ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 161 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 12/06/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี) ระหว่างวันที่ ๓๑ พฤษภาคม-๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจร (Bio Hub) อย่างยั่งยืน (๒) ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร (๓) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๔) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และ (๕) ด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอรับการสนับสนุนการปรับปรุงสนามบินเกษตรนครสวรรค์เพื่อเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าว แล้วรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประสานงานกับภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของภาค กลุ่มจังหวัด และจังหวัด ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมเพื่อนำมาเป็นข้อมูลหลักสำหรับจัดทำข้อเสนอในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด โดยข้อเสนอดังกล่าวต้องมีความเชื่อมโยงกับโครงการ/แผนงานตามนโยบายของรัฐบาลทั้งโครงการ/แผนงานที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้วหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 162 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการบริหารองค์การมหาชน และขอจัดกลุ่มองค์การมหาชน | นร | 28/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงาน และการประเมินผลองค์การมหาชน) วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง แนวทางการบริหารของคณะกรรมการองค์การมหาชน) และวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง การจัดกลุ่มองค์การมหาชนกรณีสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)] เกี่ยวกับการบริหารองค์การมหาชน และขอจัดกลุ่มองค์การมหาชน ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) การปรับหลักเกณฑ์การกำหนดกรอบวงเงินรวมสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสำหรับองค์การมหาชนใหม่ (๒) การจัดกลุ่มใหม่สำหรับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ และสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) และ (๓) กำหนดให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ ๑ พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญเฉพาะด้าน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าความจำเป็นและไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ และให้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาเป็นประจำทุกปี เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การปรับกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเป็นไม่เกินร้อยละ ๔๐ ของแผนการใช้จ่ายเงินประจำปี การยกเว้นการกำหนดให้องค์การมหาชนที่มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรต่อแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีเกินกว่าที่กำหนดไว้ต้องส่งแผนการปรับปรุงค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเป็นเวลา ๓ ปี เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณา การทบทวนหลักเกณฑ์และปรับปรุงการจัดกลุ่มองค์การทั้งหมดโดยรวมใหม่ตามสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และนโยบายปัจจุบัน การกำหนดนโยบายหรือหลักเกณฑ์ในการให้ผู้บริหารลำดับที่ ๑ และ ๒ ขององค์การมหาชนเข้าดำรงตำแหน่งและหมดวาระการดำรงตำแหน่งพร้อมกันเพื่อประโยชน์ในการบริหารองค์การต่อไป และการให้หน่วยงานจัดทำแผนอัตรากำลังและแผนการใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคลากรให้สอดคล้องกับภารกิจและบทบาทของหน่วยงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) และกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาที่กำหนดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ [เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เร่งศึกษาแนวทางการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายขององค์การสวนสัตว์ให้สอดรับกับแนวทางการโอนสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ (เรื่อง รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๘ เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชน) ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 163 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก โดยเห็นชอบการยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างสองประเทศครอบคลุมสาขาต่าง ๆ เช่น การสำรวจทรัพยากรแร่ การส่งเสริมการลงทุนในการใช้ประโยชน์ การค้าและการสร้างมูลค่าเพิ่มทรัพยากรแร่ การวิจัยและเทคโนโลยี รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างไทยและโมซัมบิก เป็นต้น โดยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิกของคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนการค้า ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เพื่อขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศในภูมิภาคแอฟริกา รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว และหลังจากการลงนามแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงของราชอาณาจักรไทยต่อสาธารณรัฐโมซัมบิกอย่างเป็นทางการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจดังกล่าวให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจากการดำเนินกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อให้การกำหนดกิจกรรม โครงการ และกระบวนการการดำเนินการต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศสามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติและนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาทรัพยากรแร่ของทั้งสองประเทศในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 164 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เครือรัฐออสเตรเลีย | วธ | 08/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เครือรัฐออสเตรเลีย ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีเปิดงานเทศกาลวัฒนธรรมและอาหารไทย ณ นครเมลเบิร์น ครั้งที่ ๑๕ (15th Thai Culture & Food Festival) ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธุรกิจขนาดเล็ก นวัตกรรม และการค้า สมาชิกสภาเทศบาลนครเมลเบิร์น และกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ นครเมลเบิร์น เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ จัตุรัส Federation ซึ่งภายในงานเทศกาลฯ มีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมโดยคณะนักแสดงจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ คณะนาฏยศาลาหุ่นละครเล็ก (โจหลุยส์) และการสาธิตการทำอาหารไทยโดยคณะ Top Chef Thailand ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของรัฐวิคตอเรีย ได้แก่ ประธานกรรมการบริหาร Creative Victoria (หน่วยงานรัฐที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์) ประธานกรรมการบริหาร The Australian Centre for the Moving Image หรือ ACMI (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติด้านภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดิโอเกมวัฒนธรรมดิจิทัล และศิลปะ) และประธานกรรมการบริหารหอสมุดแห่งวิคตอเรีย โดยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริหารงานด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การส่งเสริมความร่วมมือด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านของประชาชน รวมทั้งได้เยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริหารจัดการด้านวัฒนธรรมกับผู้บริหารของแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมของเมืองเมลเบิร์น เช่น ศาลากลางนครเมลเบิร์น (City of Melbourne) หอศิลป์แห่งรัฐวิคตอเรีย (National Gallery of Victoria) และศูนย์ศิลปะร่วมสมัยออสเตรเลีย (Australian Centre of Contemporary Arts-ACCA) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 165 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 08/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารายงานฯ และได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว เช่น ออกระเบียบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติ จัดประชุมร่วมกับผู้บริหารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรฐานการตรวจสอบเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ความสำคัญต่อแผนพัฒนาและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ กลุ่มจังหวัด จังหวัด เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 166 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 3 (12 กันยายน 2559-12 กันยายน 2560) | อื่นๆ | 08/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ประธานกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๓. ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และจัดทำรูปแบบการนำเสนอที่ง่ายต่อการสื่อสารและสร้างความเข้าใจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 167 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 | นร11 | 08/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ (นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) เมื่อวันอังคารที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับด้านการเกษตรและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน ด้านการท่องเที่ยว และด้านคุณภาพชีวิต ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 168 | รายงานผลการเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 01/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะการเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างไทยและฮ่องกง เพื่อเชื่อมต่อการค้าของไทยทั้งในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค พร้อมทั้งเพื่อให้มีการติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวนโยบายเศรษฐกิจของจีนและฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเดินทางเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกงในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเป็นองค์ประธานโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ธุรกิจบันเทิงไทย (Thai Night) และเยี่ยมชมงาน Hong Kong International Film & TV Market (FILMART) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าภาพยนตร์และธุรกิจบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค รวมทั้งได้พบหารือกับรองผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชน ผู้นำเข้าและนักธุรกิจรายสำคัญของฮ่องกง โดยมีประเด็นหารือกันในเรื่องการเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เยี่ยมชมความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสะพานฮ่องกง-มาเก๊า-จูไห่ และ Cyber Port Center (แหล่งรวมนักธุรกิจ Start-Up รุ่นใหม่ของฮ่องกง) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 169 | มาตรการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นเนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริต | ปช | 24/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเรื่อง มาตรการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น เนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริต ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันเกี่ยวกับการแก้ไขความไม่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการสอบสวนและการกระทำความผิดของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้สามารถกระทำได้ในทุกกรณี แม้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติม “การไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต” กำหนดเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 170 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 2 | มท | 10/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเปิดตลาดประชารัฐและการจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้า การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว การประเมินโครงการตลาดประชารัฐเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ และก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 171 | สรุปผลการประชุมระดับนโยบายของคณะกรรมการด้านการขนส่งทางบก ครั้งที่ 80 ของ UNECE | คค | 03/04/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมระดับนโยบายของคณะกรรมการด้านการขนส่งทางบก (Inland Transport Committee : ITC) ครั้งที่ ๘๐ ภายใต้คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งสหประชาชาติสำหรับภูมิภาคยุโรป (United Nations Economic Commission for Europe : UNECE) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกล่าวเปิดการประชุมฯ โดยเลขาธิการบริหาร UNECE ซึ่งได้นำเสนอเครื่องมือสำหรับแก้ปัญหาด้านความปลอดภัยทางถนน ภายใต้ชื่อ “SafeFITS” (Safe Future Inland Transport System) และได้เชิญชวนรัฐบาลจากประเทศต่าง ๆ ให้การสนับสนุนด้านการเงินสำหรับกองทุนด้านความปลอดภัยทางถนนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Trust Fund on Road Safety) ๒. การประชุมหารือระดับนโยบายภายใต้หัวข้อ “Intermobility : The Key to Sustainable Transport and Mobility” โดยที่ประชุมฯ ได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นต่าง ๆ อาทิ บทบาทของระบบการขนส่งที่เชื่อมต่อกันเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การเชื่อมโยงการขนส่งทุกรูปแบบอย่างไร้รอยต่อทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า การส่งเสริมระบบการขนส่งที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงมีความรวดเร็วขึ้น ในราคาที่ถูกลง ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ร่วมเป็นผู้อภิปราย (Keynote Speaker) ภายใต้หัวข้อ Intermodal passenger mobility โดยกล่าวถึงการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการขนส่งของประเทศในระยะ ๒๐ ปี ซึ่งสอดคล้องกับแผนการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมทั้งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง ๓. การหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกับผู้บริหารระดับสูงขององค์การระหว่างประเทศ ได้แก่ การหารือกับเลขาธิการบริหารของ UNECE เลขาธิการสหภาพการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ (International Road Transport Union : IRU) และเลขาธิการกิจการพิเศษด้านความปลอดภัยทางถนนแห่งสหประชาชาติ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีข้อเสนอที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งกองทุนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ควรมุ่งเน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการของประเทศกำลังพัฒนา การให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยทางถนน ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายระดับชาติในรูปแบบมาตรการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลปีใหม่ และสงกรานต์ เป็นต้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีกองทุน Road Safety Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุทางถนน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 172 | รายงานผลการประชุมผู้บริหารระดับสูง 6 ประเทศ ตามโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย | ยธ | 27/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมผู้บริหารระดับสูง ๖ ประเทศ (สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประเทศไทย ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) ตามโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพและจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ มกราคม ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เป็นประธานมอบนโยบายการประชุมฯ โดยเน้นย้ำให้ทั้ง ๖ ประเทศยกระดับความร่วมมือในการสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เพื่อยุติการผลิตยาเสพติด โดยใช้นโยบายด้านการปราบปรามควบคู่กับการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา และแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องระยะยาว ภายใต้การจัดทำแผนแม่บทร่วมกันของ ๖ ประเทศ ซึ่งทุกประเทศเห็นพ้องกันตามข้อเสนอของประเทศไทย โดยแนวทางและนโยบายยกระดับความร่วมมือ ๖ ประเทศ ได้แก่ (๑) การสร้างเป้าหมายร่วมที่จะดำเนินการต่อพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ (๒) การยกระดับความร่วมมือในการดำเนินการในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ (๓) ให้ความสำคัญของการสกัดกั้นสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด (๔) การผนึกกำลังร่วมกันของทั้ง ๖ ประเทศในการกำหนดเครือข่ายการผลิตและค้ายาเสพติดที่สำคัญในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ (๕) กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และ (๖) ร่วมกันจัดทำแผนแม่บทความร่วมมือของ ๖ ประเทศ ที่เป็นแผนต่อเนื่องระยะยาว จนนำไปสู่การลงนามให้การรับรองอย่างเป็นทางการของทั้ง ๖ ประเทศต่อไป ๒. การประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูง ๖ ประเทศ ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) ประเทศสมาชิก ๖ ประเทศ ได้ร่วมหาแนวทางร่วมกันในการแก้ไขปัญหา ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว โดยเห็นพ้องที่จะยังคงใช้ยุทธศาสตร์การผนึกกำลังร่วมกันในการ “ปิดล้อมสามเหลี่ยมทองคำ” ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายปฏิบัติการร่วมกัน (๒) การจัดทำแผนปฏิบัติการสามเหลี่ยมทองคำ ปี ๒๕๖๑ และ (๓) การจัดทำแผนแม่บทระยะยาวร่วมกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 173 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 | นร11 | 06/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๒ (จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับด้านการบริหารจัดการน้ำ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการค้า การลงทุน และการค้าชายแดน รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 174 | รายงานสรุปผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุมวิชาการและนิทรรศการ The 17th International Nanotechnology Exhibition and Conference (nano tech 2018) ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | คค | 27/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางเข้าร่วมการประชุมวิชาการและนิทรรศการ The 17th International Nanotechnology Exhibition and Conference (nano tech 2018) ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเดินทางเข้าร่วมการประชุมวิชาการและนิทรรศการ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ Tokyo Big Sight กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) การประชุมวิชาการและนิทรรศการ nano tech 2018 มุ่งเน้นการนำเสนอผลงานการสร้างนวัตกรรมด้านนาโนเทคโนโลยีระดับนานาชาติ (๒) การลงนามความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับบริษัท Teijin Frontier Co., Ltd และการเยี่ยมชม Teijin Mirai Studio (๓) การเยี่ยมชม 808 Plant Factory และเยี่ยมชมและหารือความร่วมมือกับผู้บริหาร Innovation Center of NanoMedicine (iCONM) (๔) การพบปะและหารือทิศทางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้าน Internet of Things (๕) การลงนามความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ National Agriculture and Food Research Organization (NARO) และ (๖) การแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง "Thailand 4.0-Thriving in The 21st Century in the Time of Changes" ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านโมเดลของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย (Thailand 4.0) และประชาสัมพันธ์โครงการเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการระเบียงนวัตกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) รวมทั้งนำเสนอศักยภาพและขีดความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยที่จะรองรับการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมและชักจูงให้เกิดการลงทุนจากผู้ประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรมจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทย ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 175 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ที่จะใช้สำหรับการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ในปี ๒๕๖๕ ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยให้คำนึงถึงการออกแบบและการกำหนดขนาดของห้องประชุม รวมทั้งอาคารประกอบที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม คุ้มค่า และแสดงถึงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของไทยด้วย ๒. ด้านความมั่นคง ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นต้น ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อติดตามการดำเนินคดีสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่ผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องหาหลบหนีคดี เพื่อจะได้ชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการให้สาธารณชนทราบอย่างถูกต้องต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้ทุกกระทรวงเร่งรัดการดำเนินการและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการจัดทำความตกลง/ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ได้จัดทำไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๗ เป็นต้นมา เพื่อให้ความตกลง/ความร่วมมือนั้น ๆ เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๓.๒ ตามที่ได้มีข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี บูรณาการการจัดทำข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาล โดยให้นำเสนอ (๑) ข้อมูลในภาพรวมที่มีเนื้อหาสั้น กระชับ เข้าใจได้ง่าย โดยจัดทำในลักษณะเป็นภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) ที่มีรูปแบบทันสมัยและดึงดูดความสนใจ (๒) ข้อมูลที่เป็นรายละเอียดแต่ละเรื่อง ให้นำเผยแพร่ต่อสาธารณชน นั้น ให้ทุกส่วนราชการจัดทำข้อมูลดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษด้วย แล้วส่งให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อรวบรวมและใช้เผยแพร่ให้แก่นานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ได้ทราบอย่างถูกต้องต่อไป ๓.๓ ให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดเกณฑ์ชี้วัดผลการดำเนินงานของแต่ละส่วนราชการให้ชัดเจน โดยเกณฑ์ชี้วัดดังกล่าวจะต้องสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานว่าสามารถดำเนินการ แก้ไข หรือปรับปรุงการปฏิบัติงานในแต่ละภารกิจ (Function) ตามเกณฑ์ชี้วัดให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นได้อย่างไร เพื่อนำเกณฑ์ชี้วัดดังกล่าวมาใช้ในรอบการประเมินหัวหน้าส่วนราชการและผู้บริหารในเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ นี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 176 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๑๖๕,๔๓๙ ครั้ง รวมจำนวน ๙๗,๗๐๙ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๘๗,๗๐๐ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๗๖ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และขอให้แก้ไขปัญหายาเสพติด กระแสไฟฟ้าขัดข้อง และบ่อนการพนัน ตามลำดับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญแก่การแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องการร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งพิจารณามอบหมายและแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานเป็นผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน (Chief Complaints Executive Officer : CCEO) รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การให้บริการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างทั่วถึงต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลและสามารถใช้บริการได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 177 | การเสนอรายงานเกี่ยวกับหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ 6 | นร09 | 13/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานข้อเสนอต่อรัฐบาลหลักสูตรผู้บริหารงานด้านกฎหมายภาครัฐระดับสูง รุ่นที่ ๖ และรายงานสรุปผลการศึกษาการปฏิรูปกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ รวม ๒ ฉบับ โดยรายงานข้อเสนอต่อรัฐบาลฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติมาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้มีการวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบอนุญาต ระบบคณะกรรมการ การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการกำหนดโทษอาญาของประเทศไทย โดยมีข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาองค์ความรู้ทางกฎหมายอันจะเป็นแนวทางในการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายต่อไป ส่วนรายงานสรุปผลการศึกษาฯ เป็นการศึกษาโครงสร้างองค์กรและกระบวนการพัฒนากฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งได้ดำเนินการปฏิรูปกฎหมายเพื่อเป็นการควบคุม ตรวจสอบ และพัฒนาคุณภาพของกฎหมาย อันเป็นปัจจัยของความสำเร็จในการปฏิรูปกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเป็นตัวอย่างนำมาสำหรับการพัฒนาคุณภาพของกฎหมายในประเทศไทยต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งรายงานทั้งสองฉบับดังกล่าวไปยังคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริงไม่ใช้กฎหมายไปในทางที่จะสร้างความขัดแย้งระหว่างภาครัฐและประชาชน รวมทั้งเพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาองค์ความรู้ทางกฎหมายและเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 178 | ภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออกของกระทรวงคมนาคม | คค | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาพรวมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออกของกระทรวงคมนาคม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) ได้ดำเนินโครงการที่สำคัญ เช่น (๑) การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายพัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง ๓๒ กิโลเมตร วงเงินลงทุน ๒๐,๒๐๐ ล้านบาท กำหนดเปิดใช้งานปี ๒๕๖๓ (๒) การขยายช่องจราจร เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๒๖ ทางเข้าท่าอากาศยานอู่ตะเภา-ท่าเรือจุกเสม็ด (จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๔ มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา ตอน ๒ (จาก ๔ ช่องจราจร เป็น ๖ ช่องจราจร) เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดฉะเชิงเทรา และ (๓) เส้นทางถนนเลียบชายทะเลตะวันออก (ชลบุรี ระยอง) พร้อมทางจักรยาน และมีจุดพักรถ จุดชมมวิวในบริเวณที่เหมาะสม และการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการท่องเที่ยวรอบเกาะช้างคงเหลือระยะทาง ๓ กิโลเมตรสุดท้าย ๑.๒ การพัฒนาระบบขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมระบบคมนาคมขนส่งทางรางให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและยกระดับเศรษฐกิจของภาคตะวันออก โดยมีโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ ๓ สนามบินแบบไร้รอยต่อ (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) รวมพื้นที่เขต ระยะทางรวม ๒๒๐ กิโลเมตร มูลค่าโครงการประมาณ ๒๓๖,๗๐๐ ล้านบาท เป็นการก่อสร้างทางรถไฟขนาด ๑.๔๓๕ เมตร (Standard Gauge) และจะมีการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณมักกะสัน และที่ดินรอบสถานีรถไฟความเร็วสูงศรีราชา ๑.๓ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางน้ำ กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ ๓ ขณะนี้อยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี ๒๕๖๘ ๑.๔ การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคม [บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] ได้ดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhual : MRO) ระยะที่ ๑ ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา (มูลค่าโครงการประมาณ ๑๐,๓๐๐ ล้านบาท) เป็นโครงการนำร่องในแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (East Economic Corridor : EEC) เพื่อขยายขีดความสามารถในการซ่อมบำรุงอากาศยานรุ่นใหม่และขยายฐานลูกค้า ๒. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนตามผลการประชุมพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้แทนเกษตรกรในภาคตะวันออก เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภาคตะวันออก ให้กระทรวงคมนาคมคำนึงถึงการกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสม การรองรับการขยายตัวของเมือง ความเชื่อมโยงกับการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งความสอดคล้องกับแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 179 | การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 6 ฉบับ | นร09 | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๒) ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๓) ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๔) ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๕) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ (๖) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการสอบสวนการกระทำความผิดของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และการกระทำอันเป็นการต้องห้ามของสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายในครั้งนี้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งความเห็นมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และคณะกรรมการพัฒนากฎหมายได้นำความเห็นของกระทรวงมหาดไทยมาประกอบการพิจารณาจัดทำร่างกฎหมายทั้ง ๖ ฉบับแล้ว รวมทั้งได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 180 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2559 | พม | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. บทสรุปผู้บริหารและข้อเสนอแนะ ประชากรไทยมีแนวโน้มชัดเจนว่ากำลังสูงวัยขึ้นด้วยอัตราที่เร็วมาก และจะกลายเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ในเวลาอีกไม่เกิน ๑๐ ปีข้างหน้า รัฐบาลจึงต้องเร่งวางนโยบายและหามาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับสังคมสูงอายุ เช่น การเสริมสร้างสุขอนามัยและสร้างรูปแบบการให้บริการด้านสุขภาพแก่ผู้สูงอายุอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุอยู่ในที่อยู่อาศัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นต้น ๒. สถานการณ์ผู้สูงอายุทั่วไป ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ประเทศอาเซียนมีประชากรรวมกันทั้งหมด ๖๓๙ ล้านคน มีประชากรอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป ๖๑ ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ ๙.๖ และมีประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว ๓ ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยไทยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุใกล้ถึงร้อยละ ๒๐ ของประชากรทั้งหมด โดยครอบครัวไทยได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นครอบครัวเดี่ยวมีสมาชิกในครอบครัวน้อยลง โดยหนึ่งในสามของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน และผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ข้ออักเสบ/ข้อเสื่อม โรคถุงลมโป่งพอง/หลอดสมปอดอุดกั้นเรื้อรัง หลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย และอัมพาต ๓. การเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้สูงอายุ มีข้อเสนอทางเลือกเชิงนโยบาย เช่น การพัฒนาระบบบริการสุขภาพแบบไร้รอยต่อ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการ การเพิ่มประสิทธิผลของการดูแลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยนอกสถานพยาบาล การส่งเสริมการใช้ยาอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายและกิจกรรมทางสังคม เป็นต้น ๔. สถานการณ์เด่นปี ๒๕๕๙ เช่น การประกาศเกียรติคุณผู้สูงอายุแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ และประกาศศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๒ ท่าน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ๑๑ ท่าน มีปฏิญญาผู้สูงอายุกับการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุของประเทศไทย พันธกรณีองค์การสหประชาชาติ เรื่อง ผู้สูงอายุ และมีนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ เช่น เก้าอี้สำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่ใช้รถเข็น เป็นต้น ๕. งานวิจัยเพื่อสังคมสูงวัยปี ๒๕๕๙ เช่น โครงการ “การสังเคราะห์งานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางจิต และสังคมที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย” โครงการ “ระบบการดูแลทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ” เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
