือต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๕ และถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๙ โดยสมาชิกเอเปคส่วนใหญ่เห็นว่า เอเปคควรแสดงบทบาทนำในการเรียกความเชื่อมั่นต่อการค้าเสรี การยึดมั่นต่อระบบการค้าพหุภาคี และสนับสนุนการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) ที่มีคุณภาพสูง ๒. นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีแจ้งว่าจะเร่งดำเนินกระบวนการภายในโดยเร็ว รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ฝ่ายเวียดนามพิจารณาแก้ปัญหาเรื่องข้อกำหนดเกี่ยวกับการนำเข้ารถยนต์ของเวียดนาม และช่วยดูแลการลงทุนของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ที่จังหวัดบาเหรี่ยะ-หวุงเต่า ๓. นายกรัฐมนตรีได้เสนอต่อที่ประชุมฯ ให้เอเปคและอาเซียนพิจารณากระชับความร่วมมือกันในรูปแบบ “หุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์” โดยเฉพาะการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยต่อยอดจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคไปสู่การจัดตั้ง FTAAP ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เน้นความสำคัญของการศึกษาที่มีคุณภาพควบคู่กับการเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลของคนทุกกลุ่ม รวมถึงการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 183 | รายงานผลการดำเนินงานของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่ง สบร. ได้จัดให้มีระบบการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของประชาชนผ่านการเรียนรู้ที่ทันสมัย โดยดำเนินการ (๑) การขับเคลื่อนการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ (๒) การขยายผลต้นแบบแหล่งเรียนรู้ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ (๓) ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยความคิดสร้างสรรค์ และ (๔) การบูรณาการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ สำหรับแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สบร. มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ โดยการส่งเสริมและพัฒนาความรู้ให้แก่ประชาชนผ่านสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ โดยจะดำเนินการให้ครอบคลุมพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขยายแนวคิดการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยให้แก่ผู้ปกครอง ครูผู้ดูแลเด็กและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 184 | รายงานผลการดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ | มท | 19/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการจัดงาน “ตลาดประชารัฐ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ขึ้นระหว่างวันที่ ๕-๗ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม มีผู้ประกอบการเข้าร่วมจำหน่ายสินค้า จำนวน ๑๘๐ ราย มียอดผู้เข้าชมงาน จำนวน ๒๑,๙๒๗ คน รวมยอดขายทั้งสิ้น ๘,๖๘๓,๘๒๒ บาท ในส่วนของตลาดประชารัฐทุกจังหวัดทั่วประเทศ (๑,๑๗๓ แห่ง) มีผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้า จำนวน ๔๗,๖๗๗ ราย มีผู้ชมงาน จำนวน ๕๕๖,๔๒๗ คน รวมยอดขายทั้งสิ้น ๖๘,๕๒๔,๙๖๙ บาท ๒. กระทรวงมหาดไทยได้กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของตลาดให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกติกาของแต่ละตลาด ความรู้เชิงกลยุทธ์ทางการตลาด ระบบบัญชี เทคนิคการขายให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมรับการอบรม จำนวน ๓๘,๐๒๑ ราย คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๕๗ ของผู้ลงทะเบียนทั้งหมด ๓. การจัดสรรผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐของจังหวัดทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่ตลาดแล้ว จำนวน ๗๑,๙๔๖ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๕๙ ของผู้ที่มีความพร้อมในการจำหน่ายสินค้า ๔. การดำเนินการของโครงการตลาดประชารัฐในช่วงต่อไป เช่น ให้แต่ละจังหวัดกำหนดให้มีผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการตลาดนำพาตลาดไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน คัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพ โดยส่งเสริมตลาดที่มีอยู่แล้วให้มีศักยภาพในการค้าขายเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ๕. ขับเคลื่อนงานโครงการตลาดประชารัฐให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ที่ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมดำเนินการด้วย โดยกำหนดให้ “ตลาดเคหะประชารัฐ” ดำเนินการโดยการเคหะแห่งชาติ เป็นตลาดประชารัฐประเภทที่ ๑๐ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดสรรพื้นที่ค้าขายให้กับผู้ลงทะเบียนผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐในพื้นที่ตลาดเคหะประชารัฐ ทั้ง ๙๐ แห่ง ใน ๑๕ จังหวัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 185 | การบริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 จังหวัดเชียงราย | กค | 12/12/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงราย และให้ใช้ประโยชน์ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็นท่าเรือท่องเที่ยว) ในส่วนของข้อ ๒ ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จากเดิม ที่มอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานบริหารท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็น มอบหมายให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนเป็นผู้บริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย สำหรับการกำหนดอัตราค่าเช่าให้เป็นไปตามกฎระเบียบของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดเงื่อนไขในสัญญาให้มีการซ่อมแซมและบำรุงรักษาท่าเรือให้มีความมั่นคงแข็งแรง ตลอดจนจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนตามมาตรฐานที่กำหนด และจัดหาบุคลากรที่มีประสบการณ์มาบริหารจัดการท่าเรือ รวมทั้งให้ความสำคัญของการประมาณการเรือท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยว ประมาณการรายได้และรายจ่าย เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการพิจารณาแผนการพัฒนาท่าเรือแห่งที่ ๑ ของเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้การบริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยพิจารณากรอบแนวทางบริหารจัดการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย ของเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุให้แก่กรมธนารักษ์ และความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาท่าเรือดังกล่าวและบริเวณโดยรอบให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (landmark) ของอำเภอเชียงแสน ตามความเห็นของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเมื่อกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเห็นชอบกรอบแนวทางการบริหารจัดการท่าเรือดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนสามารถดำเนินการบริหารจัดการท่าเรือดังกล่าวได้โดยเร็ว ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) สนับสนุนการดำเนินงานของท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย โดยดำเนินการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการท่าเรือดังกล่าว ๒.๓ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยดำเนินการสนับสนุนให้ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ จังหวัดเชียงราย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ (landmark) โดยการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งดำเนินการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือดังกล่าวกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อสนับสนุนการยกระดับการท่องเที่ยวของภาคเหนือในภาพรวมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 186 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 28/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่รัฐบาลได้บริหารจัดการและแก้ไขปัญหายางพารามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดูแลเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา นั้น เพื่อให้การบริหารจัดการยางพาราของประเทศเป็นระบบ และครบวงจรตั้งแต่ในขั้นตอนของการวางแผนการดูแลต้นทาง เช่น การลดพื้นที่การปลูกยางพารา กลางทาง เช่น การแปรรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และปลายทาง เช่น การนำยางไปใช้ประโยชน์ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑ ให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำแผนการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบ โดยมีรายละเอียดของแผนการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ในแผนการบริหารจัดการดังกล่าวให้ดำเนินการให้ครบวงจรตั้งแต่การผลิต การตลาด และการแปรรูป โดยให้ครอบคลุมถึงเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูก การกำหนดพื้นที่เพาะปลูก การปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน มาตรการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ได้รับความเดือดร้อนหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามแผนด้วย ตลอดจนการสนับสนุนให้โรงงานเอกชนประกอบกิจการแปรรูปให้มากขึ้น โดยในการดำเนินการให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำข้อเสนอของเครือข่ายชาวสวนยางในหลายจังหวัดภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการ และหารือประสานข้อมูลร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการบูรณาการเชื่อมโยงการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งระบบ ๑.๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการลดพื้นที่เพาะปลูกยางพาราทั้งในพื้นที่สวนยางและพื้นที่บุกรุกพื้นที่ป่า โดยให้มีมาตรการในการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก ตลอดจนการปลูกพืชเสริมหรือประกอบอาชีพอื่นแทนการเพาะปลูกยางพาราที่ชัดเจน มีเป้าหมาย/ตัวชี้วัดในการดำเนินการแต่ละปีว่าครอบคลุมพื้นที่ใด วิธีใด ผลเป็นอย่างไร และประสานส่งข้อมูลดังกล่าวให้ กยท. เพื่อใช้ประกอบการจัดทำแผนการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบ ๑.๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กยท. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมให้ภาคเอกชนรับซื้อยางพาราหรือผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา เช่น ยางรถยนต์ ยางรถจักรยานยนต์ หลักกิโลเมตรบอกระยะทาง แผ่นการ์ดเรลตามแนวโค้งถนน และขับเคลื่อนให้นำยางพาราสำเร็จรูป เช่น ยางปูพื้นคอกสัตว์ ยางรองอ่างเก็บน้ำ ยางรองคอสะพาน มาใช้ในโครงการของภาครัฐ โดยกำหนดเป้าหมายให้มีการใช้ยางในภาครัฐเพิ่มขึ้น ๑ แสนตันต่อปี ทั้งนี้ ให้ กยท. นำแผนการบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓ เดือน และประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ๒. ด้านสังคม มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงแรงงาน เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (TIP Report) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำรายงานดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ ให้นำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑ ก่อนนำเสนอต่อสหรัฐอเมริกาภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑ ต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ในการแสดงผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้นำมาจัดแสดงตามสถานที่ราชการหรือการประชุมต่าง ๆ เช่น การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ให้ผู้บริหารของทุกส่วนราชการ ตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง ให้ความสำคัญกับผลงานดังกล่าวและนำมาพิจารณาดำเนินการให้เกิดการต่อยอดหรือการนำไปพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประโยชน์กับการดำเนินงานของส่วนราชการ เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ การใช้น้ำมันปาล์มกับเครื่องจักรกลทางการเกษตร เกี่ยวข้องกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่นักวิจัย/นักประดิษฐ์ไทยและกระตุ้นการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมไทยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการรับฟังความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการวิจัยในเรื่องต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับใช้กับการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 187 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐมอลตาและราชอาณาจักรสเปนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐมอลตา ระหว่างวันที่ ๓-๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ และราชอาณาจักรสเปน ระหว่างวันที่ ๖-๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐมอลตา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติ Our Ocean Conference ครั้งที่ ๔ ในหัวข้อ Our Ocean, an Ocean for life เพื่อแสดงบทบาทความมุ่งมั่นและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อความยั่งยืนของทะเลและมหาสมุทรในด้านการประมงทะเล การลดมลพิษทางทะเล การเพิ่มพื้นที่คุ้มครองสัตว์ทะเล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงทางทะเล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กล่าวถ้อยแถลงแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นของไทยในการสร้างความยั่งยืนให้แก่มหาสมุทรและทรัพยากรประมงทะเล รวมทั้งได้หารือกับกรรมาธิการสหภาพยุโรปและผู้บริหารกลุ่มผู้นำเข้าสินค้าประมงของไทยในระหว่างการประชุมฯ เกี่ยวกับแนวทางการจัดการประมงยั่งยืน ๒. ผลการเยือนราชอาณาจักรสเปน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประชุมหารือกับ Fisheries Monitoring Center ราชอาณาจักรสเปน ในการติดตามและควบคุมเรือประมง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลในการบริหารจัดการและควบคุมติดตามเรือประมง โดยพบว่าระบบการควบคุม ติดตาม และเฝ้าระวังการทำประมงของสเปนมีการบริหารจัดการข้อมูลเรือประมงและการทำประมงที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเจ้าหน้าที่มีความชำนาญและประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำการประมงของไทยจะนำความรู้ดังกล่าวไปพัฒนาระบบของไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 188 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2560 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) คาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ ในปี ๒๕๖๐ และร้อยละ ๓.๗ ในปี ๒๕๖๑ ซึ่งได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการลงทุน การค้าระหว่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ ธนาคารโลก และ IMF ยังคงเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และกฎระเบียบภายในประเทศที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง (Inclusive Growth) ในระยะยาว โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำเสนอถ้อยแถลงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของไทย ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ส่งผลให้ประมาณการเศรษฐกิจของไทยในปี ๒๕๖๐ เติบโตในอัตราร้อยละ ๓.๗ และในปีหน้าจากเดิมคาดว่าจะเติบโตร้อยละ ๓.๓ เพิ่มเป็นร้อยละ ๓.๕ ๒. การประชุมร่วมระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของธนาคารโลก และ IMF (Joint Meeting of the World Bank-IMF Southeast Asia Group : SEA Group) โดย IMF ได้แนะนำประเทศสมาชิกให้ใช้โอกาสที่สภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นในขณะนี้ เร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในประเทศให้สมดุล นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก และ IMF ได้นำเสนอบทบาทที่เพิ่มขึ้นของนวัตกรรมทางการเงินในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้มีรายได้น้อย ๓. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๖ (96th Development Committee Meeting) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมฯ ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเสริมสร้างทักษะที่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ซึ่งจะสามารถบรรเทาปัญหาความเหลื่อมล้ำและนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน (๒) การส่งเสริมบทบาทและมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนเพื่อการพัฒนา (๓) ให้ธนาคารโลกเป็นองค์กรอิสระที่มีความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการสนับสนุนประเทศสมาชิกทั้งด้านโครงการเงินกู้และการช่วยเหลือทางวิชาการ และ (๔) เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกเร่งหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางเพิ่มทุนของธนาคารโลกให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประชุมหารือทวิภาคีกับรองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก คณะผู้จัดทำรายงาน Doing Business และ Logistics Performance Index และผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างประเทศ โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น (๑) แนวทางความร่วมมือระหว่างไทยและธนาคารโลกภายใต้กรอบความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศที่อยู่ระหว่างการจัดทำ (๒) ผลงานของรัฐบาลไทยที่ได้ปฏิรูปกฎหมาย และลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และ (๓) สถาบันการเงินต่างประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคและอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 189 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน The 2nd Singapore International Cyber Week | ดศ | 21/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ ๒ (The 2nd ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน The 2nd Singapore International Cyber Week ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมฯ ได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการประสานงานระหว่างเวทีการประชุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสามเสาในประชาคมอาเซียนเพื่อหารือประเด็นด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ และเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางสารสนเทศที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยอาเซียนต้องใช้ความพยายามร่วมกันเพื่อการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างกัน โดยฝ่ายไทยได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและได้เสนอประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ เช่น สนับสนุนให้อาเซียนร่วมกันผลักดันและสร้างความพร้อมเพื่อยกระดับการพัฒนาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือพิเศษกับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศคู่เจรจาอาเซียน ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา โดยประเทศคู่เจรจาของอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับการหารือระหว่างภูมิภาคที่ควรมีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และเน้นย้ำถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศระหว่างอาเซียนและคู่เจรจาของอาเซียน เพื่อลดช่องว่างทางนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ ๒. งาน The 2nd Singapore International Cyber Week เป็นงานที่เปิดโอกาสให้รัฐมนตรีและผู้บริหารด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศจากประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมงานได้กล่าวถ้อยแถลง โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ซึ่งคาดการณ์ว่า ในปี ๒๕๖๕ จะขาดแคลนบุคลากรในด้านดังกล่าวจำนวน ๑.๘ ล้านคนทั่วโลก รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดมาตรฐานสากลในการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้หารือทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา ลาว เมียนมา และสิงคโปร์ โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น (๑) ไทยได้เชิญชวนให้บริษัทด้าน Cybersecurity ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยในโครงการ Digital Park Thailand (๒) ลาวได้เสนอให้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างไทยและลาวว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (๓) เมียนมาขอให้ไทยสนับสนุนและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ การเงินเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และ (๔) ไทยและสิงคโปร์หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างไทยและสิงคโปร์ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 190 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 14/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างวันที่ ๑-๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การพบปะหารือกับ Sir. Mark Walport (Chief Executive Designate of UK Research and Innovation : UKRI) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การร่วมมือกันในด้านการวิจัยและพัฒนาในสาขาที่ทั้งสองประเทศมีความเชี่ยวชาญ และ (๒) การผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร ๒. การพบปะหารือกับ Ms. Frederique Vidal (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมของฝรั่งเศส) ฝ่ายไทยได้แสดงความสนใจต่อโครงการการแลกเปลี่ยนนักเรียนและนักวิจัยระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intention : LOI) มีเนื้อหาเกี่ยวกับความตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอเรื่องความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งฝ่ายไทย โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จะพิจารณาและดำเนินการต่อไป ๓. การเข้าร่วมประชุมประจำปี STS forum ครั้งที่ ๑๔ [The 14th Meeting on Science and Technology in Society (STS) forum] นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวถึงความเชื่อมั่นต่อการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมบรรยายและนำเสนอมุมมองในการประชุม “Concurrent Session : Bridging Science and Technology with Society and Politics” โดยกล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมและการเมือง และการให้วิสัยทัศน์ต่อนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของนักการเมือง เป็นต้น ๔. การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T Minister’s Roundtable Meeting) โดยมีหัวข้อหลักการประชุม ได้แก่ “บทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสังคมแห่งอนาคต-สังคม ที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” [The Role of Science, Technology and Innovation (STI) for Future Society-Human-Centered Society to be Reallzed through Society 5.0] ๕. การพบปะหารือกับผู้บริหารของธนาคาร Sumitomo Mitsui Banking Corp. (SMBC) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและคณะได้พบปะหารือกับบริษัทเอกชนด้านอาหารและยาขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และได้เชิญชวนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ Food Innopolis และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of innovation : EECi) ของไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 191 | ผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ | 14/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ (๑) การกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (๒) การรับรองข้อริเริ่มหนิงโปว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมล้านช้าง-แม่โขง (Ningbo Initiative on Lancang-Mekong Cultural Cooperation) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกด้านวัฒนธรรม การเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม สร้างรูปแบบการทำงานร่วมกันและเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนระดับบุคคลในทุกระดับให้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนา การรักษา การบริหารจัดการ การถ่ายทอดวัฒนธรรมและศิลปะในด้านต่าง ๆ และ (๓) การเข้าร่วมหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะร่วมกับคณะผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายจีน และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงเพื่อขับเคลื่อนงานตามภารกิจที่รับผิดชอบภายใต้กรอบความร่วมมือและบูรณาการดำเนินงานร่วมกันต่อไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 192 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 07/11/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๓๔๙ หน่วยงาน จาก ๘,๔๑๑ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๒๖ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ดังนี้ (๑) หน่วยงานภาครัฐต้องนำส่งงบการเงินให้กรมบัญชีกลางเพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมของภาครัฐให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ (๒) ควรให้มีการบูรณาการการบริหารสินทรัพย์และเงินลงทุนของกลุ่มส่วนราชการ (๓) ควรจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้สอดคล้องกับฐานะการเงินขององค์การมหาชนและหน่วยงานอิสระ (๔) ควรให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกำหนดแนวทางการบริหารเงินฝากธนาคารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และ (๕) ควรมีการเพิ่มการใช้จ่ายของ อปท. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างถูกต้อง ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งบันทึกและส่งข้อมูลงบการเงินภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้การบันทึกและส่งข้อมูลรายงานการเงินประจำปีเป็นเกณฑ์การประเมินของผู้บริหารระดับหน่วยงานนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด ๓. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีหน่วยงานที่มีรายได้เงินงบประมาณมากกว่าที่มีการใช้จ่ายจริง หรือมีเงินสะสมคงเหลือ เห็นควรพิจารณานำเงินดังกล่าวมาใช้จ่ายในลำดับแรก หรือสมทบกับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงความจำเป็น ความคุ้มค่า และความเหมาะสม เพื่อให้เม็ดเงินได้กระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเป็นการแบ่งเบาภาระทางการคลังของประเทศ รวมทั้งควรเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การบริหารจัดการด้านการเงินการคลังของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 193 | รายงานผลการดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงสนามกอล์ฟบางพระ จังหวัดชลบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 | กค | 24/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงสนามกอล์ฟบางพระ จังหวัดชลบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙ สรุปได้ว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแจ้งความประสงค์ขอส่งมอบกิจการสนามกอล์ฟบางพระให้กรมธนารักษ์ แต่หากกรมธนารักษ์ประสงค์จะให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบริหารจัดการต่อไป ขอให้พิจารณายกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ซึ่งกรมธนารักษ์ไม่สามารถให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระโดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ตามที่เสนอได้ และเพื่อให้การดำเนินการบริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระเป็นไปด้วยความต่อเนื่องในระหว่างที่กรมธนารักษ์ดำเนินการหาเอกชนร่วมลงทุนในกิจการสนามกอล์ฟบางพระตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ จึงได้ทำความตกลงกับบริษัท ธนารักษ์ พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกรมธนารักษ์เป็นผู้บริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระเป็นการชั่วคราวไม่เกินระยะเวลา ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดการดำเนินการหาเอกชนร่วมลงทุนในกิจการสนามกอล์ฟบางพระตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เป็นผู้บริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระเป็นการชั่วคราว (ภายใน ๒ ปีนับตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐) ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นว่า ในการเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการสนามกอล์ฟบางพระ ให้กรมธนารักษ์คำนึงถึงผลประโยชน์ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นวัตถุประสงค์เดิมที่มอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ และในการดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ความจำเป็นและเหมาะสม การแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 194 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 3 (12 กันยายน 2559 - 12 กันยายน 2560) | นร | 17/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) อีกครั้งหนึ่ง และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการภายในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) เพื่อเผยแพร่และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๔. ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดทำรูปแบบการนำเสนอที่ง่ายต่อการสื่อสารและสร้างความเข้าใจ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 195 | รายงานการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และราชอาณาจักรสเปน | รง | 03/10/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และราชอาณาจักรสเปน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยการเดินทางไปราชการ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการโลกแห่งการทำงาน และสถาบันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ณ เมืองดอร์ทมุน รวมทั้งตรวจเยี่ยมผู้ประกอบการร้านอาหารไทย ณ เมืองแฟรงก์เฟิร์ตอัมไมน์ สำหรับการเดินทางไปราชการ ณ ราชอาณาจักรสเปน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้เข้าพบเพื่อหารือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับระบบบริหารจัดการแรงงานขนถ่ายสินค้าทางทะเลกับผู้บริหารการท่าเรือภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งราชอาณาจักรสเปน และหารือกับเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน ถึงความเป็นไปได้และโอกาสในการขยายตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 196 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลาง | นร11 | 19/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลาง ได้แก่ (๑) สรุปผลการพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคกลาง เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ (๒) ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคกลางของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคกลางไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 197 | สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 2/2560 | คค | 12/09/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ประกอบด้วย เรื่องเพื่อทราบจำนวน ๔ เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องสืบเนื่องเพื่อทราบจากการประชุม คจร. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินโครงการตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (๒) ผลการดำเนินงานภายใต้ MOU ที่มอบหมายให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้บริหารจัดการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (๓) รายงานการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบ และวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของระบบมวลชนจังหวัดภูเก็ต (รถไฟรางเบา จังหวัดภูเก็ต) (๔) ความคืบหน้าการดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเมืองภูมิภาค (จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดภูเก็ต และเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา) และเรื่องพิจารณา ๑ เรื่อง คือ โครงการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และออกแบบรายละเอียดโครงข่ายทางเชื่อมระหว่างทางยกระดับอุตราภิมุขและทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 198 | การดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชน | คค | 29/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชน ในปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ประกอบด้วย การจัดตั้งหน่วยงานบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม (CTC) และการดำเนินงานบูรณาการระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) เพื่อใช้งานระบบตั๋วร่วม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการนำระบบตั๋วร่วม (e-ticket) มาใช้ในการเชื่อมการเดินทางของประชาชนอย่างครบวงจรให้เสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ โดยข้อเสนอที่จะมีการให้สิทธิหรือโอนสิทธิให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยใช้ระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH) นั้น เห็นควรดำเนินการตามระเบียบการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ตลอดจนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการโอนสิทธิระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (CCH) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ การจัดตั้งบริษัทเพื่อเป็นผู้บริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบตั๋วร่วม เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจัดตั้ง/ร่วมทุน และกำกับดูแลบริษัทในเครือของรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 199 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | นร11 | 22/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ (๑) การพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ และ (๒) ผลการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีได้เสนอเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มเติมจากสรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการน้ำ (๒) การพัฒนาการเกษตร (๓) การพัฒนาฝีมือแรงงาน (๔) การแก้ไขปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิต (๕) การบริหารจัดการด่านศุลกากรและการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษบริเวณชายแดน และ (๖) การพัฒนาเส้นทางคมนาคม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรี่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 200 | ผลการจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 และกิจกรรมคู่ขนาน | พณ | 15/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 และกิจกรรมคู่ขนาน ระหว่างวันที่ ๒-๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดงาน ASEAN-India Expo and Forum 2017 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๐ ภายในงานมีคูหา Country Pavilion ๑๑ ประเทศ และคูหาแสดงสินค้า ประกอบด้วย อินเดีย ๔๘ คูหา อาเซียน ๙๐ คูหา และไทย ๕๕ คูหา รวมทั้งมีการจัดสัมมนา (Forum) สำหรับการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและภาคเอกชนจากอาเซียนและอินเดีย ภายใต้แนวคิด “Strategic Economic Partnership and Connectivity” ใน ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การค้าและการลงทุน (๒) การท่องเที่ยวและความเชื่อมโยงของคน และ (๓) ความเชื่อมโยงระหว่างสองภูมิภาค ๒. การจัดกิจกรรมคู่ขนาน ได้แก่ (๑) การเจรจาธุรกิจระหว่างผู้บริหารระดับสูงภาคเอกชนของไทยกับของอาเซียนและอินเดีย (๒) การสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างนักธุรกิจรุ่นใหม่ (๓) การเลี้ยงต้อนรับคณะรัฐมนตรีและเอกชนอาเซียนและอินเดีย (๔) การเยี่ยมชมเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และ (๕) การจับคู่ธุรกิจยางพารา และผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเร่งรัดการส่งออก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
