ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 121 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 99 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 28/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 (G20 Finance Ministers and Central Bank Governors Meeting) การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๙ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง G20 ที่ประชุมได้รับฟังรายงานความคืบหน้าในประเด็นที่ประเทศญี่ปุ่นต้องการผลักดันและให้ความสำคัญ ได้แก่ การศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลในเศรษฐกิจโลก (Global Imbalance) ผลกระทบเชิงนโยบายของสังคมสูงอายุ (Aging and tis policy implications) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ (Quality Infrastructure Investment) การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage) และการศึกษามาตรการภาษีระหว่างประเทศ (International Taxation) ๒. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ ๙๙ ที่ประชุมได้สนับสนุนแนวทางที่ธนาคารโลกจะใช้เงินเพิ่มทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญแก่ประเทศสมาชิก ดำเนินนโยบายสร้างตลาดเชิงรุกเพื่อพัฒนาภาคเอกชนให้แข็งแกร่ง รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในกลุ่มประเทศรายได้น้อย สนับสนุนการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีความสามารถด้านเทคโนโลยี และเรียกร้องให้ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศรายได้น้อยให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนและเหมาะสม ๓. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แก่ การประชุมหารือกับผู้แทนธนาคารโลก การประชุมหารือทวิภาคีกับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างประเทศ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณะผู้แทนไทย ได้แก่ การสัมมนาภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกับ Asia and Pacific Department (APD) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) การสัมมนา Fiscal Forum ในหัวข้อ Investing in People and Infrastructure และการประชุมเพิ่มทุนในสมาคมพัฒนาการระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๑๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 122 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลังพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | สว | 07/05/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลังพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของผู้ทำการแทน ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้รักษาการแทน หรือผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลังได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า การกำหนดผู้มีอำนาจแต่งตั้งบุคคลผู้ทำหน้าที่แทนผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ เป็นกรณีที่บัญญัติไว้ในกฎหมายจัดตั้งรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง และไม่มีกฎหมายกลางกำหนดไว้เป็นมาตรฐาน และเมื่อพิจารณามาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ จะเห็นได้ว่า การแต่งตั้งกรรมการหรือพนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประกอบกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่ได้ประสบปัญหาในการดำเนินการแต่งตั้งผู้รักษาการแทน ในชั้นนี้อาจยังไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ และโดยที่ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปแบบการบัญญัติกฎหมาย และปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างเสนอร่างพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีหลักการเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๙ ดังกล่าวด้วย ดังนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอาจนำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เป็นข้อมูลประกอบการตรวจพิจารณาขั้นตอนนิติบัญญัติต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 123 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หรือคณะบุคคล พ.ศ. .... | รง | 30/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หรือคณะบุคคล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หรือคณะบุคคล เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรเพิ่มเติมหมวดวิชา “การจัดบริหารอาชีวเวชกรรมในสถานประกอบการ” ในหลักสูตรผู้บริหารหน่วยงานความปลอดภัย สำหรับลูกจ้างที่เป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างาน หรือระดับบริหาร และหลักสูตรผู้บริหารหน่วยงานความปลอดภัย สำหรับลูกจ้างที่เป็นหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค หรือระดับเทคนิคชั้นสูง ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 124 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น | รง | 05/03/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้แก่คนต่างด้าว ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น รวมถึงผู้ติดตามที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุน และดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหรือทักษะสูงให้เข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาล อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 125 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเห็นควรแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และควรให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเตรียมการออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับกระบวนการสอบสวนและวินิจฉัยเพื่อใช้บังคับกับกระบวนการสอบสวนและวินิจฉัยผู้บริหารและสมาชิกสภาเมืองพัทยา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 126 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2560 | กค | 26/02/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๖๐ มีรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในระบบประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจทั้งสิ้น จำนวน ๕๔ แห่ง ประกอบด้วย ๒ ระบบ ได้แก่ (๑) ระบบการบริหารจัดการองค์กร ผลการประเมินในภาพรวม รัฐวิสาหกิจมีคะแนนเฉลี่ยที่ ๓.๐๖๔๔ คะแนน เพิ่มขึ้น ๐.๑๔๑๓ คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกับปี ๒๕๕๙ เนื่องจากผลการดำเนินการตามนโยบายของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น และ (๒) ระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ผลการประเมินในภาพรวม รัฐวิสาหกิจมีคะแนนเฉลี่ยที่ ๓.๘๕๙๙ คะแนน ลดลง ๐.๑๒๕๙ คะแนน เนื่องจากไม่สามารถบริหารแผนลงทุนได้ตามเป้าหมาย รวมถึงผลสำรวจ Employee Engagement ที่มีระดับลดลง ทั้งนี้ คณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากรายงานผลการประเมินผลฯ เพิ่มเติม เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์องค์กร การกำกับดูแลกิจการที่ดี การเสริมสร้างทรัพยากรด้านดิจิทัล การสร้างเสริมนวัตกรรม และการวางแผนบุคลากร เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการประเมินผลฯ อย่างเคร่งครัดต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น การเตรียมความพร้อมในการกำหนดบทบาทและทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี การเร่งสรรหาผู้บริหารสูงสุดที่ยังว่างอยู่ และการส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีบทบาทในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจนมากขึ้น และสามารถเร่งรัดการลงทุนและวางแผนการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้รัฐวิสาหกิจขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กรให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่ควรให้มีการปรับลดเป้าหมายตัวชี้วัดในระหว่างรอบการประเมิน เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจสามารถสะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการให้ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจมีส่วนร่วมรับผิดชอบในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีผลการประเมินไม่เป็นไปตามเกณฑ์เป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 127 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 | นร11 | 15/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ (เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และลำพูน) เมื่อวันอังคารที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๒ ณ มหาวิทยาลัยราชกัฏลำปาง ตำบลชมพู อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง และเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 128 | รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีและเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) (เขตบริหารพิเศษฮ่องกง) | พณ | 15/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลี และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การจัดกิจกรรม “Thailand-Korea Business Partnership 2018” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำความพร้อมของไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเป็นสะพานเชื่อมสู่อนุภูมิภาคต่าง ๆ ของเอเชีย และได้มอบใบประกาศเกียรติคุณแก่บริษัทผู้นำเข้าเกาหลี รวมทั้งมอบเกียรติบัตรร้านอาหารไทยที่ได้มาตรฐาน (๒) การหารือกับผู้บริหารและเยี่ยมชมบริษัท Coupang (บริษัทอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในเกาหลี) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ขยายความร่วมมือกับบริษัทฯ ในการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับจำหน่ายสินค้าไทยบนเว็บไซต์ และ (๓) การหารือกับประธานสมาคมผู้นำเข้าเกาหลี (KOIMA) เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศให้เกิดการขยายการค้าสินค้าและบริการระหว่างไทยและเกาหลี ๒. ผลการเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ ๒๗-๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ได้แก่ (๑) การต่อยอดความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนในการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์สองภูมิภาค โดยใช้ประโยชน์จากการเป็นประตูการค้าซึ่งกันและกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้มีการหารือกับบุคคลสำคัญต่าง ๆ เพื่อเน้นย้ำศักยภาพและความพร้อมของไทยในการรองรับการค้าการลงทุนจากจีน การจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย และการจัดให้มีความตกลงเสรีการค้าอาเซียน-ฮ่องกง (๒) การขยายตลาดข้าวไทยในฮ่องกง ได้มีการพบกับผู้บริหารสมาคมผู้ค้าข้าวฮ่องกงเพื่อหารือแนวทางผลักดันการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้บริหารสมาคมฯ มีความสนใจที่จะทำ Co-Branding กับผู้ประกอบการท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ของไทย และ (๓) การเชิญบริษัท Tom Group เยือนไทยเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการลงทุนยกระดับร้านค้าปลีกดั้งเดิมของไทยเป็นร้านค้าขายผ่านระบบออนไลน์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 129 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 3 - 7 พฤศจิกายน 2561 | พณ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๓-๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) การเข้าร่วมพิธีเปิดงานมหกรรมแสดงสินค้านำเข้านานาชาติ ครั้งที่ ๑ ซึ่งงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำเข้าและลดการขาดดุลของประเทศคู่ค้าตามนโยบายเปิดเสรีการค้ากับทั่วโลก มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า ๓,๖๐๐ บริษัท จาก ๑๗๒ ประเทศ โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม ๖๓ บริษัท (๒) การกล่าวปาฐกถาในเวที The Trade and Investment ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ซึ่งได้กล่าวแสดงความยินดีกับจีนในวาระครบรอบ ๔๐ ปี ของการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ และย้ำความพร้อมของไทยที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเป็นสะพานเชื่อมอนุภูมิภาคต่าง ๆ ของเอเชีย (๓) การเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑ (นายหาน เจิ้ง) และมนตรีแห่งรัฐ (นายหวัง หย่ง) โดยทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน โดยจีนพร้อมสนับสนุนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างอนุภูมิภาคกับมณฑลของจีน โดยมีไทยเป็นตัวเชื่อม ตลอดจนสนับสนุนบทบาทของไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี ๒๕๖๒ และร่วมผลักดันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคให้มีข้อสรุปโดยเร็ว (๔) การหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของเอกชนรายสำคัญของจีน เช่น บริษัทอาลีบาบา ซึ่งยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับไทยในการพัฒนาด้านการส่งเสริมสินค้าเกษตรไทยในตลาดจีน ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาศักยภาพและร่วมพัฒนารูปแบบธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนเสนอให้ไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันโครงการการค้าระหว่างประเทศผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดปัญหาความยากจนของประชาคมโลก โดยให้การค้าออนไลน์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญ เป็นต้น และมอบหมายให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 130 | ผลการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. 2018 ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ดศ | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ (Plenipotentiary Conference 2018 หรือ PP-18) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้มีการเลือกตั้งตำแหน่งผู้บริหารของ ITU วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๒ โดยไทยได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาบริหาร ITU ภูมิภาคอี เป็นสมัยที่ ๑๐ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ (ไทยได้คะแนน ๑๖๔ คะแนน เป็นลำดับที่ ๔ รองจากจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ตามลำดับ) เพื่อทำหน้าที่พิจารณากำหนดนโยบายและวางแผนงานด้านโทรคมนาคม สำหรับผลการประชุมฯ ได้มีการพิจารณาใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ด้านนโยบายและกฎหมายเพื่อจัดทำแผนงานสำหรับสำนักงานเลขาธิการ และสำนักงานทั้ง ๓ ภาคของ ITU (ภาคการพัฒนาโทรคมนาคม ภาคมาตรฐานโทรคมนาคม และภาควิทยุคมนาคม) รวมทั้งเรื่องกฎระเบียบโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ไม่มีการแก้ไขธรรมนูญและอนุสัญญา ITU (๒) ด้านการบริหารและการจัดการ ที่ประชุมฯ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ รายงานและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ และพิจารณาข้อเสนอเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ITU ในด้านการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคล รวมถึงการจัดกิจกรรมของ ITU ๒๐๒๐-๒๐๒๓ และ (๓) นโยบายสาธารณะและเรื่องทั่วไป ประกอบด้วย ประเด็นเรื่องอินเทอร์เน็ตและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การดำเนินงานของ ITU ตามผลการประชุมการสร้างสังคมสารสนเทศโลก (World Summit on the Information Society) วาระ ๒๐๒๐ (Connect 2020) และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๒๐๓๐ และบทบาทของ ITU ในประเด็นท้าทายใหม่ ๆ เช่น IoTs AI นวัตกรรมการให้บริการ Over-The-Top หรือ OTTs (การส่งเนื้อหาภาพยนตร์หรือรายการทีวีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตโดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าสมาชิกให้กับบริการนั้น ๆ) นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองข้อมติในเรื่อง OTTs, AI, IoTs และการลงนามในกรรมสารสุดท้าย (Final Acts) เพื่อรับรองผลการประชุม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 131 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเข้าร่วมงาน Tourism Expo Japan 2018 ณ กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมงานพิธีเปิด Tourism Expo Japan 2018 และเข้าร่วมพิธีมอบรางวัล Japan Tourism Awards 2018 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้แทนขึ้นรับรางวัล Excellent Partner จากโครงการ 12 Hidden Gems ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการที่นำเสนอเสน่ห์และวัฒนธรรมของ ๑๒ เมืองใหม่ต้องห้ามพลาด (เช่น ลำปาง เพชรบูรณ์ ราชบุรี และชุมพร เป็นต้น) เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในเมืองรองให้มากขึ้น รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรม “The 2nd TEJ Ministerial Round Table in Collaboration with UNWTO” จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง Japan Travel and Tourism Association (JTTA) Japan National Tourism Organization (JNTO) และหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ซึ่งได้เชิญรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวจาก ๑๒ ประเทศทั่วโลก พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากองค์การการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ กรรมาธิการทบวงการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น และผู้ว่าราชการกรุงโตเกียว เข้าร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการและการแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการท่องเที่ยวในมิติต่าง ๆ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนเตรียมการด้านการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางที่ยั่งยืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารทำความเข้าใจและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ชุมชนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ๒. กิจกรรมของไทยในงาน Tourism Expo Japan 2018 ได้มีการจัดพื้นที่เพื่อเป็นสถานที่ดำเนินการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ซื้อในตลาดญี่ปุ่นและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยภายใต้แนวคิด “Open to the New Shades” โดยนำเสนอการท่องเที่ยวเมืองรองจังหวัดกาฬสินธุ์ และได้จัดพื้นที่เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวของไทยให้กับผู้ซื้อและประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมงาน รวมทั้งยังมีพื้นที่จัดแสดงและสาธิตศิลปวัฒนธรรมที่อยู่ภายใต้แนวคิดเดียวกัน ๓. งาน Tourism Expo Japan 2018 ครั้งนี้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยภายในงานมีคูหาที่เข้าร่วมทั้งจากภาครัฐและเอกชนรวมทั้งสิ้น ๑,๔๔๑ คูหา และมีผู้สนใจเข้าชมงานตลอดระยะเวลาการจัดงาน จำนวน ๒๐๗,๐๐๐ คน ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่เข้าร่วมงานดังกล่าวเห็นว่า การจัดงานในครั้งนี้ได้สร้างโอกาสในการนำเสนอข้อมูลด้านสินค้าและบริการใหม่ ๆ ให้แก่คู้ค้าได้เป็นอย่างดี และถือเป็นเวทีสำคัญที่ให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทยทั้งรายใหม่และรายเก่าที่มุ่งกระตุ้นตลาดญี่ปุ่นได้มีโอกาสพบปะเจรจาธุรกิจกับตัวแทนบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่ได้โดยตรง นับเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรรายเดิมและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับคู่ค้ารายใหม่อีกด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 132 | ผลการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) on ASEAN ประจำปี 2561 | กต | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) on ASEAN ประจำปี ๒๕๖๑ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ กันยายน ๒๕๖๑ ภายใต้หัวข้อ “ASEAN 4.0 : Entrepreneurship and the Fourth Industrial Revolution” โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกล่าวอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์ภายใต้หัวข้อ “อนาคตของอาเซียนในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๔ (4th Industrial Revolution หรือ 4IR)” โดยผู้แทนจากอินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา และไทย เห็นพ้องว่า การเผชิญการเปลี่ยนแปลงในยุค 4IR และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สมาชิกอาเซียนควรให้ความสำคัญใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๒) การส่งเสริมความเชื่อมโยงทั้งกายภาพ ดิจิทัล กฎระเบียบ และประชาชน และ (๓) การสร้างการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ๒. การหารือระหว่างผู้แทนภาครัฐกับผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชน โดยภาคเอกชนได้เสนอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ [การศึกษาตลอดชีพ (Life-Long Learning) และการทบทวนทักษะ (Re-training)] และควรให้มีการพัฒนาการใช้เงินทุนจากธุรกิจประกันภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเห็นควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ ๓. การเสวนาวาระพิเศษหัวข้อ “A New Vision for the Mekong Region” โดยผู้แทนจากไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา และเมียนมา ได้เข้าร่วมการเสวนาและเห็นพ้องว่า การรวมกลุ่มของประเทศในลุ่มน้ำโขงได้สร้างความร่วมมืออันเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมต่อไป รวมถึงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) จะช่วยผลักดันความเชื่อมโยงในภูมิภาคทั้งด้านกายภาพและด้านสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 133 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 4 (12 กันยายน 2560-12 กันยายน 2561) | นร | 18/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณารายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๔ (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๑๒ กันยายน ๒๕๖๑) และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการภายในวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๔ (วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๑๒ กันยายน ๒๕๖๑) จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม เพื่อเผยแพร่และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๔. ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 134 | รายงานสรุปผลการเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม Green Industry Conference (GIC) ครั้งที่ 5 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมจากการเยือนประเทศไทยของผู้อำนวยการใหญ่ UNIDO | อก | 18/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม Green Industry Conference (GIC) ครั้งที่ ๕ ภายใต้หัวข้อ “อุตสาหกรรมสีเขียวเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมจากการเยือนประเทศไทยของผู้อำนวยการใหญ่องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization : UNIDO) ระหว่างวันที่ ๓-๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร โดยกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงพิธีเปิดการประชุมฯ ได้แก่ การกล่าวปาฐกถาเปิดการประชุม การแลกเปลี่ยนแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique) ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและ UNIDO และการเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามในประกาศเจตนารมณ์ร่วม (Joint Declaration) ระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและ UNIDO นอกจากนี้ ยังมีการหารือทวิภาคีระหว่างผู้อำนวยการใหญ่ UNIDO กับผู้บริหารระดับสูงของไทย เช่น การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่ง UNIDO แสดงความสนใจที่จะร่วมมือเกี่ยวกับการริเริ่มโครงการ Inno-space network และความร่วมมือเพื่อเชื่อมโยงไปสู่อนุภูมิภาคเพื่อพัฒนา SMEs ผ่านการยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดย UNIDO มีนโยบายสนับสนุนความร่วมมือแบบใต้-ใต้ และยินดีแบ่งปันความชำนาญกับไทยในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่ง UNIDO ประสงค์จะริเริ่มความร่วมมือใหม่ ๆ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาโรงงานผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กในพื้นที่ชนบท และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น รวมทั้งการเข้าเยี่ยมชมศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) สาขากรุงเทพฯ ของผู้อำนวยการใหญ่ UNIDO และคณะ ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอข้อริเริ่มความร่วมมือกับ UNIDO เช่น ให้ UNIDO รวบรวมแนวทางการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรม ๔.๐ จากประเทศต่าง ๆ ที่น่าสนใจสำหรับเป็นแนวทางปฏิบัติให้ประเทศสมาชิก และการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการออกแบบแนวทางการดำเนินการด้านอุตสาหกรรม ๔.๐ ในบริบทของไทย เป็นต้น ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 135 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 | นร11 | 13/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (หนองคาย อุดรธานี เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย จังหวัดหนองคาย ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การยกระดับการผลิตและการสร้างมูลคาเพิ่มผลผลิต การท่องเที่ยว และการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งข้อสั่งการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิจารณาแนวทางและรูปแบบการบริหารการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรไปทดลองกับพื้นที่ที่มีความเหมาะสมโดยใช้หลักคิดเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 136 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยมาตรการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) มาตรการด้านการบริหาร (๓) มาตรการด้านการตรวจสอบ กำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๔) มาตรการด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้หารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น โดยส่วนราชการดังกล่าวเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางประเด็นอาจจะขัดแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายในปัจจุบัน เช่น ประเด็นการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานโดยมาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นการดำเนินการที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเด็นการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดให้สมาชิกสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา นั้น ปัจจุบันได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และในประเด็นมาตรการปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานที่มาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ อาจไม่สอดคล้องกับนโยบายการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นควรให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 137 | การปรับโครงสร้างองค์กร [บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] | นร | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการปรับปรุงพัฒนาการบริหารจัดการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และสามารถแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพในธุรกิจการขนส่งทางอากาศในปัจจุบัน จึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง/มาตรการในการปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการองค์กรของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เหมาะสมและเป็นไปตามเจตนารมณ์ข้างต้น ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดแนวทาง/มาตรการดังกล่าว ให้คำนึงถึงปัญหาพื้นฐานต่าง ๆ ที่สำคัญขององค์กรด้วย เช่น ความซ้ำซ้อนของการจัดโครงสร้างองค์กรในระดับบริหารและความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ (Career Path) ของบุคลากรระดับปฏิบัติการ การกำหนดสิทธิประโยชน์ของบุคลากร ผู้บริหาร และคณะกรรมการ การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้จากทรัพย์ที่มีอยู่ขององค์กร เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 138 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....รวม 2 ฉบับ | มท | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นได้สะดวกและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมการใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เช่น การกำหนดบทนิยามของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การกำหนดผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและผู้มีสิทธิถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น การกำหนดอัตราโทษทางอาญาสำหรับความผิดฐานปลอมลายมือชื่อ การกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาให้มีการใช้สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอน นั้น ควรกำหนดให้ผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น และกำหนดหลักประกันว่าผู้พิการทางสายตาจะสามารถรับทราบเนื้อหาในข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มีการเข้าชื่อเสนอแต่ละครั้งด้วย รวมทั้งควรกำหนดแบบฟอร์มเอกสารที่กำหนดรายละเอียดให้ประชาชนกรอกข้อมูลได้โดยง่ายและสะดวก และกำหนดช่องทางในการปิดประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ การพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นของสภาท้องถิ่น ควรมีการกำหนดให้ผู้แทนผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นมีสิทธิเข้าร่วมในการประชุมคณะกรรมการสภาท้องถิ่นในกรณีพิจารณาหลักการของข้อบัญญัติท้องถิ่น และควรมีหลักประกันความต่อเนื่องในการพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มาจากการเข้าชื่อเสนอของประชาชน ส่วนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรให้ผู้ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง ควรคำนึงถึงจำนวนคะแนนเสียงที่ใช้ในการถอดถอนที่ต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในท้องที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 139 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 3 ฉบับ) | สลธ.คสช. | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๖/๒๕๖๑ เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๓/๒๕๖๑ เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ เพื่อผ่อนผันและขยายเวลาให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยังคงดำเนินการต่อไปตามหน้าที่ในการตรวจหรือเปลี่ยนแปลงเขตเลือกตั้งได้ในกรณีได้รับเรื่องร้องเรียน และให้กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกให้ชัดเจนขึ้น ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๗/๒๕๖๑ เรื่อง การยกเว้นภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรบางกรณี ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้พึงประเมินสำหรับดอกเบี้ยพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และดอกเบี้ยพันธบัตรกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและสร้างความเข้มแข็งให้แก่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ และการใช้พันธบัตรของรัฐบาลให้เป็นอย่างเดียวกัน ๓. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๘/๒๕๖๑ เรื่อง การดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งผู้บริหารขององค์กรที่มีความรู้ความเข้าใจในการบริหารงานของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติอันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 140 | การปรับปรุงคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และสิทธิประโยชน์สำหรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) | นร13 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาการบริการด้านการระงับข้อพิพาททางเลือกว่า ปัจจุบันไทยมีสถาบันอนุญาโตตุลาการอยู่หลายแห่ง เช่น สถาบันอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม สำนักอนุญาโตตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานการยุติการดำเนินคดีแพ่งและอนุญาโตตุลาการ สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งจากการหารือกับประเทศสมาชิกอาเซียนหลายประเทศมีความต้องการตรงกันที่จะขอให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของอาเซียนในด้านการอนุญาโตตุลาการ แต่เนื่องจากบุคลากรด้านการอนุญาโตตุลาการของไทยยังขาดแคลนและขาดความชำนาญและความเชี่ยวชาญในการดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทอย่างรอบด้าน ดังนั้น หากมีการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายในสาขาดังกล่าว จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและดึงดูดชาวต่างชาติที่จะเข้ามาดำเนินงานเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาท รวมทั้งจะทำให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติแก่บุคลากรไทย ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชี้แจงว่า เนื่องจากเรื่องต่าง ๆ ที่เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไทยจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปดำเนินการตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่ประเทศสิงคโปร์เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูง ดังนั้น จึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายสาขาดังกล่าวเพื่อให้ไทยสามารถดำเนินการตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้เอง รวมทั้งเป็นการฝึกทักษะและเพิ่มศักยภาพของบุคลากรไทยด้วย ๒. เห็นชอบการปรับปรุงคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และสิทธิประโยชน์ ภายใต้การตรวจลงตราประเทศคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart Visa) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ทั้งนี้ ให้คงหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้คนต่างชาติ (ผู้ได้รับสิทธิหลัก) ต้องไม่ทำงานต้องห้าม ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นเดิม และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรทำความเข้าใจแนวทางปฏิบัติและนิยามที่เกี่ยวข้องร่วมกันเพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติใช้ให้เกิดผลได้อย่างจริงจัง ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้คนต่างชาติซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นรับทราบหลักเกณฑ์และแนวทางในการขอรับการรับรองในเรื่องที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง ควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ รวมทั้งวางระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเพื่อใช้ในการปรับปรุงโครงการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
